angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เจ้าหญิงเลือดผสม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 3 เจ้าหญิงเลือดผสม

การนอนช่างเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับคนที่ต้องนอนนิ่งเป็นอัมพาตอย่างเฮเลียส ตั้งแต่ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในป่าสีน้ำเงินเขตปกครองของพวกเอลฟ์ ก็ผ่านมาเป็นวันที่สามแล้ว เจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์ซึ่งเป็นพี่ชาย(บุญธรรม)ก็ได้มาเยี่ยมเธอทุกคืน แน่นอนว่าเขามาตอนเธอหลับ แต่ทำไมถึงได้รู้น่ะหรือ ก็คงจะเป็นเพราะดอกไม้ช้ำๆกลีบฉีกขาดก้านหักที่วาง(กอง)ไว้บนหมอนที่เธอหนุนทุกคืนนี่กระมัง ดูท่าทางดอกไม้เหล่านี้จะเปราะบางเกินกว่าที่จะใช้ปีศาจไปเก็บเสียด้วยสิ

บาดแผลที่หัวไหล่และแขนสมานกันดีพร้อมทั้งร่างกายที่หนักเหมือนหินก็เริ่มขยับได้บ้างแล้ว ส่วนหนึ่งก็คงเพราะพลังเวทจากโอซาริสที่ช่วยรักษาเยียวยาให้ และอีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะเลือดปีศาจอันน้อยนิดที่ยังไหลเวียนอยู่ในร่าง ซึ่งนั่นก็เกินพอสำหรับการพักฟื้นที่ยาวนาน และหากยังนอนอยู่อย่างนี้ต่อไปคงจะได้เป็นอัมพาตถาวรแน่แท้ ปลายเท้าค่อยๆเหยียบลงบนพื้นหินสีเขียวมรกตอันเย็นเฉียบก่อนจะก้าวเดินอย่างแช่มช้าตรงไปที่ประตูไม้สลักอ่อนช้อย พอเปิดประตูออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็พบกับสาวงามในชุดสีลูกไม้สีขาวเนื้อดีกำลังเดินมาหาด้วยท่าทีที่เป็นกังวล

“เจ้าหญิง ท่านประสงค์สิ่งใดรึ” เอลฟ์สาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลหยักศกเอ่ยถามเสียงเย็นราวน้ำตก ในขณะที่อีกคนที่มีเรือนผมสีดำสนิทเรียบตรงยาวถึงกลางหลังโค้งตัวเล็กน้อยเหมือนทักทายแบบเงียบเชียบ

“ข้าอยากออกไปสูดอากาศหน่อย” เฮเลียสตอบตามจริง ไม่รู้ว่าเอลฟ์ทั้งสองมีตำแหน่งสูงส่งขนาดไหน เพราะเดาจากเครื่องแต่งกายแล้วพวกเธอทั้งสองออกจะเทียบเท่าได้เลย พลันเอลฟ์ผมสีดำเอ่ยแทรกเข้ามาด้วยโทนเสียงเดียวกันว่า

“ท่านยังไม่แข็งแรง โปรดจงระวังด้วยเถอะ”

“ข้าไปไม่ไกลหรอก อย่าห่วงเลย”

“มิได้ ท่านฟลอกซ์สั่งเอาไว้”

“ฟลอกซ์?”

“ท่านฟลอกซ์คือผู้ดูแลป่าสีน้ำเงินเช่นเดียวกับเลดี้โอซาริส นางคงไม่พอใจแน่หากรู้ว่าเจ้าหญิงออกมาทั้งที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงเช่นนี้”

เฮเลียสเหลือกตาขึ้นมองเพดานหินอ่อนอย่างเหนื่อยหน่าย ทำไมใครต่อใครถึงได้เห็นเธอเป็นคนอ่อนแออยู่เรื่อยเลยนะ หรือว่าจะเป็นเพราะสายเลือดมนุษย์กัน และเหมือนเอลฟ์ผู้เลอโฉมทั้งสองจะเห็นท่าทางเบื่อหน่ายจนใกล้เฉาตายของเธอเข้าจึงช่วยกันแก้ต่างและอาสาติดตามไปดูแล

“หากเจ้าหญิงจะประสงค์เดินเล่น เราทั้งสองจะคอยดูแลเอง”

“พวกเจ้าไม่มีงานต้องทำหรือไง”

“การดูแลท่านคือหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของพวกเราทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้”

เฮเลียสอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างขอไปที ไม่รู้หรอกว่าฟลอกซ์ที่พวกเธอกล่าวถึงเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้ายังดื้อดึงอยู่อย่างนี้อีกล่ะก็ มีหวังได้กลับเข้าไปนอนเป็นอัมพาตอยู่ในห้องเหมือนเดิมแน่

เจ้าหญิงเฮเลียสเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุดของปราสาท โดยมีสองเอลฟ์ที่เพิ่งจะรู้ชื่อคือ ลิซ่ากับเออร์แวน เดินตามหลังโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ

ป่าสีน้ำเงิน หากมองจากระเบียงของปราสาทนี้ก็จะมองเห็นทิวไม้ที่อยู่ไกลลิบลิ่วได้ ไม่รู้ว่ากว้างใหญ่แค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าป่าทั้งป่าจะเป็นโทนสีน้ำเงินทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่น้ำตก แถมบางส่วนยังถูกปกคลุมด้วยหมอกทำให้เกิดเป็นสีม่วงหม่น ถึงกระนั้นก็ยังมีแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาถึง ซึ่งรู้ได้จากเวลานี้ที่มีแสงสีส้มแสดของพระอาทิตย์อัสดงลามเลียมาถึงระเบียงทางเดินที่กำลังยืนอยู่ เฮเลียสหยุดเดินและเข้าไปเกาะระเบียงเพื่อชมแสงสุดท้ายที่กำลังจะสิ้นสุดของวัน

“ช่างงดงามนัก”

พลันสายตาก็ไปสะดุดกับร่างหนึ่งที่ยืนหันหลังให้และมองไปทางทิศเดียวกับเธอ ร่างสูงโปร่งปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำขาดวิ่นยืนนิ่งอยู่กลางสวนดอกไม้โทนสีน้ำเงินเบื้องล่าง ฉับพลันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“อ๊ะ!”

“มีอะไรรึเจ้าหญิง”

ลิซ่าเดินเข้ามาเอ่ยถามพลางมองลงไปที่สวนดอกไม้เบื้องล่าง ที่ซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า

“เปล่า ข้าเพียงแต่รู้สึกเหมือนเจอใครอยู่ที่สวนดอกไม้นั่น…ข้าอาจจะตาฝาด”

เฮเลียสพูดพลางกะพริบตาสองสามครั้งและเพ่งมองลงไปที่สวน แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเหมือนไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นเสียงทุ้มอันคุ้นเคยก็ทักขึ้นจากด้านข้าง

“มาอยู่ที่นี่เองรึ”

“เคออน!”

เจ้าชายปีศาจมองเธอด้วยแววตาที่อ่อนแสงเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ยังเรียบเฉยและปราศจากรอยยิ้ม เคโอเรสเตอร์มองใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของหญิงสาวพักหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองเอลฟ์สาวทั้งสองตนที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกลเป็นการบอกให้ออกไปกลายๆ ซึ่งเธอทั้งสองก็ยินดีจากไปอย่างไม่ขัดข้อง ระเบียงทางเดินจึงเหลือเพียงเจ้าชายปีศาจและน้องสาวสายเลือดมนุษย์เพียงลำพัง เฮเลียสยังจับจ้องมาที่เขานิ่ง ดวงตาสีอำพันดุจพระจันทร์วันเพ็ญสั่นระริกจ้องมองผ้าพันแผลที่อกของเจ้าชายปีศาจที่ไม่ได้ติดกระดุมเสื้อปกปิด ก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว

“คงเจ็บมากสินะ”

“ข้าเจ็บน้อยกว่าเจ้า”

เคโอเรสเตอร์ว่าพลางยกมือลูบไล้เรือนผมสีทองและลดต่ำลงมาประคองใบหน้าของเธออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ในระยะห่างที่น้อยนิดจนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย แต่บรรยากาศดีๆที่กำลังจะสร้างขึ้นกลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงใสของหญิงสาวคนเดิม

“ดอกไม้ที่ท่านนำไปให้ข้าทุกคืนนั่น มาจากที่ไหนรึ”

“กะ….ก็เก็บเอาแถวๆนี้แหล่ะ ถามทำไม”

“น่าสงสารพวกมันนะที่ต้องมาถูกเจ้าชายปีศาจขย้ำจนแหลกเหลว”

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่”

เจ้าชายปีศาจตอบเสียงแผ่วพลางเบือนหน้าหลบสายตาคาดโทษจากหญิงตรงหน้า

“ต่อไปหากท่านเผลอตัดผมข้าจนเหี้ยนแล้วก็คงจะบอกว่า ‘ช่วยไม่ได้’ งั้นสิ”

“ข้าจะไปทำแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า!”

เจ้าชายปีศาจเผลอขึ้นเสียงและชักมือกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่คำพูดของเธอจะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ยล หมดกันอารมณ์ดีๆและบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ถูกเจ้าหญิงตัวแสบทำลายลงอย่างราบคาบ พลันเสียงหัวเราะขบขันดังขึ้นเบาๆ พอหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับต้นตอในบัดดล

“ขำอะไร”

“ข้ามั่นใจแล้วล่ะว่าท่านคือเคออนตัวจริง”

“ว่าไงนะ”

“ก็นะ ท่าทางอ่อนโยนมันไม่เห็นจะเหมาะกับเจ้าชายปีศาจเลยนี่นา เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าท่านอาจความจำเสื่อม”

พูดออกมาได้เต็มปากโดยไม่มีความเกรงใจกันเลยซักนิด นี่สินะนิสัยที่เธอซึมซับไปจากเขาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะย้อนกลับมาเล่นงานเขาเสียเอง แต่ก็นั่นแหล่ะ อย่างน้อยก็ทำให้เบาใจขึ้นไปเปราะหนึ่งว่าเธอยังสบายดีอยู่ ก่อนความจริงบางอย่างจะถูกเปิดเผยในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ความจริงที่เขารับรู้จากผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินนามว่าฟลอกซ์เมื่อสามวันก่อน เกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของเจ้าหญิงสายเลือดมนุษย์

แดนปีศาจ…ดินแดนที่เคยสงบสุขและเป็นที่กล่าวขานถึงคุณธรรม

บัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นแดนมิคสัญญีอันเจิ่งนองและคาวคลุ้งไปด้วยโลหิตของเหล่าปีศาจด้วยกันเอง หลังจากราชาปีศาจได้ล้มหายตายจากและเจ้าชายเพียงหนึ่งเดียวได้หายสาบสูญ บัลลังก์ก็ถูกครอบครองด้วยท่านหญิงปีศาจนามว่าเบลดันดีซึ่งตั้งตนเป็นราชินีโดยใช้ความสัมพันธ์ของพี่น้องและเป็นเครือญาติเพียงหนึ่งเดียวของราชาปีศาจ นิสัยดิบเถื่อนสังหารได้กระทั่งเด็กทารกถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าของหญิงงาม และจุดประสงค์ของเธอในตอนนี้ก็มีเพียงการตามล่าและสังหารเจ้าชายปีศาจเพื่อไม่ให้กลับมาชิงบัลลังก์คืนไปจากตน

ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจ้าวปีศาจ ราชินีคนใหม่กำลังฟังข่าวที่ลูกชายนำมารายงาน ก่อนจะได้ข้อสรุปที่ไม่พึงใจ

“มันยังไม่ตาย! แถมยังหนีเข้ากลีบเมฆหาตัวไม่เจอรึ!”

“ข้าขออภัยด้วยท่านแม่ หากไม่มีคนมาช่วยมันข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว”

“สำเร็จรึ! ความสำเร็จที่เจ้าพูดถึงมันคือสิ่งใดโอแลมป์ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าก็ยังสู้เคโอเรสเตอร์ไม่ได้ ทั้งที่พลังของมันน่าจะสูญไปเพราะอากาศที่โลกมนุษย์ แล้วนี่อะไร นี่อะไร!…เจ้าถูกมันเล่นงานสาหัส หากเจ้าไม่หนีมาก่อนมีหวังมันไม่ฆ่าเจ้าแล้วฉีกเป็นชิ้นๆหรอกรึ!”

โอแลมป์ก้มหน้าฟังคำด่าทอของมารดาอย่างจนด้วยคำพูดสวนกลับ ทันใดนั้นภาพหญิงสาวเรือนผมสีทองหยักศกเจ้าของดวงตาสีพระจันทร์ก็ปรากฏลอยเด่นขึ้นในมโนความคิดของเขา

“ข้ามีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกให้ท่านรู้ ท่านแม่”

“อะไร”

ราชินีปีศาจยังอยู่ในช่วงข่มอารมณ์เอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ยังกร้าว

โอแลมป์แสยะยิ้มขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากเล่าในสิ่งที่คิดว่าช่วยให้ตนรอดพ้นจากคำปรามาสของมารดาได้เปราะหนึ่ง

“เคโอเรสเตอร์อยู่กับมนุษย์ แถมนางยังมีกลิ่นอายประหลาด หนึ่งในกลิ่นไอนั้นก็เป็นกลิ่นไอปีศาจของเคโอเรสเตอร์ด้วย”

“แล้วอย่างไร” เบลดันดียังคาดคั้นด้วยอารมณ์ที่คุกกรุ่น โอแลมป์จึงรีบกล่าวเสริมให้เต็มว่า

“ท่าทางหญิงสาวชาวมนุษย์นั่นจะเป็นคนที่เคโอเรสเตอร์ให้ความสำคัญมาก หากจับนางมาได้ไม่ว่าเคโอเรสเตอร์จะเก่งกาจขนาดไหนก็ต้องยอมศิโรราบต่อท่านแน่”

“หึ แล้วเจ้าคิดหรือว่าจะจับนางมาได้ง่ายๆน่ะ” ราชินีผู้เป็นแม่ถามหยั่งเชิง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่านแม่ นางเก่งกาจและอายุยืนยาวผิดแปลกไปจากมนุษย์ก็จริง แต่ยังไงซะมนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง หากไม่สำเร็จข้าจะไม่ขอมาเหยียบที่แดนปีศาจให้ท่านต้องอับอายที่มีลูกชายอย่างข้าเด็ดขาด”

โอแลมป์ยื่นคำขาดและย้ำประโยคสุดท้ายชัดถ้อยชัดคำ ทำให้เบลดันดียิ้มอย่างพอใจ

“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูดนะ โอแลมป์”

“ข้าขอรับประกันด้วยชีวิตของข้าครับ ท่านราชินีแห่งแดนมิคสัญญี”

ปีศาจหนุ่มโค้งตัวต่ำเคารพมารดาอย่างนอบน้อม เขาซื่อสัตย์ต่อหญิงตรงหน้าแม้ชีวิตก็ยินดีสละให้ ถึงแม้เธอผู้นี้ไม่เคยที่จะสนใจไยดีเขาที่เป็นลูกเท่ากับบัลลังก์และอำนาจก็ตาม ซึ่งเขาก็ได้ละทิ้งความรู้สึกด้านนั้นไปตั้งนานแล้ว แต่ทว่าบัดนี้ มันกลับก่อตัวขึ้นมาใหม่ในจิตใจที่มืดดำมาแสนนาน เพราะหญิงสาวสายเลือดมนุษย์ผู้นั้น มือซ้ายยกขึ้นมาวางทาบลงบนอกขวาตำแหน่งหัวใจของเผ่าปีศาจ รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนพลังชีวิต ตอนนี้มันเริ่มมีความรู้สึกอื่นแทรกแซงเข้ามาด้วย เขาจำได้ไม่เคยลืมถึงนามแรกของหญิงสาว เคโฮเรสเตอร์เรียกเธอคนนั้นว่า

‘เฮเลียส’

ดึกสงัดเงียบเชียบและหนาวเย็นเหมาะสำหรับการซุกกายใต้ผ้าห่ม แต่สำหรับคนที่นอนเกินพอดีอย่างเฮเลียสไม่อาจข่มตาให้หลับลงไปได้อีกแม้แต่น้อย เคโอเรสเตอร์คงไปล่าเหยื่อ ซึ่งทำให้เธอเบื่อเป็นสองเท่าที่ออกไปกับเขาไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน หญิงสาวย่างเท้าออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ ป่าสีน้ำเงินแห่งนี้ช่างเงียบงันไร้ผู้คนอาศัยไม่ต่างจากปราสาทของเธอที่รกร้างมาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคิดไปอีกทางว่าที่นี่เป็นเขตปกครองของพวกเอลฟ์ ฉะนั้นการใช้ชีวิตของเหล่าเอลฟ์อาจแตกต่างไปจากมนุษย์เสียสักหน่อย อย่างเช่นว่าเหล่าเอลฟ์ที่เห็นเป็นร่างมนุษย์ในช่วงกลางวันอาจจะกลับกลายร่างเดิมของตัวเองและท่องราตรีอยู่ก็เป็นได้ แต่นั่นก็ใช่จะสำคัญเท่ากับความสงสัยที่มีมากกว่านั้น นั่นคือชายปริศนาที่เห็นเมื่อตอนพลบค่ำ รูปร่างสูงใหญ่ถึงจะมีผ้าคลุมสีดำปกปิดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก็บ่งบอกได้ดีว่านั่นคือบุรุษหาใช่สตรี เขาดูไม่เหมือนเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่านี้เลยซักนิด เธอไม่ได้ตาฝาดแต่เขาคนนั้นเคลื่อนไหวเร็วจนมองตามไม่ทันต่างหาก

ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่เห็นเป็นโทนน้ำเงินทั้งสวนบัดนี้แทบจะกลายเป็นสีดำเพราะความมืดที่รายล้อม ยังดีที่พระจันทร์บิดเบี้ยวในค่ำคืนนี้ส่องแสงอ่อนๆลงมาพอให้เห็นทางเดินอันแสนแคบ สายลมนำพากลิ่นพฤกษานานาพันธุ์เข้ามากระทบโสตประสาทรับรู้อย่างต่อเนื่องตลอดการย่ำเท้าไปอย่างแช่มช้า เหมือนกับว่าได้เข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไร้น้ำหนัก ภาพเบื้องหน้าคือทางเดินแสนแคบที่ปูด้วยต้นหญ้าทอดยาวไปยังป่าทึบที่มีซุ้มดอกไม้ตั้งอยู่เหมือนทางเข้าอันคับแคบ เฮเลียสเอียงศีรษะอย่างงุนงง ทั้งที่เมื่อครู่ไม่ได้ปรากฏสิ่งใดนอกจากดอกไม้ที่เบียดเสียดกันอยู่ในสวนจนแทบไม่เหลือทางให้เดิน พลันได้ยินเสียงของใครดังออกมาจากป่าแห่งนั้นและทุกอย่างที่มองเห็นผ่านดวงตาก็กลายเป็นสีดำไร้แสงใดเข้ามาแทรกแซง

ร่างบางเดินหายเข้าไปในซุ้มดอกไม้ที่ปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียว ก่อนที่จะหายไปและถูกแทนที่ด้วยป่าที่เคลื่อนตัวเข้ามาปิดทางเดิน ไม่ทิ้งแม้ร่องรอยน้อยนิดที่หญิงสาวเพิ่งเดินผ่าน ทว่า…การเคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านั้นอยู่ในสายตาของผู้ที่ยืนอยู่บนหลังคาปราสาทตลอดเวลา ดวงตาสีทองเจิดจรัสภายใต้หมวกฮู้ดสีดำที่คลุมศีรษะจนมิดท่ามกลางความมืดก่อนที่เสียงกระพือปีกจะทำลายความเงียบพาร่างนั้นร่อนลงสู่พื้นดุจสายลมที่พัดกระโชก

สายเลือดราชินี…

ในที่สุดก็มาจนได้…มาสิ มาหาข้า

ข้ารอท่านอยู่…ที่นี่

เฮเลียสเดินไปเรื่อยๆตามเสียงเรียกร้องที่บอกเส้นทางให้เดินไปหา จนกระทั่งความรู้สึกเย็นยะเยือกใต้ฝ่าเท้าทำให้สติที่เหม่อลอยกลับมาอีกครั้ง และพบว่ากำลังยืนอยู่บนก้อนหินสีนิลแบนราบข้างลำธารกลางป่าทึบที่ไม่เคยรู้จัก

“นี่ข้า…มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

เฮเลียสกะพริบตาปริบๆมองสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าอย่างงุนงง เธอจำได้ว่ากำลังเดินเล่นสูดกลิ่นพฤกษาอยู่ที่สวนใกล้ๆปราสาท แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะดับวูบไปเหมือนดวงตาถูกปิดและเสียงกระซิบจากใครบางคนที่เรียกหา เพียงไม่นานก็มาอยู่ที่กลางป่านี้เสียแล้ว เจ้าหญิงไร้ญาติหมุนตัวมองไปรอบๆเพื่อหาทางออก ถึงจะอยู่กับปีศาจมาหลายร้อยปีแต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเท่ากับครั้งนี้เลย ไม่สิ ที่นี่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าและเดียวดาย เหมือนคุกที่กักขังใครซักคนไม่ให้พบกับอิสรภาพยังไงอย่างนั้น พลันแสงสีขาวจางดุจสายหมอกได้รวมตัวกันจนเกิดเป็นรูปร่างหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของลำธาร ในระยะที่ไม่ไกลกันมากเพราะลำธารสายแคบที่กั้นขวางระหว่างสองฟากฝั่ง ทำให้เฮเลียสมองเห็นรายละเอียดของคนที่ยืนนิ่งอยู่อีกฟากฝั่งได้โดยไม่ต้องเพ่งสายตา หญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้นมีเส้นผมสีขี้เถ้ายาวระต้นคอและดวงตาสีมรกตที่ดูจะแอบแฝงอะไรเอาไว้

“ใครน่ะ”

‘สายเลือดมนุษย์ สายเลือดที่พรากอิสระไปจากข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมา’

หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจสายน้ำในลำธาร ดวงตาจับจ้องเฮเลียสไม่กะพริบ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะยื่นออกมาหาเหมือนเรียกผู้ที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่งให้เดินข้ามแม่น้ำไปหา

‘มาหาข้าสิ…’

เฮเลียสรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณของปีศาจที่มีอยู่เพียงน้อยนิดว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่งนั้นน่ากลัว และอันตรายเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งด้วย เธอคงข้ามลำธารมาไม่ได้ และพอจะเดาได้ว่าเธอต้องการให้ใครซักคนข้ามไปหาเพื่อที่เธอจะได้ข้ามมา ซึ่งนั่นก็คือเฮเลียสที่ยืนอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง เท้าข้างหนึ่งขยับจะถอยหลัง แต่ทันใดนั้นทุกสิ่งอย่างก็พลันหยุดชะงักเหมือนถูกตรึงเอาไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น

‘อย่าคิดจะหนีเด็ดขาด เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่ราชินีทำกับข้า’

“พูดบ้าอะไรน่ะ ราชินีอะไร ข้าไม่รู้จัก เจ้าแค้นผิดคนแล้ว”

‘ข่าวลือนั่นเป็นจริงหรือนี่ ไม่อยากเชื่อเลย’

“ข่าวลือ…ข่าวลืออะไร”

‘ช่างเถอะ ยังไงซะเจ้าก็ต้องมาเป็นตัวตายตัวแทนของข้า มาชดใช้ในสิ่งที่แม่ของเจ้าทำกับข้าเสียเถอะ สายเลือดของเฟลอร์เกีย!’

เฮเลียสชะงักงันลืมแม้จะออกแรงต่อต้านแรงกระชากที่มองไม่เห็น พลันร่างของเธอก็ลอยละลิ่วตกลงไปในลำธารด้วยเวทมนตร์ของหญิงสาวที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่ง

ตูม!

เพิ่งรู้ว่าน้ำในลำธารแห่งนี้ลึกกว่าที่เห็นแถมยังเย็นเยียบเสียจนร่างกายบางส่วนรู้สึกชาไปในเวลาเพียงไม่นาน เฮเลียสพยายามว่ายขึ้นเหนือผิวน้ำแต่กลับเหมือนจะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆด้วยแรงดึงที่มองไม่เห็น อากาศกำลังจะหมดแต่เธอก็ยังไม่เลิกละความพยายาม เสียงของหญิงสาวผู้นั้นยังคงแล่นเข้าในโสตประสาทเช่นเดิม

‘เลิกดิ้นรนเสียเถอะ ยังไงซะเจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่ อยู่เฝ้าลำธารแห่งนี้…แทนข้า’

ไม่มีวัน!

เฮเลียสคิดสวนกลับและหวังว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ในขณะที่มือทั้งสองยังคงแหวกว่ายดันตัวขึ้นไปสู่ผิวน้ำ แต่แล้วอากาศที่หมดไปก็ทำให้ตาเริ่มพล่าพร้อมกับอาการปวดแสบปวดร้อนกลางอก หนักและอึดอัดเป็นที่สุด แต่ก่อนที่สติจะดำดิ่งลงสู่ความมืดอีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือนมีมือเข้ามากระชากดึงขึ้นไปข้างบน

ซ่า!

“แค่กๆ แฮ่กๆๆ…”

พอโผล่พ้นขึ้นมาได้เฮเลียสก็รีบกอบโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนว่าใครเป็นผู้พยุงเธออยู่กลางน้ำ จนกระทั่งเสียงของหญิงสาวคนเดิมที่ยังยืนอยู่อีกฟากฝั่งของลำธารสบถดังๆ

‘เจ้าเป็นใคร’

“จำเป็นที่ข้าต้องตอบคำถามวิญญาณที่ไร้ซึ่งอิสระเช่นเจ้าด้วยรึ”

‘เจ้า!’

“หากยังอยากอยู่ตรงนี้ล่ะก็ อย่าริอ่านมาก่อเรื่องยุ่งอีก มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้แม้แต่ยืนมองป่าผืนนี้ตามลำพัง”

คำพูดและน้ำเสียงนั้นช่างเหมือนกับเคยได้ยินที่ไหน เฮเลียสเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่มาช่วยชีวิต ทั้งที่เขาโอบกอดเธอไว้แนบอกเพียงนี้แต่ความมืดก็ทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขานอกจากประกายสีทองวูบไหวสองจุดซึ่งนั่นก็คงจะเดาได้ว่าเป็นดวงตา และความเหนื่อยล้าก็ทำให้สติดับวูบลงไปจริงๆ

เมื่อรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวจากชายผู้มาใหม่ วิญญาณที่ถูกพันธนาการให้เฝ้าอยู่ข้างลำธารก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ลดความแข็งกร้าวลง

‘ท่านเป็นใคร’

“ข้า…ไม่เคยเอ่ยนามแก่ใคร เพราะนามของข้าจะนำความหายนะมาสู่ผู้จิตใจแสนคด แต่ขอถามซักข้อว่าทำไมต้องเป็นนาง”

‘นางคือสายเลือดของราชินีเฟลอร์เกีย ผู้ที่พรากอิสรภาพไปจากข้าอย่างไรล่ะ”

โทรเฟ่นได้ฟังดังนั้นจึงก้มมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอด เธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่แรกหรอกหรือ ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วตื่นเต้นจนเก็บไม่มิดเลยสิน่า เทพหนุ่มอุ้มร่างบอบบางแนบอกและกระโดดขึ้นจากลำธารอย่างง่ายดายสายตายังคงมองวิญญาณหญิงสาวผู้ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างเรียบเฉย เธอผู้นั้นมองเขาเช่นกันและพูดออกมาอีกประโยค

‘ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใคร แต่เท่าที่ดูคงไม่ใช่เจ้าชายปีศาจที่เล่าขานกันสินะ’

“ก็คงอย่างนั้น”

‘ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้เข้ามายุ่ง ส่งนางมาให้ข้าซะ!”

“ทำไมข้าต้องทำอย่างนั้นล่ะ” เทพหนุ่มถามอย่างใจเย็น วิญญาณหญิงสาวข้างลำธารจึงเอ่ยเสียงกร้าว

‘สายเลือดมนุษย์น่ารังเกียจ นางคือต้นเหตุที่ทำให้ข้าต้องถูกกักขัง!’

“เสียใจด้วยที่ข้ายกนางให้เจ้าไม่ได้”

โทรเฟ่นไม่สนใจกับสีหน้าที่ตกอกตกใจของวิญญาณสาวและหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังทางเดิม ไม่สนใจกับเสียงร่ำร้องที่ดังตามหลัง เพราะในตอนนี้สมองไม่รับข้อมูลอันใดนอกจากเรื่องราวสุดพิลึกแปลกประประหลาดที่เพิ่งรู้มาสดๆร้อนๆ

เฮเลียส….คือเจ้าหญิงเลือดผสม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา