Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์

8.2

เขียนโดย Pakkie_Davie

วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 02.35 น.

  6 chapter
  2 วิจารณ์
  9,022 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Traces

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 3
 
     Traces
 
    
 
     ผมเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเคยใช้กลวิธีที่เรียกว่า ‘การแถ’ กับใครสักคนที่คุณต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ ผมเองก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ อาจจะใช้ทักษะนั้นบ่อยกว่าสักหน่อย
 
     “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าหากแกก่อเรื่องอีกครั้ง ฉันจะทำยังไง”
 
     “ผมไม่ได้ก่อเรื่องนะพ่อ” แถครั้งที่หนึ่ง
 
     “ฉันรู้ว่าแกไปทำอะไรมา”
 
     “ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่หยอกล้อกันเล่นๆ” แถครั้งที่สอง
 
     “แค่หยอกล้อกันเล่นๆน่ะเหรอ... แกทะเลาะกับเด็กโรงเรียนเก่าที่สวนสาธารณะเมื่อวันศุกร์! แกคิดว่าฉันโง่หรือไง!”
 
     “ไม่ได้ทะเลาะสักหน่อย ผมแค่แกล้งผลักพวกเอบีซีตกน้ำ” แถครั้งที่สาม
 
     “แกพูดว่าอะไรนะ”
 
     “เปล่า”ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ การแถคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหากผมไม่รีบเปลี่ยนประเด็น “คุณคริสเตียนฟ้องพ่อใช่ไหม... เลวชะมัด”
 
     “ใครจะบอกฉันไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ฉันจะกลับไปที่ออแลนโด้แล้วก็เตะก้นแกต่อหน้าเด็กทั้งโรงเรียน”
 
     หึ... เกลียดจริงๆ เกลียดตัวเองที่ต้องกลัวคำขู่ของพ่อ ต่อให้เขาเกษียรก่อนกำหนดจากกองทัพอากาศสหรัฐแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงแข็งแรงกำยำมากพอที่จะต่อยผมจนกระเด็นได้ คุณลองนึกถึงนักแสดงที่ชื่อเจสัน โมมัวตอนที่เขาไม่ยิ้มสิ นั่นล่ะพ่อผม
 
     “ไรเจลเป็นยังไงบ้าง” พ่อถามทันทีที่ได้ยินเสียงหมาเห่า
 
     “มันสบายดี”
 
     “อย่าลืมให้อาหารไรเจลด้วยนะ”
 
     “ให้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังเดินเล่นกับมัน... ไรเจล ทักพ่อหน่อยสิ”
 
     โฮ่ง
 
     เจ้าหมาไซบีเรียนฮัสกี้ช่างประจบส่ายหางไปมา เห่าเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือ มันรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร… พ่อส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ทุกทีที่พูดถึงลูกรักขนพองๆแล้วเสียงของพ่อมักจะอ่อนลงเสมอ
 
     สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าการถูกกระทืบคือการที่พ่อจะพาไรเจลกลับไปที่ แฟล็กเลอร์ บีช... เขารู้ดีว่าผมรักคู่หูสี่ขาตัวนี้มากแค่ไหน และพ่อก็พร้อมจะพรากไรเจลไปจากผมทุกเมื่อ หากผมไม่หยุดสร้างวีรกรรมเลวๆเอาไว้ในออแลนโด้... ขอบอกคุณตรงนี้เลยว่า ผมไม่ยอม!!!
 
     “ผมจะวางสายล่ะ” รีบตัดสายดีกว่าปล่อยให้พ่ออ้อยอิ่งกับเสียงครางหงิงๆของไรเจล
 
     “เดี๋ยวก่อน ฉันยังคุยกับแกไม่จบ”
 
     เฮ้อ...
 
     “แกไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม สารภาพมาเดี๋ยวนี้”
 
     “ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”เบื่อชะมัด ครั้งนี้ผมไม่ได้แถนะ... คุณก็รู้ดีว่าผมไม่ทำร้ายใครก่อน
 
     “เอสเทนโทรมาเมื่อตะกี้นี้”
 
     “เอสเทน” ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินชื่อนั้น... รีบเลื่อนตัวนั่งข้างถนน
 
     มีใครบ้างจะไม่ตกใจกับชื่อของเอสเทน นิลบาเล็ต รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ... เขาคือพี่ชายคนเดียวของแอ็กนิส นิลบาเล็ตด้วย บางทีคนที่แอ็กนิสบอกว่าสนใจในตัวผมอาจจะเป็นพี่ชายของเขาก็ได้
 
     แต่ว่า... ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นเอสเทน นิลบาเล็ต
 
     ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกนี้ที่ผู้มีอำนาจอย่างเอสเทน นิลบาเล็ตต้องหันมาสนใจผม เขาไม่ควรรู้จักผมเลยด้วยซ้ำ
 
     “เอสเทนคุยอะไรกับพ่อ”
 
     “เขาแค่ถามว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง”
 
     ผมเอียงคอสงสัย... “แล้วพ่อบอกเขาว่ายังไง”
 
     “บอกเท่าที่ฉันรู้มาจากลูกน้อง”
 
     คุณคริสเตียนสินะ...
 
     “เอสเทนวางสายไปตอนที่ฉันบอกว่ามีคนแปลกหน้าในชุดสูทสีดำสามคนวิ่งไล่แกไปตามถนนในออแลนโด้”
 
     “อ่อ... ”
 
     “ทำไมเอสเทนถึงต้องติดต่อมาหาฉันด้วยเรื่องนี้”
 
     “ผมไม่รู้”
 
     พ่อส่งเสียงข่มขู่ในลำคอ 
 
     “ผมไม่รู้จริงๆ ผมเจอน้องชายของเขาเมื่อวันก่อน”
 
     “แกทะเลาะกับแอ็กนิสหรือเปล่า”
 
     “เปล่า เราเจอกันในโรงอาหาร ทักทายกันตามปกติ” หากบอกพ่อว่าพวกเราพูดถึงเกมปลาวาฬสีน้ำเงิน เขาคงไม่พอใจอีกแน่ๆ
 
     พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง...
 
     “ระวังตัวหน่อย พ่อเป็นห่วง อย่าก่อเรื่องให้มากนัก”
 
     ผมเผยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำพูดนั้นดีหรือไม่ แต่เอาเถอะ... นั่นคือการแสดงความรักที่ชัดเจนที่สุดจากพ่อของผมแล้วล่ะ
 
     “ผมรู้แล้ว”
 
     “ดูแลตัวเองดีๆ พ่อจะอาบแดดล่ะ”
 
     “โอเค ขอให้ตัวสุก”ว่าจบก็วางสาย ผมลุกขึ้น เรียกไรเจลให้เดินตามมา
 
     วันนี้อากาศดีตั้งแต่เช้าตรู่ ผมจึงพาหมาออกมาเดินออกกำลังกายรอบๆหมู่บ้าน
 
     หลายปีแล้วที่ผมต้องอาศัยอยู่ในออแลนโด้เพียงลำพัง ส่วนพ่อกับแม่เดินทางไปมาทุกเดือนระหว่างแฟล็กเลอร์ บีชและไมอามี่ เนื่องจากบ้านพักตากอากาศกับธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่นั่น ความเป็นอิสระนี่เองที่ทำให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอจนบางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาที่พ่อต้องโทรมาดุ
 
     หึ... ก็ทำได้แค่ดุนั่นแหละ
 
     “ไรเจล”
 
     โฮ่ง... มันเห่าตอบ
 
     คราวนี้ผมปล่อยให้มันวิ่งไปบนทางเดินเท้า ไรเจลส่ายจมูกดมฟุดฟิดตามพุ่มไม้ ส่วนผมก็ฝึกปากัวร์ตีลังกาบนผืนหญ้า บ้างก็ม้วนตัวกลางอากาศหลายตลบ บางครั้งก็ไต่ไปตามขอบกำแพง ก่อนหน้านี้ผมเคยกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บริเวณสวนหลังบ้านของครอบครัวไอเก้นเบอรี่เพื่อนำอาหารไปให้ลูกนกโดยที่ไม่มีใครจับได้ นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ห้อยโหนปีนป่ายเดินข้ามลังคาชาวบ้านอย่างสนุกสนาน (ผมคงจะทำแบบนี้ต่อไป ถ้าหากคุณไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อล่ะก็นะ)
 
     “ไรเจล”
 
     ทุกครั้งที่ผมออกกำลังกาย ไรเจลมักจะเดินวนอยู่ใกล้ๆ หากแต่รอบนี้มันวิ่งข้ามสนามหญ้าแล้วก็หายไปนานนับนาทีจนผมเริ่มเอะใจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเดินไปหา แล้วก็พบว่าเจ้าไรเจลนั่งกระดิกหาง ปล่อยให้คนที่ไม่น่าจะโผล่มาอยู่แถวนี้ลูบหัวอย่างสบายอกสบายใจ
 
     “เจโรม เมอเว” ผมพึมพำสงสัย พลางก้มมองเด็กเนิร์ดที่ไม่เคยอยากพูดกับผม
 
     เจโรมรีบลุกขึ้นยืน เขาขยับขาแว่นหันมาจดจ้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ผิดกับแววตาเคลิบเคลิ้มยามที่เขามองไรเจลเสียจริง“สวัสดี”
 
     “ไง เจโรม นายอยู่แถวนี้เหรอ”
 
     “เปล่า”
 
     “แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
 
     “ฉันมาหานาย”
 
     ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างงุนงง ที่น่าสงสัยกว่าก็คือเขารู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่แถวนี้ ครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่มองไปรอบกายอย่างประหลาดใจนัก “อ้อ... เล็กเชอร์ของนายสินะ ฉันยังไม่ลอกเลย”
 
     เจโรมรีบส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนั้น”
 
     ผมยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
 
     “ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”เขาพูดพลางย่นคิ้ว หันซ้ายหันขวาราวกับกลัวใครฟังบทสนทนาของพวกเราอย่างนั้นแหละ
 
     ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบจริงๆเพราะท่าทีของเขาแปลกไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่บ้านของฉันก็ได้ อยู่ไม่ไกล”
 
     “ไม่!”เจโรมโพล่งด้วยแววตาเบิกกว้าง ทำเอาผมแทบสะดุ้ง เขารีบกระชากแขนไว้ผมจึงสะบัดตอบ “อย่ากลับบ้าน ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
 
     “ไป ... อะไรนะ”
 
     “ไปกับฉันตอนนี้”
 
     “หืม”
 
     “เราต้องออกจากที่นี่ก่อน ตอนนี้เลย”เจโรมว่าจบก็ดึงสายจูงไปจากมือของผม แล้วก็ลากไรเจลไปด้วย
 
     “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากนายไม่บอกว่าเพราะอะไร”คราวนี้ผมขู่บ้าง อีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนจึงสูดหายใจลึกๆ เด็กเนิร์ดหันมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน
 
     “พวกเขากำลังเดินทางมาหานายที่นี่”
 
     “ใคร”
 
     “คนที่นายเจอเมื่อวันศุกร์”
 
     ผมเงียบไปครู่หนึ่งเริ่มครุ่นคิด ระหว่างนั้นเองเจโรมก็กระชากแขนผมสุดแรงสั่งให้ผมเดิน “นายเป็นบ้าอะไร เจโรม ปล่อย!”
 
     เจโรมล้มลงบนพื้นทันทีที่ผมผลักเขาออกห่าง ในตอนนั้นเขาก็หันไปมองสนามหญ้า สังเกตรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน
 
     “ไม่ได้การล่ะ พวกเขาจะมาเอาตัวนายไป”
 
     “พวกไหน” ผมหันไปมองรถยนต์คันนั้น ทันทีที่สายตาเพ่งมองผ่านกระจกก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทผมตั้งสีดำ แล้วหน้าก็ซีดเผือด “เวรแล้วไง”... นั่นต้องเป็นพาร์คเกอร์แน่ๆ!
 
     “ตามฉันมารีลอยด์ เราต้องออกจากที่นี่”
 
     ไม่ต้องรอให้เจโรมเรียกครั้งที่สอง ผมก็วิ่งนำเขาไปจนถึงรถปิ๊กอัพ ไรเจลรีบกระโดดเข้าไปนั่งด้านหลังส่วนผมนั่งด้านหน้า รอให้เจโรมขับรถยนต์หนีออกไปจากหมู่บ้านทันที
 
     “ขับไปทางนั้น”
 
     “ไม่ได้”เจโรมพูดโพล่ง เลี้ยวพวงมาลัยไปอีกฟาก “มีรถยนต์อีกคันดักรอนายอยู่”
 
     ผมไม่เห็นรถยนต์สักคัน
 
     “มีร่องรอยของยางรถยนต์ยี่ห้อ Nexen Aria AH7 เมื่อสิบห้าวินาทีก่อน”
 
     “หืม”
 
     “น่าจะเป็นรถยนต์อีกคันที่ตามมาประกบนาย”
 
     “เดี๋ยวก่อนนะ... นายเอาอะไรมาพูด”
 
     เด็กเนิร์ดชะโงกหน้ามองผ่านกระจกชี้นิ้วไปบนพื้นถนน เขาขยับขาแว่นสังเกตบางสิ่ง “ตรงนั้นคือร่องรอยที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นรถยนต์ยี่ห้อ Honda CR-V คันเดียวกับที่ฉันเคยเห็นเมื่อสามวันก่อน”
 
     ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นถนน!! “นายรู้ได้ยังไง”
 
     เจโรมหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะเชื่อไหมถ้าหากฉันบอกว่า ฉันไม่ใช่คน”
 
     “...” เราสองคนกระพริบตาปริบๆ ผมต้องประมวลผลคำพูดของเขาครู่หนึ่ง
 
     “ระบบ AR (Augmented Reality) ฝังอยู่ในสมองของฉัน ฉันมองเห็นในสิ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น ฉันเห็นรายละเอียดของวัสดุและสิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งข้อมูลทางการแพทย์ของนายตอนนี้”
 
     “หา...”
 
     “ฉันเป็นแอนดรอยด์”
 
     “...”คุณคิดว่าผมควรจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไหม
 
     บรืน
 
     บทสนทนาหยุดลงเมื่อ รถ Honda CR-V คันดังกล่าวจู่ๆก็พุ่งมาจากด้านหลัง เจโรมสะดุ้งเหยียบคันเร่งอย่างร้อนรน ทำเอาผมแทบจะพุ่งออกจากกระจกหน้ารถ
 
     “ฟัค!!!!!”ตะโกนลั่นสุดเสียง ผมรีบคาดเข็ดขัดสะบัดหน้ามองรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงวกวนผ่านเส้นทางเล็กๆในหมู่บ้าน รถยนต์อีกคันตามมาไม่ห่าง เสียงล้อหมุนดังสนั่นน่ากลัวพอๆกับแรงเหวี่ยงเมื่อเจโรมหักพวงมาลัย
 
     “นายจะทำอะไร เจโรม!!!!”
 
     ไม่ทันที่ผมจะมีโอกาสหันมองด้านหลัง สายตาพลันสังเกตเห็นรถยนต์คันสีดำพุ่งมาทางด้านข้าง เจโรมเบิกตาตื่นตระหนกรีบเหยียบเบรก จนรถยนต์แทบจะเสียหลักพลิก เสียงล้อครูดไปตามพื้นดัง
 
     เอี๊ยดดดดดดดดดดดด
 
     รถยนต์คันสีดำจึงหลบขึ้นไปบนทางเท้า พริบตาเดียวกันผมเห็นพาร์คเกอร์นั่งมุ่ยหน้าอยู่ในนั้น อึดใจต่อมารถยนต์  Honda CR-V ก็พุ่งมาด้านหน้า เจโรมต้องขับรถถอยหลังหลีกหนีการตามล่า เราสองคนส่งเสียงร้องตกอกตกใจ ไรเจลเดินวนไปวนมาบนเบาะหลังด้วยความตื่นเต้น
 
     ผมแหกปากลั่น เลื่อนมือเกาะเพดานรถ
 
     เจโรมหมุนพวงมาลัยฉวัดเฉวียนหลบหลีกทรอกแซกผ่านซอยเล็กๆหนีการตามล่าออกมาจากหมู่บ้านได้ในที่สึด ในตอนนั้นเองเขาก็รีบเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปบนถนนใหญ่ พาร์คเกอร์จึงรีบเข้ามาประกบทางด้านข้างโดยไว ส่วน CR-V ของโจนส์และลิวอิสตามมาด้านหลัง
 
     “เจโรม เราตายแน่!!!”
 
     เสียงรถยนต์คำรามลั่น
 
     “เราตายแน่! เราตายแน่ๆ!!”
 
     เจโรมไม่สนใจเสียงร้อง หนุ่มแว่นจดจ้องมองถนนเบื้องหน้า เขาเหยียบคันเร่งเต็มกำลัง ความเร็วนั้นแทบจะตรึงร่างผมติดกับเบาะ
 
     “เจโรม!!!”ผมตะโกนลั่นมองรถยนต์สองสามคันบริเวณสี่แยก “ไฟแดง!!!!”
 
     เสียงเตือนไม่ได้ช่วยให้เด็กเนิร์ดชะลอความเร็ว เขารีบเปลี่ยนเกียร์ รถยนต์พุ่งทะยานจนแทบจะลอยออกจากพื้นถนน
 
     ณ วินาทีนั้น สมองของผมโล่งมาก ผมยังไม่อยากตาย!!!!!!
 
     ปี๊นนนนน
 
     เอี๊ยดดดดด
 
     ปี๊นนน
 
     ผมหลับตาแน่นขณะสดับฟังความโกลาหลที่เกิดขึ้นบนท้องถนน หากแต่เสียงสั่นประสาทเหล่านั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับเข้าสู่ความสงบราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่าน ผมค่อยๆเงยมองข้ามกระจก สังเกตถนนเบื้องหน้า รถยนต์ยังคงเคลื่อนไปบนเลนโล่งๆอย่างปลอดภัย ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ
 
     “เรารอดแล้ว”เจโรมบอกขณะหอบ เขาเลื่อนมืออีกข้างปาดเหงื่อบนหน้าผาก
 
     ผมสลับสายตามองรอบกาย เลื่อนมือสัมผัสเสื้อชื้น หันหลังสังเกตถนนก็พบว่าไม่มีใครติดตามมา
 
     “เฮ้อ”
 
     “นายทำได้ยังไง” ผมได้แต่หอบหายใจอึ้งทึ่งกับความสามารถของเด็กเนิร์ด... ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าเขาคือเจโรม เมอเวคนที่ผมเคยเจอที่โรงเรียน
 
     “ฉันไม่รู้ ฉันก็แค่ลองเสี่ยงขับฝ่าไฟแดง”
 
     “ลองเสี่ยงน่ะเหรอ!!” ผมตะโกนใส่หน้า
 
     “ความน่าจะเป็นที่เราจะรอดชีวิตจากการขับฝ่าไฟแดงเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วคือหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มันมากพอที่จะเสี่ยง”
 
     “นายพูดอะไรของนายเจโรม”
 
     “เหตุผลทางคณิตศาสตร์”เด็กเนิร์ดสวน “ขอโทษที... แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่มีทางเลือก ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครตามล่า”
 
     ผมอุทานจนใจเย็นลงจึงหันมาเข้าประเด็น “แล้วเราจะทำยังไงต่อ”
 
     “ออกจากที่นี่”
 
     “ไปไหน”
 
     “สถานที่ปลอดภัย”
 
     “มันคือที่ไหนล่ะ” ผมส่งตาขวางๆใส่เขา
 
     “เซนต์ ออกัสติน[1]”
 
     “อะไรนะ! ฉันจะไม่ไปเซนต์ ออกัสตินแน่ๆ”
 
     อีกฝ่ายนิ่งงัน
 
     “เดี๋ยวก่อนนะ” ผมพยายามตั้งสติ “นายรู้จักพวกมันใช่ไหม”
 
     “คุณเควนติน พาร์คเกอร์น่ะเหรอ”
 
     ผมเบิกตาตกใจ “ใช่! นายรู้จักเขา!”
 
     “ฉันไม่รู้จักเขา”
 
     อย่ามาโกหกนะไอ้สี่ตา!
 
     “ฉันไม่รู้จักคุณพาร์คเกอร์ หรือคุณโจนส์ หรือแม้แต่คุณลิวอิส”
 
     “!!!” แกรู้จักพวกเขา! ผมแทบจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้าใกล้แล้วถามย้ำอีกครั้งตรงนั้นด้วยความไม่พอใจ
 
     “ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรอก”เจโรมยังคงย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม “ฉันรู้แค่ว่าพวกเขามาจากองค์กรลับในหุบเขาแกรนด์แคนยอน ทั้งสามคนนั่นกำลังตามหานายอยู่”
 
     คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหยุดเถียงและนึกตรอง “แล้วนายช่วยฉันทำไม”
 
     เจโรมละล่ำละลัก ขยิบตาขยับปาก “มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
 
     “หน้าที่”ผมอยากจะขำแต่สถานการณ์ไม่เหมาะนัก “เด็กเนิร์ดอย่างนายจะทำหน้าที่ปกป้องฉันเนี่ยนะ”
 
     “ทำนองนั้น”ชักจะกลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว
 
     “นายคิดว่าฉันจะเชื่อว่านายคือแอนดรอยด์ที่ถูกติดตั้งโปรแกรมให้คอยดูแลฉันอย่างนั้นเหรอ”
 
     เจโรมยักไหล่
 
     หึ... บางครั้งเด็กเนิร์ดก็อาจจะดูหนังไซไฟมากเกินไป
 
     “ฉันถูกสั่งให้คอยสังเกตนายมาสักพัก”
 
     “ใครสั่ง”
 
     “ใครสักคนที่เป็นห่วงชีวิตของนาย ฉันกำลังจะพานายไปเจอกับเขา”
 
     “เขาคนนั้นคือเอสเทน นิลบาเล็ตหรือเปล่า”
 
     “ไม่ใช่”เจโรมรีบสวน
 
     ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใคร่ครวญ อืม... ช่วงนี้มีคนสนใจในตัวผมเยอะจริงๆ ควรดีใจไหมนะ
 
     “นายทำงานให้กับใคร เจโรม”
 
     เด็กเนิร์ดกระพริบตาปริบๆตอบ
 
     “งานนี้คงไม่เกี่ยวกับยาเสพติดใช่ไหม”
 
     “รีลอยด์ นายคิดว่าคนอย่างฉันค้ายาเหรอ”
 
     ก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นหรอก... “ใครจะรู้... เด็กเนิร์ดอย่างนายอาจจะเป็นพวกที่ชอบสูบกัญชาในงานปาร์ตี้”
 
     “ฉันไม่เคยสูบ และการสูบกัญชาก็ไม่ได้แปลว่าใครคนนั้นติดยาเสพติดนะ นายเองก็เคยลองสูบไม่ใช่เหรอ”
 
     ผมกรอกตาตอบ มีใครบ้างไม่เคยสูบกัญชา... กัญชาไม่เลวร้ายเท่าบุหรี่หรอกนะ เชื่อผมสิ
 
     ไม่นานนักเจโรมก็จอดรถข้างถนน “รีลอยด์ พวกเราต้องจอดรถทิ้งไว้ที่นี่เพราะคุณโจนส์กับพรรคพวกของเขาอาจจะสะกดรอยตามมาได้”
 
     ผมไม่รอช้ารีบเดินออกมาจากรถยนต์พร้อมกับไรเจล จากนั้นแล้วพวกเราก็เดินเลียบไปตามพงหญ้า “เจโรม ตกลงนายทำงานให้กับใคร”
 
     “นายจะรู้ทันทีที่เดินทางไปถึงเซ็นต์ ออกัสติน”
 
     “แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้”
 
     “เฮ้ ใจเย็น”เจโรมกล่าวสวนเมื่อผมเลื่อนมือบีบท้ายทอย “ฉันทำงานให้กับมาร์แชล วิตมอร์”
 
     “เขาคือใคร”
 
     “นายเคยเจอเขาแล้ว”
 
     ผมย่นคิ้วสบมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
 
     “จำได้ไหม นายเคยกระโดดจากสะพานที่แฟล็กเลอร์ บีช... จริงๆแล้ววันนั้นนายไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
 
     “รู้ได้ยังไง” ผมแทบสะอึกเมื่อได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์ในภารกิจที่สิบแปด... หมอนี่ชักจะน่าสงสัยขึ้นทุกที
 
     เจโรมหันมาจดจ้องมองผมด้วยแววตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ “ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายเอง”
 
     .....
 
     ....
 
     ..
 
     เดี๋ยวนะ... เมื่อตะกี้นี้เจโรมพูดว่าอะไรนะ
 
     “ใช่ ฉันเป็นคนช่วยติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็เรียกรถพยาบาลให้กับนายด้วย”
 
     ไม่จริงน่า...
 
     “คุณลุงแก่ๆคนที่ตัดสินใจกระโดดจากสะพานเพื่อหลบหนีการตามล่าของพวกชายชุดดำคือคนที่สร้างฉันขึ้นมา”
 
     ผมยังคงยืนฟังต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของผมขมวดเข้าจนเป็นปม
 
     “เขาคนนั้นคือมาร์แชล วิตมอร์”
 
    
    
[1] St. Augustine เมืองในรัฐฟลอริด้า จัดเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมและซากป้อมปราการของอาณานิคมสเปนมาจนถึงทุกวันนี้
 
    

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา