angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ฝาแฝดเผ่าพยัคฆ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เราถูกลอบทำร้ายทันทีที่เข้ามาในเขตป่าสีน้ำเงิน”

พยัคฆ์สาวในร่างมนุษย์นามลิกไนต์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทั้งเฮเลียสและโทรเฟ่นฟังในระหว่างทางที่เดินกลับไปยังปราสาท โทรเฟ่นจำต้องรับหน้าที่แบกพยัคฆ์หนุ่มในร่างมนุษย์นามว่าไลน์ขึ้นหลัง เพราะเจ้าตัวหมดสติและเสียเลือดไปมากเกินกว่าจะฟื้นขึ้นมาและเดินได้เอง ส่วนลิกไนต์ซึ่งเป็นพี่สาวก็บาดเจ็บไม่น้อยแต่เพราะร่างกายที่อาจจะแข็งแรงกว่าเธอจึงเดินเองทั้งที่ยังกะเผลกเพราะแผลลึกที่ต้นขาขวา ถึงเฮเลียสจะใช้เวทมนตร์แต่ก็ทำได้เพียงห้ามเลือดให้ทั้งสองพยัคฆ์เท่านั้น ที่เหลือก็ต้องพากลับปราสาทเพื่อให้โอซาริสรักษา

ในป่าทึบเช่นนี้โทรเฟ่นไม่สามารถใช้ปีกได้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก แต่ก็เอาเถอะ นานๆทีจะได้เดินด้วยเท้าแถมยังต้องแบกคนร่างพอๆกับตัวเองอีก ถือซะว่าเป็นการเรียกกล้ามเนื้อที่กำลังจะฝ่อเพราะขาดสงครามก็แล้วกัน

“ว่าแต่เทพอย่างท่านมาทำอะไรที่นี่กัน”

เมื่อได้ยินคำถามจากพยัคฆ์สาวเทพหนุ่มก็ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจะตอบเธอว่าอย่างไรดีล่ะ และไม่ทันจะได้คิดหนักเจ้าหญิงจอมแก่นนามเฮเลียสก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน

“เขาเป็นคนช่วยชีวิตข้ากับพี่ชายเอาไว้ เราสองคนถูกเขาพามาที่นี่”

“พี่ชายเจ้ารึ”

“เขาชื่อเคโอเรสเตอร์”

เฮเลียสตอบแบบไร้ความลังเล และทันทีที่เธอกล่าวจบสีหน้าของพยัคฆ์สาวก็เครียดขึ้นมาทันตาเห็น นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์จ้องมองมาที่เธอราวกับจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนัง

“เจ้า รู้จักกับเคโอเรสเตอร์รึ”

“เขาคือพี่บุญธรรมของข้า”

“หรือว่าเจ้าคือเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งแดนตะวันออก”

“นั่นก็ใช่”

จากสีหน้าที่ปกติหัวคิ้วจนชนกันอยู่รอมร่อ บัดนี้ต้องเรียกว่าคิ้วผูกโบจนใบหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์นั้นดูน่ากลัวมากขึ้นหลายเท่าตัว ทันใดนั้นมือเรียวบางที่แต่งแต้มด้วยเล็บคมกริบยิ่งกว่าปลายมีดก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเจ้าหญิงและกระชากเธอเข้าไปหา ซึ่งการกระทำอันไร้ปราณีของพยัคฆ์สาวทำให้โทรเฟ่นแทบจะทิ้งร่างชายหนุ่มที่อยู่บนหลังและเข้าไปขัดขวาง แต่ทันทีที่เห็นสาวเจ้ากำลังถกแขนเสื้อเจ้าหญิงตัวเล็กนั่นขึ้นเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เขาก็ตัดสินใจจะอยู่นิ่งๆเพื่อรอดู

“เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆด้วย”

ลิกไนต์คำรามเสียงเครียดในขณะที่คนถูกกระทำได้แต่โคลงศีรษะอย่างงุนงง

“มีอะไร”

“เจ้ามีแผลเป็นที่แขนขวาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เท่าที่จำความได้มันก็อยู่กับข้าแล้วล่ะ”

แผลเป็นที่เหมือนจะเป็นรอยเถาวัลย์รัดจนเนื้อปริ ไม่มีทางหายซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เฮเลียสเองก็ไม่คิดจะใส่ใจกับมันและเลือกที่จะสวมเสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดมาตลอด แม้เคโอเรสเตอร์ที่อยู่ด้วยกันมาหลายร้อยปีก็ไม่เคยรู้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกว่ามันร้อนๆชอบกลตั้งแต่ที่ตกลงไปในลำธาร

“พวกมันตามล่าเจ้า” จู่ๆลิกไนต์ก็คำรามเสียงเครียดพร้อมกับสีหน้าที่ค่อนข้างจะเครียดยิ่งกว่า

“อะไรนะ! ใครตามล่าข้า?”

“พวกที่เล่นงานข้ากับไลน์ที่ชายป่า ไม่ผิดแน่ พวกมันมีสัญลักษณ์เหมือนแผลเป็นที่แขนเจ้า”

“แต่ข้าเป็นเพียงมนุษย์”

เฮเลียสยังเถียงเพราะเธอเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น นอกจากการหนีหัวซุกหัวซุนจากเหล่าปีศาจที่ตามล่าเคโอเรสเตอร์เท่านั้น แต่ไม่ทันที่ความสงสัยจะกระจ่าง แรงระเบิดไร้ทิศทางก็ทำให้เธอต้องเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของพยัคฆ์สาวที่อ้ารับไว้ทันท่วงที

ตูม!

“อะไรอีกล่ะเนี่ย”

พลันร่างหญิงสาวกลายเป็นเสือดำตัวใหญ่และตะโกนลั่น

“ขึ้นมา!”

“เอ๊ะ! อะไร”

“ทำตามที่นางบอก เร็วเข้า!”

โทรเฟ่นเร่งเร้าจนเฮเลียสต้องทำตาม เมื่อขึ้นไปนั่งบนหลังเสือสาว เจ้าหล่อนก็ดีดตัวไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่เฮเลียสต้องหมอบแนบกับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยขนนุ่มนิ่มของพี่ท่าน โทรเฟ่นแบกไลน์ไว้บนหลังและตามมาติดๆด้วยความเร็วระดับเดียวกัน ระหว่างทางเขาก็ได้ถามข้อกังขากับลิกไนต์

“พวกมันมีกี่คน”

“ไม่มากแต่มีพลัง”

ลิกไนต์ตอบพลางหลบหลีกซิกแซกไปตามช่องแคบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นอยู่หนาตา เฮเลียสพยายามเกาะให้แน่นที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไปเสียก่อน

“นี่เราจะไปไหน!”

“หาทางออกไปจากที่นี่ เร็วๆด้วย!”

“แค่แผลเป็นของข้าเกี่ยวอะไรกับพวกนั้นกัน!”

“เอาไว้รอดจากตรงนี้เจ้าก็จะได้รู้เอง!”

ตูมมมม!

พลั่ก!

จู่ๆก็มีเถาวัลย์โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและตวัดฟาดขาของพยัคฆ์สาวจนทำให้เธอต้องล้มหน้าทิ่มไถลไปกับพื้น เฮเลียสพุ่งหลาวกลิ้งออกไปไกล มองเห็นร่างเสือสีดำอยู่ไกลหลายเมตร และผู้ที่เดินเข้ามาใหม่นั้นสวมชุดคลุมมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและถือคทาไว้ในมือ ขณะเดียวกันเสียงดังเหมือนโลหะกระทบกันก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลกันนัก พบว่าโทรเฟ่นเองก็ถูกรุมด้วยคนที่สวมชุดคลุมแบบเดียวกับคนแรก แต่แค่นั้นคงไม่คณามือเทพหนุ่มหรอก เพราะดูสีหน้าของเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน แถมยังเหวี่ยงทั้งร่างไร้สติของพยัคฆ์หนุ่มปัดป้องคทาจากอีกฝ่ายราวกับว่ากำลังร่ายรำเพลงดาบอันแสนงดงามขนาดแม่ทัพยังต้องอาย

แต่โทษเถอะ ร่างนั้นเขามีเลือดมีเนื้อนะเออ!

เฮเลียสอยากพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ต้องปิดปากเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเหมือนชายวัยกลางคนกล่าวบางอย่างกับพยัคฆ์สาวที่คืนร่างเป็นหญิงสาวคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโดยมีเถาวัลย์หลายเส้นพันธนาการขาทั้งสองข้างเอาไว้อย่างแน่นหนา

“นึกว่าจะหนีไปไหน ที่แท้ก็กำลังจะจากไปเองรึ”

“ต้องการอะไร”

“ง่ายๆ ส่งเจ้าหญิงมา”

“ข้าไม่รู้จัก”

“หืม จริงเหรอ แต่ข้าได้กลิ่นเอลฟ์จากตัวของเจ้าด้วยนี่นา…นางอยู่แถวนี้สินะ”

“ป่านี้เป็นเขตของเอลฟ์ กลิ่นเอลฟ์จะติดตัวข้าก็ไม่เห็นแปลก”

ลิกไนต์ยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ ตอบคำถามของชายตรงหน้าอย่างไม่มีความกริ่งเกรงใดๆ และท่าทางคำตอบของเธอจะทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมา เถาวัลย์ที่พันธนาการข้อเท้าของเธออยู่จึงเคลื่อนตัวขึ้นมาและรัดร่างของเธอจนเลือดไหลซิบจากหนามของมัน

“บอกมาว่าเจ้าหญิงอยู่ไหน”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จัก”

“โกหก!”

เถาวัลย์เริ่มเลื้อยขึ้นไปบนร่างกายจนถึงใบหน้าและกรีดหนามของมันลงบนผิวขาวๆของพยัคฆ์สาวอย่างไม่ไยดี เฮเลียสเฝ้าสังเกตอยู่ในพุ่มไม้ไม่ไกล พลันนึกถึงของบางอย่างที่บิดาได้ให้ไว้ก่อนจากไป นั่นคือสร้อยรูปใบไม้สีเงิน คำพูดของบิดาประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

‘ลูกรัก หากเจ้าต้องการช่วยเหลือใครสักคนเจ้าก็จงทำเถอะ’

“เสด็จพ่อ ตอนนี้ข้าอยากช่วยเหลือคน ขอพลังให้ข้าด้วยเถอะ”

กล่าวพลางหลับตานึกถึงใบหน้าของบิดาที่แทบจะเลือนหายไปกับกาลเวลาที่ยาวนาน ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระโปรงเพื่อดึงกริชที่เก็บไว้ในซองหนังขนาดเล็กที่คาดไว้กับต้นขาออกมา โดยไม่สนใจกับอาการแสบร้อนที่เปลี่ยนเป็นความเจ็บจี๊ดที่ต้นแขนขวา

“เอาล่ะนะ”

จากประสบการณ์ที่ถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็กและฝีมือที่ได้รับการฝึกปรือจากเจ้าชายปีศาจ ทำให้เฮเลียสเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและปราดเปรียว เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็เข้าถึงตัวลิกไนต์ได้สำเร็จ กริชสีเงินที่ยังคมกริบแม้จะผ่านมาหลายปีอีกทั้งยังสร้างขึ้นมาจากไอปีศาจจึงเฉือนเถาวัลย์ที่เกิดจากเวทมนตร์จนขาดได้โดยง่าย ทำให้เจ้าของคทาถึงกับอึ้งผงะไปชั่วขณะ

“เจ้า!”

เฮเลียสไม่พูดอะไรและรีบพาลิกไนต์หลบไปจากตรงนั้นด้วยเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบังตาได้ชั่วขณะ

“เจ้าน่าจะรีบไป”

“ข้าไม่ไปไหนคนเดียวหรอก”

“หึ เป็นจริงอย่างที่เจ้าปีศาจบ้านั่นพูดจริงๆด้วยสินะ”

เฮเลียสไม่ได้ยิ้มรับแต่ก็ดีใจอยู่หน่อยๆ ลิกไนต์บาดเจ็บเกินกว่าจะเดินเอง จึงทำให้การหลบหนีล่าช้า โทรเฟ่นแบกไลน์ไปไหนแล้วไม่รู้ หวังว่าเทพหนุ่มจะไม่เอาหนุ่มน้อยเผ่าพยัคฆ์มากวัดแกว่งแทนอาวุธหรอกนะ

“เจอแล้ว พวกมันอยู่นั่น!”

“อย่าให้หนีไปได้!”

เฮเลียสพยุงลิกไนต์หลบเข้าไปในรากไม้ที่เป็นโพลงลึกพอหลวมตัวพลางเฝ้ามองพวกพ่อมดที่พากันวิ่งว่อนหากันจ้าละหวั่น

“เมื่อกี้ยังเห็นอยู่นี่!”

“มันยังไปได้ไม่ไกลหรอก! ตามต่อไป! ไม่อย่างนั้นท่านโวเลนธาร์สาปพวกเจ้าให้กลายเป็นหินแน่”

พ่อมดคนหนึ่งพูดเหมือนขู่ พลันพ่อมดทั้งฝูงก็กระจายกันออกไปเพื่อตามหา โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนที่พวกมันต้องการอยู่ใกล้ปลายจมูกนี้เอง

“โชคดีที่พวกมันไม่มีจมูกรับรู้กลิ่นได้ลึกซึ้งเหมือนปีศาจ”

“เรื่องนั้นช่างก่อน ต้องออกไปจากที่นี่ ไปหาโทรเฟ่น”

“เรียกหาข้าอยู่รึ”

พูดปุ๊บก็มาปั๊บตามสั่งจริงๆ เฮเลียสสะดุ้งโหยงเมื่อรู้ว่าคนที่ทักเธอนั้นอยู่ในโพลงไม้ด้านหลังเธอนี้เอง ท่าทางเขาจะชอบหลบตามโพลงไม้เสียเหลือเกิน

“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก่อนเจ้า”

เทพหนุ่มตอบพลางดีดนิ้วเกิดเป็นลูกไฟสีแดงที่วูบไหวอยู่ปลายนิ้ว แสงสว่างส่องให้เห็นทั่วๆบริเวณที่มีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ก็พอจะวางร่างของพยัคฆ์หนุ่มให้นอนพิงผนังได้อยู่บ้าง เฮเลียสรีบปรี่เข้ามาดูอาการและบาดแผลที่เริ่มจะมีเลือดไหลซึมออกมาบางส่วน นี่คงจะเป็นผลพวงมาจากการร่ายรำเพลงดาบสุดพิสดารของเทพหนุ่มสีผมสุดประหลาดคนนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นแผลก็คงไม่ปริเร็วขนาดนี้

เมื่อถูกมองด้วยสายตาคาดโทษ โทรเฟ่นก็ได้แต่ทำเมินและหันไปสนใจพยัคฆ์สาวที่บาดเจ็บไม่แพ้กันแต่ทว่าคำถามกลับไม่ได้แสดงถึงความห่วงใยเลยซักนิด

“พวกมันเป็นใคร”

“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่รึ”

หญิงสาวหน้าตายด้านตอบอย่างไร้เยื่อใย แต่ทว่าเทพหนุ่มยังคงจ้องเธอเขม็ง

“เปล่า เจ้ายังไม่ได้บอกข้า”

“ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกคนนอกเช่นท่าน ที่สำคัญตอนนี้คือมีคนหลายกลุ่มที่ต้องการตัวเจ้าหญิงรัชทายาทผู้นี้ ส่วนเหตุผล ข้าเองก็ไม่รู้”

“ต้องการ…ตัวข้า?”

“เจ้าคงต้องไปถามเอลฟ์ผู้ดูแลป่านี้เอาเองแล้วล่ะเจ้าหญิง เพราะพวกข้าก็ถูกนางเรียกมาที่นี่เหมือนกัน”

ลิกไนต์ตอบเหมือนขอไปที เธอเองก็บาดเจ็บไม่น้อยและคงไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ง่ายๆหากว่าคนพวกนั้นยังวนเวียนอยู่ที่นี่

“เราต้องออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นไลน์คงไม่รอด”

“พวกข้าไม่ตายง่ายๆเพราะคมดาบทื่อๆของใคร ตอนนี้คิดเถอะว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง หากคำสาปนั่นสำแดงฤทธิ์ของมันเมื่อไหร่ คนที่แย่ที่สุดก็คือเจ้า ราห์ เฮเลียส”

พยัคฆ์สาวกล่าวพลางชี้นิ้วที่ประดับด้วยเล็บเรียวยาวมายังคนที่กล่าวถึง เฮเลียสกระตุกคิ้วเล็กน้อย ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ รอยแผลเป็นนี่คือคำสาปเหรอ และดูเหมือนคำพูดของสาวเจ้าศักดิ์สิทธิ์ใช่ย่อย เมื่ออาการร้อนวูบวาบที่แขนขวาได้ทวีความรุนแรงขึ้นราวกับถูกเหล็กรนไฟจนแดงฉานจี้เข้าไปในเนื้อหนัง

“อึก!”

“เริ่มแล้วสินะ”

“เฮเลียส”

เสียงทุ้มกระซิบข้างหูเหมือนลมที่พัดผ่านไปอย่างแผ่วเบาพร้อมสัมผัสอบอุ่นที่ใบหน้าเสี้ยวหนึ่ง

โทรเฟ่นรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขนพลางใช้มืออันแสนเย็นเฉียบประคองแก้มของเธอเพื่อเรียกสติที่กำลังจะดับ

“ร้อน! ข้าร้อนที่แขน”

“คำสาปจะตอบสนองต่อคนที่สร้างมันขึ้น พวกมันอยู่ข้างนอก”

ลิกไนต์อธิบายอย่างรัดกุมพร้อมกรงเล็บที่กางออกเตรียมจะจ้วงแทงใครก็ตามที่โผล่หน้าเข้ามาเป็นคนแรก

“ทำใจดีๆเอาไว้ก่อนนะ!”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้ลดหย่อนลงแม้แต่น้อย ความอดทนของเฮเลียสเป็นที่เลื่องลือในหมู่มนุษย์ แต่เธอหาได้เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อนไม่ มันแสบร้อนยิ่งกว่าโดนไฟคลอกและถูกถลกหนังออกมาสดๆ ร้อนเสียจนอยากกระชากแขนข้างนี้ออกเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ฮึก! อ๊า!!!”

“มันใกล้เข้ามาแล้ว”

“ข้ามีวิธี…เป็นวิธีที่ข้าไม่อยากใช้หากไม่จำเป็น”

เทพหนุ่มว่าพลางถอนหายใจจนคำพูดแทบเลือนหาย เหมือนวิธีที่กล่าวถึงจะนำพาหายนะมาให้ยังไงอย่างนั้น

ตูมมมมม!!!

มาแล้ว รวดเร็วปานจรวด เจ้ามังกรจอมทำลายล้างนามเซดริก!

“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”

เสียงกรีดร้องดังก้องกังวานท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาปะทะกับกองเพลิงที่ลามเลียอยู่บนพื้นดิน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา