angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) เปิดฉาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เฮเลียสทั้งห่วงและหวาดกลัว เจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์อุ้มเธอพาดบ่าด้วยมือข้างเดียวขณะที่มืออีกข้างกางกรงเล็บพร้อมจะคว้านเครื่องในของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กรงเล็บของเขาที่ว่าคมก็ไม่ได้ต่างไปจากกิ่งไม้ผุๆที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลแก่ฝ่ายตรงข้ามได้เลย กลับกัน คทาของพ่อมดโวเลนธาร์ที่มีรูปร่างเหมือนขอนไม้บิดเบี้ยวนั่นน่าจะมีอานุภาพมากกว่าหลายเท่า

“เคออน…”

เฮเลียสอยากชักอาวุธขึ้นมาปกป้องตัวเองแทนที่จะให้คนอื่นมาปกป้อง แต่ความมั่นคงของอ้อมกอดที่รัดร่างของเธอเอาไว้แน่นทำให้ยากจะขยับตัว และด้วยนิสัยของเคโอเรสเตอร์ไม่ว่าตอนนี้เธอจะพูดอะไรออกไปก็คงไม่ได้อยู่ในการรับฟังของเขาแม้ส่วนเสี้ยว เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะ ‘ถอย’ แต่ดูท่าพ่อมดผมสีขี้เถ้าบอกอายุอานามไม่ถูกคนนี้จะจัดการไม่ได้ง่ายๆ

ทำยังไงดี ทำยังไง….อึ้ก!

จู่ๆร่างบางในอ้อมกอดก็กระตุกและทรุดฮวบซบลงบนไหล่เจ้าชายปีศาจเหมือนคนสิ้นแรง

“เฮเลียส!”

“เจ็บ!...แขนของข้า เจ็บเหลือเกิน”

เฮเลียสพยายามเปล่งเสียงแหบพล่าออกมาเป็นคำพูดอย่างยากลำบาก จู่ๆความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้ามาจนเธอแทบหมดสติ และจุดกำเนิดของความเจ็บสุดจะทนนี้ก็มาจากต้นแขนขวา ที่ซึ่งมีรอยแผลเป็นรูปเถาวัลย์พันรอบและรัดจนเนื้อปริ

‘ร่องรอยของคำสาป’ กำลังขานรับผู้เป็นนายที่สร้างมันขึ้นมา ถึงโวเลนธาร์จะไม่ใช่คนที่ร่ายคำสาปด้วยตนเอง แต่ส่วนหนึ่งของคำสาปนั้นก็มาจากเจตนารมณ์ของเขา ซึ่งผู้ขานรับและทำตามเจตนารมณ์ของเขาคือแม่มดเอลด้า

เฮเลียสเริ่มหายใจติดขัด รู้สึกถึงแรงเขย่าและเสียงเรียกอย่างร้อนรนของเจ้าชายปีศาจ ได้ยินเสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังมาแผ่วๆ ซึ่งน้ำเสียงหยิ่งยโสแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโวเลนธาร์

“ ‘ร่องรอยของคำสาป’ ขานรับผู้เป็นนายของมันแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก สายเลือดของเฟลอร์เกีย!”

รู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าคำพูดสุดท้ายไม่กี่พยางค์หลังเหมือนจะหนักแน่นเป็นพิเศษ เฮเลียสแข็งใจเงยหน้ามองผู้ชายร่างสูงที่กำลังยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้าอย่างเกลียดชัง ก่อนจะแข็งใจกล่าวคำพูดสุดกระด้างออกไป

“อย่ามาสามหาวเอ่ยชื่อแม่ของข้า เจ้าคนสกปรก”

“หืม…ท่าทางจะต้องอบรมนิสัยกันใหม่แล้วสิ เพราะการจะมาเป็นราชินีของข้าต้องเรียบร้อยอ่อนโยนเท่านั้น”

พอได้ฟังเฮเลียสก็เลือดขึ้นหนน้าและตะโกนออกไปสุดเสียง

“ใครจะเป็นราชินีของคนเลวทรามอย่างเจ้ากัน เจ้า….อุ๊บ!!!”

ไม่ทันจะพูดจบประโยคความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาทำให้ต้องยกมือกุมต้นแขนและจิกทึ้งผิวหนังจนสุดแรงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ทว่า…นอกจากมันจะไม่ช่วยบรรเทาแล้วกลับทำให้อาการยิ่งทวีคูณจนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“อ๊า!!!!”

“เฮเลียส! แก… ไอ้พ่อมดสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เคโอเรสเตอร์เลือดเข้าตากางกรงเล็บและพุ่งเข้าหาโวเลนธาร์อย่างเดือดดาล อะไรก็ตามที่ทำให้น้องสาวของเขาเจ็บปวดเขาจะจัดการจนแหลกเหลว แต่ครั้งนี้เหมือนความตั้งใจของเขาจะไม่สัมฤทธิ์ผลแถมยังพลาดท่าอย่างที่ไม่ควรพลาดอีกด้วย

“ความเดือดดาลนำไปสู่การพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าเจ้าเคยรู้ถึงเรื่องนี้ไหม เจ้าชายปีศาจผู้อ่อนด้อย”

เสียงเย็นยะเยือกกระซิบผ่านหู เพียงชั่วพริบตาเดียวเลือดสีดำก็พุ่งกระฉูดออกมาจากหัวไหล่ที่ถูกของมีคมฟันลึกจนเกือบขาดออกไปทั้งแขน

“อ๊ากกกก!!!”

ร่างของเจ้าชายปีศาจทรุดฮวบคุกเข่าลงบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดสีดำ ถึงจะฝืนต่อความเจ็บปวดแต่มือก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะรั้งร่างบางของราชินีสาวเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างของเฮเลียสล้มกลิ้งไปบนพื้นโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะฝืน ตอนนี้เธอไม่ได้ต่างไปจากคนที่เป็นอัมพาตทั้งตัว แม้อากาศจะใช้หายใจก็ยังเบาบาง เคโอเรสเตอร์กระเสือกกระสนเข้ามาหาและใช้มือสองข้างช้อนร่างของเธอขึ้นไปแนบอกอย่างทุลักทุเล ขณะที่ปากของเขายังคงร่ายเวทอักขระขมุบขมิบ

“เค…ออน”

“ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายไปทั้งอย่างนี้หรอก”

เวทมนตร์อักขระฟังไม่ได้ศัพท์ปรากฏวงเวทสีจางขึ้นพอหลวมตัว เจ้าชายปีศาจวางร่างปวกเปียกของเฮเลียสลงกลางวง และปล่อยให้เวทมนตร์ทำงานตามหน้าที่ของมัน นั่นคือพาร่างที่อยู่วงเวทไปยังอีกที่หนึ่ง

“เค…ออน”

“โทษทีนะ เดี๋ยวข้าจะตามไป พักผ่อนให้สบายเถอะ”

เฮเลียสหลับตาลงอย่างอ่อนแรงขณะที่แสงเทาค่อยๆกลืนร่างของเธอเข้าไป

โวเลนธาร์ขบกรามแน่นมองสาวงามที่หมายตาหายไปต่อหน้าต่อตาโดยไร้หนทางยื้อหยุด และต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวหายไปก็ยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

“เสียดายรึ”

“เจ้า…แสบนักนะ อย่าคิดว่าจะรอดไปจากเงื้อมมือข้า ตราบใดที่ยังอยู่ในป่าแห่งนี้ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือเท่านั้นล่ะ!”

“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”

และสองขั้วพลังก็เข้าปะทะกันอีกครั้ง เป็นครั้งที่รุนแรงจนสร้างความสั่นสะเทือนให้ทั่วทั้งป่า

ท่ามกลางไอเวทที่อัดแน่นนำพาร่างของคนอ่อนล้าล่องลอยไปบนเส้นทางที่ไร้ขอบเขต ท่ามกลางม่านหมอกสีเทานี้ไม่อาจกำหนดจุดหมายปลายทางได้ถูก และไม่อาจมองเห็นแสงใดเล็ดรอดเข้ามา…แสง?

แสงงั้นเหรอ…

ตุ้บ!

จู่ๆร่างกายก็หล่นฮวบลงบนพื้นแปลกๆที่รองรับเอาไว้พอหลวมตัว เฮเลียสลืมตาขึ้นด้วยท่าทางที่ยังอ่อนล้า มองเห็นเส้นผมสีม่วงอ่อนๆพลิ้วไหวเหมือนต้องลม

“รับได้พอดีเลยนะ”

เสียงทุ้มน่าฟังมาจาดเจ้าของเส้นผมสีม่วง เฮเลียสใช้เวลานานกว่าสายตาจะปรับภาพให้ชัดขึ้น และสิ่งแรกที่เห็นชัดเจนก็คือใบหน้าแสนคมและดวงตาสีทอง บวกกับเส้นผมสีม่วงด้วยแล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่าเป็นเขา

“โทรเฟ่น!”

“ก็ยังดีที่ไม่ปล่อยให้เจ้าตกกระแทกพื้นจนความจำเสื่อม”

สายลมพัดใบหน้ามาเป็นระลอกเมื่อมองออกไปรอบๆก็เห็นเพียงฟ้าหม่นยามค่ำคืน บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือกลางอากาศ ความตกใจทำให้เฮเลียสอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่เสียงหวีดร้องเบื้องล่างจะเรียกสติของเธอกลับมา

“ทุกคนล่ะ! พาข้ากลับไปหาทุกคนที”

“หน้าที่ของข้าคือพาเจ้าไปจากที่นี่”

“ไม่!”

เฮเลียสพยามสุดชีวิตที่จะดึงดันให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของเทพหนุ่มแต่กลับรู้สึกเหมือนจะถูกอ้อมกอดนั้นรัดแน่นกว่าที่เคย

“ปล่อยข้า!”

“นี่เจ้ายังจะดึงดันกลับไปอีกหรือ ไปหาที่ตายชัดๆ”

“ข้าไม่สน! ยังไงข้าก็ทอดทิ้งพวกเขาไม่ลง”

“ถ้าเจ้ากลับไปก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้พวกนั้นเปล่าๆ…เชื่อข้าเถอะเฮเลียส ไปกับข้าแล้วเจ้าจะได้พบกับพวกเขาแน่นอน”

โทรเฟ่นไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ ออกคำสั่งให้มังกรคู่กายโบยบินออกห่างจากสมรภูมิที่กำลังเดือดพล่าน เฮเลียสพยายามยื่นใบหน้ามองลงไปยังป่าสีน้ำเงินเบื้องล่างซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิรบสีแดงพลิงไปเรียบร้อยแล้ว

อีกฟากหนึ่งเหล่าภูตพรายกำลังรับมือกับศัตรูที่มากกว่าหนึ่งอยู่ที่ปราสาท ศัตรูไม่ได้มีแค่เหล่าพ่อมดเท่านั้นแต่ยังมีพวกปีศาจที่มีฝีมือร้ายกาจเข้ามาร่วมด้วย ตอนนี้กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องรับมือจากศัตรูทั้งสองด้านในเวลาเดียวกัน

“เป็นไปตามคาด พวกปีศาจแห่โขยงกันมาแล้ว เราถอยได้หรือยัง!”

พยัคฆ์หนุ่มมาดกวนควงเขี้ยวเล็บเชือดเฉือนศัตรูอย่างเมามันอ้าปากร้องถามอย่างขอไปที ดูท่าทางเขาจะสนุกสนานกับการล่าเนื้อเป็นฝูงแบบนี้เสียเหลือเกิน

“ข้าจะอยู่ที่นี่เอง พวกเจ้าสองคนไปก่อน”

โอซาริสใช้เวทกักขังศัตรูรวดเดียวได้เกือบครึ่ง แต่เธอไม่มีความสามารถที่จะสู้รบปรบมือซึ่งๆหน้า ลิกไนต์ที่คอยคุ้มกันด้านหลังจึงไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยเธอไว้ที่นี่คนเดียว

“เจ้านั่นแหล่ะที่จะต้องไป ราชินีของเจ้ารออยู่นะ”

“ไม่ เจ้าไปกับไลน์ซะ”

“จะบ้าเรอะ! อย่างเจ้าจะไปจัดการพวกมันได้คนเดียวหรือไงกัน”

“เจ้าดูถูกข้ามากไปแล้วลิกไนต์ อย่าลืมสิว่าข้าคือใคร”

คำพูดสุดแสนจะราบเรียบไม่สมกับตัวตนภายนอกแต่ทว่าความหมายที่แอบแฝงมานั้นทำให้พยัคฆ์สาวถึงกับชะงักงันและรับคำอย่างขัดข้องไม่ได้

“เข้าใจแล้ว แล้วเจอกันที่นัดพบ!”

พูดจบสาวสวยเผ่าพยัคฆ์ก็กระโดดขึ้นขี่หลังเสือดำตัวใหญ่ที่วิ่งลู่เข้ามาช้อนรับอย่างรู้งาน

“เปิดทางให้กว้างๆซะ ไลน์”

“หึๆๆ เข้าใจแล้วท่านพี่”

ก๊าซซซซซซซซซซซซ!!!!!

ไลน์ในร่างของเสือดำตัวใหญ่ส่งเสียงร้องคำรามสนั่น ภายในชั่วพริบตาพ่อมดปีศาจที่ขวางทางอยู่ก็แหลกสลายไปทั้งกอง

“จะไปล่ะนะ!”

ถึงจะเป็นการกระทำที่ขัดความอภิรมย์อยู่บ้างแต่คำสั่งของพี่สาวก็ถือว่าเป็นบัญชาที่ขัดไม่ได้จริงๆ

เมื่อสองพี่น้องเผ่าพยัคฆ์ได้จากไปไกลจนจับสัมผัสพลังไม่ได้แล้ว โอซาริสจึงหันกลับมาสนใจกับเหล่ากองทัพพ่อมดปีศาจที่อยู่ตรงหน้าแทน ภายในวงเวทที่ใช้กักขังพวกมันกำลังกัดกร่อนและย่อยสลายจนไม่เหลือซาก แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นสุดเพราะพวกที่เหลือยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

“เอลฟ์อ่อนแอเช่นเจ้าคิดจะสู้คนเดียวรึ น่าขำ”

“เหรอ…ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้…”

คำพูดประโยคสุดท้ายถูกหยุดไว้พร้อมกับเปลือกตาคู่บางที่ปิดลง ซักพักเมื่อเปลือกตานั้นเปิดขึ้นมาใหม่ดวงตาที่แต่เดิมเป็นสีน้ำเงินก็กลับกลายเป็นสีทองวาวโรจน์และร่างกายทุกส่วนที่เปลี่ยนไปเป็นคนใหม่พร้อมๆกับคำพูดที่ต่อจากประโยคสุดท้าย

“…ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นนรกที่แท้จริงก็แล้วกัน”

หญิงสาวผมสีดำหยักศกยาวเฟื้อย สวมชุดสีน้ำเงินเข้มแนบเนื้อวาบหวิว ยืนเท้าสะเอวอวดร่างสะโอดสะองอย่างเย่อหยิ่ง ดวงตาสีทองวาวโรจน์จ้องมองเหล่าปีศาจที่เริ่มมีสีหน้างุนงงและหวาดกลัวอย่างชอบใจ ริมฝีปากแดงเอิบอิ่มหยักยิ้มอย่างเย้ายวนพร้อมกับคำพูดที่ฟังทีไรก็ขนลุกตั้งชันเก้าสิบองศา

“เอาล่ะ…ได้เวลางานเลี้ยงแล้ว”

………………………………………………………………………………….

สายลมพัดผ่านใบหน้านานแสนนานจนทำให้เคลิ้ม ความเจ็บปวดที่ต้นแขนขวาค่อยๆบรรเทาลงทีละน้อย แสดงให้รู้ว่ากำลังออกห่างจากเจ้าของคำสาปมากขึ้นทุกที แต่ถึงจะเหนื่อยล้าและอยากหลับตาลงมากเพียงใดเฮเลียสก็ยังฝืนลืมตาและจ้องมองภาพเบื้องหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ

“ถ้าเหนื่อยก็พักเถอะ”

“ไม่”

โทรเฟ่นพูดเพียงเท่านั้น เขารับรู้ถึงความดื้อรั้นของหญิงสาวผู้นี้มากขึ้นทุกที เพราะตลอดทางที่อยู่บนหลังเซดริกมังกรพาหนะคู่ใจที่พาทะยานขึ้นสูงเพื่อไปยังจุดนัดพบ เฮเลียสก็ไม่ปริปากพูดอะไรและยังฝืนความเหนื่อยล้าของตัวเองจ้องมองเส้นทางอย่างตั้งอกตั้งใจ

นี่คือนิสัยส่วนเสียที่ซึมซับมาจากเจ้าชายปีศาจหรือเปล่านะ…

“ถึงแล้วล่ะ เซดริก”

เมื่อมองเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ไกลๆโทรเฟ่นก็ส่งสัญญาณให้เซดริกร่อนลงต่ำ และด้วยป่าที่ทึบมากมังกรตัวใหญ่จึงไม่สามารถแทรกตัวลงสู่พื้นดินได้ จึงได้แต่บินในระดับเหนือยอดไม้เพื่อรอให้เจ้านายลงไปด้วยตัวเอง ถึงคราวนี้โทรเฟ่นจึงต้องกางปีกสีดำของตัวเองออกมาและพาหญิงสาวร่อนลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

“ที่นี่…”

เบื้องหน้าคือต้นไม้ใหญ่ที่มีโพลงตรงกลางขนาดหลวมตัวคนหนึ่งคน โทรเฟ่นเก็บปีกและเดินนำหน้าไปยังโพลงแสนมืด ซักพักลูกไฟสีแดงก็ถูกเสกขึ้นบนปลายนิ้วเพียงดวงเดียว ส่องให้เห็นเพียงเงาสลัวแม้รายละเอียดบนใบหน้าของผู้ที่เสกมันขึ้นก็ยังไม่ชัด

“ที่นี่อยู่ไกลจากป่าสีน้ำเงินก็จริง แต่ก็เป็นเขตแดนอิสระที่มีพวกชนเผ่าอาศัยอยู่หลายเผ่า เราไม่รู้ว่าใครคือมิตรหรือศัตรู ระวังเอาไว้ดีที่สุด”

เทพหนุ่มหันมาให้เหตุผลและยื่นมือมาจับมือเฮเลียสอย่างไม่รอความยินยอม หญิงสาวรีบสะบัดโดยอัตโนมัติจ้องมองเทพหนุ่มด้วยสายตาที่หลากหลายความหมาย

“ข้าจะไม่ไปไหนอีกจนกว่าทุกคนจะมาถึง”

“อย่างนั้นรึ ดูเหมือนว่าจะมากันแล้วล่ะนะ”

พูดไม่ทันขาดคำเสียงคำรามของสัตว์ป่าก็ดังมาแต่ไกลก่อนที่ร่างดำทมิฬจะค่อยๆปรากฏออกมาจากพุ่มไม้และชัดเจนขึ้นเมื่อเข้ามาใกล้

“รู้สึกว่าพวกเราจะมาถึงทีหลังนิดหน่อยนะ”

“ปลอดภัยดีสินะ เจ้าหญิง โอ๊ะ! ไม่สิ ต้องเรียกว่าราชินีสินะ”

สองคนที่มาถึงคือไลน์กับลิกไนต์ พยัคฆ์สาวยังคงอยู่ในร่างมนุษย์และนั่งบนหลังน้องชายที่อยู่ในร่างของเสือดำตัวใหญ่ เฮเลียสรีบตรงเข้าไปหาและถามอย่างร้อนรน

“ทั้งสองคนปลอดภัยดีสินะ แล้วคนอื่นๆล่ะ”

“เดี๋ยวก็คงมากันเองนั่นล่ะน่า”

ไลน์ตอบแบบส่งๆ ส่วนลิกไนต์ยังคงเงียบ แต่คำตอบเพียงเท่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เฮเลียสสบายใจเลยแม้แต่น้อยและยังคงคาดคั้นอย่างต้องการคำตอบ

“เคออน…เคออนล่ะ”

“จะห่วงเจ้าชายหัวรั้นนั่นไปทำไมกันเล่า ยังไงมันก็ไม่ตายง่ายๆหรอก มิหนำซ้ำคงจะยังสนุกอยู่แน่ๆ ก็เล่นส่งเจ้ามาให้…เจ้าเทพผมม่วงนี่แล้วนี่”

ดวงตาสีขี้เถ้าเหลือบมองเจ้าเทพผมม่วงที่ว่าอย่างกลายๆ โทรเฟ่นยังคงเงียบนึกตงิดๆใจอยู่บ้างกับปากที่ออกจะกวนบาทาเป็นพิเศษของเจ้าชนเผ่าพยัคฆ์ที่ชื่อไลน์ ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเคืองที่เขาทั้งเหวี่ยงแทนดาบทั้งใช้เป็นโล่กำบังเมื่อครั้งก่อนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

“ว่าแต่เจ้าน่ะ”

“อะไร”

“หน้าซีดขนาดนั้น….”

เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังถึงขีดจำกัด ทันทีที่โดนทักภาพเบื้องหน้าก็พลันวูบไหวเหมือนน้ำวนก่อนที่มันจะค่อยๆมืดลงอย่างช้าๆ

“รู้สึกว่าจะฝืนตัวเองมากเกินไปจริงๆนั่นแหล่ะนะ”

เสียงทุ้มนุ่มนวลดังกระซิบอยู่ข้างหูแต่น่าเสียดายที่เปลือกตาหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ รู้สึกได้ถึงแรงยกและฝ่ามือที่ประคองศีรษะเอาไว้ ใบหน้าสัมผัสกับผ้าเนื้อเนียนที่ทั้งนิ่มและอุ่น พร้อมทั้งจังหวะการก้าวเดิน เพียงเท่านั้นสติทั้งหมดก็ดับไป

นี่คือความฝันที่เหมือนจริงที่สุด ภาพเบื้องหน้าคือปราสาทสีขาวที่สูงตระหง่านและงดงามที่สุด รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บ้างก็ออกร้านขายของ ที่นี่คือเขตคามในการปกครองของราชาผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่เฉิดฉาย

อาณาจักรแห่งแดนตะวันออก

“เฮเลียส…เฮเลียส”

เสียงทุ้มฟังดูเหมือนคนมีอายุเอ่ยเรียกจากด้านหลัง และเมื่อหันไปมองก็พบกับบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้เหนือไปจากความคาดหวังซักเท่าไหร่

“เสด็จพ่อ”

“ยืนเหม่ออยู่ได้ ทุกคนรอเจ้าอยู่คนเดียวเลยรู้หรือเปล่า”

ชายวัยกลางคนใบหน้าคมคาย ดวงตาสีอำพันดูอบอุ่นดุจพระจันทร์คู่นั้นอ่อนแสงขัดกับรอยยิ้มที่ดูจะรื่นเริงนั่น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกษัตริย์แห่งแดนตะวันออก ราห์ ลูเมน อีวานอฟ มือหนายื่นมาลูบศีรษะของเธอเบาๆพร้อมกับคำพูดที่ดูจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ

“ไปกันเถอะ ทุกคนรอเจ้าแย่แล้ว”

“ทุกคนหรือเพคะ”

“ใช่…ทุกคนกำลังเฝ้ารอการกลับไปของราชินีองค์ใหม่”

“ราชินีองค์ใหม่…อะ! เสด็จพ่อรอลูกด้วยสิเพคะ เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ!”

ร่างนั้นค่อยเดินห่างออกไป แม้จะส่งเสียงเรียกก็ไม่มีท่าทีว่าใบหน้านั้นจะหันกลับมาหา และยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็เหมือนจะยิ่งห่างออกไปมากเท่านั้น ไม่ช้าภาพทุกอย่างก็กลับกลายเป็นทัศนียภาพแบบใหม่ ตอนนี้รอบกายเต็มไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ ยอดเขาสีเงินตรงหน้าช่างงดงามนัก แล้วยังปราสาทสีทองที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำตกที่ไหลลงมาจากช่องเขานั้นอีก ที่ระเบียงบนยอดสูงสุดของปราสาท ร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งเหม่อมองทัศนียภาพเบื้องหน้าอยู่ลำพัง คนผู้นั้นสูงใหญ่มีเส้นผมสีดำหม่นแซมด้วยสีขาวบ่งบอกได้ถึงอายุที่มากแล้ว เสื้อคลุมสีทองยาวเฟื้อยวางบนพื้น ทั้งบรรยากาศรอบตัวเขาคนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยลมหนาวที่พัดพาใบไม้สีแดงให้ร่วงหล่นลงมาประดับบนพื้นเหมือนจัดวาง เฮเลียสยืนอยู่ด้านหลัง รู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคยแต่ไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใคร ไม่นานนักก็มีเอลฟ์สาวตนหนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับอย่างอ่อนช้อยและกล่าวาจาภาษาเอลฟ์กับชายผู้นั้น

“ยังคงรออยู่หรือเจ้าคะ”

“ข้ายังคงรอเสมอ…ซักวันข้าจะได้พบ”

น้ำเสียงของชายผู้นั้นช่างอบอุ่นและส่องประกายความหวังออกมาเหมือนแสงอาทิตย์ เขากำลังรอสิ่งใดและหวังจะได้พบกับสิ่งนั้นมากขนาดนั้นเชียวหรือ เฮเลียสยังยืนนิ่งรอฟังประโยคต่อไป แต่แล้วชายคนนั้นก็หันกลับมาให้เธอได้ยลใบหน้าสมใจนึก

ใบหน้าที่แสดงถึงวัยกร้านโลก ริ้วรอยบนหางตาและหน้าผากลึกจนเห็นได้ชัด ใบหูเรียวแหลมที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือเอลฟ์ และที่สำคัญดวงหน้าและดวงตาคู่นั้นช่างคล้ายคลึงกับภาพในความทรงจำของราชินีเฟลอร์เกียเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็น….

ภาพเบื้องหน้าพลันวูบไหวเหลือไว้เพียงความมืดสนิทที่กำลังมีแสงเล็ดรอดเข้ามาจนต้องหยีตา และเมื่อดวงตาปรับแสงได้ก็พบว่าที่นี่คือในโพลงไม้และตัวเองก็ยังนอนราบอยู่บนเตียง รอบๆเป็นพื้นที่กว้างไปถึงสิบวามีเครื่องเรือนเก่าๆแค่สองสามชิ้น คนที่นอนอยู่มุมสุดของห้องคือไลน์ที่ยังอยู่ในร่างของเสือดาวสีดำ ส่วนลิกไนต์ที่อยู่ในร่างมนุษย์ก็นั่งกอดอกพิงหน้าต่างบานเล็กๆหลับตานิ่ง แต่ภายในห้องไม่มีเงาของโทรเฟ่น

เฮเลียสลุกลงจากเตียงและเดินไปที่ประตูอย่างเงียบที่สุด เมื่อออกมาข้างนอกก็พบกับโทรเฟ่นที่นั่งสัปหงกอยู่ที่รากไม้รูปร่างประหลาดหน้าโพลงไม้ที่เธออยู่ พอมองดีๆแล้วที่นี่มีต้นไม้ที่มีโพลงขนาดใหญ่หลายสิบต้น และมีผู้คนสวมชุดคลุมสีเทาเดินไปมา สรุปแล้วที่นี่ก็คงจะเป็นชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งอย่างที่โทรเฟ่นเคยบอก ว่าแต่…

“เทพก็หลับเป็นด้วยเหรอ”

เฮเลีนสก้มมองใบหน้าตอนหลับของเทพหนุ่ม มีหลายอย่างที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากเหล่าเทพทั่วไปตั้งแต่สีผิว สีผม ยันสีปีก ยิ่งมองก็ยิ่งน่าหลงใหลจนละสายตาจากไม่ได้เหมือนต้องมนตร์สะกด

“มองอยู่ได้”

เฮือก!

จู่ๆดวงตาสีทองคู่นั้นก็เบิกขึ้นสบดวงตาของหญิงสาวที่ไม่ทันตั้งตัวเข้าเต็มเปา เฮเลียสอยากรีบดีดตัวออกห่างแต่เหมือนจะต้องมนตร์สะกดเข้าให้จึงทำให้เธอต้องอยู่ในท่าที่ยังก้มหน้าสบตากับเทพหนุ่มไปโดยปริยาย

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองท่าน”

“แล้วที่ก้มหน้ามาใกล้ข้าแบบนี้มีจุดประสงค์อันใดมิทราบ”

อันนี้เถียงไม่ได้ว่าไม่ได้ทำ ใบหน้าของเธออยู่ใกล้กับเขาจนห่างกันไปถึงคืบ แต่ทว่าหัวใจกลับยังคงว่างเปล่าและยังคงไม่ละจาก

“ก็แล้วแต่ท่านจะคิด หากท่านเป็นสุภาพบุรุษพอล่ะก็…”

“หึๆๆ เจ้านี่ใจกล้าสมคำล่ำลือจริงๆด้วยสิ เอาล่ะข้ายอมแพ้”

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยอมปราชัยรอยยิ้มหยักก็ปรากฏบนใบหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะละห่าง พลางหันไปมองรอบๆที่เหมือนจะเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าอะไรซักอย่าง

“ที่นี่คือที่ไหน”

“ชนเผ่าอิสระ กลางป่าเวดวู้ด เจ้าหลับไปสามวันเต็มเลยล่ะ”

“ทุกคนล่ะ น่าจะมาถึงกันได้แล้วนะ”

“พวกนั้นน่ะ ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”

“ว่ายังไงนะ”

โทรเฟ่นเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตลอดสามวันที่ผ่านมาให้เฮเลียสฟังจนหมด หญิงสาวรับฟังอยู่เงียบๆ มีบางครั้งที่เธอพยักหน้าแต่สีหน้าก็ยังคงนิ่งไม่เปลี่ยน

“ตลอดสามวันที่เจ้าหลับอยู่ทุกคนเริ่มคิดแผนการ แน่นอนว่าสองพี่น้องเผ่าพยัคฆ์ต้องอยู่กับเจ้า โอซาริสเดินทางขึ้นไปทางทิศตะวันตกพร้อมกับขบวนเอลฟ์เพื่อหลอกล่อพวกพ่อมด ส่วนเจ้าชายปีศาจไม่ได้มาที่นี่ คงจะล่อพวกปีศาจไปอีกทาง”

“เคออน…”

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ยังไงซะเขาต้องหาทางกลับมาหาเจ้าแน่”

เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแววตาของเฮเลียสก็อ่อนแสงลงวูบหนึ่ง ดูท่าทางการเดินทางของเธอจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตกว่าที่คาดคิดเอาไว้เสียแล้ว ถูกตามล่าจากพ่อมดโวเลนธาร์แถมยังมีกองทัพปีศาจที่นำโดยโอแลมป์ แม้โทรเฟ่นที่เป็นถึงเทพก็ยังต้องร่วมในแผนการขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการง่ายๆ

“แล้วข้าต้องทำอย่างไร”

เฮเลียสเอ่ยถามพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

“ก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่ทำตัวเยี่ยงคนธรรมดาไม่โดดเด่นและรอนแรมไปอย่างใจเย็น”

โทรเฟ่นบอกแผนการที่เฝ้าอุตส่าห์คิดมาเป็นแรมคืน สายตายังคงจับจ้องหญิงสาวที่ยังมีสีหน้านิ่งสนิท แววตานั้นเป็นแววตาที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว ช่างเป็นคนที่แปลกและน่าค้นหาไม่ต่างจากชีวิตพิศวงของเขาเลย

การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นโดยมีอาชาที่ถูกเสกขึ้นเป็นพาหานะของทุกคน ดูท่าทางคนที่อึดอัดมากที่สุดเห็นทีจะเป็นไลน์

“นี่ ให้ข้าเดินเองยังจะไวกว่าขี่เจ้าม้าบ้านี่อีก”

พยัคฆ์หนุ่มบ่นอุบมาตลอดทาง อาชาสีหม่นวิ่งเยาะๆตามจังหวะการควบของคนที่นั่งอยู่บนหลังของมัน ทุกคนสวมผ้าคลุมสีดำเก่าๆและดึงหมวกขึ้นมาปกปิดใบหน้า โดยเฉพาะเฮเลียสที่ปกปิดหน้าตามิดชิดกว่าใครเพื่อน อาชาของเธออยู่ตรงกลางของกลุ่ม มีโทรเฟ่นนำหน้าลิกไนต์ตามอยู่ด้านหลังสุดและตัวปัญหาที่สุดในกลุ่มนามว่าไลน์อยู่ในระดับเดียวกับเธอ หลายครั้งที่เฮเลียสชำเลืองมองไลน์ที่กำลังบ่นอุบอิบบังคับอาชาให้วิ่งเหยาะอย่างสุดกำลัง ความเงียบของการเดินทางที่ไม่มีใครปริปากพูดออกมายิ่งทำให้พยัคฆ์หนุ่มหงุดหงิด ทันทีที่ถึงจุดแวะพักกลางป่าความอดทนทั้งหลายแหล่ที่กลั้นมาแสนนานก็พังทลายลงในบัดดล

“ข้าหิว! ขอหม่ำเจ้าลานี่ซักคำนะ”

ฮี้!!!!!

ปึ้ก!

“ว้าก!”

ก่อนที่เขี้ยวดาบแสนคมจะฝังลงบนคออาชา ไลน์ก็ต้องกระเด็นหงายท้องเมื่อถูกกีบเท้าแสนงามของมันเตะเข้าเต็มเปา

“เจ็บ! เจ้าลาบ้านี่ มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ!”

ตุ้บ! ตับ! ผัวะ! พลั่กกกกก!!!

เกิดการตะลุมบอนกันระหว่างอาชาสีหม่นกับพยัคฆ์หนุ่มในร่างมนุษย์ กลายเป็นตลกนอกจอที่กำลังเรียกเสียงหัวเราะผสมปนเปกับความระอาของคนที่นั่งชม

“เฮ้อ!”

ลิกไนต์เพียงแค่ถอนหายใจและดื่มน้ำในส่วนของตัวเองไปหน้าตาเฉย โทรเฟ่นหยักยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับอธิบายถึงความสามารถของเวทที่ไม่ได้มีดีแค่สร้างพาหนะ

“อาชาที่ข้าเสกขึ้นมาไม่ใช่กลุ่มเวทมนตร์ธรรมดาทั่วไปหรอกนะ มันมีความรู้สึกและสื่อสารกับคนรู้เรื่อง แถมยังตอบสนองตามสัญชาตญาณได้ดีเยี่ยมเลยล่ะ”

“แล้วทำไมไม่บอกก่อนเล่า! ว้ากกกกกกก!!!”

ไลน์ยังหนีไม่พ้นการตะลุมบอนกับเจ้าอาชาสีหม่นที่กำลังเมามันกับการตื้บร่างคนให้จมดิน

เฮเลียสมองเหตุการณ์ทุกอย่างพลางนึกขำ ตลอดการเดินทางไลน์ดูจะมีปัญหามากที่สุดในกลุ่ม และเพราะเขาไม่ชอบการผูกมัดจึงไม่ปกปิดใบหน้า ทำให้ไม่ว่าจะผ่านมากี่หมู่บ้านสาวๆทั้งหลายก็มักจะมองกันตาเป็นมันจนเจ้าตัวอยากกางเขี้ยวเล็บออกมาสวาปามซะให้รู้แล้วรู้รอด

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไหร่จะถึงซะที!”

“ถ้าไม่มีปัญหาในการเดินทาง อีกสิบวันก็น่าจะถึงเขาไกอาแล้ว”

ลิกไนต์พูดขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจที่เหมือนจะเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะปรายตาสีขี้เถ้ามามองหญิงสาวที่เอาแต่เงียบมาตลอดทางอย่างเฮเลียส

“แล้วเจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เฮเลียส”

“ข้าไม่เป็นอะไร”

“อายุขัยของคำสาปในตัวเจ้าเริ่มนับถอยหลังแล้ว ยิ่งนานวันมันจะยิ่งกัดกร่อนพลังชีวิตของเจ้ามากกว่าที่เคย เจ้าจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆและตายลงในที่สุด พักนี้ก็อย่าหักโหมให้มากนักก็แล้วกัน”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“ข้าขอตัวซักครู่”

โทรเฟ่นเดินออกจากกลุ่มไปยังอีกด้านของชายป่าโดยมีสายตาของเฮเลียสมองตามอยู่อย่างไม่ลดละ รู้สึกการระส่ำระส่ายของสิ่งที่เรียกว่าหัวใจขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกันนั้นความเจ็บปวดที่ต้นแขนขวาก็เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นกุม

ที่ชายป่าข้างแม่น้ำตื้นเขิน ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำขาดวิ่นยืนนิ่งเมื่อมองขึ้นไปยังฟ้าหม่นยามค่ำคืน แสงจันทร์เสี้ยวส่องสะท้อนผิวน้ำนิ่งให้เห็นใบหน้าที่ยืนอยู่เพียงรางๆก่อนจะวูบไหวเมื่อสายลมเริ่มพัดเอื่อยๆพร้อมกับผู้มาเยือนคนใหม่ ชายหนุ่มหันไปเผชิญหน้าและคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนบนอบรอให้อีกฝ่ายกล่าววาจาออกมา

“การเดินทางฝั่งโน้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังไม่มีอะไรน่าห่วง”

ถึงจะคุกเข่าก้มหน้ามีท่าทางนบนอบอย่างไรแต่หนสุดท้ายคำพูดก็ไร้ซึ่งหางเสียง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมังกรนักรบอย่างเซดริกที่ปฏิบัติต่อทุกคนแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นนายเหนือหัวอย่างโทรเฟ่นก็ตาม

“เซดริก”

“อะไร”

“ผู้หญิงเนี่ย…ปกปิดอะไรได้แยบยลจริงๆเลยเจ้าว่าไหม”

“เห็นด้วยอย่างที่สุด”

บทสนทนาจบเพียงเท่านั้นก่อนที่ความเงียบงันแห่งค่ำคืนจะเข้ามากลืนกิน เซดริกรับหน้าที่ติดตามขบวนของพวกเอลฟ์โดยมีโอซาริสเป็นเป้าหมาย หน้าที่ของเขาไม่ใช่การปรากฏตัวแต่เป็นการติดตามและคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆโดยที่ไม่ให้ใครล่วงรู้ ถึงจะขัดใจอยู่บ้างที่ไม่ได้อาละวาดให้สาแก่ใจ แต่ในเมื่อเป็นความประสงค์ของนายเหนือหัวมีหรือที่จะขัดข้อง

แต่ว่าเอลฟ์นางนั้นบาดเจ็บอยู่…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา