Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
8.2
เขียนโดย Pakkie_Davie
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 02.35 น.
6 chapter
2 วิจารณ์
9,022 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Traces
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3
Traces
ผมเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเคยใช้กลวิธีที่เรียกว่า ‘การแถ’ กับใครสักคนที่คุณต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ ผมเองก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ อาจจะใช้ทักษะนั้นบ่อยกว่าสักหน่อย
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าหากแกก่อเรื่องอีกครั้ง ฉันจะทำยังไง”
“ผมไม่ได้ก่อเรื่องนะพ่อ” แถครั้งที่หนึ่ง
“ฉันรู้ว่าแกไปทำอะไรมา”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่หยอกล้อกันเล่นๆ” แถครั้งที่สอง
“แค่หยอกล้อกันเล่นๆน่ะเหรอ... แกทะเลาะกับเด็กโรงเรียนเก่าที่สวนสาธารณะเมื่อวันศุกร์! แกคิดว่าฉันโง่หรือไง!”
“ไม่ได้ทะเลาะสักหน่อย ผมแค่แกล้งผลักพวกเอบีซีตกน้ำ” แถครั้งที่สาม
“แกพูดว่าอะไรนะ”
“เปล่า”ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ การแถคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหากผมไม่รีบเปลี่ยนประเด็น “คุณคริสเตียนฟ้องพ่อใช่ไหม... เลวชะมัด”
“ใครจะบอกฉันไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ฉันจะกลับไปที่ออแลนโด้แล้วก็เตะก้นแกต่อหน้าเด็กทั้งโรงเรียน”
หึ... เกลียดจริงๆ เกลียดตัวเองที่ต้องกลัวคำขู่ของพ่อ ต่อให้เขาเกษียรก่อนกำหนดจากกองทัพอากาศสหรัฐแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงแข็งแรงกำยำมากพอที่จะต่อยผมจนกระเด็นได้ คุณลองนึกถึงนักแสดงที่ชื่อเจสัน โมมัวตอนที่เขาไม่ยิ้มสิ นั่นล่ะพ่อผม
“ไรเจลเป็นยังไงบ้าง” พ่อถามทันทีที่ได้ยินเสียงหมาเห่า
“มันสบายดี”
“อย่าลืมให้อาหารไรเจลด้วยนะ”
“ให้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังเดินเล่นกับมัน... ไรเจล ทักพ่อหน่อยสิ”
โฮ่ง
เจ้าหมาไซบีเรียนฮัสกี้ช่างประจบส่ายหางไปมา เห่าเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือ มันรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร… พ่อส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ทุกทีที่พูดถึงลูกรักขนพองๆแล้วเสียงของพ่อมักจะอ่อนลงเสมอ
สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าการถูกกระทืบคือการที่พ่อจะพาไรเจลกลับไปที่ แฟล็กเลอร์ บีช... เขารู้ดีว่าผมรักคู่หูสี่ขาตัวนี้มากแค่ไหน และพ่อก็พร้อมจะพรากไรเจลไปจากผมทุกเมื่อ หากผมไม่หยุดสร้างวีรกรรมเลวๆเอาไว้ในออแลนโด้... ขอบอกคุณตรงนี้เลยว่า ผมไม่ยอม!!!
“ผมจะวางสายล่ะ” รีบตัดสายดีกว่าปล่อยให้พ่ออ้อยอิ่งกับเสียงครางหงิงๆของไรเจล
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังคุยกับแกไม่จบ”
เฮ้อ...
“แกไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม สารภาพมาเดี๋ยวนี้”
“ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”เบื่อชะมัด ครั้งนี้ผมไม่ได้แถนะ... คุณก็รู้ดีว่าผมไม่ทำร้ายใครก่อน
“เอสเทนโทรมาเมื่อตะกี้นี้”
“เอสเทน” ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินชื่อนั้น... รีบเลื่อนตัวนั่งข้างถนน
มีใครบ้างจะไม่ตกใจกับชื่อของเอสเทน นิลบาเล็ต รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ... เขาคือพี่ชายคนเดียวของแอ็กนิส นิลบาเล็ตด้วย บางทีคนที่แอ็กนิสบอกว่าสนใจในตัวผมอาจจะเป็นพี่ชายของเขาก็ได้
แต่ว่า... ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นเอสเทน นิลบาเล็ต
ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกนี้ที่ผู้มีอำนาจอย่างเอสเทน นิลบาเล็ตต้องหันมาสนใจผม เขาไม่ควรรู้จักผมเลยด้วยซ้ำ
“เอสเทนคุยอะไรกับพ่อ”
“เขาแค่ถามว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง”
ผมเอียงคอสงสัย... “แล้วพ่อบอกเขาว่ายังไง”
“บอกเท่าที่ฉันรู้มาจากลูกน้อง”
คุณคริสเตียนสินะ...
“เอสเทนวางสายไปตอนที่ฉันบอกว่ามีคนแปลกหน้าในชุดสูทสีดำสามคนวิ่งไล่แกไปตามถนนในออแลนโด้”
“อ่อ... ”
“ทำไมเอสเทนถึงต้องติดต่อมาหาฉันด้วยเรื่องนี้”
“ผมไม่รู้”
พ่อส่งเสียงข่มขู่ในลำคอ
“ผมไม่รู้จริงๆ ผมเจอน้องชายของเขาเมื่อวันก่อน”
“แกทะเลาะกับแอ็กนิสหรือเปล่า”
“เปล่า เราเจอกันในโรงอาหาร ทักทายกันตามปกติ” หากบอกพ่อว่าพวกเราพูดถึงเกมปลาวาฬสีน้ำเงิน เขาคงไม่พอใจอีกแน่ๆ
พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง...
“ระวังตัวหน่อย พ่อเป็นห่วง อย่าก่อเรื่องให้มากนัก”
ผมเผยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำพูดนั้นดีหรือไม่ แต่เอาเถอะ... นั่นคือการแสดงความรักที่ชัดเจนที่สุดจากพ่อของผมแล้วล่ะ
“ผมรู้แล้ว”
“ดูแลตัวเองดีๆ พ่อจะอาบแดดล่ะ”
“โอเค ขอให้ตัวสุก”ว่าจบก็วางสาย ผมลุกขึ้น เรียกไรเจลให้เดินตามมา
วันนี้อากาศดีตั้งแต่เช้าตรู่ ผมจึงพาหมาออกมาเดินออกกำลังกายรอบๆหมู่บ้าน
หลายปีแล้วที่ผมต้องอาศัยอยู่ในออแลนโด้เพียงลำพัง ส่วนพ่อกับแม่เดินทางไปมาทุกเดือนระหว่างแฟล็กเลอร์ บีชและไมอามี่ เนื่องจากบ้านพักตากอากาศกับธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่นั่น ความเป็นอิสระนี่เองที่ทำให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอจนบางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาที่พ่อต้องโทรมาดุ
หึ... ก็ทำได้แค่ดุนั่นแหละ
“ไรเจล”
โฮ่ง... มันเห่าตอบ
คราวนี้ผมปล่อยให้มันวิ่งไปบนทางเดินเท้า ไรเจลส่ายจมูกดมฟุดฟิดตามพุ่มไม้ ส่วนผมก็ฝึกปากัวร์ตีลังกาบนผืนหญ้า บ้างก็ม้วนตัวกลางอากาศหลายตลบ บางครั้งก็ไต่ไปตามขอบกำแพง ก่อนหน้านี้ผมเคยกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บริเวณสวนหลังบ้านของครอบครัวไอเก้นเบอรี่เพื่อนำอาหารไปให้ลูกนกโดยที่ไม่มีใครจับได้ นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ห้อยโหนปีนป่ายเดินข้ามลังคาชาวบ้านอย่างสนุกสนาน (ผมคงจะทำแบบนี้ต่อไป ถ้าหากคุณไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อล่ะก็นะ)
“ไรเจล”
ทุกครั้งที่ผมออกกำลังกาย ไรเจลมักจะเดินวนอยู่ใกล้ๆ หากแต่รอบนี้มันวิ่งข้ามสนามหญ้าแล้วก็หายไปนานนับนาทีจนผมเริ่มเอะใจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเดินไปหา แล้วก็พบว่าเจ้าไรเจลนั่งกระดิกหาง ปล่อยให้คนที่ไม่น่าจะโผล่มาอยู่แถวนี้ลูบหัวอย่างสบายอกสบายใจ
“เจโรม เมอเว” ผมพึมพำสงสัย พลางก้มมองเด็กเนิร์ดที่ไม่เคยอยากพูดกับผม
เจโรมรีบลุกขึ้นยืน เขาขยับขาแว่นหันมาจดจ้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ผิดกับแววตาเคลิบเคลิ้มยามที่เขามองไรเจลเสียจริง“สวัสดี”
“ไง เจโรม นายอยู่แถวนี้เหรอ”
“เปล่า”
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาหานาย”
ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างงุนงง ที่น่าสงสัยกว่าก็คือเขารู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่แถวนี้ ครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่มองไปรอบกายอย่างประหลาดใจนัก “อ้อ... เล็กเชอร์ของนายสินะ ฉันยังไม่ลอกเลย”
เจโรมรีบส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนั้น”
ผมยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”เขาพูดพลางย่นคิ้ว หันซ้ายหันขวาราวกับกลัวใครฟังบทสนทนาของพวกเราอย่างนั้นแหละ
ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบจริงๆเพราะท่าทีของเขาแปลกไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่บ้านของฉันก็ได้ อยู่ไม่ไกล”
“ไม่!”เจโรมโพล่งด้วยแววตาเบิกกว้าง ทำเอาผมแทบสะดุ้ง เขารีบกระชากแขนไว้ผมจึงสะบัดตอบ “อย่ากลับบ้าน ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
“ไป ... อะไรนะ”
“ไปกับฉันตอนนี้”
“หืม”
“เราต้องออกจากที่นี่ก่อน ตอนนี้เลย”เจโรมว่าจบก็ดึงสายจูงไปจากมือของผม แล้วก็ลากไรเจลไปด้วย
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากนายไม่บอกว่าเพราะอะไร”คราวนี้ผมขู่บ้าง อีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนจึงสูดหายใจลึกๆ เด็กเนิร์ดหันมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน
“พวกเขากำลังเดินทางมาหานายที่นี่”
“ใคร”
“คนที่นายเจอเมื่อวันศุกร์”
ผมเงียบไปครู่หนึ่งเริ่มครุ่นคิด ระหว่างนั้นเองเจโรมก็กระชากแขนผมสุดแรงสั่งให้ผมเดิน “นายเป็นบ้าอะไร เจโรม ปล่อย!”
เจโรมล้มลงบนพื้นทันทีที่ผมผลักเขาออกห่าง ในตอนนั้นเขาก็หันไปมองสนามหญ้า สังเกตรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน
“ไม่ได้การล่ะ พวกเขาจะมาเอาตัวนายไป”
“พวกไหน” ผมหันไปมองรถยนต์คันนั้น ทันทีที่สายตาเพ่งมองผ่านกระจกก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทผมตั้งสีดำ แล้วหน้าก็ซีดเผือด “เวรแล้วไง”... นั่นต้องเป็นพาร์คเกอร์แน่ๆ!
“ตามฉันมารีลอยด์ เราต้องออกจากที่นี่”
ไม่ต้องรอให้เจโรมเรียกครั้งที่สอง ผมก็วิ่งนำเขาไปจนถึงรถปิ๊กอัพ ไรเจลรีบกระโดดเข้าไปนั่งด้านหลังส่วนผมนั่งด้านหน้า รอให้เจโรมขับรถยนต์หนีออกไปจากหมู่บ้านทันที
“ขับไปทางนั้น”
“ไม่ได้”เจโรมพูดโพล่ง เลี้ยวพวงมาลัยไปอีกฟาก “มีรถยนต์อีกคันดักรอนายอยู่”
ผมไม่เห็นรถยนต์สักคัน
“มีร่องรอยของยางรถยนต์ยี่ห้อ Nexen Aria AH7 เมื่อสิบห้าวินาทีก่อน”
“หืม”
“น่าจะเป็นรถยนต์อีกคันที่ตามมาประกบนาย”
“เดี๋ยวก่อนนะ... นายเอาอะไรมาพูด”
เด็กเนิร์ดชะโงกหน้ามองผ่านกระจกชี้นิ้วไปบนพื้นถนน เขาขยับขาแว่นสังเกตบางสิ่ง “ตรงนั้นคือร่องรอยที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นรถยนต์ยี่ห้อ Honda CR-V คันเดียวกับที่ฉันเคยเห็นเมื่อสามวันก่อน”
ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นถนน!! “นายรู้ได้ยังไง”
เจโรมหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะเชื่อไหมถ้าหากฉันบอกว่า ฉันไม่ใช่คน”
“...” เราสองคนกระพริบตาปริบๆ ผมต้องประมวลผลคำพูดของเขาครู่หนึ่ง
“ระบบ AR (Augmented Reality) ฝังอยู่ในสมองของฉัน ฉันมองเห็นในสิ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น ฉันเห็นรายละเอียดของวัสดุและสิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งข้อมูลทางการแพทย์ของนายตอนนี้”
“หา...”
“ฉันเป็นแอนดรอยด์”
“...”คุณคิดว่าผมควรจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไหม
บรืน
บทสนทนาหยุดลงเมื่อ รถ Honda CR-V คันดังกล่าวจู่ๆก็พุ่งมาจากด้านหลัง เจโรมสะดุ้งเหยียบคันเร่งอย่างร้อนรน ทำเอาผมแทบจะพุ่งออกจากกระจกหน้ารถ
“ฟัค!!!!!”ตะโกนลั่นสุดเสียง ผมรีบคาดเข็ดขัดสะบัดหน้ามองรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงวกวนผ่านเส้นทางเล็กๆในหมู่บ้าน รถยนต์อีกคันตามมาไม่ห่าง เสียงล้อหมุนดังสนั่นน่ากลัวพอๆกับแรงเหวี่ยงเมื่อเจโรมหักพวงมาลัย
“นายจะทำอะไร เจโรม!!!!”
ไม่ทันที่ผมจะมีโอกาสหันมองด้านหลัง สายตาพลันสังเกตเห็นรถยนต์คันสีดำพุ่งมาทางด้านข้าง เจโรมเบิกตาตื่นตระหนกรีบเหยียบเบรก จนรถยนต์แทบจะเสียหลักพลิก เสียงล้อครูดไปตามพื้นดัง
เอี๊ยดดดดดดดดดดดด
รถยนต์คันสีดำจึงหลบขึ้นไปบนทางเท้า พริบตาเดียวกันผมเห็นพาร์คเกอร์นั่งมุ่ยหน้าอยู่ในนั้น อึดใจต่อมารถยนต์ Honda CR-V ก็พุ่งมาด้านหน้า เจโรมต้องขับรถถอยหลังหลีกหนีการตามล่า เราสองคนส่งเสียงร้องตกอกตกใจ ไรเจลเดินวนไปวนมาบนเบาะหลังด้วยความตื่นเต้น
ผมแหกปากลั่น เลื่อนมือเกาะเพดานรถ
เจโรมหมุนพวงมาลัยฉวัดเฉวียนหลบหลีกทรอกแซกผ่านซอยเล็กๆหนีการตามล่าออกมาจากหมู่บ้านได้ในที่สึด ในตอนนั้นเองเขาก็รีบเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปบนถนนใหญ่ พาร์คเกอร์จึงรีบเข้ามาประกบทางด้านข้างโดยไว ส่วน CR-V ของโจนส์และลิวอิสตามมาด้านหลัง
“เจโรม เราตายแน่!!!”
เสียงรถยนต์คำรามลั่น
“เราตายแน่! เราตายแน่ๆ!!”
เจโรมไม่สนใจเสียงร้อง หนุ่มแว่นจดจ้องมองถนนเบื้องหน้า เขาเหยียบคันเร่งเต็มกำลัง ความเร็วนั้นแทบจะตรึงร่างผมติดกับเบาะ
“เจโรม!!!”ผมตะโกนลั่นมองรถยนต์สองสามคันบริเวณสี่แยก “ไฟแดง!!!!”
เสียงเตือนไม่ได้ช่วยให้เด็กเนิร์ดชะลอความเร็ว เขารีบเปลี่ยนเกียร์ รถยนต์พุ่งทะยานจนแทบจะลอยออกจากพื้นถนน
ณ วินาทีนั้น สมองของผมโล่งมาก ผมยังไม่อยากตาย!!!!!!
ปี๊นนนนน
เอี๊ยดดดดด
ปี๊นนน
ผมหลับตาแน่นขณะสดับฟังความโกลาหลที่เกิดขึ้นบนท้องถนน หากแต่เสียงสั่นประสาทเหล่านั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับเข้าสู่ความสงบราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่าน ผมค่อยๆเงยมองข้ามกระจก สังเกตถนนเบื้องหน้า รถยนต์ยังคงเคลื่อนไปบนเลนโล่งๆอย่างปลอดภัย ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ
“เรารอดแล้ว”เจโรมบอกขณะหอบ เขาเลื่อนมืออีกข้างปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ผมสลับสายตามองรอบกาย เลื่อนมือสัมผัสเสื้อชื้น หันหลังสังเกตถนนก็พบว่าไม่มีใครติดตามมา
“เฮ้อ”
“นายทำได้ยังไง” ผมได้แต่หอบหายใจอึ้งทึ่งกับความสามารถของเด็กเนิร์ด... ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าเขาคือเจโรม เมอเวคนที่ผมเคยเจอที่โรงเรียน
“ฉันไม่รู้ ฉันก็แค่ลองเสี่ยงขับฝ่าไฟแดง”
“ลองเสี่ยงน่ะเหรอ!!” ผมตะโกนใส่หน้า
“ความน่าจะเป็นที่เราจะรอดชีวิตจากการขับฝ่าไฟแดงเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วคือหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มันมากพอที่จะเสี่ยง”
“นายพูดอะไรของนายเจโรม”
“เหตุผลทางคณิตศาสตร์”เด็กเนิร์ดสวน “ขอโทษที... แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่มีทางเลือก ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครตามล่า”
ผมอุทานจนใจเย็นลงจึงหันมาเข้าประเด็น “แล้วเราจะทำยังไงต่อ”
“ออกจากที่นี่”
“ไปไหน”
“สถานที่ปลอดภัย”
“มันคือที่ไหนล่ะ” ผมส่งตาขวางๆใส่เขา
“เซนต์ ออกัสติน[1]”
“อะไรนะ! ฉันจะไม่ไปเซนต์ ออกัสตินแน่ๆ”
อีกฝ่ายนิ่งงัน
“เดี๋ยวก่อนนะ” ผมพยายามตั้งสติ “นายรู้จักพวกมันใช่ไหม”
“คุณเควนติน พาร์คเกอร์น่ะเหรอ”
ผมเบิกตาตกใจ “ใช่! นายรู้จักเขา!”
“ฉันไม่รู้จักเขา”
อย่ามาโกหกนะไอ้สี่ตา!
“ฉันไม่รู้จักคุณพาร์คเกอร์ หรือคุณโจนส์ หรือแม้แต่คุณลิวอิส”
“!!!” แกรู้จักพวกเขา! ผมแทบจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้าใกล้แล้วถามย้ำอีกครั้งตรงนั้นด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรอก”เจโรมยังคงย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม “ฉันรู้แค่ว่าพวกเขามาจากองค์กรลับในหุบเขาแกรนด์แคนยอน ทั้งสามคนนั่นกำลังตามหานายอยู่”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหยุดเถียงและนึกตรอง “แล้วนายช่วยฉันทำไม”
เจโรมละล่ำละลัก ขยิบตาขยับปาก “มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
“หน้าที่”ผมอยากจะขำแต่สถานการณ์ไม่เหมาะนัก “เด็กเนิร์ดอย่างนายจะทำหน้าที่ปกป้องฉันเนี่ยนะ”
“ทำนองนั้น”ชักจะกลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อว่านายคือแอนดรอยด์ที่ถูกติดตั้งโปรแกรมให้คอยดูแลฉันอย่างนั้นเหรอ”
เจโรมยักไหล่
หึ... บางครั้งเด็กเนิร์ดก็อาจจะดูหนังไซไฟมากเกินไป
“ฉันถูกสั่งให้คอยสังเกตนายมาสักพัก”
“ใครสั่ง”
“ใครสักคนที่เป็นห่วงชีวิตของนาย ฉันกำลังจะพานายไปเจอกับเขา”
“เขาคนนั้นคือเอสเทน นิลบาเล็ตหรือเปล่า”
“ไม่ใช่”เจโรมรีบสวน
ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใคร่ครวญ อืม... ช่วงนี้มีคนสนใจในตัวผมเยอะจริงๆ ควรดีใจไหมนะ
“นายทำงานให้กับใคร เจโรม”
เด็กเนิร์ดกระพริบตาปริบๆตอบ
“งานนี้คงไม่เกี่ยวกับยาเสพติดใช่ไหม”
“รีลอยด์ นายคิดว่าคนอย่างฉันค้ายาเหรอ”
ก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นหรอก... “ใครจะรู้... เด็กเนิร์ดอย่างนายอาจจะเป็นพวกที่ชอบสูบกัญชาในงานปาร์ตี้”
“ฉันไม่เคยสูบ และการสูบกัญชาก็ไม่ได้แปลว่าใครคนนั้นติดยาเสพติดนะ นายเองก็เคยลองสูบไม่ใช่เหรอ”
ผมกรอกตาตอบ มีใครบ้างไม่เคยสูบกัญชา... กัญชาไม่เลวร้ายเท่าบุหรี่หรอกนะ เชื่อผมสิ
ไม่นานนักเจโรมก็จอดรถข้างถนน “รีลอยด์ พวกเราต้องจอดรถทิ้งไว้ที่นี่เพราะคุณโจนส์กับพรรคพวกของเขาอาจจะสะกดรอยตามมาได้”
ผมไม่รอช้ารีบเดินออกมาจากรถยนต์พร้อมกับไรเจล จากนั้นแล้วพวกเราก็เดินเลียบไปตามพงหญ้า “เจโรม ตกลงนายทำงานให้กับใคร”
“นายจะรู้ทันทีที่เดินทางไปถึงเซ็นต์ ออกัสติน”
“แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้”
“เฮ้ ใจเย็น”เจโรมกล่าวสวนเมื่อผมเลื่อนมือบีบท้ายทอย “ฉันทำงานให้กับมาร์แชล วิตมอร์”
“เขาคือใคร”
“นายเคยเจอเขาแล้ว”
ผมย่นคิ้วสบมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“จำได้ไหม นายเคยกระโดดจากสะพานที่แฟล็กเลอร์ บีช... จริงๆแล้ววันนั้นนายไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“รู้ได้ยังไง” ผมแทบสะอึกเมื่อได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์ในภารกิจที่สิบแปด... หมอนี่ชักจะน่าสงสัยขึ้นทุกที
เจโรมหันมาจดจ้องมองผมด้วยแววตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ “ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายเอง”
.....
....
..
เดี๋ยวนะ... เมื่อตะกี้นี้เจโรมพูดว่าอะไรนะ
“ใช่ ฉันเป็นคนช่วยติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็เรียกรถพยาบาลให้กับนายด้วย”
ไม่จริงน่า...
“คุณลุงแก่ๆคนที่ตัดสินใจกระโดดจากสะพานเพื่อหลบหนีการตามล่าของพวกชายชุดดำคือคนที่สร้างฉันขึ้นมา”
ผมยังคงยืนฟังต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของผมขมวดเข้าจนเป็นปม
“เขาคนนั้นคือมาร์แชล วิตมอร์”
[1] St. Augustine เมืองในรัฐฟลอริด้า จัดเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมและซากป้อมปราการของอาณานิคมสเปนมาจนถึงทุกวันนี้
Traces
ผมเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเคยใช้กลวิธีที่เรียกว่า ‘การแถ’ กับใครสักคนที่คุณต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ ผมเองก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ อาจจะใช้ทักษะนั้นบ่อยกว่าสักหน่อย
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าหากแกก่อเรื่องอีกครั้ง ฉันจะทำยังไง”
“ผมไม่ได้ก่อเรื่องนะพ่อ” แถครั้งที่หนึ่ง
“ฉันรู้ว่าแกไปทำอะไรมา”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่หยอกล้อกันเล่นๆ” แถครั้งที่สอง
“แค่หยอกล้อกันเล่นๆน่ะเหรอ... แกทะเลาะกับเด็กโรงเรียนเก่าที่สวนสาธารณะเมื่อวันศุกร์! แกคิดว่าฉันโง่หรือไง!”
“ไม่ได้ทะเลาะสักหน่อย ผมแค่แกล้งผลักพวกเอบีซีตกน้ำ” แถครั้งที่สาม
“แกพูดว่าอะไรนะ”
“เปล่า”ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ การแถคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหากผมไม่รีบเปลี่ยนประเด็น “คุณคริสเตียนฟ้องพ่อใช่ไหม... เลวชะมัด”
“ใครจะบอกฉันไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ฉันจะกลับไปที่ออแลนโด้แล้วก็เตะก้นแกต่อหน้าเด็กทั้งโรงเรียน”
หึ... เกลียดจริงๆ เกลียดตัวเองที่ต้องกลัวคำขู่ของพ่อ ต่อให้เขาเกษียรก่อนกำหนดจากกองทัพอากาศสหรัฐแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงแข็งแรงกำยำมากพอที่จะต่อยผมจนกระเด็นได้ คุณลองนึกถึงนักแสดงที่ชื่อเจสัน โมมัวตอนที่เขาไม่ยิ้มสิ นั่นล่ะพ่อผม
“ไรเจลเป็นยังไงบ้าง” พ่อถามทันทีที่ได้ยินเสียงหมาเห่า
“มันสบายดี”
“อย่าลืมให้อาหารไรเจลด้วยนะ”
“ให้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังเดินเล่นกับมัน... ไรเจล ทักพ่อหน่อยสิ”
โฮ่ง
เจ้าหมาไซบีเรียนฮัสกี้ช่างประจบส่ายหางไปมา เห่าเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือ มันรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร… พ่อส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ทุกทีที่พูดถึงลูกรักขนพองๆแล้วเสียงของพ่อมักจะอ่อนลงเสมอ
สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าการถูกกระทืบคือการที่พ่อจะพาไรเจลกลับไปที่ แฟล็กเลอร์ บีช... เขารู้ดีว่าผมรักคู่หูสี่ขาตัวนี้มากแค่ไหน และพ่อก็พร้อมจะพรากไรเจลไปจากผมทุกเมื่อ หากผมไม่หยุดสร้างวีรกรรมเลวๆเอาไว้ในออแลนโด้... ขอบอกคุณตรงนี้เลยว่า ผมไม่ยอม!!!
“ผมจะวางสายล่ะ” รีบตัดสายดีกว่าปล่อยให้พ่ออ้อยอิ่งกับเสียงครางหงิงๆของไรเจล
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังคุยกับแกไม่จบ”
เฮ้อ...
“แกไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม สารภาพมาเดี๋ยวนี้”
“ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”เบื่อชะมัด ครั้งนี้ผมไม่ได้แถนะ... คุณก็รู้ดีว่าผมไม่ทำร้ายใครก่อน
“เอสเทนโทรมาเมื่อตะกี้นี้”
“เอสเทน” ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินชื่อนั้น... รีบเลื่อนตัวนั่งข้างถนน
มีใครบ้างจะไม่ตกใจกับชื่อของเอสเทน นิลบาเล็ต รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ... เขาคือพี่ชายคนเดียวของแอ็กนิส นิลบาเล็ตด้วย บางทีคนที่แอ็กนิสบอกว่าสนใจในตัวผมอาจจะเป็นพี่ชายของเขาก็ได้
แต่ว่า... ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นเอสเทน นิลบาเล็ต
ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกนี้ที่ผู้มีอำนาจอย่างเอสเทน นิลบาเล็ตต้องหันมาสนใจผม เขาไม่ควรรู้จักผมเลยด้วยซ้ำ
“เอสเทนคุยอะไรกับพ่อ”
“เขาแค่ถามว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง”
ผมเอียงคอสงสัย... “แล้วพ่อบอกเขาว่ายังไง”
“บอกเท่าที่ฉันรู้มาจากลูกน้อง”
คุณคริสเตียนสินะ...
“เอสเทนวางสายไปตอนที่ฉันบอกว่ามีคนแปลกหน้าในชุดสูทสีดำสามคนวิ่งไล่แกไปตามถนนในออแลนโด้”
“อ่อ... ”
“ทำไมเอสเทนถึงต้องติดต่อมาหาฉันด้วยเรื่องนี้”
“ผมไม่รู้”
พ่อส่งเสียงข่มขู่ในลำคอ
“ผมไม่รู้จริงๆ ผมเจอน้องชายของเขาเมื่อวันก่อน”
“แกทะเลาะกับแอ็กนิสหรือเปล่า”
“เปล่า เราเจอกันในโรงอาหาร ทักทายกันตามปกติ” หากบอกพ่อว่าพวกเราพูดถึงเกมปลาวาฬสีน้ำเงิน เขาคงไม่พอใจอีกแน่ๆ
พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง...
“ระวังตัวหน่อย พ่อเป็นห่วง อย่าก่อเรื่องให้มากนัก”
ผมเผยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำพูดนั้นดีหรือไม่ แต่เอาเถอะ... นั่นคือการแสดงความรักที่ชัดเจนที่สุดจากพ่อของผมแล้วล่ะ
“ผมรู้แล้ว”
“ดูแลตัวเองดีๆ พ่อจะอาบแดดล่ะ”
“โอเค ขอให้ตัวสุก”ว่าจบก็วางสาย ผมลุกขึ้น เรียกไรเจลให้เดินตามมา
วันนี้อากาศดีตั้งแต่เช้าตรู่ ผมจึงพาหมาออกมาเดินออกกำลังกายรอบๆหมู่บ้าน
หลายปีแล้วที่ผมต้องอาศัยอยู่ในออแลนโด้เพียงลำพัง ส่วนพ่อกับแม่เดินทางไปมาทุกเดือนระหว่างแฟล็กเลอร์ บีชและไมอามี่ เนื่องจากบ้านพักตากอากาศกับธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่นั่น ความเป็นอิสระนี่เองที่ทำให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอจนบางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาที่พ่อต้องโทรมาดุ
หึ... ก็ทำได้แค่ดุนั่นแหละ
“ไรเจล”
โฮ่ง... มันเห่าตอบ
คราวนี้ผมปล่อยให้มันวิ่งไปบนทางเดินเท้า ไรเจลส่ายจมูกดมฟุดฟิดตามพุ่มไม้ ส่วนผมก็ฝึกปากัวร์ตีลังกาบนผืนหญ้า บ้างก็ม้วนตัวกลางอากาศหลายตลบ บางครั้งก็ไต่ไปตามขอบกำแพง ก่อนหน้านี้ผมเคยกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บริเวณสวนหลังบ้านของครอบครัวไอเก้นเบอรี่เพื่อนำอาหารไปให้ลูกนกโดยที่ไม่มีใครจับได้ นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ห้อยโหนปีนป่ายเดินข้ามลังคาชาวบ้านอย่างสนุกสนาน (ผมคงจะทำแบบนี้ต่อไป ถ้าหากคุณไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อล่ะก็นะ)
“ไรเจล”
ทุกครั้งที่ผมออกกำลังกาย ไรเจลมักจะเดินวนอยู่ใกล้ๆ หากแต่รอบนี้มันวิ่งข้ามสนามหญ้าแล้วก็หายไปนานนับนาทีจนผมเริ่มเอะใจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเดินไปหา แล้วก็พบว่าเจ้าไรเจลนั่งกระดิกหาง ปล่อยให้คนที่ไม่น่าจะโผล่มาอยู่แถวนี้ลูบหัวอย่างสบายอกสบายใจ
“เจโรม เมอเว” ผมพึมพำสงสัย พลางก้มมองเด็กเนิร์ดที่ไม่เคยอยากพูดกับผม
เจโรมรีบลุกขึ้นยืน เขาขยับขาแว่นหันมาจดจ้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ผิดกับแววตาเคลิบเคลิ้มยามที่เขามองไรเจลเสียจริง“สวัสดี”
“ไง เจโรม นายอยู่แถวนี้เหรอ”
“เปล่า”
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาหานาย”
ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างงุนงง ที่น่าสงสัยกว่าก็คือเขารู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่แถวนี้ ครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่มองไปรอบกายอย่างประหลาดใจนัก “อ้อ... เล็กเชอร์ของนายสินะ ฉันยังไม่ลอกเลย”
เจโรมรีบส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนั้น”
ผมยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”เขาพูดพลางย่นคิ้ว หันซ้ายหันขวาราวกับกลัวใครฟังบทสนทนาของพวกเราอย่างนั้นแหละ
ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบจริงๆเพราะท่าทีของเขาแปลกไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่บ้านของฉันก็ได้ อยู่ไม่ไกล”
“ไม่!”เจโรมโพล่งด้วยแววตาเบิกกว้าง ทำเอาผมแทบสะดุ้ง เขารีบกระชากแขนไว้ผมจึงสะบัดตอบ “อย่ากลับบ้าน ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
“ไป ... อะไรนะ”
“ไปกับฉันตอนนี้”
“หืม”
“เราต้องออกจากที่นี่ก่อน ตอนนี้เลย”เจโรมว่าจบก็ดึงสายจูงไปจากมือของผม แล้วก็ลากไรเจลไปด้วย
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากนายไม่บอกว่าเพราะอะไร”คราวนี้ผมขู่บ้าง อีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนจึงสูดหายใจลึกๆ เด็กเนิร์ดหันมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน
“พวกเขากำลังเดินทางมาหานายที่นี่”
“ใคร”
“คนที่นายเจอเมื่อวันศุกร์”
ผมเงียบไปครู่หนึ่งเริ่มครุ่นคิด ระหว่างนั้นเองเจโรมก็กระชากแขนผมสุดแรงสั่งให้ผมเดิน “นายเป็นบ้าอะไร เจโรม ปล่อย!”
เจโรมล้มลงบนพื้นทันทีที่ผมผลักเขาออกห่าง ในตอนนั้นเขาก็หันไปมองสนามหญ้า สังเกตรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน
“ไม่ได้การล่ะ พวกเขาจะมาเอาตัวนายไป”
“พวกไหน” ผมหันไปมองรถยนต์คันนั้น ทันทีที่สายตาเพ่งมองผ่านกระจกก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทผมตั้งสีดำ แล้วหน้าก็ซีดเผือด “เวรแล้วไง”... นั่นต้องเป็นพาร์คเกอร์แน่ๆ!
“ตามฉันมารีลอยด์ เราต้องออกจากที่นี่”
ไม่ต้องรอให้เจโรมเรียกครั้งที่สอง ผมก็วิ่งนำเขาไปจนถึงรถปิ๊กอัพ ไรเจลรีบกระโดดเข้าไปนั่งด้านหลังส่วนผมนั่งด้านหน้า รอให้เจโรมขับรถยนต์หนีออกไปจากหมู่บ้านทันที
“ขับไปทางนั้น”
“ไม่ได้”เจโรมพูดโพล่ง เลี้ยวพวงมาลัยไปอีกฟาก “มีรถยนต์อีกคันดักรอนายอยู่”
ผมไม่เห็นรถยนต์สักคัน
“มีร่องรอยของยางรถยนต์ยี่ห้อ Nexen Aria AH7 เมื่อสิบห้าวินาทีก่อน”
“หืม”
“น่าจะเป็นรถยนต์อีกคันที่ตามมาประกบนาย”
“เดี๋ยวก่อนนะ... นายเอาอะไรมาพูด”
เด็กเนิร์ดชะโงกหน้ามองผ่านกระจกชี้นิ้วไปบนพื้นถนน เขาขยับขาแว่นสังเกตบางสิ่ง “ตรงนั้นคือร่องรอยที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นรถยนต์ยี่ห้อ Honda CR-V คันเดียวกับที่ฉันเคยเห็นเมื่อสามวันก่อน”
ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นถนน!! “นายรู้ได้ยังไง”
เจโรมหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะเชื่อไหมถ้าหากฉันบอกว่า ฉันไม่ใช่คน”
“...” เราสองคนกระพริบตาปริบๆ ผมต้องประมวลผลคำพูดของเขาครู่หนึ่ง
“ระบบ AR (Augmented Reality) ฝังอยู่ในสมองของฉัน ฉันมองเห็นในสิ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น ฉันเห็นรายละเอียดของวัสดุและสิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งข้อมูลทางการแพทย์ของนายตอนนี้”
“หา...”
“ฉันเป็นแอนดรอยด์”
“...”คุณคิดว่าผมควรจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไหม
บรืน
บทสนทนาหยุดลงเมื่อ รถ Honda CR-V คันดังกล่าวจู่ๆก็พุ่งมาจากด้านหลัง เจโรมสะดุ้งเหยียบคันเร่งอย่างร้อนรน ทำเอาผมแทบจะพุ่งออกจากกระจกหน้ารถ
“ฟัค!!!!!”ตะโกนลั่นสุดเสียง ผมรีบคาดเข็ดขัดสะบัดหน้ามองรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงวกวนผ่านเส้นทางเล็กๆในหมู่บ้าน รถยนต์อีกคันตามมาไม่ห่าง เสียงล้อหมุนดังสนั่นน่ากลัวพอๆกับแรงเหวี่ยงเมื่อเจโรมหักพวงมาลัย
“นายจะทำอะไร เจโรม!!!!”
ไม่ทันที่ผมจะมีโอกาสหันมองด้านหลัง สายตาพลันสังเกตเห็นรถยนต์คันสีดำพุ่งมาทางด้านข้าง เจโรมเบิกตาตื่นตระหนกรีบเหยียบเบรก จนรถยนต์แทบจะเสียหลักพลิก เสียงล้อครูดไปตามพื้นดัง
เอี๊ยดดดดดดดดดดดด
รถยนต์คันสีดำจึงหลบขึ้นไปบนทางเท้า พริบตาเดียวกันผมเห็นพาร์คเกอร์นั่งมุ่ยหน้าอยู่ในนั้น อึดใจต่อมารถยนต์ Honda CR-V ก็พุ่งมาด้านหน้า เจโรมต้องขับรถถอยหลังหลีกหนีการตามล่า เราสองคนส่งเสียงร้องตกอกตกใจ ไรเจลเดินวนไปวนมาบนเบาะหลังด้วยความตื่นเต้น
ผมแหกปากลั่น เลื่อนมือเกาะเพดานรถ
เจโรมหมุนพวงมาลัยฉวัดเฉวียนหลบหลีกทรอกแซกผ่านซอยเล็กๆหนีการตามล่าออกมาจากหมู่บ้านได้ในที่สึด ในตอนนั้นเองเขาก็รีบเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปบนถนนใหญ่ พาร์คเกอร์จึงรีบเข้ามาประกบทางด้านข้างโดยไว ส่วน CR-V ของโจนส์และลิวอิสตามมาด้านหลัง
“เจโรม เราตายแน่!!!”
เสียงรถยนต์คำรามลั่น
“เราตายแน่! เราตายแน่ๆ!!”
เจโรมไม่สนใจเสียงร้อง หนุ่มแว่นจดจ้องมองถนนเบื้องหน้า เขาเหยียบคันเร่งเต็มกำลัง ความเร็วนั้นแทบจะตรึงร่างผมติดกับเบาะ
“เจโรม!!!”ผมตะโกนลั่นมองรถยนต์สองสามคันบริเวณสี่แยก “ไฟแดง!!!!”
เสียงเตือนไม่ได้ช่วยให้เด็กเนิร์ดชะลอความเร็ว เขารีบเปลี่ยนเกียร์ รถยนต์พุ่งทะยานจนแทบจะลอยออกจากพื้นถนน
ณ วินาทีนั้น สมองของผมโล่งมาก ผมยังไม่อยากตาย!!!!!!
ปี๊นนนนน
เอี๊ยดดดดด
ปี๊นนน
ผมหลับตาแน่นขณะสดับฟังความโกลาหลที่เกิดขึ้นบนท้องถนน หากแต่เสียงสั่นประสาทเหล่านั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับเข้าสู่ความสงบราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่าน ผมค่อยๆเงยมองข้ามกระจก สังเกตถนนเบื้องหน้า รถยนต์ยังคงเคลื่อนไปบนเลนโล่งๆอย่างปลอดภัย ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ
“เรารอดแล้ว”เจโรมบอกขณะหอบ เขาเลื่อนมืออีกข้างปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ผมสลับสายตามองรอบกาย เลื่อนมือสัมผัสเสื้อชื้น หันหลังสังเกตถนนก็พบว่าไม่มีใครติดตามมา
“เฮ้อ”
“นายทำได้ยังไง” ผมได้แต่หอบหายใจอึ้งทึ่งกับความสามารถของเด็กเนิร์ด... ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าเขาคือเจโรม เมอเวคนที่ผมเคยเจอที่โรงเรียน
“ฉันไม่รู้ ฉันก็แค่ลองเสี่ยงขับฝ่าไฟแดง”
“ลองเสี่ยงน่ะเหรอ!!” ผมตะโกนใส่หน้า
“ความน่าจะเป็นที่เราจะรอดชีวิตจากการขับฝ่าไฟแดงเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วคือหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มันมากพอที่จะเสี่ยง”
“นายพูดอะไรของนายเจโรม”
“เหตุผลทางคณิตศาสตร์”เด็กเนิร์ดสวน “ขอโทษที... แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่มีทางเลือก ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครตามล่า”
ผมอุทานจนใจเย็นลงจึงหันมาเข้าประเด็น “แล้วเราจะทำยังไงต่อ”
“ออกจากที่นี่”
“ไปไหน”
“สถานที่ปลอดภัย”
“มันคือที่ไหนล่ะ” ผมส่งตาขวางๆใส่เขา
“เซนต์ ออกัสติน[1]”
“อะไรนะ! ฉันจะไม่ไปเซนต์ ออกัสตินแน่ๆ”
อีกฝ่ายนิ่งงัน
“เดี๋ยวก่อนนะ” ผมพยายามตั้งสติ “นายรู้จักพวกมันใช่ไหม”
“คุณเควนติน พาร์คเกอร์น่ะเหรอ”
ผมเบิกตาตกใจ “ใช่! นายรู้จักเขา!”
“ฉันไม่รู้จักเขา”
อย่ามาโกหกนะไอ้สี่ตา!
“ฉันไม่รู้จักคุณพาร์คเกอร์ หรือคุณโจนส์ หรือแม้แต่คุณลิวอิส”
“!!!” แกรู้จักพวกเขา! ผมแทบจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้าใกล้แล้วถามย้ำอีกครั้งตรงนั้นด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรอก”เจโรมยังคงย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม “ฉันรู้แค่ว่าพวกเขามาจากองค์กรลับในหุบเขาแกรนด์แคนยอน ทั้งสามคนนั่นกำลังตามหานายอยู่”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหยุดเถียงและนึกตรอง “แล้วนายช่วยฉันทำไม”
เจโรมละล่ำละลัก ขยิบตาขยับปาก “มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
“หน้าที่”ผมอยากจะขำแต่สถานการณ์ไม่เหมาะนัก “เด็กเนิร์ดอย่างนายจะทำหน้าที่ปกป้องฉันเนี่ยนะ”
“ทำนองนั้น”ชักจะกลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อว่านายคือแอนดรอยด์ที่ถูกติดตั้งโปรแกรมให้คอยดูแลฉันอย่างนั้นเหรอ”
เจโรมยักไหล่
หึ... บางครั้งเด็กเนิร์ดก็อาจจะดูหนังไซไฟมากเกินไป
“ฉันถูกสั่งให้คอยสังเกตนายมาสักพัก”
“ใครสั่ง”
“ใครสักคนที่เป็นห่วงชีวิตของนาย ฉันกำลังจะพานายไปเจอกับเขา”
“เขาคนนั้นคือเอสเทน นิลบาเล็ตหรือเปล่า”
“ไม่ใช่”เจโรมรีบสวน
ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใคร่ครวญ อืม... ช่วงนี้มีคนสนใจในตัวผมเยอะจริงๆ ควรดีใจไหมนะ
“นายทำงานให้กับใคร เจโรม”
เด็กเนิร์ดกระพริบตาปริบๆตอบ
“งานนี้คงไม่เกี่ยวกับยาเสพติดใช่ไหม”
“รีลอยด์ นายคิดว่าคนอย่างฉันค้ายาเหรอ”
ก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นหรอก... “ใครจะรู้... เด็กเนิร์ดอย่างนายอาจจะเป็นพวกที่ชอบสูบกัญชาในงานปาร์ตี้”
“ฉันไม่เคยสูบ และการสูบกัญชาก็ไม่ได้แปลว่าใครคนนั้นติดยาเสพติดนะ นายเองก็เคยลองสูบไม่ใช่เหรอ”
ผมกรอกตาตอบ มีใครบ้างไม่เคยสูบกัญชา... กัญชาไม่เลวร้ายเท่าบุหรี่หรอกนะ เชื่อผมสิ
ไม่นานนักเจโรมก็จอดรถข้างถนน “รีลอยด์ พวกเราต้องจอดรถทิ้งไว้ที่นี่เพราะคุณโจนส์กับพรรคพวกของเขาอาจจะสะกดรอยตามมาได้”
ผมไม่รอช้ารีบเดินออกมาจากรถยนต์พร้อมกับไรเจล จากนั้นแล้วพวกเราก็เดินเลียบไปตามพงหญ้า “เจโรม ตกลงนายทำงานให้กับใคร”
“นายจะรู้ทันทีที่เดินทางไปถึงเซ็นต์ ออกัสติน”
“แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้”
“เฮ้ ใจเย็น”เจโรมกล่าวสวนเมื่อผมเลื่อนมือบีบท้ายทอย “ฉันทำงานให้กับมาร์แชล วิตมอร์”
“เขาคือใคร”
“นายเคยเจอเขาแล้ว”
ผมย่นคิ้วสบมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“จำได้ไหม นายเคยกระโดดจากสะพานที่แฟล็กเลอร์ บีช... จริงๆแล้ววันนั้นนายไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“รู้ได้ยังไง” ผมแทบสะอึกเมื่อได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์ในภารกิจที่สิบแปด... หมอนี่ชักจะน่าสงสัยขึ้นทุกที
เจโรมหันมาจดจ้องมองผมด้วยแววตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ “ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายเอง”
.....
....
..
เดี๋ยวนะ... เมื่อตะกี้นี้เจโรมพูดว่าอะไรนะ
“ใช่ ฉันเป็นคนช่วยติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็เรียกรถพยาบาลให้กับนายด้วย”
ไม่จริงน่า...
“คุณลุงแก่ๆคนที่ตัดสินใจกระโดดจากสะพานเพื่อหลบหนีการตามล่าของพวกชายชุดดำคือคนที่สร้างฉันขึ้นมา”
ผมยังคงยืนฟังต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของผมขมวดเข้าจนเป็นปม
“เขาคนนั้นคือมาร์แชล วิตมอร์”
[1] St. Augustine เมืองในรัฐฟลอริด้า จัดเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมและซากป้อมปราการของอาณานิคมสเปนมาจนถึงทุกวันนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ