angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า
เขียนโดย zusuran
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) อดีตที่ไม่เคยรู้จัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ข้าทำให้ท่านไม่สบายใจอีกแล้วสินะ”
ริมฝีปากแห้งผากไร้สีเลือดขยับเอื้อนเอ่ยทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับใบหน้านิ่งเฉยของเจ้าชายปีศาจ เมื่อรู้ว่าหญิงสาวที่เขาเฝ้ารอได้ฟื้นลืมตาขึ้นมาอย่างปลอดภัยเจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์ปล่อยมือเธอและเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ที่บุด้วยกำมะหยี่กลางห้องก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเหมือนไม่ใส่ใจ
“รู้ตัวก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงและคำพูดเหมือนเขากำลังโกรธ และโกรธเอามากๆ ซึ่งก็สมควรที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุการณ์ในป่านั้นเกือบจะทำให้เฮเลียสคิดว่าตัวเองตายไปแล้วจริงๆ
คืนนั้นเธอได้เดินเข้าไปในป่าพบกับโทรเฟ่นที่เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนที่เธอจะจมน้ำ พบกับสองพี่น้องเผ่าพยัคฆ์ลิกไนต์และไลน์ และถูกผู้บุกรุกตามล่าซึ่งมารู้เอาตอนหลังว่าเป็นพวกพ่อมด ได้รู้ว่าแผลเป็นที่แขนขวานั้นไม่ใช่แผลเป็นธรรมดาแต่มันคือคำสาปที่พวกมันตามหา มันได้สร้างความทรมานให้กับเธออย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนทั้งชีวิต เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายที่ได้ยินมาจากวิธีเอาตัวรอดของเทพหนุ่มนามโทรเฟ่น ซึ่งมันก็ได้ผลชะงัด แต่ทว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างกลับราบเป็นหน้ากลองเพราะฝีมือของมังกรสีดำตัวเขื่องที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางเศษซากของป่าที่เหลือเพียงตอตะโกสีดำทั้งแถบ เฮเลียสรู้สึกเพียงสายลมที่ต้องกายเมื่อโทรเฟ่นอุ้มเธอบินขึ้นฟ้าด้วยปีกของเขา ขณะที่สองพยัคฆ์ได้ขึ้นขี่หลังมังกรตามมาติดๆ ความเจ็บปวดหายไปเมื่อพวกพ่อมดแตกกระเจิงหนีไป แต่ความเหนื่อยล้าที่เกินกว่าจะรับได้ทำให้เฮเลียสต้องดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่เคยเป็น จนกระทั่งได้ลืมตาขึ้นมาพบกับเจ้าชายปีศาจนามเคโอเรสเตอร์ที่ขมวดคิ้วจะชนกันอยู่รอมร่อ
“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่”
“สามวันเต็ม”
“นานจัง”
“คงไม่นานพอที่จะทำให้กำลังเจ้ากลับมา พักผ่อนต่อไปซะ”
“ข้าไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอกน่า”
“นอนลงไปซะ”
“ข้านอนมาสามวันเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
เฮเลียสยังเถียงคำไม่ตกฟากเหมือนเดิม และพยายามลุกจนสำเร็จ แต่เพราะความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทำให้เธอแทบจะกลิ้งตกลงจากเตียง เท่านั้นเองที่เสียงเกรี้ยวกราดของเจ้าชายปีศาจตะคอกกลับมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ข้าบอกให้นอนลงไปก็นอนสิ! จะอวดเก่งให้มันได้อะไรขึ้นมา!”
เป็นครั้งแรกที่เฮเลียสสะดุ้งเพราะเสียงตะคอกและหวาดกลัวชายตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“เค…ออน”
เมื่อรู้ว่าทำเกินไปจนทำให้หญิงสาวที่เถียงคำไม่ตกฟากอยู่หยกๆถึงกับชะงักน้ำตาแทบรื้นขึ้นมาคลอหน่วย เจ้าชายปีศาจเริ่มมีสีหน้าปั้นยากและเลือกที่จะหลบสายตานั้นโดยการเบือนหน้าออกไปทางระเบียง
“ข้าแค่เป็นห่วงว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปอีก แค่สามวันเจ้ายังไม่เข็ดอีกรึ คิดจะทำให้เป็นห่วงถึงเมื่อไหร่ถึงจะพอใจ ข้าอ่อนแอดูแลเจ้าลำบาก รู้ทั้งรู้ว่าอยู่ที่ไหนแต่ก็ตามไปช่วยไม่ได้เพราะพลังมีไม่พอ ข้าผิดด้วยเหรอที่เป็นห่วงเจ้า!”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพุดที่ยาวเหยียดและสั่นเครือจากเจ้าชายปีศาจ เฮเลียสมองใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งซีกของชายหนุ่มด้วยแววตาที่อ่อนแสงลงเล็กน้อย เธอคงจะทำให้เขาเป็นห่วงมากจริงๆ
เท้าเปล่าอ่อนเปลี้ยพยายามก้าวไปไปหาชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้อย่างแช่มช้าและเงียบกริบ เฮเลียสปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมไปโดยที่เธอได้มาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของปีศาจหนุ่มเพื่อมองให้เต็มตา ก่อนจะโน้มตัวลงและวาดวงแขนโอบกอดเขาจากด้านหลังพร้อมเกยคางบนไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบา
“สำหรับข้าท่านคือคนที่เก่งและสำคัญเสมอ”
รู้สึกถึงไหล่ที่ห่อลงเล็กน้อยจากการถอนหายใจ มือหนาเอื้อมมือแตะมือของเธอและกุมเอาไว้แน่น พร้อมเสียงกระซิบที่กลืนกินไปพร้อมกับสายลมที่พัดเข้ามา
“ข้าอยากให้เจ้าแข็งแรงกว่านี้ เฮเลียส แข็งแรงจนกว่าวันที่ข้าต้องจากเจ้าไป”
เฮเลียสรู้ความหมายของคำพูดนี้ดี แน่นอนว่ามันจะมาถึงในไม่ช้า แต่เธอก็ไม่สามารถขัดขวางในเมื่อเป็นความตั้งใจของเขา เคโอเรสเตอร์ยอมอยู่ที่โลกมนุษย์และไม่กลับไปยังโลกปีศาจ ยอมที่จะให้อากาศของโลกมนุษย์ดูดกลืนพลังปีศาจออกไปทุกเมื่อเชื่อวันและตายไปเยี่ยงคนธรรมดา เว้นเสียแต่ว่าเขาจะกลับไปโลกปีศาจที่เขาจากมา ซึ่งนั่นเป็นเพียงทางเดียวและเขาก็ได้ปฏิเสธที่จะทำมานานแล้ว
แอ๊ด…
ประตูห้องเปิดเข้ามาอย่างนุ่มนวลเผยให้เห็นร่างสะโอดสะองของหญิงสาวผมสีทองยาวสยายเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินคู่งามนามโอซาริส
“ขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่ข้าต้องการให้ท่านไปกับข้าหน่อย เจ้าหญิงเฮเลียส”
“ข้ารึ”
เฮเลียสชี้เข้าหาตัวเองอย่างุนงง เจ้าชายปีศาจลุกขึ้นและเดินอ้อมมายืนอยู่ข้างเธอพลางส่งสายตาเป็นนัยไปยังเอลฟ์สาวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องอย่างรู้กัน
เฮเลียสเงยหน้าสบดวงตาสีนิลของชายข้างกายอย่างขอความเห็น พลันใบหน้านิ่งที่ถูกบดบังด้วยเส้นผมสีดำครึ่งหนึ่งนั้นพยักเพียงครั้งเดียวเป็นการบอกให้เธอตกลง ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวคำใด ขณะที่เอลฟ์ผู้ติดตามนามเออร์แวนและลิซ่าได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดที่จะให้เจ้าหญิงเปลี่ยน
“นี่เรากำลังจะไปไหน”
เฮเลียสเอ่ยถามคำถามเดิมเป็นครั้งที่สองในระหว่างที่เดินตามหลังโอซาริสไปบนทางเดินตรงระเบียงของปราสาทที่ไร้จุดสิ้นสุด แต่เอลฟ์สาวก็ไม่ได้ตอบอะไรเหมือนครั้งแรกและตั้งหน้าตั้งตาเดินนำต่อไป ด้านหลังเฮเลียสคือสองผู้ติดตามเออร์แวนและลิซ่า พวกเธอเดินตามหลังโดยทิ้งระยะห่างเป็นเมตรและเงียบกริบไม่ต่างจากผู้เป็นนายเลย
และการเดินที่ทำให้เฮเลียสเกือบขาลากก็มาถึงจุดสิ้นสุดที่เป็นประตูหินสลักที่สุดแสนจะเก่าคร่ำครึและบิดเบี้ยวไปตามแรงบิดของเถาวัลย์สีเขียวขนาดใหญ่ โอซาริสหันกลับมาพยักหน้าให้สองผู้ติดตาม พวกเธอค้อมศีรษะรับอย่างอ่อนช้อยและหายวับไปโดยเหลือเพียงฝุ่นละอองระยิบระยับเหมือนเกล็ดเพชร เฮเลียสสนใจได้ไม่นานก็หันกลับมาทางเดิมที่ประตูหินค่อยๆเคลื่อนตัวเปิดออก เผยให้เห็นบันไดหินที่ทอดเข้าไปในเงามืด
“เข้ามาสิ”
โอซาริสกล่าวพลางกับเดินนำหน้าหายเข้าไปในห้องที่มืดสนิท เฮเลียสลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะย่างเท้าเข้าไป เพียงก้าวแรกก็เหมือนจะกับได้เข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งหากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ สถานที่ๆเต็มไปด้วยผู้คนนี้คือดินแดนมนุษย์ และสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สีขาวตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆนั้นก็คือปราสาทของราชาผู้ปกครองแดนมนุษย์ นี่เธอย้อนเวลากลับมาในอดีตอย่างนั้นหรือ
“นี่เราย้อนเวลากลับมาอดีตงั้นเหรอ”
“ที่นี่คือห้องที่รวบรวมความทรงจำของราชินีเฟลอร์เกียต่างหาก”
พลันหญิงสาวร่างสูงปรากฏขึ้นข้างกาย ทว่า เธอไม่ใช่โอซาริส สิ่งแรกที่เห็นแตกต่างคือเรือนผมหยักศกสีดำขลับรับกับดวงตาสีทองดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง ริมฝีปากเชิดไร้ซึ่งรอยยิ้มและที่สำคัญมือเรียวยาวของเธอถูกประดับด้วยกรงเล็บเรียวได้รูปดุจใบมีดที่ถูกลับจนคม และเหมือนเธอจะรู้สึกถึงปฏิกิริยาของเฮเลียสเร็วกว่าที่คิด จึงโค้งตัวเล็กน้อยและแนะนำตัวเองเสียงราบเรียบ
“แอนเธียร์ ฟลอกซ์ ไฮมาเนด ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงิน”
“แล้วโอซาริสล่ะ”
“ข้ากับโอซาริสคือคนๆเดียวกัน…จงอย่าถามเหตุผลว่าทำไม เพราะทุกอย่างที่ท่านอยากรู้กำลังจะปรากฏต่อท่านในไม่ช้า…ในนี้”
สาวสวยในคราบของความเย็นชานามว่าฟลอกซ์กล่าวด้วยวาจาที่นิ่งสนิทพร้อมทั้งสะกิดให้เฮเลียสหันมองตามสายตาที่ทอดมองออกไปข้างหน้าที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนผ่านไปมา และรถม้าคันหนึ่งก็วิ่งมาด้วยความเร็วที่ทุกคนต้องกระโดดหลบ เฮเลียสตั้งใจจะหลบแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรถม้าวิ่งผ่านร่างของเธอไปหน้าตาเฉย
“นี่คือความทรงจำที่มีชีวิต ต่อให้ทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
ฟลอกซ์อธิบาย พลันภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวไปเป็นภายในห้องของใครคนหนึ่งที่ดูจะหรูหราด้วยเครื่องเรือนลวดลายละเอียดสุดล้ำค่า และเจ้าของห้องที่ว่านี้ก็คงจะเป็นคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการขีดเขียนตวัดปลายพู่กันที่ทำจากขนนก ลงบนผืนผ้าสีขาวอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นแน่ๆ
“ทำไมน่าเบื่ออย่างนี้นะ”
ชายหนุ่มผมสีดำยาวระต้นคอสวมเสื้อผ้าเนื้อดีแขนยาวสีดำทั้งชุด ประดับประดาด้วยลวดลายสีทองเนื้อละเอียด สายสะพายที่ไหล่บ่งบอกถึงยศศักดิ์ที่สูงส่ง เฮเลียสจ้องมองผืนผ้าที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกสีดำตวัดลากเลื้อยไปทั่วราวกับเถาวัลย์ ก็พอจะเดาได้ว่าอารมณ์ของชายหนุ่มกำลังหงุดหงิดได้ที่ และพอเดินอ้อมมาด้านหน้าเพื่อดูใบหน้าเจ้าหญิงก็ถึงบางอ้อ
“เสด็จพ่อ!”
ถึงใบหน้าจะดูอ่อนวัยไร้ริ้วรอยแห่งความกร้านโลก แต่ความทรงจำในช่วงหลายร้อยปีก็ไม่ทำให้เฮเลียสลืมใบหน้าของบิดาไปได้ โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอำพันที่ดูจะเย็นชาและหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาคู่นี้
“น่าเบื่อที่สุด!”
แคว่ก! ควากกกก!!!!
ผืนผ้าเปื้อนหมึกถูกกระชากและฉีกกลายเป็นชิ้นๆด้วยฝีมือของกษัตริย์เจ้าอารมณ์ เฮเลียสได้แต่ยืนมองอย่างนึกขัน บิดาของเธอในวัยหนุ่มช่างสมาธิสั้นเหลือเกิน แต่สุดท้ายคนเจ้าอารมณ์ก็ต้องเอาผ้าผืนใหม่มาขึงเพื่อจะวาดภาพต่ออยู่ดี
และในระหว่างทีราชาหนุ่มกำลังใช้พู่กันขนนกจุ่มลงในน้ำหมึก ประตูห้องก็ถูกเปิดข้ามาโดยหญิงสาวนางหนึ่ง เธองดงามด้วยดวงหน้าที่เรียวคมติดหวาน ใบหูเรียวเล็กมีปลายแหลมเล็กน้อยซึ่งแตกต่างไปจากมนุษย์ดวงตาสีน้ำเงินตัดกับเรือนผมสีทองหยักศกยาวพลิ้วลงไปเสมอกับชายเสื้อคลุมของสตรีสูงศักดิ์ ที่สำคัญ เธอกำลังตั้งครรภ์
“อารมณ์เสียอีกแล้วรึ ลูเมน”
น้ำเสียงกังวานดุจเสียงระฆังแก้วเอ่ยนามชายหนุ่มเจ้าของห้องให้รู้สึกตัวและหันไปมอง และทันทีที่เห็นกษัตริย์ลูเมนก็รีบทิ้งพู่กันขนนกและปรี่เข้าไปประคองสาวงามท้องป่องนางนั้นอย่างทะนุถนอมที่สุด
“บอกแล้วไงว่าอย่าเดินเหินให้มาก เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”
กษัตริย์หนุ่มกล่าวเสียงนุ่ม สิ่งที่ได้รับคือเสียงหัวเราะสดใสจากหญิงข้างกายที่ฟังทีไรเป็นต้องเคลิ้ม
“ข้านอนจนเมื่อย แล้วเจ้าตัวเล็กในท้องก็อยากมาหาเจ้าด้วย ดูสิ ดิ้นใหญ่แล้ว”
เธอกล่าวพลางลูบท้องที่กลมโตของตนแผ่วเบา กษัตริย์ลูเมนเลิกคิ้วสูงรีบก้มต่ำแนบแก้มกับท้องกลมโตของหญิงสาวอย่างตื่นเต้นขณะที่มืออีกข้างวางทาบบนมือของเธอผู้เป็นที่รัก
“ลูกพ่อ เจ้าอยากเจอพ่อขนาดกวนแม่เจ้าเลยรึ พ่อเองก็อยากเจอเจ้าใจจะขาดอยู่แล้ว”
เฮเลียสจ้องมองไม่กะพริบตา ไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเองจริงๆว่านั่นคือกษัตริย์ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิต เขาอ่อนโยนขนาดนี้เชียวหรือ แล้วสาวงามที่อยู่กับเขาตรงนั้นก็คงจะเป็น…
“นั่นคือเฟลอร์เกีย เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรไกอา มารดาของเจ้ายังไง เจ้าหญิง”
“แม่…ของข้า เป็นเอลฟ์!”
“บิดาและมารดาของเจ้าพบกันเพราะเหตุบังเอิญ ทั้งที่รู้ว่าท่านเฟลอร์เกียไม่ใช่มนุษย์แต่ลูเมนก็รักนางและได้ครอบครองหัวใจของนางในที่สุด ทั้งสองรักกันแต่ความรักข้ามสายพันธุ์เป็นที่ไม่พอใจของหลายเผ่าพันธุ์ แต่ทั้งคู่ก็หาได้ใส่ใจ จนกระทั่งวันที่รู้ว่ามีเจ้า เฟลอร์เกียก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่เคียงข้างมนุษย์ นางได้สร้างป่าสีน้ำเงินขึ้นมาและพาข้ากับโอซาริสที่ยังเป็นเด็กมาอยู่ที่ป่าแห่งนี้ เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ้าจะลืมตาขึ้นมาดูโลกทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าเวลาของตัวนางเหลือน้อยลงทุกวัน”
ฟลอกซ์อธิบาย ซึ่งประโยคสุดท้ายที่เธอกล่าวช่างแผ่วเบา แต่เฮเลียสก็หาได้ใส่ใจมากมาย เธอยังคงมองใบหน้ายิ้มแย้มของคนสองคนที่อยู่เบื้องหน้า พิจารณาหญิงงามที่มีเรือนผมสีทองหยักศกเหมือนกับเธอ นี่น่ะหรือแม่บังเกิดเกล้าที่เธอไม่เคยรู้จัก แม่ผู้ที่ให้กำเนิด และ….แม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเอลฟ์
กษัตริย์ลูเมนประคองชายาที่กำลังตั้งครรภ์บุตรของตนมานั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆโต๊ะที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดภาพ ก่อนจะลงมือใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกและบรรจงเขียนภาพหญิงสาวอย่างใจเย็น
“ข้าจะวาดภาพลูกของเรา รับรองว่าลูกต้องชอบแน่ๆ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าลูกหน้าตาเป็นยังไง”
“ข้าเชื่อว่าเขาต้องสวยเหมือนเจ้าแน่ๆ”
ว่าพลางตวัดปลายพู่กันอีกครั้งกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวผมทองหยักศกแต่ดวงตาค่อนข้างชี้และแข็งกร้าวเหมือนบุรุษดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ แต่เวลาแห่งความสุขก็ช่างผ่านไปรวดเร็วนัก เมื่อจู่ๆใบหน้ายิ้มแย้มดูอบอุ่นของหญิงตรงหน้ากลับเศร้าหมองและมองเขาราวกับเป็นธาตุอากาศ
“ลูเมน”
“หือ”
“ข้าคิดว่า….จะกลับไปอยู่ที่ป่าสีน้ำเงินชั่วคราว”
ปลายพู่กันที่กำลังแต่งแต้มภาพบนผืนผ้าพลันหยุดชะงัก พร้อมด้วยสายตาที่มองไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกสงสัย
“ทำไมรึ”
“ข้าอยากกลับไปคลอดลูกที่นั่นน่ะ”
“เฟลอร์…”
“ข้ารู้ตั้งนานแล้วล่ะว่าเจ้าต้องเดินทางไกล เพราะฉะนั้นอย่าลำบากใจที่ต้องไปเลยนะ ข้าจะกลับไปอยู่ที่ปราสาทของข้า รอจนกว่าเจ้าจะกลับมา”
เกิดความเงียบเข้ามาครอบคลุมภายในห้องนอนที่แสนโอ่อ่า กษัตริย์ลูเมนลุกเดินไปหาหญิงอันเป็นที่รักและคุกเข่าลงตรงหน้าเธอพร้อมกับจับมือเธอขึ้นมาแนบแก้มของตน
“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องอ้างว้างอยู่ตลอด เฟลอร์”
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าคือกษัตริย์ต้องดูแลบ้านเมือง นี่คือทางที่ข้าเลือกเอง ข้าไม่เสียใจที่ได้รักกับเจ้า อยู่เคียงข้างเจ้า ลูเมน”
เฟลอร์เกียกล่าวพร้อมยกมืออีกข้างลูบไล้เรือนผมของชายผู้เป็นที่รักอย่างแผ่วเบา
“ข้าสัญญาว่าจะดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชายข้าจะตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เฮเลียส’และเจ้าจะได้พบเขาแน่นอน ข้าสัญญา”
“เจ้าจะรอข้าใช่ไหม”
“ข้าจะรอเจ้า…พร้อมๆกับดวงอาทิตย์ที่กำลังเฉิดฉาย ลูกของเรา”
เฟลอร์เกียพูดพร้อมกับโน้มลงจุมพิตเรือนผมของชายที่เธอมอบหัวใจให้ นัยน์ตาสีน้ำเงินสั่นระริกแต่ก็หาได้แสดงความอ่อนแอออกมามากมาย และภายในห้องก็ต้องอยู่ในภวังค์ของความเงียบ
และภาพของความสุขเบื้องหน้าก็เริ่มโย้เย้นำพาเฮเลียสมาสู่สถานที่ๆคุ้นตา นั่นคือป่าสีน้ำเงิน
“ที่นี่อีกแล้ว”
“เฟลอร์เกียกลับมาคลอดเจ้าที่นี่” ฟลอกซ์ที่ยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิมกล่าวขึ้น
“ข้าเกิดที่นี่?”
“และจบชีวิตของนางที่นี่ด้วย”
ผู้พิทักษ์สาวเสริม ทันใดนั้นสายฝนก็เริ่มโปรยปราย แน่นอนว่าเฮเลียสไม่มีทางเปียกแม้ปลายผมเพราะนี่เป็นเพียงภาพในความทรงจำ แต่น่าแปลกที่สายฝนโปรยลงมาทั้งที่พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟ้าไร้ซึ่งเมฆบดบัง
กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!
อุแว้วววววววววววววววว!! อุแว้วววววว!!!!
เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดมาพร้อมกับเสียงร้องของทารก ท่ามกลางเสียงฝนที่ยังตกลงมากระทบกับต้นไม้ใบหญ้าเสียงซาๆ
“เจ้าหญิงน้อย!!!”
เสียงเอะอะโวยวายดังแทรกสายฝน ก่อนจะเกิดการเคลื่อนไหวภายในปราสาท ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวมชุดคลุมสีดำทั้งชุด เรือนผมสีขี้เถ้าตัดสั้นเรี่ยลำคอโผล่ออกมาจากห้องหนึ่งในปราสาทและกระโดดลงมาจากชั้นสองก่อนจะวิ่งตรงมาที่เฮเลียสและฟลอกซ์ที่ยืนนิ่ง เธอคนนั้นวิ่งผ่านร่างเฮเลียสไปราวกับธาตุอากาศ ในอ้อมกอดของเธอมีห่อผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดสีแดงจางๆ เฮเลียสเห็นชัดเต็มสองตาว่าสิ่งที่อยู่ในห่อผ่านั้นคือทารก!
“เด็ก…”
“เจ้าถูกลักพาตัวตั้งแต่แรกเกิดโดยเอลด้า”
“ใครคือเอลด้า”
“แม่มดผู้ที่สร้างบาดแผลให้กับเจ้าอย่างไรล่ะ”
“แล้วข้า…จะเป็นยังไง”
เฮเลียสเอ่ยถามขณะที่ใจเริ่มสั่น ฟลอกซ์ไม่ได้ตอบและพาเธอลอยตัวขึ้นกลางอากาศพลางพยักพเยิดหน้าให้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปเงียบๆ เพราะถึงอย่างไรการกลับมาในอดีตก็แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากการมองดูเพื่อย้ำเตือนความเจ็บปวดเท่านั้น
เกิดการลักพาตัวเจ้าหญิงน้อยที่เพิ่งคลอดไปจากอ้อมอกมารดาต่อหน้าต่อตา ราชินีเฟลอร์เกียที่ยังเหน็ดเหนื่อยได้ฝืนตนเพื่อจะตามไปทวงบุตรีอันเป็นตัวแทนของความรักกลับคืน
“ท่านเฟลอร์เกีย อย่าฝืนเลยค่ะ ให้พวกเราจัดการเองเถอะ”
“อย่าห้าม! ข้าจะไปทวงลูกข้าคืน ถึงต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ยอม!”
ตอนนี้ราชินีผู้เยือกเย็นและสงบนิ่งได้ร้อนรนไม่ต่างจากคนบ้าที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ลูกคืน ปีกผีเสื้อโปร่งแสงสีแดงระเรื่อดุจอัญมณีงอกออกมาจากกลางหลังและกางออกอย่างสง่างามพาร่างผู้เป็นเจ้าของทะยานไปบนฟ้ามุ่งหน้าเข้าไปในป่าซึ่งเป็นเส้นทางซับซ้อน ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปได้เพราะทางสายนี้คือทางไปป่าฝน แดนพ่อมด!
เบื้องหลังของเธอมีหญิงสาวสองคนตามมาติดๆ คนหนึ่งมีปีกเหมือนใบไม้สีเขียวโปร่งแสงบินตามหลังไปติดๆ เส้นผมสีทองตัดสั้นเรี่ยลำคอพลิ้วสะบัดเมื่อต้องลม ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องแผ่นหลังไวๆของราชินีผู้เป็นนายอย่างห่วงใย นามของเธอคือโอซาริส ไลโธส ผู้พิทักษ์ฝั่งซ้าย ส่วนอีกคนไม่มีปีกแต่เคลื่อนไหวบนดินคล่องแคล่วเยี่ยงนักล่า ผมสีดำหยักศกยาวพลิ้วไปตามแรงลมที่เข้ามาปะทะใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาสีทองวาวโรจน์แม้ยามค่ำคืนก็ยังส่องสว่าง นามของเธอคือแอนเธียร์ ฟลอกซ์ ไฮมาเนด ผู้พิทักษ์ฝั่งขวาของราชินี ที่สำคัญเธอเป็นเผ่าหมาป่า ทั้งสองติดตามราชินีผู้เป็นนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวไปติดๆด้วยความห่วงใยและเคียดแค้นต่อคนที่บังอาจลักพาตัวผู้เป็นดั่งดวงใจของราชินีไป
แม่มดเอลด้า!
ลำธารที่ขั้นกลางระหว่างสองดินแดน ร่างของทารกถูกวางลงบนก้อนหินสีนิล ดวงตาสีเขียวมรกตวาวโรจน์จ้องมองร่างน้อยๆนั้นอย่างเกลียดชัง
“สายเลือดมนุษย์น่ารังเกียจ เจ้าไม่สมควรที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ”
แสงสีเขียวเรืองวาบฉาบทั่วมือขวาก่อนจะค่อยๆอ่อนแสงและจางไปพร้อมด้วยคทาสีเอเมอร์รัลที่ปรากฏในมือแทน แม่มดสาวไม่รอช้าที่จะใช้หัวคทารูปทรงคล้ายกริชได้กรีดลงบนผิวหนังส่วนที่เป็นแขนขวาของทารกพร้อมเสียงร่ายเวทที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เกิดเป็นรอยแผลรูปร่างเหมือนเถาวัลย์ที่รัดแน่นจนเนื้อปริบนแขนของทารกน้อยผู้นิ่งสนิทไร้ซึ่งเสียงร้องอย่างที่ควรจะเป็น
“อดทนใช้ได้เลยนี่นังหนูน้อย แต่ดูซิว่าเจ้าจะทนคำสาปของข้าไปได้นานแค่ไหน”
แม่มดเอลด้ากล่าวพลางจ้องมองร่างแน่นิ่งของทารกน้อยอย่างสาแก่ใจ ทันใดนั้นเสียงคำรามดุจสายฟ้าฟาดก็บันดาลลงมากลางกระหม่อมจนเธอแทบยกคทาปัดป้องไม่ทัน
“เอลด้า!!!!”
“อ๊ะ!”
ตูมมมมมมม!!!
แรงปะทะของอาวุธประจำกายที่เปี่ยมด้วยพลังทั้งสองขั้วทำให้เกิดแรงสั่นไหวและทำลายล้างป่าไปเป็นทางยาว เอลด้าสะดุ้งกลั้นใจเมื่อได้สบกับดวงตาสีน้ำเงินวาวโรจน์ของราชินีเฟลอร์เกีย ทำให้คทาในมือหลุดกระเด็นออกไปด้วยแรงปะทะจากดาบสีเงินที่ฟันซ้ำลงมารอบสอง ราชินีเฟลอร์เกียไม่คิดจะอ่อนข้อให้และชี้ปลายดาบจ่อคอของแม่มดสาวจนเกิดเลือดไหลซิบ
“เจ้าจะฆ่าข้าจริงๆรึ เฟลอร์เกีย”
ดวงตาสีมรกตของแม่มดสาวไร้ซึ่งความหวาดกลัว จ้องมองอดีตเพื่อนรักที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างเวทนา
“เอาลูกของข้าคืนมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“หึๆๆ เจ้าเรียกสายเลือดมนุษย์ว่าลูกได้เต็มปากเชียวรึ สายเลือดที่น่ารังเกียจเช่นนี้น่ะ ฆ่าทิ้งดีกว่าน่า”
ปลายดาบสีน้ำเงินสั่นเทิ้มเพราะคำพูดของแม่มดเอลด้า
“เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้วเฟลอร์เกีย หากเจ้ายอมให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปตัวเจ้าเองนั่นแหล่ะที่จะพบจุดจบเสียเอง เจ้ายอมทิ้งชีวิตอมตะเพื่อแลกกับสายเลือดมนุษย์ไร้ค่าเช่นนี้รึ”
“ไร้ค่า….เหรอ!!!”
ฉัวะ!
“อั๊ค!”
เลือดสีแดงสาดกระเซ็นผสมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำฝนที่ตกลงมาชะล้างลงสู่พื้นดินที่รองรับ ร่างแม่มดเอลด้าเซเล็กน้อยเพราะบาดแผลที่ไหล่ขวาซึ่งเกิดจากดาบของราชินี กระนั้นปลายดาบก็ยังไม่ละจากคอหอยของเธอไปแม้แต่มิลลิเมตร
“อย่าบังอาจกล่าวหาสิ่งสำคัญของข้า เอลด้า”
“แล้วถ้าหากสิ่งสำคัญที่เจ้าพูดถึงกลายเป็น…แบบนี้ล่ะ”
แม่มดเอลด้ากล่าวพร้อมกับหลีกทางผายมือเชื้อเชิญให้ราชินีมองร่างน้อยๆจมกองเลือดอยู่บนก้อนหิน ปลายดาบสีน้ำเงินสั่นเทิ้มก่อนจะลดต่ำลงมาแนบข้างกายผู้ถือเหมือนจะสิ้นแรง นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างสุดชีวิตเมื่อพบกับร่างน้อยผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
“เจ้าทำอะไรลูกข้า!”
“วางใจเถอะ ข้าก็เพียงแต่ร่ายคำสาปให้มันตายไปช้าๆก็เท่านั้น”
“เอลด้า นางแม่มดเลือดเย็น!”
เฟลอร์เกียเหมือนคนบ้าเมื่อเห็นทารกน้อยนอนนิ่งจมกองเลือด ยกดาบขึ้นและตวัดเข้าที่คอหอยของแม่มดสาวหมายจะตัดคอให้ขาดสะบั้นในดาบเดียว แต่ก่อนที่คมดาบแห่งโทสะจะได้ตัดลมหายใจของร่างตรงหน้า คทาสีนิลลวดลายละเอียดอันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาขัดขวางได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ซึ่งเจ้าของคทานั้นคือชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีขี้เถ้ายาวเคลียไหล่ สวมชุดสีดำเฉียดเช่นแม่มดเอลด้าทุกประการ และดวงตาสีมรกตที่จับจ้องมายังราชินีอย่างตัดพ้อ
“โวเลนธาร์!” เฟลอร์เกียกล่าวเสียงเย็นและยังไม่คิดจะลดดาบลง
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ เฟลอร์เกีย ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้พบกับเจ้า…ในสภาพแบบนี้”
พ่อมดหนุ่มนามโวเลนธาร์กล่าวเสียงทุ้มกับราชินีแห่งเอลฟ์ประหนึ่งเพื่อนที่ห่างหายกันไปนาน แต่ความโกรธที่กำลังคุกรุ่นได้ที่ของราชินีผู้ถูกทักหาได้สงบลงเพราะชายคนนี้ไม่ แต่ตรงกันข้าม กลับยิ่งปะทุขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อรู้ถึงความสัมพันธ์และแผนการลอบกัดที่พ่อมดและแม่มดคู่นี้ได้รวมหัวกันสร้างขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นแผนการของพวกเจ้าสองคนเองหรอกรึ”
“ฉลาดหลักแหลมสมกับเป็นเอลฟ์” แม่มดเอลด้าเป็นฝ่ายพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายพ่อมดหนุ่ม และดีดนิ้วเรียกสมุนพ่อมดแม่มดให้ออกมาจากที่ซ่อนที่อยู่รายล้อม
“แต่ก็ช่างน่าเศร้าที่ความโกรธของเจ้านำพาความโง่เขลามาด้วย เฟลอร์เกีย”
“ข้ายังให้โอกาสเจ้าอยู่นะ เฟลอร์”
พ่อมดหนุ่มนามโวเลนธาร์กล่าว นัยน์ตาสีมรกตยังคงมองหญิงตรงหน้าไม่ละจาก ถึงเธอจะดูเหน็ดเหนื่อยและซีดเซียวจากการคลอดลูก แต่เธอก็ยังคงความงดงามเสมอ เขาอยากส่งความรู้สึกดีๆไปให้และหวังเหลือเกินว่าเธอจะยอมรับมันสักเล็กน้อยก็ยังดี แต่ทว่าความรู้สึกนั้นกลับส่งไปไม่ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายกร้าวก่อนที่น้ำเสียงราบเรียบไร้เยื่อใยจะเปล่งคำพูดตัดสัมพันธ์อย่างไม่ไยดี
“เอาโอกาสและความหวังดีจอมปลอมของเจ้ากลับไป ข้าไม่ต้องการ”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเลือก ‘มัน’ สินะ”
“ข้าพอใจในสิ่งที่ข้าเลือก”
คำตอบที่ได้รับกลับสร้างความเจ็บปวดให้จนต้องยืนนิ่งเงียบเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ และเป็นแม่มดข้างกายเขาเองที่ออกคำสั่งกับเหล่าสมุน
“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออยู่ทำไม จัดการนางซะ!”
“แต่สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นชีวิตโสโครกของเจ้า เอลด้า!”
ความโกรธของราชินีเอลฟ์สร้างความปั่นป่วนให้บรรยากาศโดยรอบ เหล่าพ่อมดแม่มดต่างถอยหลังเพื่อรับมือกับต้นไม้ใบหญ้าที่กลายเป็นคมดาบบินฉวัดเฉวียนไปตามแรงของพายุแห่งอารมณ์
เอลด้าเรียกคทาของตนกลับมาถือไว้ในมือและเป็นฝ่ายเข้าไปปะทะกับราชินีที่เปิดช่องโหว่อย่างไม่เคยจะเป็น เหตุผลนั้นก็แสนง่ายหากจะคิดเดา…เฟลอร์เกียกำลังอ่อนแรง
“ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับลูกสายเลือดโสโครกของเจ้าเอง เฟลอร์เกีย!”
หัวคทารูปร่างคล้ายกริชสีมรกตเรืองแสงวาวโรจน์ดุจดั่งดวงตาของเจ้าของ ตัดใบไม้คมกริบที่บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศไปพร้อมๆกับเม็ดฝนที่แตกซ่านเป็นละอองตรงเข้าไปยังกลางอกซ้ายตำแหน่งหัวใจของราชินีที่ยืนนิ่งเพราะเหน็ดเหนื่อย ขณะที่โวเลนธาร์ยังคงยืนนิ่งหลับตายอมรับกับทางที่หญิงที่ตนรักได้เลือก
ฉึก!
ศีรษะแม่มดนางหนึ่งได้พุ่งเข้ามารับคมกริชจากคทาของแม่มดเอลด้าก่อนที่จะได้จ้วงแทงปลิดชีพราชินีสมใจ พร้อมกันนั้นก็ปรากฏร่างหญิงสาวผมสีทองตัดสั้นเหนือไหล่ และมีดวงตาสีน้ำเงินเฉียดเช่นราชินียืนขั้นกลางระหว่างราชินีกับแม่มดสาว แส้เถาวัลย์ในมือของสาวผมสั้นสีทองยังคงเลื้อยรัดคทาของแม่มดเอลด้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
“โอซาริส!”
“ขออภัยที่ล่าช้าค่ะท่านเฟลอร์เกีย พวกเราถูกลอบเล่นงานระหว่างตามท่านมาที่นี่”
สาวผมสั้นสีทองเอ่ยเสียงหวานกับราชินีผู้เป็นนายเหนือชีวิต ขณะที่ดวงตาสีน้ำเงินติดหวานของเธอวาวโรจน์จับจ้องพ่อมดและแม่มดที่ยืนอึ้งอยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา เอลด้าขยับไม่ได้เพราะมือเธอถูกเถาวัลย์พันติดไว้กับคทาอย่างแน่นหนา เธอกัดริมฝีปากจ้องมองใบหน้าติดหวานของเอลฟ์สาวผู้มาใหม่อย่างคาดโทษก่อนจะหันไปตะคอกพ่อมดหนุ่มที่เอาแต่ยืนนิ่ง
“โวเลนธาร์! เจ้าทำอะไรอยู่ จัดการมันสิ ฆ่ามันซะ!”
“มันจบแล้วเอลด้า”
“ว่าไงนะ”
“มันจบแล้ว ข้อตกลงของเรา…สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้”
พูดจบพ่อมดหนุ่มก็หันหลังกลับเพื่อข้ามลำธารกลับไปยังเขตแดนของตน ทว่า…ใบหน้าที่ก้มต่ำอย่างคนสิ้นหวังนั้นกลับปรากฏรอยยิ้มแสยะ ทันทีที่เดินลงไปใกล้ลำธาร โวเลนธาร์ก็เอี้ยวตัวกลับมาและคว้าร่างทารกไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
“อ๊ะ!”
“หืม เจ้าเล่ห์ไม่เบา” เอลด้าแสยะยิ้มทึ่งกับละครที่พ่อมดหนุ่มแสดงอย่างแนบเนียนจนเกือบจะทำให้เธอเข้าใจผิด
“ลูกแม่!”
ราชินีเฟลอร์เกียดีดตัวกระโจนเข้าไปหมายจะแย่งร่างทารกจากพ่อมดหนุ่มโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นปลายมีดสั้นที่สวนกลับมา
“ตายซะเถอะ เฟลอร์เกีย!”
ฉึก!
ปลายมีดแทงทะลุเนื้อหนังเข้าไปจนมิดด้าม แต่ทว่าร่างนั้นกลับไม่ใช่ราชินี
“โอซาริส!”
“อย่ามาเกะกะ!”
เจ้าของมีดคือเอลด้า เธอดึงมีดออกจากอกของโอซาริสพร้อมรอยยิ้มเย็น ร่างเพรียวบางของสาวผมสั้นสีทองเซเล็กน้อยพร้อมกับเถาวัลย์ที่อ่อนพลังลงและคลายจากคทาปล่อยแม่มดเป็นอิสระ
เอลด้ากระโดดกลับไปยืนเคียงข้างพ่อมดหนุ่มพร้อมปรายตามองมายังเอลฟ์สาวผู้ภักดีปกป้องเจ้านายอย่างหยามเหยียดกึ่งสมเพช
“โวเลนธาร์ คนสารเลว!”
“จะว่ายังไงก็เชิญ ถ้านี่เป็นทางที่เจ้าเลือกแล้วล่ะก็ เด็กคนนี้ข้าขอไปเลี้ยงไว้ดูเล่นยามที่เจ้าไม่อยู่ก็แล้วกัน”
“ว่ายังไงนะ”
“ถึงจะโดนคำสาปสะกดพลังของเอลฟ์เอาไว้ แต่อีกสักยี่สิบปีนางก็จะเติบโตพอที่ข้าจะเล่นด้วยแก้เหงา หากข้าถูกใจก็อาจเมตตาถอนคำสาปให้ และให้นางอยู่เป็นราชินีของข้า…แทนเจ้าไงล่ะ”
“โวเลนธาร์!” น้ำเสียงของราชินีสั่นเครือเพราะความโกรธที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นสุดใจ
น้ำเสียงใสที่ใครๆต่างปรารถนาที่จะฟังบัดนี้ไม่ต่างจากเสียงของฆาตกรอำมหิตที่ใครต่อใครอยากถอยหนี ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายกร้าวเปลี่ยนเป็นสีนิลแวววาวดุจก้อนหินข้างลำธาร จากความสว่างไสววาววับของลำธารที่สะท้อนกับแสงจันทร์กลางสายฝนได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำคลุมเครือไปทั้งบริเวณ มองไม่เห็นแม้แต่คนใกล้ตัว ซึ่งนั่นก็เป็นโอกาสสำหรับคนที่ซ่อนตัวอยู่เพื่อรอจังหวะลงมือ
“กระจอกน่า หมอกควันแค่นี้”
โวเลนธาร์อุ้มทารกด้วยมือเพียงข้างเดียวในขณะที่มืออีกข้างถือคทาเพื่อจะใช้เวทมนตร์ปัดเป่าหมอกควันให้จางหาย เพียงชั่วอึดใจที่พ่อมดหนุ่มกำลังร่ายเวท มือของใครบางคนก็กระชากแย่งชิงทารกน้อยไปจากเขาได้สำเร็จ แต่ทว่าความเร็วของพ่อมดก็ทำให้ร่างปริศนาโดนคำสาปที่พุ่งสวนกลับแบบเต็มๆ
ฟึ่บ!
ฉัวะ!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ