Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์

8.2

เขียนโดย Pakkie_Davie

วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 02.35 น.

  6 chapter
  2 วิจารณ์
  9,026 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) In-D

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 6In-D
     (ห้องแล็บชั้นใต้ดินชั้นแรก ภาพใกล้เคียงที่คิดก็ประมาณนี้ฮะX)ลิงค์ภาพที่มา https://us.v-cdn.net/5021068/uploads/editor/x2/21m2zexx8do2.jpg

(ทางเดินระหว่างแล็บในชั้นใต้ดินชั้นที่สอง มีลักษณะเป็นท่อหรืออุโมงค์ทอดยาวไปยังห้องทดลองลับที่เก็บอินดี้เอาไว้)ลิงค์ภาพที่มา: https://us.v-cdn.net/5021068/uploads/editor/mj/9n89w2awueal.jpg)

(ภาพห้องทดลองที่ซ่อนอินดี้เอาไว้ในห้องใต้ดินชั้นที่สอง ที่คิดก็ภาพนี้ใกล้เคียงสุดล่ะฮะ)ลิงค์ภาพที่มา: http://img11.deviantart.net/4540/i/2014/005/9/2/bio_lab_by_cementiet-d70zk5t.jpg
     “ไม่มีใครสัมผัสอินดี้ได้เลย ไม่เคยมีมานานแล้ว และตอนนี้... มันอยู่ในมือของเธอ”     คำตอบของลุงยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัย... เป็นไปได้อย่างไร ทำไมไม่มีใครสัมผัสอินดี้ได้นอกจากผม ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเลยสักนิด คิดพลางก้มมองเยื่อบางๆส่องแสงสว่างบนฝ่ามือ      “พวกคุณโจนส์และแมดไซมองหาสิ่งนี้อยู่ใช่ไหม”     “ใช่”เจโรมกล่าว     นี่น่ะเหรอ... สิ่งที่ทำให้มาร์แชลถูกตามล่า และผมเองก็ตกกระไดพลอยโจนโดนสะกดรอยไปด้วย     มันเป็นไปได้อย่างไรกันนะ “อินดี้คืออะไรกันแน่”     “อินฟินิต ไดเมนชั่น”เจโรมกล่าว “หรือเรียกอีกอย่างว่าอินดี้... มันเกิดจากมิติขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งถูกบีบอัดจนกลายสภาพเป็นมิติอนันต์... อินดี้ถูกออกแบบให้บรรจุไว้ในคอนแทคเลนส์ชิ้นนี้เพื่อความสะดวกในการใช้งาน มาร์แชลและนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งคิดค้นมันขึ้นมา พวกเขาดัดแปลงทดลองอินดี้เพื่อข้ามขีดจำกัดทางวงการวิทยาศาสตร์”     “มิติอย่างนั้นเหรอ”ผมพึมพำเสียงแผ่ว      เจโรมพยักหน้า “ครั้งหนึ่งมิติอนันต์เคยอยู่ภายใต้การควบคุมในห้องแล็บ แต่ทว่าทุกวันนี้มันเรียนรู้วิธีสร้างระบบกระบวนการคิดของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ อินดี้จึงกลายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมใดๆ”     “อินดี้บรรจุข้อมูลลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้ และทุกคนต้องการมัน”ไอน์สไตน์เสริม     ความลับประเภทไหนกันนะที่ทำให้ทุกๆคนสนใจอินดี้ถึงเพียงนี้ “ข้อมูลลับอะไร”     อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอผ่านโฮโลแกรม คราวนี้ลุงแกปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ “ถ้าหากฉันบอกเธอ มันจะเป็นข้อมูลลับเหรอ”     “โอเค เข้าใจแล้วล่ะ”ผมพึมพำแผ่วๆนึกครุ่น“สาเหตุที่คุณโจนส์ตามหาผมเป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการข้อมูลภายในอินดี้ และผมเป็นคนเดียวที่ใช้มันได้ใช่ไหม”     “ใช่แล้ว”     ได้ยินแบบนั้นแล้วก็อยากจะถอนหายใจยาวๆ ผมหันมาจดจ้องมองเจโรมใช้คีมคีบอินดี้ออกไปจากฝ่ามือ แสงสว่างหายไปในพริบตานั้น “ไม่มีใครสัมผัสอินดี้ได้จริงเหรอ”     “ไม่มีหรอก เพราะมันถูกออกแบบเอาไว้แบบนั้น”คุณลุงตอบ     “ออกแบบเหรอ”ยิ่งฟังยิ่งงง ผมไม่แน่ใจว่าอินดี้ที่พวกเขาสรรค์สร้างขึ้นมามีความสามารถเช่นไรกันแน่ “ออกแบบให้ไม่มีใครใช้งานได้เนี่ยนะ”     “ออกแบบให้ใช้งานได้เฉพาะคนที่อินดี้เลือกต่างหาก”     เลือก... เลือกผม... “ทำไมจึงเลือกผม”     “รหัสดีเอ็นเอของเธอตรงกับรหัสผ่านของอินดี้ เธอจึงเป็นคนเดียวที่สามารถสัมผัสมันได้ และแน่นอนว่าเธอก็ใช้งานมันได้ด้วย”     นี่มันความบังเอิญชัดๆ      “นับตั้งแต่วันที่อินดี้กลายเป็นสิ่งที่ตกอยู่ภายใต้ความสนใจของทุกคน กลุ่มแมดไซก็เริ่มออกตามหาผู้ที่สามารถใช้อินดี้ได้ มีการตรวจสอบรหัสดีเอ็นเอและจารกรรมข้อมูลเด็กทารกจากโรงพยาบาลทั่วสหรัฐ มีการตั้งข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจซึ่งนำไปสู่คำตอบที่ว่าเธอคือคนที่อินดี้เลือก”     “มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง”     “ทุกกลุ่มที่รู้เรื่องอินดี้”     “ใครบ้างล่ะ”น้ำเสียงของผมแข็งกระด้าง ย่นคิ้วจนแทบจะติดกัน     “ทุกกลุ่มที่ตามล่าฉันอยู่ไง”     เฮ้อ... ผมเลื่อนมือแปะหน้าผาก     “ในบรรดาผู้ที่รู้ความลับเรื่องอินดี้ ฉันเป็นคนแรกที่ค้นหาเธอจนเจอ เพราะเหตุนั้นฉันจึงส่งเจโรมไปที่โรงเรียนเพื่อเฝ้าระวัง จนกระทั่งองค์กรลับส่งโจนส์ออกมาตามหาเธอในออแลนโด้ อีกทั้งกลุ่มแมดไซก็ตามล่าฉันในฟลอริด้า ทำให้รัฐบาลเงาเริ่มเคลื่อนไหวด้วย ถึงตอนนี้แล้วฉันคงอยู่เฉยไม่ได้”     “แล้วผมต้องทำอย่างไร”     “อยู่ให้ห่างจากสายตาของทุกคนที่คอยตามหาอินดี้”     “ผมจะอยู่ห่างจากพวกเขาได้ยังไงในเมื่อ...”     ตึง     หวอ หวอ หวอ     จู่ๆ เสียงเตือนก็ดังขึ้น ห้องทั้งห้องเปลี่ยนเป็นสีแดง      “ระวัง มีผู้บุกรุก ระวัง มีผู้บุกรุก”      ใจผมแทบหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มในตอนนั้น เจโรมหันมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขารีบเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้อง พิมพ์บางอย่างบนแป้น ครั้นแล้วหน้าจอโฮโลแกรมก็โผล่ออกมา ปรากฏเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในตำแหน่งต่างๆภายในวิทยาลัย     “เกิดอะไรขึ้น”ไอน์สไตน์ขมวดคิ้ว หนวดกระตุกเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม     “มีผู้บุกรุกครับ”เจโรมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะกวาดตามองหน้าต่างโฮโลแกรม เขาลากนิ้วไปกลางอากาศแล้วหน้าต่างแต่ละบานก็เลื่อนเป็นวงล้อ เราสองคนแทบจะอุทานพร้อมกันเมื่อพบเห็นการเคลื่อนไหวของคนปริศนาหน้าประตูทางเข้าวิทยาลัย     “นั่นไง”     “มาร์แชลเราเจอปัญหาใหญ่แล้ว” เจโรมเบิกตาโพลง จดจ้องมองชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งภายใต้เสื้อโค้ทสีดำประดับขนมิ้ง พวกเขาสวมฮูทและแว่นตาสีดำปกคลุมใบหน้า “มาร์แชล คุณอยู่ที่ไหน” คราวนี้ภาพโฮโลแกรมของผู้บุกรุกทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นได้ชัดว่ากำลังเดินผ่านลานน้ำพุตรงมายังประตูด้านหน้า เด็กหนุ่มแปลกหน้าเหลือบตาผ่านแว่นกันแดดมองกล้องวงจรปิดราวกับรู้ว่าถูกผมจดจ้องอยู่     ไอน์สไตน์ย่นคิ้วส่งเสียงพึมพำตอบ “ฉันออกมาจากเซ็นต์ ออกัสตินแล้ว พวกแมดไซเลิกตามล่าฉันแล้ว”     “โอเค”เจโรมว่าพลางเลื่อนมือป้องใบหู “ฟังให้ดีนะครับ พวกเขาเจอพวกเราแล้ว”     “ใคร”ผมถาม     “พวกไหน”     นั่นไม่ใช่คุณโจนส์แน่ๆ      “ฟรีดอมเมอร์จากองค์กรวินิตี้”     เมื่อไอน์สไตน์ได้ยินเช่นนั้น หน้าของเขาก็ซีดเป็นไก่ต้ม     “พระเจ้า”คุณลุงถอนหายใจ น้ำเสียงเหมือนคนที่ใกล้จะเป็นลม “ออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด”     “แต่ว่า”     “พวกเธอสู้พวกเขาไม่ได้ ออกมาจากที่นั่นซะ”     “สู้เหรอ เดี๋ยวก่อน”ผมรีบขัดจังหวะ “พวกเราจะไม่สู้กับศัตรูของคุณนะไอน์สไตน์ พวกเขาเป็นใคร”     “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาอธิบาย รีบออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด ล็อคประตูทุกชั้นทุกบาน ทันทีที่รอดปลอดภัย ติดต่อฉันอีกครั้ง”     ทันทีที่รอดปลอดภัย... มันหมายความว่าอะไรกัน!     “ครับ” เจโรมขานรับ แล้วภาพโฮโลแกรมยักษ์ของคุณลุงก็หายไป     หวอ หวอ หวอ     ‘ระวัง มีผู้บุกรุก’     ภาพชายหญิงคู่นั้นเดินเข้ามาจนถึงสนามจัตุรัส สายตากวาดมองผ่านไปรอบๆจนหยุดลงตรงตำแหน่งศาลากาซีโบ “พวกเขารู้ได้ยังไงว่าไอน์สไตน์ซ่อนตัวอยู่ที่นี่”     “ฉันไม่รู้ อันที่จริงพวกเขาไม่ควรรู้เลยด้วยซ้ำว่ามาร์แชลซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เพราะข้อมูลของมาร์แชลถือเป็นความลับสุดยอด และฉันเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการจารกรรมข้อมูลของเขาเสมอ”เจโรมกล่าวรัวเร็ว สีหน้าร้อนรน รีบเร่งเดินกลับไปยังสเตสิส เขาคีบอินดี้ซึ่งฝังอยู่ในคอนแทคเลนส์ออกมา ก่อนจะหย่อนลงในจี้สร้อยคอขนาดเล็กซึ่งมีรูปทรงกระบอกหกเหลี่ยม ภายในบรรจุของเหลวหนืดสีฟ้าใส      “วินิตี้คืออะไร”     เจโรมไม่ได้ตอบ เขาหันไปตะโกนออกคำสั่งกับระบบเครื่องจักรให้ปิดล็อคประตูทุกบานโดยอัตโนมัติ แล้วเสียงเตือนของหุ่นยนต์ก็ดังขึ้น     ‘ประตูระดับความปลอดภัยเลเวลสามกำลังจะปิดลงในหนึ่งนาที’     “ฉันถามว่าวินิตี้คืออะไร”     “วินิตี้คือชื่อองค์กรลับที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาแกรนด์แคนยอน พรรคพวกของคุณโจนส์คือหนึ่งในบุคลากรขององค์กรนั้น”      “แสดงว่าคนที่บุกเข้ามา...”     “ใช่ พวกเขารู้จักคุณโจนส์”     ผมกัดริมฝีปากบาง คิดเอาไว้แล้วเชียว...     เจโรมกล่าวต่อ “แต่พวกเขาสองคนเป็นฟรีดอมเมอร์ ไม่ใช่สายลับเหมือนคุณโจนส์”     “อะไรนะ”     “ฟรีดอมเมอร์คือตำแหน่งอันดับต้นๆขององค์กรวินิตี้ ทำงานนอกเหนือกฎเกณฑ์ขององค์กรหรือของรัฐหรือของประเทศเลยด้วยซ้ำ พวกเขามีความสามารถเกินขีดจำกัดมนุษย์ ถือเป็นบุคคลอันตราย”     “อันตรายแค่ไหน”     เจโรมไม่สนใจ รีบกวักมือแล้วเดินไปยังฝั่งตรงข้ามกับประตูบานใหญ่ ใช้หลังฝ่ามือสัมผัสกับปุ่มที่ซ่อนอยู่ใต้ผนังเรียบสีขาวสะอาด ครั้นแล้วบานประตูลับก็เปิดออกกว้าง     “พวกเขาอันตรายแค่ไหนเจโรม”     ตึง     แอด แอด แอด     แสงไฟกระพริบเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงเตือนดังขึ้นอีกครั้ง     ‘ระวัง มีผู้บุกรุก ระวัง...’     ‘ระบบความปลอดภัยเลเวลหนึ่งถูกปลดล็อค’     “พวกเขามาแล้ว”     ได้ยินเช่นนั้นผมและเจโรมก็หันไปมองหน้าต่างโฮโลแกรมอีกครั้ง สองหนุ่มสาวปริศนาเดินผ่านบันไดลงมายังชั้นใต้ดิน หุ่นยนต์ในห้องแล็บพยายามขวัดขวางคนแปลกหน้าด้วยการยิงกระสุนใส่ บ้างก็พุ่งเข้าไปแล้วพ่นตาข่ายออกจากแขนเครื่องจักร บ้างก็ป้องกันด้วยเลเซอร์ หากแต่การโจมตีเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับด้วยแรงที่มองไม่เห็นจากปลายฝ่ามือของผู้บุกรุก     บรึม     ภาพสัญญาณจากกล้องวงจรปิดดับลงทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น     ตึง ตึง     พื้นเหนือศรีษะสั่นสะเทือน ผมรีบขยับขามองรอบกายด้วยความประหวั่น     “อะไรกัน มันเป็นไปได้ยังไง”     ‘ระบบความปลอดภัยเลเวลสองถูกปลดล็อค’     “ไม่ ไม่ ไม่”เจโรมตกอกตกใจ เขาเลื่อนมือกุมศีรษะ ดูเหมือนระบบความปลอดภัยที่เขาสร้างขึ้นกำลังจะถูกทำลายลงด้วยพลังงานลี้ลับที่ผมไม่มีทางรู้ได้ว่าเกิดจากอะไร     “บ้าจริง ผู้หญิงคนนั้น... เธอเจาะรหัสได้ยังไงกัน”เจโรมสบถพลางสะบัดหน้า รีบเดินลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินชั้นที่สาม ผมติดตามเจโรมไปไม่ห่าง เลี้ยวซอกแซกผ่านท่อไปจนถึงปลายทางเดินอีกฟากหนึ่ง ผมใช้กุญแจทองปลดล็อคการทำงานของลิฟท์ จากนั้นแล้วพวกเราก็กลับขึ้นมายังอาคารเรียนชั้นล่างทิศตะวันตก ในจังหวะที่ผมวิ่งย้อนไปยังสนาม ไรเจลก็วิ่งสวนขึ้นมาจากชั้นใต้ดินบริเวณศาลากาซีโบพอดิบพอดี      “ไรเจล แกยังปลอดภัยใช่ไหม”เจ้าหมาบ้าส่ายหางไปมา ไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักนิด     บรึม แรงสะเทือนใต้ดินรอบนี้ทำให้เกิดรอยแตกบนพื้นสนามหญ้าราวกับเกิดแผ่นดินไหว ผมรีบอุ้มไรเจลทันทีที่ขาข้างหนึ่งของมันตกลงไปในรอยแยกนั้น     บรรดานักท่องเที่ยวและนักเรียนบางส่วนซึ่งใช้อาคารอยู่ชั้นบนต่างชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่าง สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามเหล่านั้นทำให้ผมและเจโรมประหวั่นใจไม่น้อย เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องแล็บจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป     “สองคนนั่นยังอยู่ที่ชั้นใต้ดิน”เจโรมรายงาน “ตอนนี้เราต้องรีบหนี”     ผมคงไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำย้ำครั้งที่สอง พวกเราก็รีบวิ่งออกจากสนามผ่านห้องโถงกระโดดข้ามบันไดลงไปยังลอบบี้ ทว่าไม่ทันที่พวกเราจะมีโอกาสหนี ผมและเจโรมก็ต้องรีบชะงักฝีเท้าเอาไว้ แล้วก็ลากไรเจลให้ถอยกลับไปข้างในอาคารด้วยกัน     ทำไมผมหนีออกไปตอนนี้ไม่ได้น่ะเหรอ... นั่นก็เพราะว่า...      “คุณโจนส์!”      ชายฉกรรจ์ในชุดสูททั้งสามคนเดินเรียงแถวหน้ากระดานตรงเข้ามายังลอบบี้ เจโรมกระชากแขนสุดแรงสั่งให้ผมวิ่งหลบขึ้นไปยังบันไดด้านบน ในตอนนั้นคุณโจนส์ ลิวอิสและพาร์คเกอร์ก็เดินผ่านลอบบี้เข้ามาข้างในพอดิบพอดี หากแต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเรา เนื่องจากคุณโจนส์แลดูจะสนใจควันโขมงซึ่งลอยออกมาจากศาลากาซีโบในสนามมากกว่า ผมได้ยินเสียงพวกเขาสบถด้วยความไม่พอใจ     “โอ... ไม่”     “เวรแล้วไง”ลิวอิสว่า     “หมอนั่นสร้างปัญหาอีกแล้ว”พาร์คเกอร์บ่นเสียงดังขณะติดตามพวกพ้องไปด้วย จังหวะเดียวกันกลิ่นสารเคมีลอยเข้ามาข้างในอาคาร ผมรู้ได้ในทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับต่อจากนั้น     บรึม     ตูม     แรงสะเทือนในรอบนี้ทำให้ลานสนามระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่ทราบว่าเสียงระเบิดนั้นสร้างความเสียหายเช่นไรบ้าง แต่ที่รู้แน่ๆก็คือพวกเราทรงตัวไม่ได้แล้วก็สะดุดล้มหล่นลงมาตรงขั้นบันได เสียงกรีดร้องดังระงม แขกในโรงเรียนปลิวกระเด็นกระทบผนังบาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า     แค่ก แค่ก     เสียงโอดครวญดังขึ้นในวินาทีถัดมา ฝุ่นเต็มไปหมด ผมตะเกียกตะกายลุกในจังหวะที่ไรเจลวิ่งเข้ามาเลียแก้ม     “เจโรม”ผมเขย่าแขน อีกฝ่ายจึงได้สติ “เจโรม”     “ห้องทดลองระเบิดแล้ว รีลอยด์... สัญญาณทุกอย่างดับหมด”     ในอึดใจเดียวกันนั้นพวกเราก็ได้กลิ่นไหม้คละคลุ้งลอยออกมาจากสนาม เหล่านักท่องเที่ยวต่างวิ่งหนีจ้าละหวั่น     “เราต้องรีบออกจากที่นี่”ผมกระชากแขนบังคับให้อีกฝ่ายลุกขึ้น     ในตอนนั้นเอง สายตาก็หันไปเห็นพรรคพวกของคุณโจนส์เดินย้อนกลับมาพร้อมกับฟรีดอมเมอร์ทั้งสองคน      “บ้าจริง”ผมรีบลากเพื่อนกลับขึ้นบันได เลื่อนตัวชิดผนังอยู่บนขั้นบันไดระหว่างชั้นล่างกับชั้นบน     “เจอพวกเขาไหม”คุณโจนส์ถาม     “ไม่เจอ อินดี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย”หญิงสาวกล่าวในขณะที่เด็กหนุ่มปริศนากวาดตามองไป     “คุณชายบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามทำลายห้องทดลอง”พาร์คเกอร์บ่น หากแต่อีกฝ่ายกลับผิวปากยาวๆไม่รู้สึกรู้สา     “ผมไม่ได้ทำลาย มันทำลายตัวเองต่างหาก”     “เธอพูดว่าอะไรนะ!”     “คุณได้ยินแล้วนี่... ผมไม่ได้ทำลายมัน ห้องทดลองทำลายตัวเอง”     “เธอคิดว่าตัวเองเป็นฟรีดอมเมอร์แล้วจะทำอะไรตามใจได้เสมออย่างนั้นเหรอ ไนอัล” พาร์คเกอร์เหวี่ยงปลายกระบอกปืนหมายจะตบหน้าเด็กดื้อ หากแต่อีกฝ่ายจับข้อมือของเขาไว้ และเหวี่ยงปืนนั้นหลุดจากฝ่ามือของพาร์คเกอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น     “คุณพาร์คเกอร์ ถ้าหากคุณลงมือกับผมอีก รอบหน้าผมคงไม่ใจดีแบบนี้แน่”เด็กหนุ่มกล่าวเตือนพลางบิดข้อมือจนพาร์คเกอร์ต้องร้องลั่น      “ไนอัล อย่าทำร้ายเขา”     ฟรีดอมเมอร์หนุ่มได้ยินดังนั้นก็ปล่อยมือ หันมองพาร์คเกอร์ด้วยรอยยิ้มหยัน     “เจอพวกเขาไหม”คุณโจนส์ถาม     “ไม่เจอใครทั้งนั้น พวกเราไม่เจอรีลอยด์ ไอเลนเบิร์กที่นี่”ชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นในบทสนทนา หญิงสาวปริศนากอดอกพึมพำเสียงแผ่ว “แต่เราเจอสุนัขตัวหนึ่งในห้องทดลอง”     “สุนัขเหรอ”คุณโจนส์รำพึง     “ตอนนี้คงถูกย่างสดไปแล้วล่ะ เฟรด้า อย่าสนใจเลย”     “เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง ไนอัล เธอใจร้ายเกินไปแล้ว”     “มันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง” เด็กหนุ่มว่าพลางหันสายตามายังบันไดอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง ความอึดอัดที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อถูกใครสักคนจับตามอง ในตอนนั้นเองที่ผมตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแบบเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มปริศนาจึงเดินตรงมายังขั้นบันได ผมกับเจโรมและไรเจลต่างวิ่งขึ้นไปด้านบน เลี้ยวเข้าห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่านั่นคือห้องพักครู      สายตาของพวกเราสบมองอาจารย์ราฟาเอลเดินเลี้ยวกลับเข้ามาข้างในห้องพักตัวเอง ชายชราย่นคิ้วจดจ้องมองพวกเราอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่า”ไม่ทันที่พวกเราจะมีโอกาสเอ่ยตอบ อาจารย์ก็ชะโงกหน้าออกจากประตู สังเกตเห็นฟรีดอมเมอร์ใต้ฮูทสีดำเดินตรงมาหา     “สวัสดี”อาจารย์ราฟาเอลเอ่ยทัก เลิกคิ้วสูงมองคนแปลกหน้า ก่อนจะพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอเป็นใคร”     “แล้วคุณล่ะคือใคร”     “ฉันเป็นอาจารย์”     อีกฝ่ายส่งเสียงพึมพำอย่างไม่ใส่ใจนัก     “มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า” อาจารย์ชราเอ่ยถาม แกยังคงรักษาสีหน้าขึงขังสบมองชายหนุ่มปริศนาอย่างไม่วางตา ในขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องของแขกก็ดังสะท้อนขึ้นมาจากชั้นล่าง     “มีนิดหน่อย” ฟรีดอมเมอร์หนุ่มเหยียดยิ้มพลางเหลือบมองเข้ามาข้างในห้องพักครู เป็นเวลาเดียวกันเมื่อพรรคพวกของคุณโจนส์เดินขึ้นมา     “ไนอัล ไปกันเถอะ”ลิวอิสบอก     “พวกเธอคือใคร เราไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาที่นี่”     “ผมกำลังตามหาเพื่อน เขาเล่นซ่อนแอบกับผมเมื่อครู่นี่เอง คุณเห็นเขาบ้างหรือเปล่า”ได้ยินเช่นนั้นผมและเจโรมก็แทบสะดุ้ง     “ฉันไม่เห็นใครทั้งนั้น พวกเธอควรสอบถามเจ้าหน้าที่ในลอบบี้ชั้นล่าง”น้ำเสียงของอาจารย์ราฟาเอลแลดูกระอักกระอ่วน เขาคงหวั่นใจไม่น้อยเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้     อีกฝ่ายไม่พูดพล่ามให้มากความ ฟรีดอมเมอร์นามไนอัลเดินถอยห่างออกไปจากห้องพักครู“เป็นคำแนะนำที่ดีจริงๆ ดีมากๆเลย... ขอบคุณครับ”     บทสนทนาของทั้งสองหยุดลงเพียงเท่านั้น แล้วเสียงฝีเท้าของเหล่าร้ายจากองค์กรวินิตี้ก็ค่อยๆเงียบไป ผมกับเจโรมจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว     “พวกเขาตามหาเธอสองคนอยู่ใช่ไหม”สีหน้าของอาจารย์ราฟาเอลแลดูไม่สู้ดีนัก ผมไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร นอกเสียจากกระพริบตาใส่ “ฉันจะเรียกตำรวจ”ชายชรากล่าวสรุปก่อนจะคว้าโทรศัพท์ไว้     “ขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องครับ”เจโรมเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้า ส่วนผมก็ค่อยๆแง้มประตูกวาดสายตามองข้างนอกอย่างระมัดระวัง ไรเจลสูดดมไปตามพื้น หากแต่ไร้ร่องรอยศัตรู... ดูเหมือนว่าเหล่าองค์กรวินิตี้จะหายไปแล้ว ผมจึงถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอก      หลังจากนั้นไม่นาน พวกเราก็ตัดสินใจหลบออกจากสถานที่เกิดเหตุก่อนที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง      “แย่ชะมัด”เจโรมพึมพำพลางหันหลังกลับไปมองวิทยาลัยแฟล็กเลอร์อีกครั้ง กลุ่มควันขโมงและเปลวไฟยังคงลุกไหม้ลามเลียอาคารโดยรอบ     “เราไว้ใจอาจารย์ราฟาเอลได้มากแค่ไหน”     “เขาเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของมาร์แชล เขาเป็นคนดียวที่สามารถช่วยปกปิดการเคลื่อนไหวของพวกเรา”     “ถ้าอย่างนั้นเราคงมั่นใจได้ว่าอาจารย์จะไม่เปิดเผยความจริงใช่ไหม”     เจโรมพยักหน้า     “เฮ้อ” ผมทอดถอนใจอีกครั้ง “เราจะไปที่ไหนกันต่อ... หากกลับออแลนโด้ในตอนนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ๆ"     เจโรมเงียบไปครู่หนึ่ง “แฟล็กเลอร์บีช”     “หืม”     “มาร์แชลบอกให้พวกเรารอเขาที่ห้องแล็บในแฟล็กเลอร์บีช”     “มีห้องแล็บที่แฟล็กเลอร์บีชด้วยเหรอ”ผมสงสัย     “จำได้ไหม คราวก่อนมาร์แชลถูกคุณโจนส์ตามล่าจนเจอกับนายบนสะพานในแฟลกเลอร์บีช นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกคุณโจนส์กำลังตามหาที่ซ่อนตัวของมาร์แชลในแฟลกเลอร์บีชอยู่ยังไงล่ะ”     ผมพยักเพยิดหน้าฟังอย่างตั้งใจ     “รีลอยด์ นายเก็บมันไว้”เจโรมยื่นสร้อยคอให้ อินดี้ซึ่งฝังอยู่ภายในจี้ส่องแสงสว่างทันที     “ฉันไม่เคยบอกว่าฉันจะเก็บรักษามันไว้”     “ถึงตอนนี้แล้วนายยังปฏิเสธอีกเหรอ”น้ำเสียงดุดันนั้นทำให้รู้ว่าเด็กเนิร์ดคงไม่พอใจสักเท่าไหร่      ผมจดจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สักพักก็คว้าสร้อยมาไว้ในกำมือ “ก็ได้ ฉันจะเก็บไว้จนกว่าพวกเราเดินทางไปถึงแฟล็กเลอร์บีช”     คราวนี้เจโรมพยักหน้ารับ     “สัญญาได้ไหมว่านายจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี”     ผมสวมสร้อยคออย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันจะเก็บอินดี้ไว้จนกว่าฉันจะเจอกับไอน์สไตน์เท่านั้นนะ”To Be Continued......** จบไปอีกตอนล่ะคร้าบบบบ แฮร่ ... เป็นยังไงกันบ้างงง >..<จริงๆเขียนตอนนี้จบไปเดือนกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่ได้กลับมาอ่านทวน เพราะติดเรื่องงานหลวง แล้วมาเจอกับป้าเออร์ม่าซัดเข้ามาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เรียกได้ว่างานการเลื่อนไปกองๆกันปลายเดือนเลยทีเดียว ( : v : ) ... หลังจากนี้จะพยายามอัพงานบ่อยๆล่ะก๊าบปล.ได้ข่าวว่า ป้ามาเรียกำลังจะไปเยี่ยม Cuba ด้วย cat 5 ... ก็หวังว่าจะไม่มาแวะฟลอริด้านะก๊ะ ฮือ......**

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา