angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า
9.3
เขียนโดย zusuran
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.
15 ตอน
0 วิจารณ์
15.42K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ป่าสีน้ำเงิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความป่าสีน้ำเงิน
ทุกอย่างเหมือนกำลังย้อนกลับไปยังอดีตอันแสนไกล นับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก
เธอถูกพร่ำสอนให้กลายเป็นคนแข็งกระด้าง อายุเพียงห้าขวบก็ต้องร่ำเรียนวิชาการปกครองและจับอาวุธทุกชนิดแทนการกอดตุ๊กตาหรือเด็ดดอกไม้เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป นั่นเป็นเพราะชาติกำเนิดที่แตกต่างหรือเปล่าเฮเลียสก็อยากรู้นัก เธอเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารดาผู้ให้กำเนิดคือใคร ถึงอยากรู้ใจแทบขาดก็เลือกไม่ปริปากเอ่ยถามผู้เป็นบิดาเพราะสงสารกับสีหน้าอมทุกข์ที่เหมือนอยากลาโลกไปเต็มแก่
‘เจ้าเป็นบุตรของกษัตริย์ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับอดีต สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเรียนรู้และรอวันที่จะได้ขึ้นปกครองบ้านเมือง’
นั่นคือคำพร่ำสอนของบิดาทุกครั้งที่เฮเลียสเอ่ยปากถามเรื่องในอดีต หลายครั้งหลายหนจนเธอเลือกที่จะปิดปากเงียบและใช้ชีวิตอยู่ในราชวังอันเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของพระราชาที่ทุกคนยอมก้มหัวให้ แต่ทว่า….ใบหน้าที่ก้มต่ำแทบติดดินของคนเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตชิงชัง มือที่จับอาวุธประจำกายตามยศศักดิ์เหล่านั้นเหมือนไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องผู้เป็นนายแต่อย่างใด แต่มันมีไว้เพื่อรอจังหวะที่จะชักออกมาปลิดชีพคนที่นั่งบัลลังก์เหนือหัวต่างหาก
และเป็นไปตามที่คิดเมื่อโอกาสประจวบเหมาะ การลอบสังหารเชื้อกษัตริย์ได้เริ่มขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวง กษัตริย์ผู้เป็นพ่อได้เดินทางไปต่างแดนและไม่กลับมาอีกเลย ส่วนเจ้าหญิงที่เพิ่งจะมีอายุย่างเข้าสู่ปีที่เจ็ดก็ถูกเหล่านางสนมและองครักษ์คนสนิทแทงข้างหลัง เธอหลบหนีออกมาได้เพราะฝีมือที่ฝึกปรือมาตั้งแต่เด็ก แต่บาดแผลที่สาหัสสากรรจ์ทำให้ไปไหนไม่ได้ไกล พอเข้ามาในป่าต้องห้ามที่อยู่ด้านหลังของหอคอยตะวันตก เจ้าหญิงน้อยก็ล้มฟุบสิ้นแรงอยู่ตรงนั้น พวกกบฏทรยศไม่มีใครกล้าตามเข้ามาเพราะกริ่งเกรงอาถรรพ์ของป่าที่ว่ากันว่ากินมนุษย์เป็นอาหาร แต่สำหรับคนใกล้ตายไม่มีความจำเป็นที่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนั้น ตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ สุดท้ายก็จบลงด้วยคมดาบของผู้ที่ภักดีแต่ภายนอก มันช่างเจ็บปวดและหนักหนาเกินกว่าเด็กอายุเจ็ดขวบจะรับไหว เธอกำลังจะตาย บางทีอาจจะได้เดินทางไปพบกับพ่อแม่ที่โลกหน้าซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่จะได้รู้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร หากว่านางตายไปแล้วจริงๆ และคงจะดีมากหากก่อนตายไม่ทรมานขนาดนี้
เจ็บ…เจ็บมากเสียจนไม่รู้ว่าบาดแผลอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย
“ท่าทางจะฝันร้ายสินะ”
รู้สึกเหมือนฝ่ามือเย็นเยียบแต่แฝงไปด้วยชีวิตแตะผ่านใบหน้าพร้อมเสียงนุ่มนวลที่ไม่คุ้นหู ยิ่งมือนั้นไล้ไปตามดวงหน้าเฮเลียสก็ยิ่งพยายามเบือนหนีความเย็นเยียบนั้นให้ได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เปลือกตาที่ปิดสนิทและหนักอึ้งก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างแช่มช้าและอ่อนแรง สิ่งแรกที่มองเห็นเป็นเพียงภาพใบหน้าของใครบางคนที่พล่าเลือนเกินกว่าจะแยกแยะชายหญิง และคนแรกที่เฮเลียสนึกถึงก็คือ
“เสด็จพ่อ…”
“อา…ยังฝันอยู่รึ”
เปลือกตาหนักอึ้งพลันเบิกกว้างสุดชีวิต เพิ่งรู้ตัวว่าได้นอนอยู่บนเตียงสี่เสาในห้องโทนสีน้ำเงินเย็นตาที่เต็มไปด้วยแมกไม้และเถาวัลย์ขดเป็นลวดลายอ่อนช้อย และเจ้าของเสียงนุ่มนวลตรงหน้าคือหญิงสาวหน้าเรียวมน และมีหูเรียวแหลมโผล่พ้นออกมาจากเรือนผมสีทองยาวสยายตกกลางหลัง ผู้มีดวงตาสีน้ำเงินสดใสเช่นเดียวกับชุดลายลูกไม้เนื้อบางที่สวมใส่ สร้อยคอเป็นโซ่สีเงินเส้นเล็กและมีจี้เป็นรูปเขี้ยวสีเงินที่ถูกรายล้อมด้วยเถาวัลย์ขนาดเล็ก ดูยังไงเธอคนนี้ก็เป็นคนแปลกหน้าและแปลกประหลาดเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์
“ที่นี่ที่ไหน”
“ปราสาทของราชินีเฟลอร์เกีย ชื่อของข้าคือโอซาริส ยินดีต้อนรับสู่ป่าสีน้ำเงินเจ้าหญิงเฮเลียส”
โอซาริสแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มและท่วงท่าที่งดงามเป็นมิตร เฮเลียสพยายามขยับแขนที่ยังมีผ้าพันแผลพันรอบ แต่ก็รู้สึกหนักอึ้งไม่ต่างจากส่วนอื่นๆของร่างกาย
“อย่าเพิ่งขยับเลย ท่านยังต้องนอนอยู่อย่างนี้อีกซักระยะเพื่อให้บาดแผลสมานกัน ระหว่างนี้ท่านจะไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาต”
เมื่อรู้เหตุผลหญิงสาวจึงเลิกพยายามขยับตัว ก่อนจะหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมคำถามที่มักจะใช้เมื่อลืมตาขึ้นมาในต่างถิ่น
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ชายคนหนึ่งพร้อมมังกรพาท่านกับปีศาจตนหนึ่งมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน”
“เคออน! แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ปีศาจตนนั้นอยู่ที่ไหน อ๊ะ!”
“ใจเย็นๆก่อน ท่านยังไม่หายดีนะ”
โชคดีที่โอซาริสเข้ามารับร่างเฮเลียสไว้ก่อนที่เธอจะกลิ้งตกจากเตียง เธอคือชนเผ่าเอลฟ์เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินกล่าวด้วยน้ำเสียงใสดุจเสียงระฆังว่า
“อย่าห่วงเลย เขาอยู่ที่นี่และไม่ยอมอยู่ห่างท่านจนไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ตอนนี้เป็นช่วงกลางวันข้าให้เขาไปพักผ่อนแล้ว เดี๋ยวพอพลบค่ำเขาก็คงมาหาท่านอีกแน่”
“เขาไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เจ้าหญิง ข้าอยากให้ท่านพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายตัวเองมากกว่าการเป็นห่วงปีศาจนั่น”
“แต่ปีศาจที่ท่านพูดถึงเป็น…”
“ข้าทราบดีว่าเขาคือคนสำคัญของท่าน แต่จงรู้ไว้ด้วยว่าเจ้าชายปีศาจก็เป็นสหายข้า แล้วไยข้าจะไม่ใส่ใจเขากัน”
พอได้ฟังดังนั้นเฮเลียสก็เลิกล้มความตั้งใจจะฝืนร่างกายที่หนักราวกับหินศิลาของตัวเองเพื่อลุกขึ้น เพิ่งรู้ว่าเจ้าชายปีศาจมีมิตรสหายกับเขาด้วย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเคโอเรสเตอร์ไม่เคยพูดถึงเลยสักครั้งเดียว
หลังจากที่ปรามเจ้าหญิงจอมดื้อจนหลับไปโอซาริสก็เดินออกจากห้องนั้น ก่อนจะลอยตัวขึ้นไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ด้านบนสุดของปราสาทอันสูงลิบลิ่วด้วยปีกที่คล้ายกับใบไม้โปร่งใส เพียงเสี้ยวนาทีหญิงงามก็ขึ้นมายืนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องชั้นบนสุด
“ข้านึกว่าท่านกลับไปแล้วเสียอีก ไฮเพอริเนอร์”
น้ำเสียงใสแต่แฝงความเฉียบคมเอาไว้เอ่ยทักชายร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ภายในห้องอันมืดสลัว พลันเกิดเสียงตอบกลับมาพร้อมกับไฟที่เกิดขึ้นจากเวทส่องสว่างในห้องเผยให้เห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีดำเก่าๆขาดวิ่นพร้อมกับมีหมวกฮู้ดปกปิดเส้นผมและใบหน้าเอาไว้จนเกือบมิด
“อุตส่าห์มั่นใจว่าไม่มีใครจำได้แล้วเชียวนะ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมยกมือปัดหมวกฮู้ดออกเผยให้เห็นเส้นผมสีม่วงอ่อนและดวงตาสีทองที่เข้ารูปกับใบหน้าโทนสีแทนอันคมคายนั้นราวกับรูปสลัก ไม่ช้ารอยยิ้มเย็นก็ปรากฏขึ้นจากหญิงงามที่เดินเข้ามาในห้อง
“นางฟื้นแล้ว”
คำตอบสั้นๆที่ได้จากโอซาริสทำให้โทรเฟ่นเลิกคิ้วสูงฉายแววยินดีจนเกือบปิดไม่มิด ช่างสมกับเวลาที่รอคอยจริงๆ วันแรกที่พาเธอมาที่นี่ยังคิดอยู่ในใจว่าเธออาจจะไม่รอดเพราะบาดแผลที่ลึกและเลือดที่ไหลจนแทบหมดตัว หากไม่ได้เอลฟ์ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินช่วยเอาไว้อย่างทันท่วงทีแล้ว ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ลำพังตัวเขาไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ้าชายปีศาจที่มาพร้อมกับเธอเล่าจะเป็นเช่นไร ท่ามกลางการตะลุมบอนที่ปราสาทนั่น โทรเฟ่นได้เห็นเต็มสองตาว่าเจ้าชายปีศาจโหดเหี้ยมมาก เขาพยายามสังหารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์นามโอแลมป์ ต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวข้างกายตนบาดเจ็บปางตาย แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเจ้านั่นดันหนีไปเสียก่อน
และหลังจากที่โทรเฟ่นพาทั้งสองมาที่นี่ เคโอเรสเตอร์ก็ล้มฟุบไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์และความอ่อนแรงจากการฝืนใช้พลัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพร่ำเพ้อหาเพียงเจ้าหญิงสายเลือดมนุษย์ผู้นั้นไม่หยุด เธอผู้นั้นคงจะสำคัญกับเขามากจริงๆ แต่จะมากเท่ากับความสำคัญที่คาร์ลอสมีให้หญิงผู้เป็นที่รักหรือไม่นั้นโทรเฟ่นไม่อยากรับรู้และไม่ขอยุ่งเกี่ยวใดๆ เพราะคิดอย่างเดียวว่าตลอดชีวิตอันยืนยาวนี้เขาปรารถนาอยู่ท่ามกลางสนามรบมากกว่าที่จะอยู่เคียงข้างใครซักคน
“แล้ว…เจ้าชายปีศาจล่ะ”
“ข้าบอกท่านคนแรก”
“หืม”
โทรเฟ่นเอียงคอทำหน้าสงสัยส่งไปยังเอลฟ์ผู้พิทักษ์ เธอมาบอกเขาเป็นคนแรกเหรอ ทำไมกันล่ะ
และเหมือนสายตาอันเฉียบแหลมของเอลฟ์สาวจะอ่านความคิดผ่านสีหน้าของเขาได้ เธอจึงตอบโดยไม่รอคำถาม
“เคโอเรสเตอร์ยังต้องพัก ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตื่น…รู้อย่างนี้แล้วจะลองไปเยี่ยมนางหน่อยไหมล่ะ”
“ไม่ล่ะ”
โทรเฟ่นปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิด เขาอยากไปแต่ก็ไม่อยากเจอหน้าเจ้าชายปีศาจเหมือนทุกที เจ้าชายปีศาจนั่นชอบทำตาขวางใส่เขาทุกครั้งที่เห็นหน้า ก็นะ…มีชนักติดหลังอยู่ขนาดนั้นนี่ เขาคงเคืองบ้างล่ะที่จู่ๆมังกรสีดำก็พังปราสาทที่อยู่ของเขาจนราบไปทั้งแถบ
“ที่ท่านยังไม่กลับก็เพราะมีเรื่องจะพูดกับนางไม่ใช่หรืออย่างไร”
“ข้าไม่รู้จักนางมากไปกว่าฐานะผู้มีพระคุณ ที่ช่วยก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น”
“แล้วทำไมยังไม่กลับเล่า”
“ก็….” เทพหนุ่มกลอกตาลอกแลกหาคำพูดแก้ต่าง
“แค่อยากท่องเที่ยวตามประสาคนจรบ้างก็เท่านั้น”
โอซาริสหัวเราะในลำคอดัง ‘หึ’ อยู่มาก็นานนับหลายร้อยปีทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าท่าทางอึกอักเช่นนี้คืออะไร เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่รู้เท่านั้นเอง
“เอาเถอะ หากท่านต้องการเช่นนั้น ในฐานะเจ้าบ้านคงไม่ใจดำขนาดขับไล่คนจรที่มีมังกรขี้เซาตามติดเช่นท่านออกไปได้ อีกอย่างท่านก็เป็นคนช่วยชีวิตสหายข้าเอาไว้ เชิญอยู่ที่นี่จนกว่าจะพอใจเถอะ ท่านเทพพเนจร”
“เจ้าบ้านเอ่ยถึงเพียงนี้ข้าก็มิอาจปฏิเสธน้ำใจ”
“เชิญตามสบาย”
“แต่ข้าไม่สบาย!”
เสียงทุ้มแต่ฟังดูเกรี้ยวกราดเหมือนมีความแค้นมาสิบชาติดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงบานประตูที่ถูกกระแทกเข้ามาจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง!’
“ตื่นแล้วรึ”
โอซาริสหันไปทักผู้มาใหม่อย่างไม่สะท้านต่อเสียงดังราวฟ้าผ่า ขณะที่เทพหนุ่มนัยน์ตาสีทองยังคงยืนกอดอกและแสยะยิ้มเหมือนทักทาย
เจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์เดินเข้ามาในห้องในสภาพที่เหมือนกับคนเพิ่งฟื้นไข้ บนร่างเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่มีเลือดไหลซึมเป็นจุดๆ ถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมของเอลฟ์ที่ออกไปทางโทนสีเข้ม ดวงตาสีนิลดุจอัญมณีแห่งแดนมืดจับจ้องไปยังชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนที่ยืนนิ่งไม่ละสายตาก่อนที่ปากเสียๆจะทำงานโดยอัตโนมัติ
“ยังเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีกรึ”
“เคโอเรสเตอร์” เอลฟ์สาวปรามเสียงแผ่วแต่หนักแน่น แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเจ้าชายปีศาจจะสนใจและยังคงจับจ้องเทพผมสีม่วงอ่อนเขม็ง
“มีเจ้านี่อยู่ข้าไม่สบายแน่โอซาริส สองคน…ไม่สิ ต้องเรียกว่าหนึ่งเทพกับมังกรอีกหนึ่งตัวถึงจะถูก”
พูดไม่ทันจบมังกรสีดำตัวเขื่องก็โผล่พรวดเข้ามาเทียบท่าอยู่ที่หน้าต่างกว้าง ดวงตาของมันวาวโรจน์จับจ้องมายังเจ้าของคำพูดแดกดันเมื่อครู่อย่างเอาเรื่อง หากไม่ใช่เพราะเทพหนุ่มผมสีม่วงกางแขนเป็นเชิงห้ามเอาไว้ล่ะก็ มันคงจะพังกำแพงเข้ามาเขมือบเจ้าชายปากเสียนั่นเป็นมื้อเย็นสุดห่วยของมันเรียบร้อย แต่แค่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เคโอเรสเตอร์สะท้านได้แม้แต่ปลายขน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนที่กล้าเข้ามาตะลุมบอนกับสมุนปีศาจอันแข็งแกร่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพผู้เสพสุขกับสงครามอย่างโทรเฟ่น หลักฐานตำตาก็คือเจ้ามังกรสีดำตัวเขื่องที่ติดเจ้านายยิ่งกว่าฝาแฝด ปรากฏตัวที่ไหนมีอันต้องวินาศสันตะโรที่นั่น ยกตัวอย่างเช่น ปราสาทที่เขาใช้อาศัยซุกหัวนอนมาหลายร้อยปีกับน้องสาว(บุญธรรม)ได้พังราบเป็นหน้ากลองเพราะการทำลายของเจ้ามังกรนั่น!
โทรเฟ่นไม่ช่ำชองกับการแอบอ่านความคิดของคนอื่นผ่านสีหน้า แต่สำหรับเจ้าชายปีศาจที่อยู่ตรงหน้า ณ เวลานี้มันช่างเป็นอารมณ์ที่แสดงออกโจ่งแจ้งเกินกว่าจะเรียกว่าความคิด ซึ่งเขาก็เดาออกว่ามันเกิดจากอะไร เพราะตัวต้นของสีหน้าเครียดนั่นก็อยู่ด้านหลังเขาแล้วนี่ เคโอเรสเตอร์คงจะโกรธมากที่ปราสาทนั้นได้พังราบเป็นหน้ากลอง แต่โทรเฟ่นก็ขอยืนยันว่านั่นไม่ใช่ความตั้งใจจริงของเขาและมังกรคู่หู เพราะพลังทำลายระดับเทพสงครามห้ามกันได้เสียที่ไหน แต่เป็นสถานที่ต่างหากที่เปราะบางตามกาลเวลา
“วางใจได้เลยเคโอเรสเตอร์ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนแน่นอน”
“หึ ตัวทำลายดีๆล่ะสิไม่ว่า”
“นั่นเป็นเหตุสุดวิสัยน่า อย่าเก็บมันมาใส่ใจเลย”
“เจ้าบ้า! เจ้าทำลายมันแล้วพวกข้าจะไปซุกหัวนอนที่ไหน”
“ก็อยู่ซะที่นี่เลยสิ”
เสียงนุ่มแต่หนักแน่นดังแทรกเข้ามากลางวง เอลฟ์ผู้พิทักษ์ที่เกือบจะไร้ตัวตนยืนสงบนิ่งฟังชายหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์สนทนากันอยู่นานก็นึกรำคาญ สายตาเฉียบคมแต่แอบหวานปรายมองเจ้าชายปีศาจอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงโทนเดิมว่า
“เจ้าหญิงเฮเลียสฟื้นแล้ว จะไม่ไปหานางหน่อยรึ”
เพียงเท่านั้นแหล่ะที่ทำให้เจ้าชายปีศาจถึงกับเลิกคิ้วสูงฉายแววยินดีปนโล่งอก แต่ก็ไม่วายที่จะตีสีหน้าถมึงทึง เอลฟ์สาวจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“ตอนนี้พวกปีศาจตามหาเจ้ากันให้ว่อน พวกมันคงไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอศพเจ้าแน่”
“ข้ารู้ และข้าจะไม่อยู่รอให้พวกมันมาราวีดินแดนของเจ้าแน่ โอซาริส”
“ท่านคิดจะทำเช่นไร”
“ข้าจะพาเฮเลียสไปจากที่นี่”
“ท่านจะพานางไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นไม่ได้”
“ขืนอยู่ที่นี่ต่อมีหวังพวกมันตามมาเจอแน่”
“แล้วท่านจะไปที่ไหนเคโอเรสเตอร์ เผ่าพยัคฆ์รึ ลิกไนต์กับไลน์ไม่ได้อยู่ที่เผ่าท่านจะไปพึ่งใคร แล้วเจ้าหญิงล่ะ เจ้าคิดว่านางคือใครกัน ถึงจะเป็นรัชทายาทผู้ปกครองแดนตะวันออกแต่ส่วนหนึ่งในกายนางก็เป็นมนุษย์นะ ”
โอซาริสกล่าวยาวเหยียดโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าชายปีศาจได้เอ่ยแย้ง เธอรู้ทางที่เขาจะไปจึงรีบดักทางเอาไว้ เพราะสหายต่างเผ่าทั้งสองที่พูดถึงไม่ได้อยู่ที่ดินแดนของตนจริงๆ แต่แทนที่เจ้าชายจอมรั้นจะฟังเขากลับเสาะหาทางที่จะไปได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“ข้าจะพาเฮเลียสไปที่แคว้นเหนือของแดนเทพ พันธมิตรของท่านพ่อต้องช่วยได้แน่”
เมื่อเจ้าชายปีศาจเอ่ยนามสหายของตน โทรเฟ่นที่เงียบมานานก็ถือวิสาสะแทรกขึ้น
“ข้าให้เจ้าไปหาเขาตอนนี้ไม่ได้หรอก เคโอเรสเตอร์”
“ว่าไงนะ”
“ไฮเพอทีอัส คาร์ลอส อิคิออน เป็นพันธมิตรและสนิทชิดเชื้อของราชาปีศาจก็จริง แต่เขาก็เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของข้าเช่นกัน ตอนนี้เขาไม่อาจจับอาวุธปกป้องใครได้เพราะชายาของเขากำลังจะให้กำเนิดทายาทในอีกไม่ช้า ข้ายอมให้เจ้านำความเดือดร้อนไปหาเขาไม่ได้ ถึงได้ลงมาจัดการด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ”
“ไฮเพอริเนอร์!”
“หึ เจ้าเองก็ฉลาดเคโอเรสเตอร์ น่าจะคิดได้บ้างว่าเวลาเช่นนี้ควรทำอะไร”
“เจ้าหาว่าข้าโง่รึ!”
“ข้าเปล่า ท่านเองก็ได้ยินใช่ไหม เลดี้โอซาริส”
โทรเฟ่นเหลือบมองโอซาริสอย่างขอความเห็น และข้อถกเถียงต่างเผ่าก็ถูกตัดสินด้วยเอลฟ์ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินอย่างเด็ดขาด
“ในฐานะเจ้าบ้าน ข้าสั่งให้ท่านสองคนสงบศึกซะ เคโอเรสเตอร์ ท่านคงไม่ใจร้ายลากเจ้าหญิงไปเผชิญอันตรายทั้งที่ร่างกายท่านเองก็ยังไม่พร้อมหรอกนะ อีกอย่างเจ้าหญิงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันเพ็ญอีกสิบวันข้างหน้า”
“ทำไม”
“เอาไว้เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกท่าน…พร้อมทุกคนที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่จงจำไว้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตนางโดยตรง”
พูดจบโอซาริสก็เป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก แต่ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างของเธอจะก้าวพ้นระเบียง ก็ได้ทิ้งท้ายกับเจ้าชายปีศาจไว้อีกหนึ่งประโยค
“อีกอย่างหนึ่ง…ฟลอกซ์อยากพบท่านคืนนี้ นางจะรออยู่ที่ชายป่าด้านหลังน้ำตกนะ เคโอเรสเตอร์”
พูดจบร่างของเอลฟ์สาวก็หายวับไปราวกับธาตุอากาศ เคโอเรสเตอร์ชักสีหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อของใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานแสนนาน แอนเธียร์ ฟลอกซ์ ไฮมาเนด นางวายร้ายที่มีดวงตาสีเดียวกับเจ้าเทพผมสีม่วงและเจ้ามังกรสีดำตัวเขื่องนี่
เจ้าชายปีศาจเหลือบมองเทพหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องและมังกรสีดำตาสีทองที่โผล่หน้าเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมทิ้งท้าย
“อย่าคิดว่าข้าจะออกปากขอความช่วยเหลือจากเจ้าง่ายๆ เจ้าเทพตกสวรรค์”
เทพหนุ่มยิ้มรับหน้าตาย
“ข้าเองก็ไม่คิดอยู่แล้ว”
ยอดไม้เหนือน้ำตกสีน้ำเงิน ร่างบางของหญิงสาวผิวขาวซีดนั่งไขว้อวดเรียวขาอวบด้วยท่วงท่าอันยั่วยวน ชุดที่สวมใส่เหมือนเทพธิดากรีกออกโทนน้ำเงินแต่ดูเข้มจนเวลากลางคืนจะเห็นเป็นสีดำ พร้อมด้วยเครื่องประดับสีทองลวดลายละเอียดมีจี้เป็นอัญมณีรูปวงรีสีแดงระเรื่อตรงกลางส่องประกายแวววาว ดวงตาสีทองเจิดจรัสแม้ยามค่ำคืนทอดมองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างเรียบเฉย ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มจะกล่าวทักทายแขกที่ยังไม่เข้ามาใกล้ให้เห็นหน้า
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ สุดที่รักของข้า”
“ใครคือสุดที่รักของนางมารร้ายเช่นเจ้ากัน”
แขกผู้มาใหม่สวนกลับทันทีที่มาถึง แสงจากดวงไฟที่เกิดจากการร่ายเวทส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ที่หญิงสาวนั่งอยู่ เคโอเรสเตอร์แหงนมองเจ้าของเท้าที่ห้อยแกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะตนอย่างไม่พอใจ และเหมือนจะอ่านความคิดของเขาได้เธอจึงยอมกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับเขาอย่างว่าง่าย ก่อนที่เจ้าชายปีศาจจะทักทายเธอเหมือนที่เธอได้ทักทายเขาก่อนหน้า
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ ฟลอกซ์”
...................................
ทุกอย่างเหมือนกำลังย้อนกลับไปยังอดีตอันแสนไกล นับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก
เธอถูกพร่ำสอนให้กลายเป็นคนแข็งกระด้าง อายุเพียงห้าขวบก็ต้องร่ำเรียนวิชาการปกครองและจับอาวุธทุกชนิดแทนการกอดตุ๊กตาหรือเด็ดดอกไม้เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป นั่นเป็นเพราะชาติกำเนิดที่แตกต่างหรือเปล่าเฮเลียสก็อยากรู้นัก เธอเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารดาผู้ให้กำเนิดคือใคร ถึงอยากรู้ใจแทบขาดก็เลือกไม่ปริปากเอ่ยถามผู้เป็นบิดาเพราะสงสารกับสีหน้าอมทุกข์ที่เหมือนอยากลาโลกไปเต็มแก่
‘เจ้าเป็นบุตรของกษัตริย์ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับอดีต สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเรียนรู้และรอวันที่จะได้ขึ้นปกครองบ้านเมือง’
นั่นคือคำพร่ำสอนของบิดาทุกครั้งที่เฮเลียสเอ่ยปากถามเรื่องในอดีต หลายครั้งหลายหนจนเธอเลือกที่จะปิดปากเงียบและใช้ชีวิตอยู่ในราชวังอันเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของพระราชาที่ทุกคนยอมก้มหัวให้ แต่ทว่า….ใบหน้าที่ก้มต่ำแทบติดดินของคนเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตชิงชัง มือที่จับอาวุธประจำกายตามยศศักดิ์เหล่านั้นเหมือนไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องผู้เป็นนายแต่อย่างใด แต่มันมีไว้เพื่อรอจังหวะที่จะชักออกมาปลิดชีพคนที่นั่งบัลลังก์เหนือหัวต่างหาก
และเป็นไปตามที่คิดเมื่อโอกาสประจวบเหมาะ การลอบสังหารเชื้อกษัตริย์ได้เริ่มขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวง กษัตริย์ผู้เป็นพ่อได้เดินทางไปต่างแดนและไม่กลับมาอีกเลย ส่วนเจ้าหญิงที่เพิ่งจะมีอายุย่างเข้าสู่ปีที่เจ็ดก็ถูกเหล่านางสนมและองครักษ์คนสนิทแทงข้างหลัง เธอหลบหนีออกมาได้เพราะฝีมือที่ฝึกปรือมาตั้งแต่เด็ก แต่บาดแผลที่สาหัสสากรรจ์ทำให้ไปไหนไม่ได้ไกล พอเข้ามาในป่าต้องห้ามที่อยู่ด้านหลังของหอคอยตะวันตก เจ้าหญิงน้อยก็ล้มฟุบสิ้นแรงอยู่ตรงนั้น พวกกบฏทรยศไม่มีใครกล้าตามเข้ามาเพราะกริ่งเกรงอาถรรพ์ของป่าที่ว่ากันว่ากินมนุษย์เป็นอาหาร แต่สำหรับคนใกล้ตายไม่มีความจำเป็นที่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนั้น ตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ สุดท้ายก็จบลงด้วยคมดาบของผู้ที่ภักดีแต่ภายนอก มันช่างเจ็บปวดและหนักหนาเกินกว่าเด็กอายุเจ็ดขวบจะรับไหว เธอกำลังจะตาย บางทีอาจจะได้เดินทางไปพบกับพ่อแม่ที่โลกหน้าซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่จะได้รู้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร หากว่านางตายไปแล้วจริงๆ และคงจะดีมากหากก่อนตายไม่ทรมานขนาดนี้
เจ็บ…เจ็บมากเสียจนไม่รู้ว่าบาดแผลอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย
“ท่าทางจะฝันร้ายสินะ”
รู้สึกเหมือนฝ่ามือเย็นเยียบแต่แฝงไปด้วยชีวิตแตะผ่านใบหน้าพร้อมเสียงนุ่มนวลที่ไม่คุ้นหู ยิ่งมือนั้นไล้ไปตามดวงหน้าเฮเลียสก็ยิ่งพยายามเบือนหนีความเย็นเยียบนั้นให้ได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เปลือกตาที่ปิดสนิทและหนักอึ้งก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างแช่มช้าและอ่อนแรง สิ่งแรกที่มองเห็นเป็นเพียงภาพใบหน้าของใครบางคนที่พล่าเลือนเกินกว่าจะแยกแยะชายหญิง และคนแรกที่เฮเลียสนึกถึงก็คือ
“เสด็จพ่อ…”
“อา…ยังฝันอยู่รึ”
เปลือกตาหนักอึ้งพลันเบิกกว้างสุดชีวิต เพิ่งรู้ตัวว่าได้นอนอยู่บนเตียงสี่เสาในห้องโทนสีน้ำเงินเย็นตาที่เต็มไปด้วยแมกไม้และเถาวัลย์ขดเป็นลวดลายอ่อนช้อย และเจ้าของเสียงนุ่มนวลตรงหน้าคือหญิงสาวหน้าเรียวมน และมีหูเรียวแหลมโผล่พ้นออกมาจากเรือนผมสีทองยาวสยายตกกลางหลัง ผู้มีดวงตาสีน้ำเงินสดใสเช่นเดียวกับชุดลายลูกไม้เนื้อบางที่สวมใส่ สร้อยคอเป็นโซ่สีเงินเส้นเล็กและมีจี้เป็นรูปเขี้ยวสีเงินที่ถูกรายล้อมด้วยเถาวัลย์ขนาดเล็ก ดูยังไงเธอคนนี้ก็เป็นคนแปลกหน้าและแปลกประหลาดเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์
“ที่นี่ที่ไหน”
“ปราสาทของราชินีเฟลอร์เกีย ชื่อของข้าคือโอซาริส ยินดีต้อนรับสู่ป่าสีน้ำเงินเจ้าหญิงเฮเลียส”
โอซาริสแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มและท่วงท่าที่งดงามเป็นมิตร เฮเลียสพยายามขยับแขนที่ยังมีผ้าพันแผลพันรอบ แต่ก็รู้สึกหนักอึ้งไม่ต่างจากส่วนอื่นๆของร่างกาย
“อย่าเพิ่งขยับเลย ท่านยังต้องนอนอยู่อย่างนี้อีกซักระยะเพื่อให้บาดแผลสมานกัน ระหว่างนี้ท่านจะไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาต”
เมื่อรู้เหตุผลหญิงสาวจึงเลิกพยายามขยับตัว ก่อนจะหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมคำถามที่มักจะใช้เมื่อลืมตาขึ้นมาในต่างถิ่น
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ชายคนหนึ่งพร้อมมังกรพาท่านกับปีศาจตนหนึ่งมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน”
“เคออน! แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ปีศาจตนนั้นอยู่ที่ไหน อ๊ะ!”
“ใจเย็นๆก่อน ท่านยังไม่หายดีนะ”
โชคดีที่โอซาริสเข้ามารับร่างเฮเลียสไว้ก่อนที่เธอจะกลิ้งตกจากเตียง เธอคือชนเผ่าเอลฟ์เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินกล่าวด้วยน้ำเสียงใสดุจเสียงระฆังว่า
“อย่าห่วงเลย เขาอยู่ที่นี่และไม่ยอมอยู่ห่างท่านจนไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ตอนนี้เป็นช่วงกลางวันข้าให้เขาไปพักผ่อนแล้ว เดี๋ยวพอพลบค่ำเขาก็คงมาหาท่านอีกแน่”
“เขาไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เจ้าหญิง ข้าอยากให้ท่านพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายตัวเองมากกว่าการเป็นห่วงปีศาจนั่น”
“แต่ปีศาจที่ท่านพูดถึงเป็น…”
“ข้าทราบดีว่าเขาคือคนสำคัญของท่าน แต่จงรู้ไว้ด้วยว่าเจ้าชายปีศาจก็เป็นสหายข้า แล้วไยข้าจะไม่ใส่ใจเขากัน”
พอได้ฟังดังนั้นเฮเลียสก็เลิกล้มความตั้งใจจะฝืนร่างกายที่หนักราวกับหินศิลาของตัวเองเพื่อลุกขึ้น เพิ่งรู้ว่าเจ้าชายปีศาจมีมิตรสหายกับเขาด้วย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเคโอเรสเตอร์ไม่เคยพูดถึงเลยสักครั้งเดียว
หลังจากที่ปรามเจ้าหญิงจอมดื้อจนหลับไปโอซาริสก็เดินออกจากห้องนั้น ก่อนจะลอยตัวขึ้นไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ด้านบนสุดของปราสาทอันสูงลิบลิ่วด้วยปีกที่คล้ายกับใบไม้โปร่งใส เพียงเสี้ยวนาทีหญิงงามก็ขึ้นมายืนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องชั้นบนสุด
“ข้านึกว่าท่านกลับไปแล้วเสียอีก ไฮเพอริเนอร์”
น้ำเสียงใสแต่แฝงความเฉียบคมเอาไว้เอ่ยทักชายร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ภายในห้องอันมืดสลัว พลันเกิดเสียงตอบกลับมาพร้อมกับไฟที่เกิดขึ้นจากเวทส่องสว่างในห้องเผยให้เห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีดำเก่าๆขาดวิ่นพร้อมกับมีหมวกฮู้ดปกปิดเส้นผมและใบหน้าเอาไว้จนเกือบมิด
“อุตส่าห์มั่นใจว่าไม่มีใครจำได้แล้วเชียวนะ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมยกมือปัดหมวกฮู้ดออกเผยให้เห็นเส้นผมสีม่วงอ่อนและดวงตาสีทองที่เข้ารูปกับใบหน้าโทนสีแทนอันคมคายนั้นราวกับรูปสลัก ไม่ช้ารอยยิ้มเย็นก็ปรากฏขึ้นจากหญิงงามที่เดินเข้ามาในห้อง
“นางฟื้นแล้ว”
คำตอบสั้นๆที่ได้จากโอซาริสทำให้โทรเฟ่นเลิกคิ้วสูงฉายแววยินดีจนเกือบปิดไม่มิด ช่างสมกับเวลาที่รอคอยจริงๆ วันแรกที่พาเธอมาที่นี่ยังคิดอยู่ในใจว่าเธออาจจะไม่รอดเพราะบาดแผลที่ลึกและเลือดที่ไหลจนแทบหมดตัว หากไม่ได้เอลฟ์ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินช่วยเอาไว้อย่างทันท่วงทีแล้ว ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ลำพังตัวเขาไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ้าชายปีศาจที่มาพร้อมกับเธอเล่าจะเป็นเช่นไร ท่ามกลางการตะลุมบอนที่ปราสาทนั่น โทรเฟ่นได้เห็นเต็มสองตาว่าเจ้าชายปีศาจโหดเหี้ยมมาก เขาพยายามสังหารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์นามโอแลมป์ ต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวข้างกายตนบาดเจ็บปางตาย แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเจ้านั่นดันหนีไปเสียก่อน
และหลังจากที่โทรเฟ่นพาทั้งสองมาที่นี่ เคโอเรสเตอร์ก็ล้มฟุบไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์และความอ่อนแรงจากการฝืนใช้พลัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพร่ำเพ้อหาเพียงเจ้าหญิงสายเลือดมนุษย์ผู้นั้นไม่หยุด เธอผู้นั้นคงจะสำคัญกับเขามากจริงๆ แต่จะมากเท่ากับความสำคัญที่คาร์ลอสมีให้หญิงผู้เป็นที่รักหรือไม่นั้นโทรเฟ่นไม่อยากรับรู้และไม่ขอยุ่งเกี่ยวใดๆ เพราะคิดอย่างเดียวว่าตลอดชีวิตอันยืนยาวนี้เขาปรารถนาอยู่ท่ามกลางสนามรบมากกว่าที่จะอยู่เคียงข้างใครซักคน
“แล้ว…เจ้าชายปีศาจล่ะ”
“ข้าบอกท่านคนแรก”
“หืม”
โทรเฟ่นเอียงคอทำหน้าสงสัยส่งไปยังเอลฟ์ผู้พิทักษ์ เธอมาบอกเขาเป็นคนแรกเหรอ ทำไมกันล่ะ
และเหมือนสายตาอันเฉียบแหลมของเอลฟ์สาวจะอ่านความคิดผ่านสีหน้าของเขาได้ เธอจึงตอบโดยไม่รอคำถาม
“เคโอเรสเตอร์ยังต้องพัก ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตื่น…รู้อย่างนี้แล้วจะลองไปเยี่ยมนางหน่อยไหมล่ะ”
“ไม่ล่ะ”
โทรเฟ่นปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิด เขาอยากไปแต่ก็ไม่อยากเจอหน้าเจ้าชายปีศาจเหมือนทุกที เจ้าชายปีศาจนั่นชอบทำตาขวางใส่เขาทุกครั้งที่เห็นหน้า ก็นะ…มีชนักติดหลังอยู่ขนาดนั้นนี่ เขาคงเคืองบ้างล่ะที่จู่ๆมังกรสีดำก็พังปราสาทที่อยู่ของเขาจนราบไปทั้งแถบ
“ที่ท่านยังไม่กลับก็เพราะมีเรื่องจะพูดกับนางไม่ใช่หรืออย่างไร”
“ข้าไม่รู้จักนางมากไปกว่าฐานะผู้มีพระคุณ ที่ช่วยก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น”
“แล้วทำไมยังไม่กลับเล่า”
“ก็….” เทพหนุ่มกลอกตาลอกแลกหาคำพูดแก้ต่าง
“แค่อยากท่องเที่ยวตามประสาคนจรบ้างก็เท่านั้น”
โอซาริสหัวเราะในลำคอดัง ‘หึ’ อยู่มาก็นานนับหลายร้อยปีทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าท่าทางอึกอักเช่นนี้คืออะไร เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่รู้เท่านั้นเอง
“เอาเถอะ หากท่านต้องการเช่นนั้น ในฐานะเจ้าบ้านคงไม่ใจดำขนาดขับไล่คนจรที่มีมังกรขี้เซาตามติดเช่นท่านออกไปได้ อีกอย่างท่านก็เป็นคนช่วยชีวิตสหายข้าเอาไว้ เชิญอยู่ที่นี่จนกว่าจะพอใจเถอะ ท่านเทพพเนจร”
“เจ้าบ้านเอ่ยถึงเพียงนี้ข้าก็มิอาจปฏิเสธน้ำใจ”
“เชิญตามสบาย”
“แต่ข้าไม่สบาย!”
เสียงทุ้มแต่ฟังดูเกรี้ยวกราดเหมือนมีความแค้นมาสิบชาติดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงบานประตูที่ถูกกระแทกเข้ามาจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง!’
“ตื่นแล้วรึ”
โอซาริสหันไปทักผู้มาใหม่อย่างไม่สะท้านต่อเสียงดังราวฟ้าผ่า ขณะที่เทพหนุ่มนัยน์ตาสีทองยังคงยืนกอดอกและแสยะยิ้มเหมือนทักทาย
เจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์เดินเข้ามาในห้องในสภาพที่เหมือนกับคนเพิ่งฟื้นไข้ บนร่างเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่มีเลือดไหลซึมเป็นจุดๆ ถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมของเอลฟ์ที่ออกไปทางโทนสีเข้ม ดวงตาสีนิลดุจอัญมณีแห่งแดนมืดจับจ้องไปยังชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนที่ยืนนิ่งไม่ละสายตาก่อนที่ปากเสียๆจะทำงานโดยอัตโนมัติ
“ยังเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีกรึ”
“เคโอเรสเตอร์” เอลฟ์สาวปรามเสียงแผ่วแต่หนักแน่น แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเจ้าชายปีศาจจะสนใจและยังคงจับจ้องเทพผมสีม่วงอ่อนเขม็ง
“มีเจ้านี่อยู่ข้าไม่สบายแน่โอซาริส สองคน…ไม่สิ ต้องเรียกว่าหนึ่งเทพกับมังกรอีกหนึ่งตัวถึงจะถูก”
พูดไม่ทันจบมังกรสีดำตัวเขื่องก็โผล่พรวดเข้ามาเทียบท่าอยู่ที่หน้าต่างกว้าง ดวงตาของมันวาวโรจน์จับจ้องมายังเจ้าของคำพูดแดกดันเมื่อครู่อย่างเอาเรื่อง หากไม่ใช่เพราะเทพหนุ่มผมสีม่วงกางแขนเป็นเชิงห้ามเอาไว้ล่ะก็ มันคงจะพังกำแพงเข้ามาเขมือบเจ้าชายปากเสียนั่นเป็นมื้อเย็นสุดห่วยของมันเรียบร้อย แต่แค่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เคโอเรสเตอร์สะท้านได้แม้แต่ปลายขน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนที่กล้าเข้ามาตะลุมบอนกับสมุนปีศาจอันแข็งแกร่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพผู้เสพสุขกับสงครามอย่างโทรเฟ่น หลักฐานตำตาก็คือเจ้ามังกรสีดำตัวเขื่องที่ติดเจ้านายยิ่งกว่าฝาแฝด ปรากฏตัวที่ไหนมีอันต้องวินาศสันตะโรที่นั่น ยกตัวอย่างเช่น ปราสาทที่เขาใช้อาศัยซุกหัวนอนมาหลายร้อยปีกับน้องสาว(บุญธรรม)ได้พังราบเป็นหน้ากลองเพราะการทำลายของเจ้ามังกรนั่น!
โทรเฟ่นไม่ช่ำชองกับการแอบอ่านความคิดของคนอื่นผ่านสีหน้า แต่สำหรับเจ้าชายปีศาจที่อยู่ตรงหน้า ณ เวลานี้มันช่างเป็นอารมณ์ที่แสดงออกโจ่งแจ้งเกินกว่าจะเรียกว่าความคิด ซึ่งเขาก็เดาออกว่ามันเกิดจากอะไร เพราะตัวต้นของสีหน้าเครียดนั่นก็อยู่ด้านหลังเขาแล้วนี่ เคโอเรสเตอร์คงจะโกรธมากที่ปราสาทนั้นได้พังราบเป็นหน้ากลอง แต่โทรเฟ่นก็ขอยืนยันว่านั่นไม่ใช่ความตั้งใจจริงของเขาและมังกรคู่หู เพราะพลังทำลายระดับเทพสงครามห้ามกันได้เสียที่ไหน แต่เป็นสถานที่ต่างหากที่เปราะบางตามกาลเวลา
“วางใจได้เลยเคโอเรสเตอร์ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนแน่นอน”
“หึ ตัวทำลายดีๆล่ะสิไม่ว่า”
“นั่นเป็นเหตุสุดวิสัยน่า อย่าเก็บมันมาใส่ใจเลย”
“เจ้าบ้า! เจ้าทำลายมันแล้วพวกข้าจะไปซุกหัวนอนที่ไหน”
“ก็อยู่ซะที่นี่เลยสิ”
เสียงนุ่มแต่หนักแน่นดังแทรกเข้ามากลางวง เอลฟ์ผู้พิทักษ์ที่เกือบจะไร้ตัวตนยืนสงบนิ่งฟังชายหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์สนทนากันอยู่นานก็นึกรำคาญ สายตาเฉียบคมแต่แอบหวานปรายมองเจ้าชายปีศาจอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงโทนเดิมว่า
“เจ้าหญิงเฮเลียสฟื้นแล้ว จะไม่ไปหานางหน่อยรึ”
เพียงเท่านั้นแหล่ะที่ทำให้เจ้าชายปีศาจถึงกับเลิกคิ้วสูงฉายแววยินดีปนโล่งอก แต่ก็ไม่วายที่จะตีสีหน้าถมึงทึง เอลฟ์สาวจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“ตอนนี้พวกปีศาจตามหาเจ้ากันให้ว่อน พวกมันคงไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอศพเจ้าแน่”
“ข้ารู้ และข้าจะไม่อยู่รอให้พวกมันมาราวีดินแดนของเจ้าแน่ โอซาริส”
“ท่านคิดจะทำเช่นไร”
“ข้าจะพาเฮเลียสไปจากที่นี่”
“ท่านจะพานางไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นไม่ได้”
“ขืนอยู่ที่นี่ต่อมีหวังพวกมันตามมาเจอแน่”
“แล้วท่านจะไปที่ไหนเคโอเรสเตอร์ เผ่าพยัคฆ์รึ ลิกไนต์กับไลน์ไม่ได้อยู่ที่เผ่าท่านจะไปพึ่งใคร แล้วเจ้าหญิงล่ะ เจ้าคิดว่านางคือใครกัน ถึงจะเป็นรัชทายาทผู้ปกครองแดนตะวันออกแต่ส่วนหนึ่งในกายนางก็เป็นมนุษย์นะ ”
โอซาริสกล่าวยาวเหยียดโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าชายปีศาจได้เอ่ยแย้ง เธอรู้ทางที่เขาจะไปจึงรีบดักทางเอาไว้ เพราะสหายต่างเผ่าทั้งสองที่พูดถึงไม่ได้อยู่ที่ดินแดนของตนจริงๆ แต่แทนที่เจ้าชายจอมรั้นจะฟังเขากลับเสาะหาทางที่จะไปได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“ข้าจะพาเฮเลียสไปที่แคว้นเหนือของแดนเทพ พันธมิตรของท่านพ่อต้องช่วยได้แน่”
เมื่อเจ้าชายปีศาจเอ่ยนามสหายของตน โทรเฟ่นที่เงียบมานานก็ถือวิสาสะแทรกขึ้น
“ข้าให้เจ้าไปหาเขาตอนนี้ไม่ได้หรอก เคโอเรสเตอร์”
“ว่าไงนะ”
“ไฮเพอทีอัส คาร์ลอส อิคิออน เป็นพันธมิตรและสนิทชิดเชื้อของราชาปีศาจก็จริง แต่เขาก็เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของข้าเช่นกัน ตอนนี้เขาไม่อาจจับอาวุธปกป้องใครได้เพราะชายาของเขากำลังจะให้กำเนิดทายาทในอีกไม่ช้า ข้ายอมให้เจ้านำความเดือดร้อนไปหาเขาไม่ได้ ถึงได้ลงมาจัดการด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ”
“ไฮเพอริเนอร์!”
“หึ เจ้าเองก็ฉลาดเคโอเรสเตอร์ น่าจะคิดได้บ้างว่าเวลาเช่นนี้ควรทำอะไร”
“เจ้าหาว่าข้าโง่รึ!”
“ข้าเปล่า ท่านเองก็ได้ยินใช่ไหม เลดี้โอซาริส”
โทรเฟ่นเหลือบมองโอซาริสอย่างขอความเห็น และข้อถกเถียงต่างเผ่าก็ถูกตัดสินด้วยเอลฟ์ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินอย่างเด็ดขาด
“ในฐานะเจ้าบ้าน ข้าสั่งให้ท่านสองคนสงบศึกซะ เคโอเรสเตอร์ ท่านคงไม่ใจร้ายลากเจ้าหญิงไปเผชิญอันตรายทั้งที่ร่างกายท่านเองก็ยังไม่พร้อมหรอกนะ อีกอย่างเจ้าหญิงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันเพ็ญอีกสิบวันข้างหน้า”
“ทำไม”
“เอาไว้เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกท่าน…พร้อมทุกคนที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่จงจำไว้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตนางโดยตรง”
พูดจบโอซาริสก็เป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก แต่ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างของเธอจะก้าวพ้นระเบียง ก็ได้ทิ้งท้ายกับเจ้าชายปีศาจไว้อีกหนึ่งประโยค
“อีกอย่างหนึ่ง…ฟลอกซ์อยากพบท่านคืนนี้ นางจะรออยู่ที่ชายป่าด้านหลังน้ำตกนะ เคโอเรสเตอร์”
พูดจบร่างของเอลฟ์สาวก็หายวับไปราวกับธาตุอากาศ เคโอเรสเตอร์ชักสีหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อของใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานแสนนาน แอนเธียร์ ฟลอกซ์ ไฮมาเนด นางวายร้ายที่มีดวงตาสีเดียวกับเจ้าเทพผมสีม่วงและเจ้ามังกรสีดำตัวเขื่องนี่
เจ้าชายปีศาจเหลือบมองเทพหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องและมังกรสีดำตาสีทองที่โผล่หน้าเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมทิ้งท้าย
“อย่าคิดว่าข้าจะออกปากขอความช่วยเหลือจากเจ้าง่ายๆ เจ้าเทพตกสวรรค์”
เทพหนุ่มยิ้มรับหน้าตาย
“ข้าเองก็ไม่คิดอยู่แล้ว”
ยอดไม้เหนือน้ำตกสีน้ำเงิน ร่างบางของหญิงสาวผิวขาวซีดนั่งไขว้อวดเรียวขาอวบด้วยท่วงท่าอันยั่วยวน ชุดที่สวมใส่เหมือนเทพธิดากรีกออกโทนน้ำเงินแต่ดูเข้มจนเวลากลางคืนจะเห็นเป็นสีดำ พร้อมด้วยเครื่องประดับสีทองลวดลายละเอียดมีจี้เป็นอัญมณีรูปวงรีสีแดงระเรื่อตรงกลางส่องประกายแวววาว ดวงตาสีทองเจิดจรัสแม้ยามค่ำคืนทอดมองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างเรียบเฉย ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มจะกล่าวทักทายแขกที่ยังไม่เข้ามาใกล้ให้เห็นหน้า
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ สุดที่รักของข้า”
“ใครคือสุดที่รักของนางมารร้ายเช่นเจ้ากัน”
แขกผู้มาใหม่สวนกลับทันทีที่มาถึง แสงจากดวงไฟที่เกิดจากการร่ายเวทส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ที่หญิงสาวนั่งอยู่ เคโอเรสเตอร์แหงนมองเจ้าของเท้าที่ห้อยแกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะตนอย่างไม่พอใจ และเหมือนจะอ่านความคิดของเขาได้เธอจึงยอมกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับเขาอย่างว่าง่าย ก่อนที่เจ้าชายปีศาจจะทักทายเธอเหมือนที่เธอได้ทักทายเขาก่อนหน้า
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ ฟลอกซ์”
...................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ