angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า
เขียนโดย zusuran
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) งานเลี้ยงดักพราน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ข้าได้ฟังเรื่องราวของท่านจากแกรนเชลล์ว่าท่านพี่มีภารกิจที่โลกมนุษย์ เป็นเรื่องจริงหรือ”
“ใช่”
“ข้าเองก็อยากไปโลกมนุษย์บ้างสักครั้ง”
นี่คือการสนทนาระหว่างการจิบน้ำชายามบ่ายของคู่หมั้นที่ไม่ค่อยจะรื่นรมย์เท่าไรนัก หลังจากที่ไปเยือน(ก่อเรื่อง) ที่แดนมนุษย์ลามไปถึงดินแดนเอลฟ์และหนีกลับมายังแดนเทพ โทรเฟ่นก็ยิ้มค้างจนกรามยึดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่หมั้น
“เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อย ต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้อยู่ต้อนรับเจ้า องค์หญิงสิบสาม”
“เรียกชื่อของข้าเถอะค่ะ ท่านโทรเฟ่น”
“มิบังอาจ ข้าเป็นบุรุษทั้งยังเป็นนักรบ จะเอ่ยนามของสตรีสูงศักดิ์เช่นเจ้าง่ายดายได้อย่างไรกัน”
แน่นอนว่ากฎนี้โทรเฟ่นเป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ความจริงแล้วเขาจะเรียกชื่อของคนที่คิดจะสนิทด้วย ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่เพิ่งผ่านทางมาเพียงเสี้ยวนาทีก็ตาม
“ข้านี่แย่จริงๆ หลงคิดเอาเองว่าท่านจะเหมือนแกรนเชลล์เสียอีก”
“แกรนเชลล์เป็นคนอ่อนโยนแถมยังเป็นเชื้อพระวงศ์ เขาไม่ถือสาและสนิทเท่าเทียมกับเจ้ามากกว่าข้าที่เป็นนักรบใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสงคราม”
เจ้าหญิงเมเดอร์โนอาร์พยักหน้ารับอย่างนอบน้อม เจ้าหญิงเทพองค์ที่สิบสามของราชาแห่งแคว้นสายฟ้า เธอช่างเพียบพร้อมและงดงามยิ่งกว่าพี่น้องทั้งสิบสอง แต่สำหรับโทรเฟ่นกลับรู้สึกเฉยๆ ต่างจากการพบกับเจ้าหญิงเลือดผสมที่แดนมนุษย์ลิบลับ เจ้าหญิงเฮเลียสผู้นั้น…
“แล้วภารกิจของท่านพี่เสร็จสิ้นลงหรือยัง”
“เอ่อ จะว่าไปก็ยังหรอก”
“ตายจริง นี่ข้ามาเป็นภาระให้ท่านลำบากใจหรือเปล่า”
“ไม่หรอก เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องไป”
ขืนไปมีหวังถูกทั้งเจ้าชายปีศาจทั้งเอลฟ์สองวิญญาณนั้นยำเละแน่ แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็ยิ่งอยากไปหา เจ้าของดวงตาสีพระจันทร์คู่นั้น
เฮเลียส…
พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ ทว่าแสงสีแดงสดใสนั้นก็เหมือนจะแสดงให้เห็นว่ามันไม่อยากยอมแพ้ ต่างจากคนที่กำลังจ้องมองแสงของมันอย่างสิ้นหวังอยู่ในขณะนี้
พรึ่บ!
“มานั่งทำไมตรงนี้”
เสียงทุ้มราบเรียบพร้อมเสียงกระพือปีกดังมาจากด้านหลังสะกิดให้สาวเจ้ารีบยกมือปาดน้ำตาทิ้งโดยพลันก่อนจะแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มหันกลับไปยิ้มทักทายผู้มาใหม่
“ท่านหายไปไหนมา ข้าตามหาท่านแทบแย่เลยนะ เคออน”
เจ้าชายปีศาจไม่มีคำตอบให้กับคำถามเสแสร้ง เก็บปีกสีดำเข้ากลางหลังและร่อนลงมายืนเคียงข้างหญิงสาวอย่างสง่างาม ดวงตาสีนิลเพียงข้างเดียวเหลือบมองสีหน้าเศร้ารางๆนั้นเพียงน้อยนิดก่อนจะทำทีเป็นสนใจกับแสงตะวันสีแดงฉานดุจอัญมณีที่กำลังลาลับขอบฟ้าเบื้องหน้าแทน
“พระอาทิตย์ยังไม่สิ้นแสงแบบนี้เดี๋ยวก็อ่อนแอลงไปอีกหรอก”
“นานแล้วสินะ”
“เอ๊ะ”
“ข้าไม่ได้มองพระอาทิตย์แบบนี้นานมากแล้วสินะ”
คำพูดเปรยปรายแต่กลับแฝงความจริงเอาไว้จนเบี่ยงเบนไม่พ้น เฮเลียสหลุบตาต่ำมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่เป็นผืนป่าสีน้ำเงินต้องแสงอาทิตย์ดูนุ่มเนียนดุจกำมะหยี่เนื้อดี แต่ภายใต้ความสวยงามนั้นกลับมีความน่ากลัวซุกซ่อนเอาไว้มากมายเกินคณานับ เหมือนหัวใจที่กำลังหาทางออกไม่เจอของเธอตอนนี้
เคโอเรสเตอร์เหล่มองสาวเจ้าผู้นั่งเงียบอยู่ข้างกายก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้บนใบหน้าของเธอ นานมากเสียจนไม่แน่ใจแล้วว่าเคยพบเห็น เหมือนกับการที่เขาจะมีความกล้าลุกขึ้นมายืนมองแสงอาทิตย์ ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งหญิงสาวผู้เงียบมานานเริ่มปริปาก
“เคออน”
“หืม”
“นี่ข้า…กลายเป็นคนสำคัญขนาดที่ใครต่อใครต้องการตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ใครต่อใครที่พูดถึงก็หนีไม่พ้นพวกที่จ้องจะเอาชีวิต น้อยนักที่จะต้องการไปทะนุถนอม แล้วเจ้าชายปีศาจที่อยู่กับเธอมาหลายร้อยปีผู้นี้ล่ะ เขามองเช่นไร
“คำตอบก็น่าจะชัดเจนตั้งแต่วันที่ข้าพบเจ้าแล้ว”
“เอ๊ะ!”
“ใครต่อใครที่ต้องการตัวเจ้าจะเป็นยังไงข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้า เจ้าคือคนที่สำคัญเสมอ จำใส่หัวไว้แค่นี้ก็พอแล้ว”
กล่าวจบเจ้าชายปีศาจก็กระพือปีกสีดำและทะยานหายไปบนฟ้าที่เริ่มมืด เหลือเพียงเฮเลียสที่ยังมองตามตาปริบๆเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาว่าเมื่อครู่ได้เห็นสีระเรื่อบนใบหน้าครึ่งซีกของเขา อย่างน้อยเคโอเรสเตอร์ก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นเธอเป็นคนสำคัญ แล้วจะมีใครอีกไหมหนอ ใครที่พูดถึง ที่ปรากฏเป็นมโนภาพในสมองอยู่ในตอนนี้ก็มีแต่….
“โทรเฟ่น…”
รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เอ่ยนามนี้ หากมีโอกาสได้พบอีกก็คงจะดี
โลกเทพ เขตปกครองทางเหนืออันแข็งแกร่ง ราชาผู้ปกครองแคว้นเหนือดีใจจนยิ้มแก้มปริเมื่อชายาอันเป็นที่รักได้ให้กำเนิดโอรสแก่เขา งานฉลองรับขวัญจึงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าแขกกิตติมาศักดิ์ของงานนี้คือสหายต่างวัยอย่างโทรเฟ่น แต่การฉลองในแบบของสหายก็ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวในห้องนั่งเล่นบนหอคอยของปราสาท
“ยินดีด้วยคาร์ลอส ในที่สุดเจ้าก็ได้ลูกชาย”
“ขอบใจมากสหายข้า”
สหายต่างวัยทั้งสองพูดพลางชนแก้วไปพลาง และถึงจะรู้ว่าโทรเฟ่นมาแสดงความยินดีแต่คาร์ลอสก็ยังไม่ลืมไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของสหายต่างวัยผู้นี้เลยสักครั้ง ยิ่งได้ข่าวว่าสหายตัวดีไปก่อเรื่องไว้ที่แดนมนุษย์ยันแดนเอลฟ์ด้วยแล้วก็ยิ่งอยากรู้ความเป็นมา
“ได้ข่าวว่าเจ้ากับคู่หูไปก่อวีรกรรมเอาไว้ที่แดนมนุษย์แถมเข้าไปก่อเรื่องวุ่นในเขตปกครองของพวกเอลฟ์สีน้ำเงิน คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”
“อืม”
ยอมรับง่ายดายเพราะไม่มีอะไรจะต้องปิดบังให้เสีย คาร์ลอสจ้องมองใบหน้าคมของเทพนักรบผมสีม่วงอ่อนตรงหน้าอย่างสนใจ
“แล้ว…เป็นอย่างไรบ้างล่ะ มนุษย์นางนั้นกับเจ้าชายปีศาจ”
“จะว่ายังไงดีนะ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยสัมผัสกับมนุษย์ครั้งแรกเสียด้วยสิ”
ถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากกลับไปสัมผัสเธอผู้นั้นอีกสักครั้ง…ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยดวงตาสีพระจันทร์และรอยยิ้มบางบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ เหมือนจะทำให้ข้างในอกระส่ำระส่ายจนควบคุมไม่อยู่ เธอผู้นั้นช่างงดงามยิ่งนัก
คาร์ลอสมองใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มน้อยๆของสหายก็พอเข้าใจในสถานการณ์ โทรเฟ่นผู้เสพสุขกับสงครามได้หายไป หลักฐานก็คือนักรบผมสีม่วงผู้นี้ไม่ได้เย็นชาทำหน้าเครียดเหมือนเมื่อก่อน จะเป็นเพราะอะไรบ้างสหายสูงวัยอย่างเขาไม่อาจคาดเดาได้ถูกเสมอไป แต่ว่าอย่างน้อยก็ทำให้เขาเห็นทางรอดที่ถูกต้องในบางเรื่องที่กำลังกลัดกลุ้ม ถ้าเป็นโทรเฟ่นแล้วล่ะก็ เขาก็วางใจ
“โทรเฟ่นข้ามีเรื่องขอให้เจ้าช่วย…”
แสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าสะท้อนม่านตาสีพระจันทร์ของหญิงสาวที่ยังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้หน่าย
“นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
เสียงแหลมแต่ออกห้าวดังมาจากหน้าประตูที่เปิดแง้มเข้ามาพอหลวมตัวคนหนึ่งคน เมื่อหันไปมองก็ได้พบกับหญิงสาวร่างเพรียวลมที่แม้จะมองอยู่ไกลๆก็ยังเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าเด่นสะดุดตา
“ลิกไนต์”
สีหน้าของพยัคฆ์สาวอ่อนลงวูบหนึ่งเหมือนขานรับกลายๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหันไปปิดประตูอย่างมีมารยาท เฮเลียสยังไม่ละสายตาจากร่างสะโอดสะองนั้น เธอเป็นกังวลเรื่องบาดแผลของพยัคฆ์สาวมาตลอด มาถึงวันนี้ถึงจะมองไม่เห็นอาการที่แสดงถึงความเจ็บปวดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เจ้าไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“ข้าไม่สะท้านกับบาดแผลเล็กน้อยหรอก”
นั่นเรียกว่าเล็กน้อยเหรอ!
“แล้วน้องชายเจ้า…”
“สนใจคนอื่นไปทำไมในเมื่อตัวเจ้าก็ว้าวุ่นมากพออยู่แล้ว”
ลิกไนต์เลี่ยงที่จะตอบคำถามและสวนกลับด้วยน้ำเสียงและใบหน้าไร้อารมณ์ เฮเลียสเริ่มรู้ตัวว่าได้ทำให้อีกฝ่ายรำคาญจึงได้เพียงเสมองไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงที่จะเผชิญกับดวงตาสีขี้เถ้าอันแสนเย็นชาคู่นั้น
“แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ”
“งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว”
“งานเลี้ยงอะไร”
“งานเลี้ยงดักพรานอย่างไรเล่า”
เฮเลียสอยากถามต่ออีกซักนิดว่า ‘งานเลี้ยงดักพราน’ คืออะไร แต่ดูสีหน้าลิกไนต์ที่เหมือนจะไม่ค่อยสบายอารมณ์เท่าไหร่จึงตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบไม่ซักถาม ลิซ่าและเออร์แวนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดและเครื่องประดับ
“จริงสิ ข้ายังไม่เห็นฟลอกซ์…เอ่อ ข้าหมายถึงโอซาริส”
“ทุกคนรออยู่ที่ลานพิธี พร้อมเหล่าผู้มาเยือน”
ลิกไนต์ตอบขณะที่เดินนำหน้าไปบนทางเดินคดเคี้ยวของปราสาท เฮเลียสเพิ่งสังเกตว่าพยัคฆ์สาวสวมชุดราตรีเกาะอกสีดำรัดรูปกระโปรงยาวกรีดขึ้นมาถึงสะโพกทั้งสองข้างโชว์เรียวขาสวยงาม ส่วนเครื่องประดับก็เป็นสีทองเรียบไร้ลวดลายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรัดเกล้าและกำไล ลิซ่าและเออร์แวนที่อยู่ด้านหลังเงียบๆ คอยถือชายกระโปรงที่สุดแสนจะยาวเฟื้อยให้ ชุดในคืนนี้ของเฮเลียสช่างเลิศหรูอลังการจนแทบจะเหยียบชายกระโปรงล้มกลิ้งเสียนี่กระไร เนื้อผ้าสีขาวมีประกายเพชรระยิบระยับ เครื่องประดับที่ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์สุดแสนจะหนัก
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานกว้างตรงกลางซึ่งมีปราสาทล้อมรอบเป็นวงกลม ตรงกลางของลานกว้างมีแท่นหินสีนิลทรงสี่เหลี่ยมสูงประมาณเมตรกว่าๆ มีบันไดทอดลงมาห้าถึงหกขั้น สองข้างทางที่จะเดินไปยังแท่นหินนั้นถูกประดับด้วยลูกไฟสีฟ้าอ่อนให้ความสว่างเย็นตา และยังมีกองไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ รอบลานกว้างมีทหารอาวุธครบมือยืนเป็นระเบียบ ท่าทางของแต่ละคนเหมือนกำลังรอคอยเวลาที่จะส่งเครื่องบูชายัญอย่างไรอย่างนั้น เฮเลียสเดินไปคิดไป หวังว่าเธอคงไม่ใช่เครื่องบูชายัญที่ว่าหรอกนะ
“หน้าซีดหมดแล้วนะ คิดไปถึงไหนกันเนี่ย เจ้าหญิง อย่างเจ้าน่ะ ไม่มีใครกล้าเอาไปเป็นเครื่องสังเวยหรอก”
เสียงห้าวๆแอบกวนประสาทนิดๆดังแทรกเข้ามาอย่างรู้ความคิด พอรู้ตัวอีกทีก็ได้มายืนอยู่หน้าบันไดขั้นแรกที่จะขึ้นไปบนแท่น และคนที่ทักเข้ามาก็คือพยัคฆ์หนุ่มนามว่าไลน์ เขาโค้งตัวและยื่นมือมาหา
“เอ้า ส่งมามือเถอะ”
พยัคฆ์หนุ่มยิ้มกวนๆ วันนี้เขาสวมชุดสีดำแขนสั้นรัดรูปและผ้าพันคอสีเดียวกันที่ยาวเกือบถึงข้อเท้าพร้อมกับเครื่องประดับที่เป็นโซ่และเข็มกลัดสีทองเนื้อเนียนเฉียดเช่นลิกไนต์ เฮเลียสยอมรับได้อย่างไม่ลังเลว่าเขาดูดีกว่าวันแรกที่พบกันมากๆ เธอยื่นมือไปจับมือของไลน์ตามคำเชิญและก้าวขึ้นบันไดโดยมีเขาประคอง บนแท่นมีโอซาริสและเคโอเรสเตอร์ เอลฟ์สาวผมสีทองยังคงความงามของเอลฟ์ด้วยอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวราวต้องลม ส่วนเจ้าชายปีศาจนั้นสีดำที่ยิ่งกว่ารัตติกาลนั้นคือสีที่เขาชื่นชอบเสมอ ไลน์พาเธอเข้ามานั่งยังเก้าอี้ไม้ฉลุลวดลายละเอียดด้วยทองคำที่เด่นสง่าอยู่เพียงตัวเดียว ทันทีที่ได้นั่งและมองไปเบื้องหน้าเฮเลียสก็ถึงได้พบกับเหล่าภูตพรายที่ยืนอยู่ตามจุดต่างๆของลานกว้างแห่งนี้ พวกเขาทอดสายตามองมายังผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ราชินีของพวกเขา และโอซาริสก็ประกาศด้วยน้ำเสียงก้องกังวานว่า
“พี่น้องทั้งหลายจงฟังข้า!....คืนนี้เรามาชุมนุมกันในรอบห้าร้อยปีที่นัดหมาย ซึ่งเป็นเวลาประจวบเหมาะที่คืนนี้ข้าประสงค์จะมอบบัลลังก์แห่งนี้คืนให้กับรัชทายาทแห่งดินแดนตะวันออก เจ้าหญิงเฮเลียส!”
เสียงเฮดังมาอย่างต่อเนื่องทันทีที่คำประกาศิตของโอซาริสสิ้นสุดลง ทุกคนเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเวลานี้มาแสนนาน โอซาริสเดินเข้ามาพร้อมเข็มกลัดรูปดอกไม้สีน้ำเงิน เคโอเรสเตอร์และไลน์ช่วยกันจับมือเฮเลียสคนละข้างและประคองให้เธอลุกขึ้นยืน ก่อนที่ทั้งสองจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งและยกมือของเธอจรดไว้ตรงหน้าผากของพวกเขาอย่างนอบน้อม ลิซ่าและเออร์แวนน้ำผ้าคลุมสีน้ำเงินที่มีขนสัตว์ปุกปุยสีขาวที่คอและหมวกมาสวมให้ ก่อนที่โอซาริสจะบรรจงกลัดเข็มกลัดอันเลอค่าตรงกลางอกเสื้อ
“ดินแดนตะวันออกเป็นของท่านแล้ว ราชินี”
เอลฟ์สาวคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ เฮเลียสยังไม่หายงงแต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ให้มากความ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเธอเองก็ได้รับรู้มาแล้ว เธอได้ขึ้นครองราชย์อย่างที่สมควรจะได้มาตั้งแต่ต้น ทว่า สักขีพยานและผู้อยู่ใต้การปกครองของเธอตอนนี้กลับไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเหล่าเอลฟ์และภูตพรายต่างเผ่าพันธุ์ ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ตั้งใจเผชิญและผ่านไปด้วยตัวเอง
คืนนี้พระจันทร์บนฟ้าเต็มดวงผ่องสกาว และอีกไม่นานก็จะเคลื่อนมาถึงจุดกึ่งกลางพร้อมบอกเวลาเที่ยงคืน แต่ถึงจะเป็นคืนที่งดงามมากขนาดไหน เฮเลียสก็ไม่มีกะใจจะติชมหรือนั่งมองมันได้นานๆเหมือนเมื่อก่อน แม้กระทั่งข่มตาให้หลับ
“ยังไม่นอนอีกรึ”
“เคออน”
เจ้าชายปีศาจใช้ปีกลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนจะกระโดดเข้ามาที่ระเบียงห้องของเจ้าหญิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นราชินีแดนตะวันออก ในมือของเขาถือแก้วไวน์เปล่า ชุดสีดำปกปิดร่างกายมิดชิดบวกกับผมที่ยาวสลวยของเขาทำให้ดูเหมือนเขาถูกความมืดกลืนกินแม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ
เฮเลียสสวมเสื้อคลุมและเดินออกมาเกาะขอบระเบียงข้างๆปีศาจหนุ่ม ก้มลงมองผืนป่าด้านล่างพลางยกมือขึ้นลูบเข็มกลัดที่ตอนนี้ก็ยังกลัดไว้บนอกเสื้อ ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสัมผัสกับลวดลายละเอียดของจี้รูปใบไม้ที่ห้อยอยู่บนคอ ทำให้นึกถึงอดีตเมื่อครั้งได้รับมันมาจากบิดา
“หากว่า…ข้าได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อจริงๆ ป่านนี้ข้าจะเป็นเช่นไรนะ คิดว่าราษฎรของข้าจะมีความสุขหรือไม่ ข้าจะทำได้เหมือนเสด็จพ่อหรือเปล่า มันเป็นเรื่องที่ข้าคิดมาตลอดตั้งแต่เด็ก ถึงตอนนี้ก็ยังคิดอยู่”
“ชะตาลิขิตมิอาจเกิดขึ้นได้ด้วยความคิดที่ไร้ตัวตน ถ้าการขึ้นเป็นราชาสุขสบายขนาดนั้นล่ะก็ ข้าคงไม่หนีออกมาแบบนี้หรอก”
“แล้วอย่างข้าจะทำได้รึ”
เฮเลียสเผลอยกมือลูบต้นแขนบริเวณแผลเป็น มันคือ ‘สัญลักษณ์ของคำสาป’ ที่กัดกร่อนชีวิตของเธอไปทุกวัน เพราะอย่างนี้เองถึงต้องเดินทางไปยังดินแดนที่ไกลสุดหล้าเพียงเพื่อ ‘เยียวยา’
“ข้าเชื่อในตัวเจ้า”
คำพูดของเจ้าชายปีศาจทำให้เฮเลียสใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็มั่นใจได้ว่าพี่ชายบุญธรรมต่างสายเลือดคนนี้จะเคียงข้างเธอตลอดไป แต่ว่า….
“ข้ามีข้อสงสัยข้อหนึ่งที่อยากรู้มาตลอด”
“อะไร”
“ ‘งานเลี้ยงดักพราน’คืออะไร”
“!!!!”
เมื่อได้ยินคำถามผู้ที่ถูกถามถึงกับเงียบไปทั้งที่รู้คำตอบ คิดอยู่ในใจมาเสมอว่าคงจะโกหกเธอไม่ได้ เจ้าชายปีศาจไม่กล้าสบตาคู่งามของราชินีสาว แต่เพราะความกดดันจากตัวเธอบวกกับความตั้งใจที่ค้านกันอยู่ในตัวเขา จึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะบอก
“ ‘พวกมัน’กำลังมาที่นี่”
“ ‘พวกมัน’ที่ว่าคือใครกัน”
“กองทัพปีศาจกับพวกที่ต้องการตัวเจ้ายังไง”
“ว่าไงนะ!”
“งานเลี้ยงที่พูดถึงก็คือพิธีบรรลุนิติภาวะของเจ้า และยังเป็นการเปิดเผยการมีตัวตนของเจ้ากับข้าให้ทุกคนรับรู้ แน่นอนว่าพวกที่มามีทั้งมิตรและศัตรู อาจจะดูโง่เง่าแต่ก็เป็นประโยชน์ในการเดินทางที่ยังกำหนดจุดหมายไม่ถูก
“นี่ข้าต้องไป ‘ที่นั่น’ จริงเหรอ”
ราชินีสาวพึมพำ แต่ไม่ทันที่ความคิดจะล่องลอยไปไกล เสียงกัมปนาทก็ทำให้เธอต้องเรียกสติกลับมาโดยเร็ว
ตูมมมมม!
กรี๊ดดดดด!
อ๊ากกกกก!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องและเสียงกระทบกระทั่งของอาวุธ ไม่ทันจะได้สนใจกับที่มาของเสียงเคโอเรสเตอร์ก็คว้าตัวเธอและกระโดดขึ้นบนฟ้าก่อนที่ธนูเวทนับสิบดอกพุ่งเข้ามาปักและทำลายระเบียงจนแหลกเป็นฝุ่นผง
ตูมมม!
“กะ เกิดอะไรขึ้น!”
“พวกมันมาแล้ว”
เจ้าชายปีศาจอุ้มเฮเลียสพาดบ่าและกางปีกบินขึ้นไปถึงชั้นยอดของปราสาทที่เป็นปลายแหลม เขาทรงตัวอยู่บนปลายแหลมที่เรียวเล็กจนเท้าไม่มีที่วาง แต่สำหรับปีศาจนี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เมื่อมองลงไปเบื้องล่างซึ่งเมื่อก่อนเป็นลานกว้างก็พบว่าบัดนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิรบเรียบร้อยแล้ว
ไม่ทันที่จะได้ถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ เคโอเรสเตอร์ก็ดิ่งลงไปยังป่าทึบด้านหลังปราสาท เฮเลียสรีบกอดคอเขาและหลับตาแน่นปี๋เมื่อรู้สึกว่าการดิ่งพสุธาของเจ้าชายปีศาจช่างรวดเร็วจนสายลมเริ่มจะเปลี่ยนเป็นคมมีดบาดผิวหน้า ไม่นานการดิ่งพสุธาสุดระทึกก็หยุดลงแต่เจ้าชายปีศาจก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวพาราชินีสาวกระโดดไปตามกิ่งไม้ในป่าทึบด้วยความเร็วที่ไม่ตกไปจากเดิม
“นี่เรากำลังจะไปไหน”
“แม่น้ำ ข้าจะพาเจ้าข้ามแม่น้ำก่อนที่พวกมันจะตามเจอ”
“ทุกคนล่ะ….เคโอเรสเตอร์!แล้วคนอื่นๆล่ะ!”
“ไม่มีเวลาแล้ว!”
เคโอเรสเตอร์ตัดบทด้วยน้ำเสียงเครียดจัดและแบกร่างบางในชุดคลุมสีขาวมุ่งหน้าไปโดยไม่เหลียวหลัง จุดหมายคือการข้ามแม่น้ำซึ่งเป็นทางออกจากป่าสีน้ำเงินไปสู่เขตปกครองอิสระ หนึ่งในเส้นทางที่จะใช้เดินทางไปยังหุบเขาไกอา อาณาจักรของราชันย์แห่งเอลฟ์ไกเซอร์ฟีนิกส์ ตามที่ผู้พิทักษ์นามว่าฟลอกซ์ได้บอกเอาไว้
ทุกคนจะไปพบกันที่นั่น…
แต่การหลบหนีใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เมื่อมีหนึ่งในพรานผู้ล่าได้กระโดดข้ามกับดักที่วางเอาไว้อย่างชาญฉลาด ลำแสงสีเขียวมรกตพุ่งผ่านเจ้าชายปีศาจจากด้านหลังเฉี่ยวเสื้อให้เกิดรอยไหม้มากกว่าหนึ่งนิ้ว ก่อนจะกระแทกและเผากิ่งไม้ด้านหน้าจนเหลือเพียงเถ้าถ่านร่วงลงกองกับดิน
โครม!
“อ๊ะ!”
ตุบ!
เคโอเรสเตอร์เสียการทรงตัวและพลัดตกจากกิ่งไม้ แต่ก็ยังทรงตัวและร่อนลงเหยียบพื้นอย่างปลอดภัย พร้อมกับเงาร่างหนึ่งที่ร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าและปรากฏรายละเอียดชัดเจน เฮเลียสจำได้ติดตากับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขี้เถ้าสวมชุดคลุมสีดำยาวเฟื้อยและถือคทาสีดำรูปร่างเหมือนกิ่งไม้ที่ถูกเถาวัลย์เกี้ยวพันเอาไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่เธอก็ยังมั่นใจว่าเป็นเขา
“โวเลนธาร์”
“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันพบกับเจ้าอีก เด็กน้อยเลือดผสมผู้น่ารังเกียจ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรู้จักนามของข้า”
พ่อมดนัยน์ตาสีมรกตมีนามว่าโวเลนธาร์ กล่าวคำทักทายด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเย่อหยิ่ง เจ้าชายปีศาจกอดกระชับเฮเลียสมากกว่าที่เป็น ชนิดที่เรียกได้ว่าพายุทอร์นาโดก็ไม่อาจพรากเธอไปจากเขาได้ประมาณนั้น โวเลนธาร์ไล่สายตามองเขาเพียงผ่านๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ราชินีสาวในอ้อมกอดของเขาอย่างสนอกสนใจ ถึงแม้ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจะสดใสสว่างราวกับอัญมณีแต่ทว่า สำหรับเฮเลียสมันคือดวงตาของปีศาจในคราบของเทพบุตร ที่อำมหิตและน่าขยะแขยงจนทำให้เธออยากไปจากตรงนี้ให้ไกลเท่าไรยิ่งดี
“จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่านะ ที่ข้าไม่ฆ่าเจ้าเมื่อครั้งที่เจ้ายังเป็นทารก เจ้าช่างงดงามเหมือนเฟลอร์เกียแม่ของเจ้าจริงๆ”
“เก็บคำชมของเจ้าคืนไป ข้าไม่ต้องการให้อสุรกายเน่าเฟะเช่นเจ้ามาชื่นชม”
“ปากกล้าไม่เบา…ชักอยากได้มาเป็นราชินีเร็วๆซะแล้วสิ”
“ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”
เคโอเรสเตอร์ไม่ต่อล้อต่อเถียงให้มากความพร้อมตรงเข้าประชิดตัวพ่อมดหนุ่ม กางกรงเล็บทั้งห้านิ้วและตวัดเข้ากลางอกพ่อมดอย่างรวดเร็ว
ความเร็วระดับปีศาจถือว่าน่ากลัว แต่โวเลนธาร์ก็ถือได้ว่ามีไหวพริบดีมาก เขากระโดดไปด้านหลังเพื่อหลบกรงเล็บปีศาจที่จะคว้านเนื้อควักหัวใจได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด กรงเล็บของเจ้าชายปีศาจจึงคว้านได้เพียงเศษชายผ้าคลุม
“หลบได้หลบไป”
“นี่สินะ เจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์ที่พูดถึง ดูท่าว่าข้าจะเจอหนามตำเท้าเข้าให้แล้วสิ แต่ว่าสู้ด้วยมือข้างเดียวจะไหวเร้อ”
“อย่างเจ้าแค่มือข้างเดียวก็เหลือแหล่แล้วเฟ้ย!”
เจ้าชายปีศาจโจมตีไม่ยั้งมือขณะที่พ่อมดโวเลนธาร์เอาแต่เอี้ยวตัวหลบไปมาโดยไม่ตอบโต้ใดๆ แล้วสุดท้ายก็เห็นจะเป็นเจ้าชายปีศาจเสียเองที่เหน็ดเหนื่อยแทบทรุด
“อุ๊บ! แค่กๆๆ…”
“เคออน!”
“ดูเหมือนเวลาจะกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆแล้วสินะ เจ้าชาย ไม่รีบกลับไปหดหัวอยู่ในกระดองจะดีรึ”
โวเลนธาร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นวาบ เพียงแค่คำพูดนั้นก็ทำให้เฮเลียสสะท้าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ