ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  25.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เรามาตั้งชื่อแก๊งค์กันเถอะ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

     เรามาตั้งชื่อแก๊งค์กันเถอะ 2
     ผมเดินกลับไปตามเส้นทางเดิมของตัวเอง ผ่านสนามวอลเลย์บอลซึ่งอยู่ในหอประชุม พื้นที่ด้านข้างใช้เป็นลานอเนกประสงค์ โต๊ะหินอ่อนตั้งเรียงรายใต้ต้นหูกวาง ที่อยู่ติดกันเป็นอาคารแผนกคหกรรม สุงชั้นเดียวยาวขนานไปกับทางเดิน หน้าอาคารมีต้นโมกที่ผมเพิ่งลงให้ ต้องหมั่นรดน้ำจนกว่าจะแตกใบอ่อน ถัดจากตัวอาคารเป็นทางเดินกว้าง 1 เมตร มุ่งตรงไปยังห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิง ห้องเก็บของ รวมทั้งเล้าหมูขนาด 2 คูหา ด้านหลังอาคารคือเล้าไก่ขนาดใหญ่ หลังคาสุงโปร่งมีช่องลมระบายความร้อน พวกเราทุกคนจะได้เลี้ยงไก่ในเทอมหน้า ส่วนเทอมถัดไปจะเป็นการเลี้ยงน้องสุกร
     สองเท้าก้าวผ่านประตูขนาดใหญ่ที่ไม่มีประตู ซึ่งในอดีตเคยเป็นทางออกด้านหลังโรงเรียน แต่ทว่าเสื่อมสภาพจนเอียงกระเท่เร่ อาจารย์สมพิศจึงให้ภารโรงรื้อออกซะเลย ผมเดินเข้าไปภายในพื้นที่ด้านหลัง ที่เคยเป็นท้องนาท้องไร่มาแต่ปางก่อน กระทั่งโรงเรียนได้งบประมาณเพิ่มเติม จึงซื้อที่ดินทั้งหมดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
     ฝั่งขวามือคือโรงอาหารไม้ทั้งหลัง ร้านอาหารหันหลังชนกันอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยโต๊ะโรงอาหารขาไขว้แสนหนักอึ้ง ตัวอาคารเปิดโล่งอากาศถ่ายเทสะดวก หลังคามุงจากไม่มีเสียงเปาะแปะยามฝนตก มักมีเม็ดฝนตกใส่จานข้าวเสมอ ทางโรงเรียนผุดโครงการสร้างใหม่มาแรมปี ติดอยู่ก็เพียงเรื่องงบประมาณนั่นเอง นักเรียนต้องทานก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำฝนกันไปก่อน
     ถัดจากโรงอาหารเป็นแปลงเกษตรขนาดย่อม ต่อมาได้สร้างเรือนเพาะชำเพิ่มเติมขึ้น ห้องเรียนพวกเราอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดิบพอดี แม้จะมีรั้วโรงเรียนตั้งขวางกั้นก็ตาม ทว่ากำแพงบางส่วนเสียหายเป็นรูโบ๋ รุ่นพี่ซักคนจึงได้เจาะเป็นช่องลับ ไม่มีใครคิดปรับปรุงซ่อมแซม จึงกลายเป็นทางเดินเข้าแปลงผักไปโดยปริยาย
     ผมหันหน้าไปทางซ้ายพลางก้าวเท้าเร็วขึ้น ฝั่งนี้ทั้งหมดเป็นแปลงเกษตรขนาดใหญ่ น้องผักบุ้งเรียงสลอนอยู่แถวแรกสุด เพราะสะดวกกับการตักขี้หมูมารดทุกเช้า ผักบุ้งจีนเป็นผักที่ปลูกง่ายดูแลง่าย วิธีการทำเป็นอาหารยิ่งง่ายดายใหญ่ เพียงใส่เต้าเจี้ยวผัดไฟแดงก็อร่อยเหลือหลาย เพื่อนคนไหนอยากทานเดี๋ยวผมเด็ดไปฝาก โปรดล้างขี้หมูกันเอาเองนะครับ
     ถัดจากน้องผักบุ้งก็คือน้องผักถั่วฝักยาว นักเรียนห้องเรากำลังลงแปลงในเทอมนี้ พืชล้มลุกตระกูลถั่วนั้นปลูกไม่ยาก หมั่นดูแลเรื่องน้ำให้ดีในระยะแรก รวมทั้งการรักษาความชื้นในดินด้วย กระทั่งต้นอ่อนเติบโตเป็นต้นกล้า ต้องทำปักค้างหรือนั่งร้านสุงประมาณ 2 เมตร เพื่อให้ถั่วเกาะพยุงลำต้นและเลื้อยขึ้น เมื่อติดดอกออกผลแล้วต้องดูแลเป็นเท่าตัว พวกเราจึงได้หมั่นรดน้ำทุกเช้าเย็น ถั่วฝักยาวเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 2 เดือนขึ้นไป นับดูคร่าว ๆ เท่ากับต้นปีหน้าพอดี
     ที่อยู่ติดกันเป็นแปลงบวบของรุ่นพี่ มีการทำค้างไว้แล้วทั้งที่ยังเป็นต้นอ่อน คำนวนด้วยสายตาบางแปลงคงไม่รอด เนื่องจากดูแลผิดวิธีจนใบเริ่มเหี่ยว เลยแปลงบวบหน่อยเดียวเป็นต้นมะม่วงอกร่อง สุงโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางพืชผักน้อยใหญ่ ไม่เคยมีใครเห็นมันออกลูกซักครั้ง ตรงนั้นเองคือจุดหมายการเดินทาง
     “…ใครบางคน อยู่บนห้างนาคำนึง เพียงลำพังบ่นพร่ำรำพึง กึ่งรำพันฝากลมรำเพย
ลมยังพาลระรานพวงแก้ม หยอกแกมรังแกอกเอ๋ย คนโดนลมระรานก็เลย ตัดพ้อกับซอไผ่คราง …”
     ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมผิวสีแทน ยืนสูดอากาศบริสุทธิ์จากลมตะวันออกเฉียงเหนือ เขาไว้ผมทรงบาร์โค้ดปกปิดหัวล้าน จัดทรงอย่างดีด้วยน้ำมันใส่ผมตันโจ มือซ้ายถือแคนหกสำหรับผู้เริ่มต้น มือขวาถือโทรศัพท์หน้าจอ 5.5 นิ้ว เสียงเพลงลูกทุ่งดังกระหึ่มลอยเข้าหู จำได้ว่าชื่อว่าเพลง “ฝากลมส่งไลน์” ของอุ้ม อรัญญา เจ้าของเครื่องร้องตามประกอบลีลา เขาคือผู้มีอำนาจสุงสุดของโรงเรียน ผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะสายัณห์เป็นสัญลักษณ์
     “มาแล้วเหรอ รอก่อนนะ อาจารย์มีเรื่องอยากคุยด้วย”
     ผอ.ยอดรักกล่าวทักทายประโยคแรก หลังปล่อยให้ผมยืนกุมเป้าหลายนาที คงเป็นเพราะติดพันอยู่กับเพลง “เขาขอไลน์ อ้ายขอลา” ของมนต์แคน แก่นคูน ผมนี้รู้สึกเซ็งโปรแกรมไลน์ขึ้นมาทันที เพราะโทรศัพท์เล่นเพลง “เฟสก็หาย ไลน์ก็เงียบ” ของ เบิ้ล ปทุมราช ต่อกันไป กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีเพลงเกี่ยวกับไลน์อีก ผู้ที่ได้นัดหมายจึงกลับสู่โลกปัจจุบัน
     “เอาล่ะ เสร็จเสียที” เจ้าตัวเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า จากนั้นจึงหันหน้ามายังผู้ยืนรอ
     “อาจารย์มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย เมื่อคืนก่อนเธอกับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวไหนกันเหรอ”
     “ครับ คือว่า…” ผมมีอาการเส้นกระตุกเล็กน้อย “ผมชวนอำนาจและทรงเดชไปบ้านนิตยา พอดีเธอจะย้ายของหนักแล้วทำเองไม่ไหว ครั้นจะรอคนงานก็ต้องมาเรียนหนังสือ ผมเห็นว่าพวกเราพอทำกันได้ ก็เลยอาสาไปช่วยให้เรียบร้อย”
     “คิดยังไงถึงไปกลางดึกกลางดื่น พ่อนิตยารู้เรื่องหรือเปล่า” คนพูดเหล่ตามองพลางขยับแคนในมือ
     “รู้สิครับ นิตยาบอกพ่อแล้ว ผมยังเจอพ่อเธอก่อนกลับบ้านเลย”
     ผอ.ยอดรักนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ตาก็จับจ้องผมสลับแคนหกที่ย้ายมามือขวา ผมควรเรียกว่าผู้อำนวยการตามตำแหน่ง ทว่าเขาสอนวิชาดนตรีไทยกับเด็กมัธยมต้น จึงให้ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ยอดรัก ฟังแล้วรู้สึกดีมากใช่ไหมล่ะครับ แต่ในความจริงมันไม่ดีซักเท่าไหร่ เพราะคนสอนเล่นดนตรีไทยแย่เหลือเกิน
     ขณะที่ยืนรอผมก็แอบถอนหายใจไปด้วย พลางนึกถึงภาพยนต์เรื่องเดจาวูขึ้นมาอีกรอบ ผอ.ยอดรักคงเป็นห่วงเพื่อนผมซักคน เลยอยากเตือนไม่ให้ผมพาออกนอกลู่นอกทาง เรื่องของเรื่องต้องเป็นแบบนี้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่คราวนี้หวยจะออกเบอร์ไหน คิดไปคิดมาน่าจะเป็นชิดชนกมากที่สุด เพราะผอ.เป็นเพื่อนกับเฮียอ๋าตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง ในเมื่อผมเพิ่งจะมีบทเรียนมาก่อนหน้า ก็จะไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เมื่อครบ 5 นาทีพอดี ผมจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ
     “เธอเล่นแคนเป็นไหมนักเรียน”
     ก่อนที่ผมจะชิงพูดตัดหน้านั้น ผอ.ยอดรักได้ลงมือก่อนเพียงเสี้ยววินาที ทำให้คนฟังมีอาการเส้นกระตุกซ้ำซ้อน เมื่อแผนการที่เตรียมไว้เปลี่ยนแปลงกระทันหัน สิ่งที่เราคาดคิดมักจะเป็นจริงครึ่งเดียวเสมอ
     “ไม่เคยเล่นครับ” ผมตอบกลับขณะทำคอเอียงเพื่อมองแคน
     “อาจารย์ก็ไม่เคย อาทิตย์ก่อนนึกอยากเล่นเลยซื้อมา ยากเหมือนกันนะ”
     คนพูดหยิบแคนหกขึ้นมาแสดงผลงาน คนฟังหยิบสองมือขึ้นมาปิดสองหู ไม่อยากเชื่อจริง ๆ เลยนะครับ ว่าผมจะได้ยินอะไรที่โหดร้ายปานนี้ รู้สึกเกลียดเครื่องดนตรีทำจากไม้ซางไปตลอดกาล
     “ก็พอใช้ได้” นักดนตรีเอกยิ้มให้กับตัวเอง จากนั้นจึงหันมาสนทนาต่อ “เธอเห็นไหมว่าการเป่าแคนมันยาก ถ้าเราไม่คุ้นเคยหรืออยากทำ อาจารย์เป่าแคนโดยไม่มีพื้นฐาน และไม่รู้สึกชอบซักเท่าไหร่ มันก็เลยห่วยแตกอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น เราควรทำในสิ่งที่เราควรทำและอยากทำ เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”
     “ไม่เข้าใจครับ” ผมตอบกลับโดยไม่ต้องคิด เพราะไม่รู้จะคิดอะไรนี่นา
     ผอ.ยอดรักถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางเปลี่ยนมายืนท่าสองมือไขว้หลัง ดวงตาจ้องมองนักเรียนผู้มีท่าทีสุดฉงน หลังจากเล่นเกมส์จ้องตาอยู่นาน 5 นาที เขาคงทนไม่ไหวจึงได้เปิดปากขึ้น
     “อาจารย์ขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อย พ่อแม่เธอประกอบอาชีพอะไร”
     “พ่อเสียตั้งแต่เด็กครับ แม่ทำงานที่ระยองกลับบ้านเดือนล่ะครั้ง ผมอาศัยอยู่กับอาม่าและน้าสาว เป็นร้านขายจักรยานเล็ก ๆ ตรงข้ามตลาดสด” ผมตอบกลับตามความเป็นจริง
     “เสียใจเรื่องพ่อด้วย” แววตาคนพูดสลดลง ทว่าเขาก็ยังพูดต่อ “แม่ต้องไปทำงานไกลบ้าน ยังดีที่มีอาม่าและน้าช่วยดูแล เธอเป็นหลานคนโตล่ะสิ อาม่าคงจะรักนักรักหนา”
     “คนที่ 9 ครับ” ผมนึกถึงก้านมะยมทันที ความรักจากอาม่าผ่านเครื่องทุ่นแรงเสมอ
     “หลานคนที่ 9 คนที่ 9 เธอก็เลยได้ อ๋อ…!”
     ท่านผู้อำนวยการหยุดพูดซะงั้น ก็เลยไม่รู้ว่าผมได้อะไรกันแน่ ผู้มีเคราแพะเปลี่ยนอิริยาบทอีกครั้ง โดยการเดินไปเดินมาระหว่างต้นมะม่วงกับแปลงบวบ ครั้นผมจะเดินตามก็ดูไม่ค่อยเหมาะ จึงตัดสินใจยืนรอที่เดิมไปก่อน เท่าที่รู้เขาคนนี้ขยันขันแข็ง ผลงานยอดเยี่ยมถ้วยรางวัลวางจนล้นห้อง มีแนวคิดทันสมัยทันเหตุการณ์ ไม่ยิดติดกฎระเบียบโบราณคร่ำครึ ผมเองก็ว่าตรงเผงทั้งหมด ผอ.ยอดรักมีความคิดทันสมัยมาก จนเด็กรุ่นใหม่อย่างผมยังตามไม่ทัน
     “เธอมีปัญหาอะไรไหม บอกอาจารย์ได้”
     หลังจากเดินวนจนคลื่นใส้เวียนหัว ผู้มีแคนหกจึงได้หยุดเพื่อพูดบ้าง แววตาของเขามีความอารีย์อย่างชัดเจน คู่สนทนาจึงเคลิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ ติดอยู่ก็เพียงผมไม่มีปัญหาเนี่ยสิ
     “ไม่มีครับ” ผมตอบกลับโดยไม่ต้องคิดอีกครั้ง
     “แต่อาจารย์ว่ามี ไม่อย่างนั้นเธอจะทำอย่างนี้เหรอ” คนพูดส่ายนิ้วไปมา
     “แล้วผมทำอะไรเหรอครับ” คราวนี้ผมเริ่มคิดขึ้นมาบ้างแล้ว
     “ทำแบบที่อาจารย์เห็นตอนกลางวัน รวมทั้งที่ทำเมื่อครู่นี้” คนพูดส่ายนิ้วเร็วขึ้น
     “แล้วตอนกลางวันกับเมื่อครู่นี้ ผมทำอะไรเหรอครับ”
     สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเสียเลย ยิ่งสนทนาโต้ตอบกันมากเท่าไหร่ ความห่างไกลของคนทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มตาม นักเรียนไม่เข้าใจคำพูดผอ. ฝ่ายผอ.ก็ไม่เข้าใจนักเรียนเช่นกัน ช่วงว่างระหว่างวัยถูกฉีกห่างออกไป ถ้ามัวแต่ตั้งคำถามอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นความเจ็บปวด ไม่ก็แผลลึกในใจนักเรียนผู้มีปมคนนี้
     “ตกลง อาจารย์จะไม่อ้อมค้อมแล้ว เธอมีปัญหาเรื่องการเงินใช่ไหม”
     หลังคิดคำนวนในใจครู่เดียว ผู้อำนวยการจึงได้เปลี่ยนท่าที เป็นการบุกเข้าลุยชนิดปะฉะดะ คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายตาเหลือก ทว่ายังพอมีสติตอบคำถามกลับได้
     “ผมไม่มีปัญหาเรื่องนี้ครับ” คนพูดจับกระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว
     ผอ.ยอดรักส่ายหัวระอาใจ แสงแดดยามเย็นสาดส่องกระทบร่าง ทรงผมบาร์โค้ดพริ้วไหวไปมา เมื่ออากาศบริสุทธิ์ผสมกลิ่นขี้หมูพัดผ่าน เขาเพ่งมองแปลงบวบขณะอธิบายความ
     “อาจารย์มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้เป็นสิบ ๆ ปี มองแว๊บเดียวก็เข้าใจทุกอย่าง เธอสวมเสื้อผ้าสีซีดค่อนข้างเก่า ไม่มีโทรศัพท์มือถือเหมือนคนอื่น เดินทางมาโรงเรียนด้วยจักรยานใช่ไหม นาฬิกาหรือสร้อยคอก็ไม่ใส่ รองเท้านักเรียนขาดเป็นรูโบ๋ คงได้เงินมาแค่พออาหารกลางวัน แบบนี้ยังจะบอกอีกหรือว่า…เธอไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน”
     เหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ รู้สึกเบาหวิวจนตัวแทบลอยได้ มือทั้งสองถูกปล่อยหล่นสู่พื้น เสียงถอนใจดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความสงสัยที่เคยมีพลันสลายสิ้น ความรู้สึกอื่นก่อตัวขึ้นมาแทนที่ ผมไม่มีปัญหาเรื่องเงินก็จริง แต่ผมก็ไม่มีอะไรต่อมิอะไรอย่างที่เขาบอก ไม่เคยอิจฉาคนอื่นซักนิดเดียว แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกแย่มาก
     เมื่อเห็นลูกศิษย์มีทีท่าเซื่องซึม ผู้อำนวยการก็พลันใจหายวาบ เขาคงน่ากลัวมากประหนึ่งภูติผีปีศาจ สิ่งที่ทำคงเลวร้ายไม่อาจให้อภัย ความรู้สึกในใจบอกให้รีบหยุด แต่เขาจะหยุดตรงนี้ไม่ได้หรอก เพื่อแก้ไขปัญหาให้นักเรียนคนนี้ ผู้กำลังหลงทางอยู่ในป่าลึก จึงจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ไม่คิดอยากทำ
     “ฟังอาจารย์พูดให้ดี” ผู้มีความมุ่งมั่นได้กล่าวต่อ “อาจารย์เจอนักเรียนที่มีปัญหาเรื่องนี้มาเยอะ บ้างก็ไปได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน บ้างก็ทำร้ายอนาคตของตนให้สูญสิ้น เพราะเลือกเดินทางผิดแบบที่เธอทำอยู่ เชื่ออาจารย์คนนี้ดีกว่า กลับตัวกลับใจเสียเถอะ อาจารย์ไม่คิดทำร้ายเธอเลย”
     ขณะที่ผมยังตั้งสติไม่ได้อยู่นั้น ผอ.ยอดรักก็ปล่อยวลีเด็ดให้ได้มึนตึ้บ นอกจากผมจะทำให้เพื่อนหมดอนาคต ผมยังกลายเป็นเด็กมีปัญหาอีกด้วย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าทุกอย่าง นั่นก็คือเรื่องท้ายสุดที่เขาเอ่ยถึง ผมคิดและทำเหมือนนักเรียนคนอื่น แล้วผมต้องกลับตัวกลับใจจากเรื่องอะไร ผมมาที่นี่ก็เหมือนนักเรียนทุกคน แล้วผมเลือกทางเดินผิดตรงไหนกัน
     “อีกเรื่องนะ อาจารย์ได้ข่าวมาว่า… เดี๋ยวนี้ถึงกับตั้งแก๊งค์กันเลยนะ”
     หลังจากพูดอ้อมโลกอยู่นานพอควร ผู้อำนวยการขี้กังวลก็ยิงหมัดตรงใส่เสียที นั่นทำให้หัวหน้าห้อง 4/3 ทำหน้าเหมือนคนปวดท้องเมนส์ และมีอาการปากหนักจนพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรเขาจึงเริ่มร่ายยาวจนจบ
     “ฟังอาจารย์นักเรียน” คนพูดลูบเคราแพะหนึ่งครั้ง “เธอไม่ต้องทำแบบนี้เลย มี…”
     “ผมทำอะไรครับอาจารย์ พูดมาตรง ๆ เถอะ”
     ก่อนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นหนังยาว ผมต้องทำอะไรซักอย่างบ้าง อันที่จริงไม่ควรพูดขัดผู้ใหญ่ อาม่ามักคอยกำชับเรื่องมารยาท แต่ถ้าผมไม่รีบแตะเบรก วันนี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่
     “ตกลง อาจารย์จะไม่อ้อมค้อม” คนพูดชักสีหน้าเมื่อโดนขัด “อาจารย์รู้เรื่องที่พวกเธอตั้งแก๊งค์ เพื่อรีดไถนักเรียนผู้อ่อนแอกว่าแล้ว กลับตัวกลับใจเสียเถอะ เชื่ออาจารย์”
     หลังได้รับทราบข้อหาร้ายแรง ผมจึงส่งยิ้มมุมปากคืนให้ อาจเป็นเพราะเจอมาแล้วถึง 2 เรื่อง ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนี่ ทำให้ผอ.ยอดรักแปลกใจมาก ที่ผู้ต้องหาไม่ตกใจเลยซักนิด
     “ใครเป็นคนบอกเรื่องนี้ครับ” ผมถามกลับอย่างใจเย็นที่สุด
     “ไม่มี๊! ไม่มีใครบอก อาจารย์เห็นกับตาตัวเอง” ผู้อำนวยการปฎิเสธเสียงสุง
     “เห็นวันไหนและตอนไหนครับ” ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ
     “วันนี้เลย ทั้งตอนที่เธอล๊อคคอเพื่อนตัวเล็กใส่แว่น แล้วให้เพื่อนตัวโตข่มขู่รีดไถ รวมทั้งตอนที่เธอพยายามล้วงเงินรุ่นน้อง เด็กน้อยที่ชอบยักคิ้วข้างเดียวนั่นยังไง”
     ผอ.ผู้มีแนวคิดทันสมัยยิ้มกว้าง เมื่อคิดว่าตนเองชนะแน่ในศึกนี้ นักเรียนผู้มีปัญหาการเงินถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าตนได้ทำอะไรลงไป พอรู้รายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงพอมองเห็นหนทางแก้ไข
     “แก๊งค์ผมมีกี่คนและใครบ้าง” ผมเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
     “มีเธอ คนตัวโตที่เป็นนักบาส แล้วก็คนตัวเล็กใส่แว่นตา” ผอ.ยอดรักตอบอย่างฉะฉาน
     “แล้วที่อาจารย์เห็น ผมล๊อคคอใครอยู่ครับ” ผมรีบยิงถล่มที่หมายสำคัญ
     “คนตัวเล็กใส่แว่นตา เห็นว่าพ่อเป็นหมอคงมีเงินเยอะ นายก็เลย เฮ่ย…!”
     ท่านผู้อำนวยการสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ ความมั่นใจที่มีหล่นหายในแปลงบวบ ทำไมคนตัวเล็กใส่แว่นตาถึงโดนทำร้าย ในเมื่อหมอนั่นเป็นเพื่อนหมอนี่ไม่ใช่เหรอ
     “ผู้อำนวยการยอดรักครับ” ผมใช้คำพูดอย่างเป็นทางการ “คนตัวเล็กใส่แว่นตาชื่ออำนาจครับ ถ้าเขาอยู่แก๊งค์เดียวกับผม แล้วเขาจะโดนรีดไถเงินไปเพื่ออะไร”
     “อาจารย์อาจจำผิด” คนมีเครารับเสียงอ่อย ๆ ทว่าเขาไม่คิดจะยอมแพ้ “แต่เรื่องที่เธอล้วงเงินรุ่นน้อง อาจารย์ยืนยันว่าจำถูกคน กลับตัวกลับใจเถอะนักเรียน เชื่ออาจารย์”
     “ผู้อำนวยการยอดรักครับ” ผมใช้คำพูดอย่างเป็นทางการอีกรอบ “น้องคนนั้นคือคนที่อาจารย์ใช้ไปตามผม อาจารย์ถามความจริงกับเขาหรือยังครับ”
     “ถามแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเรียกเธอมาทำไม” คนพูดรับคำแต่รีบหลบตา
     “แล้วน้องเขาตอบว่ายังไงครับ” ผมยิงถล่มที่หมายสำคัญอีกครั้ง
     “เขาก็บอกว่า” เจ้าตัวมีอาการตะกุกตะกัก “แค่เล่นกันเฉย ๆ”
     ผอ.ยอดรักได้หันไปมองต้นมะม่วง ทิ้งให้ต้นบวบน้อยใจจนใบเหี่ยว ผมถอนหายใจบ้างด้วยโล่งอก ที่หลุดพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมดทั้งปวง จึงได้จัดเสื้อผ้าหน้าผมเสียใหม่ แล้วยกมือไหว้ท่านผู้อำนายการผู้สงบนิ่ง จากนั้นจึงหันหลังกลับไปตามทางเดิม ก่อนจะเป็นลมเพราะสูดขี้หมูมากเกินควร
     “อาจารย์มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้เป็นสิบ ๆ ปี มองแว๊บเดียวก็เข้าใจทุกอย่าง”
     ระหว่างที่ผมย่างสามขุมผ่านแปลงบวบ พลันมีเสียงที่มุ่งมั่นดังตามหลัง จึงหันไปมองต้นกำเนิดเสียง เขายืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแปลงผัก มือซ้ายถือแคนหกสำหรับผู้เริ่มต้น มือขวาถือโทรศัพท์หน้าจอ 5.5 นิ้ว
     “เธอข่มขู่นักเรียนคนนั้น ว่าปากโป้งเมื่อไหร่ได้เจอดีอีกแน่ เด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงไม่กล้าปริปาก คิดว่าอาจารย์ไม่รู้ล่ะสิ กลับตัวกลับใจเถอะนักเรียน เชื่ออาจารย์”
     ผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะสายัณห์เป็นสัญลักษณ์ จ้องมองมาด้วยแววตาโอบอ้อมอารีย์ หลังฟังจบผมยกมือไหว้อีกครั้ง พลางฝืนยิ้มให้กับแปลงบวบที่กำลังร่ำให้
     “ถ้าเธอมีปัญหาอะไรก็ตาม” ผู้มีแคนหกตะโกนส่งท้าย “มาที่ชั้นสองตึกหนึ่งได้ทุกเวลา ตอนนี้เธอคงโกรธอาจารย์มาก แต่เชื่อเถอะว่าอาจารย์ไม่เคยโกรธเธอเลย”
     ผมได้รู้ซึ้งไปถึงแกนกระดูกสันหลัง ว่าคนที่มีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้เป็นเช่นไร ทว่าผมไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรทั้งสิ้น จึงพยักหน้าเบา ๆ ให้แล้วจากไปตามทางเดิน
                               ---------------------------------------------
     เย็นวันศุกร์ต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ผมนั่งจุมปุ๊กอยู่หน้าเสาธง พลางปล่อยใจลอยล่องไปแสนไกลอยู่นั้น เพื่อนทั้งสองที่หมดอนาคตไปแล้วนั้น ได้ตามมาสมทบด้วยหน้าตาบึ้งตึง อำนาจมาถึงก็ถอนหายใจรดใส่หน้า ทรงเดชโยนเป้แล้วหงายเก๋งบนพื้นสนาม แดดย่ามบ่ายคลายความร้อนลงไปมาก ทว่าจิตใจพวกเรากลับร้อนระอุยิ่งขึ้น นักเรียนต่างทยอยเดินออกประตูใหญ่ ที่ใช้แบ่งกั้นระหว่างโลกความจริงกับโลกการเรียน
     “แย่ชะมัด ตอนนายไม่อยู่อาจารย์สมพิศเรียกเราไปพบ”
     อำนาจเริ่มเปิดหัวบทสนทนา นายสี่ตาทำท่าเหมือนคนปวดท้องหนัก ผมได้หันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงเห็นว่าเพื่อนท่าทางแย่เอาการ รวมทั้งทรงเดชที่เหลือกตามองจากพื้น คนที่เดือดร้อนหาใช่ผมคนเดียวไม่
     “อาจารย์สมพิศบ่นอะไร” ผมถามกลับเพราะเห็นว่าเงียบเกินไป
     “ไม่รู้สิ” คนตอบทำหน้าเซ็งชีวิต “เรียกเราไปพบแต่ไม่พูดอะไร กว่าจะเริ่มแทบหลับคาเก้าอี้ ทีแรกถามเรื่องเมื่อคืนก่อน เราก็ตอบไปตามที่เตี๊ยมกันแหละ แล้วหล่อนก็วนมาเรื่อง…เราเป็นเด็กดีอย่างโน้นอย่างนี้ ยังบอกด้วยว่าเรากับมนต์ชัย คือความหวังสำคัญของประเทศ ก็เลยเป็นห่วงเรื่องอนาคต อย่างเราเนี่ยนะความหวัง”
     ลูกชายหมอประสาทพร่ำบ่น พลางทำหน้าเบื่อโลกเบื่อชีวิตและเบื่อความหวัง เขาไม่ทันได้สังเกตุเลยซักนิด ว่าเพื่อนที่นั่งติดกันหน้าซีดทันควัน เมื่ออำนาจหันไปมองอีกครั้ง เพื่อนคนนั้นได้กลับสู่ปรกติแล้ว
     “เหมือนอยากบอกว่าเราคบเพื่อนไม่ดี นายว่าหล่อนหมายถึงใคร”
     คนพูดโยนคำถามแทงใจกลับมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย อำนาจยังคงเป็นอำนาจคนเก่า จึงพูดเปิดอกโดยไม่มีปิดบัง ผมก็เลยไม่กล้าพูดอะไร จึงพยายามตอบเลี่ยง ๆ ไปก่อน
     “คงไม่ใช่มั้ง คิดมาก” ผมหันไปที่อีกคน “แล้วคุณล่ะครับ เป็นอะไรถึงตาย”
     “ยังโว้ย แต่ก็เกือบแล้ว” ทรงเดชเงียบไปครู่หนึ่ง “อาจารย์วิบูลย์หาว่าเราติดยา”
     “เฮ้ย ! ติดยา เอากันแบบนี้เลยเหรอ” อำนาจตกใจแทนเพื่อนทันที
     “เออสิ อาจารย์คงบ้าไปแล้ว ลาออกเลยดีกว่า” ทรงเดชเริ่มเตลิดไปไกล
     “เฮ้ย ! ลาออกทำไม เรื่องแค่นี้เอง” อำนาจตกใจจึงรีบห้าม
     “มันไม่แค่นี้น่ะสิ” ทรงเดชทำท่าจะร้องให้ “พอเราแยกจากอาจารย์วิบูลย์ ยังโดนรัตนาโวยใส่ชุดใหญ่ ยายคนนี้ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ว่าจะพาเราไปรักษาตัวที่ถ้ำกระบอก ยังบอกอีกว่าจะจัดการเพื่อนเลว ๆ ให้ แล้วมันมีเสียที่ไหนกัน อาจารย์วิบูลย์ก็น้ำเน่าไม่แพ้กัน อวยว่าเราเป็นความหวังสำคัญของมวลมนุษย์ สงสัยแกอยากให้เราสู้กับเอเลี่ยน”
     นักบาสร่างโตสีหน้าไม่สู้ดี เพราะมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ จึงเกิดอาการเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เว้นกระทั่งกีฬาที่ตนเองรัก อำนาจเห็นว่าเพื่อนทุกข์กว่าตน จึงพยายามช่วยพูดปลอบใจ ผู้โชดร้ายต่างปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน โดยไม่ทันสนใจเพื่อนคนที่สาม ว่ามีหน้าตาเหมือนคนปวดท้องเมนส์ เขาคนนี้ก็ทุกข์ใจไม่แพ้ใคร
     “พวกนายอย่าเพิ่งคิดมาก วันจันทร์เราไปคุยกับอาจารย์ให้”
     หลังจากที่ผมปรับสีหน้าตัวเองได้แล้ว จึงตกปากรับคำเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา
     “นายจะคุยว่ายังไง” อำนาจผู้มีคำถามมากมายเอ่ยขึ้น
     “ยังคิดไม่ออก แต่มันต้องมีสิน่า” ผมตอบกลับโดยไม่ปิดบัง
     “อย่าดีกว่า เราเกรงใจจัง” คนสวมแว่นรีบปฎิเสธทันที
     “เราก็เกรงใจ นายช่วยเราเยอะแยะไปหมด” ทรงเดชรีบปฎิเสธเช่นกัน
     “เกรงใจอะไร ยังคิดไม่ออกเลย” ผมพยายามเล่นมุขฝืด “เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวเราบอกอาจารย์วิบูลย์ให้ ว่าจะพานายไปถ้ำกระบอกด้วยตัวเอง จะได้เลิกกังวลใจเสียที”
     “ถ้ำกระบอกอีกคนแล้ว โว้ย…!”
     ทรงเดชล้มหงายเก๋งลงไปอีกครั้ง อำนาจยื่นมะเหงกให้กับคนพูด นักเรียนต่างทยอยเดินทางกลับบ้าน ชิดชนกกับนิตยาก็เช่นกัน สาวผมม้าเป็นคนขี่จักรยาน สาวผมหยักโศกเป็นคนซ้อนท้าย ทั้งคู่ส่งยิ้มทักทายมาเมื่อขี่ผ่าน พวกเราก็เลยยิ้มตอบตามมารยาท ผู้ชายซื่อบื้ออย่างผม มีรอยยิ้มลูกสาวเฮียอ๋าเป็นกำลังใจ ชิดชนกคงไม่รู้สินะ ว่าวันนี้ผมต้องเจออะไรบ้าง
     “กลับบ้านกันเถอะ ง่วงนอนแล้ว”
     ผมลุกขึ้นยืนพลางฉุดมือเพื่อน อำนาจและทรงเดชจึงต้องลุกตาม พวกเราเดินมาถึงหัวมุมสนามฟุตบอล ก่อนเลี้ยวขวาตรงไปยังประตูใหญ่ ตึกปูนรูปทรงโบราณอยู่ฝั่งซ้ายมือ บรรยากาศในตึกค่อนข้างเงียบ ห้องเรียนทั้งหมดปิดประตูลงกลอนอย่างดี ยกเว้นก็เพียงห้องกรรมการโรงเรียน ที่มีรุ่นพี่ม.6 นั่งคุยกันเรื่องอะไรซักอย่าง
     “ไอ้น้อง ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
     ทรงเดชพูดเสียงเหน่อขึ้นไปบนตึก ผมหันไปมองจึงพบเด็กน้อยผู้ชอบยักคิ้วข้างเดียว
     “รอกลับพร้อมพี่สาว ตอนนี้กำลังประชุมอยู่”
     ไอ้หนูท่าทางกวนเท้าไม่ใช่น้อยตอบกลับ แล้วปีนระเบียงอาคารเล่นเป็นที่น่าหวาดเสียว แม้ว่าหมอนี่จะอยู่แค่ชั้นหนึ่ง ทว่าอาคารหนึ่งก็ยกสุงกว่าอาคารอื่น พลัดตกลงมาได้หัวร้างข้างแตกกันบ้าง
     “มีแรงปีนเล่นอีกนะเรา วิ่งตามพี่ทั้งวันเลยนี่” ผมปรามแบบอ้อม ๆ
     “เหนื่อยเหมือนกันแหละ ต้องตามพี่สองคนนี้ด้วย”
     เด็กน้อยตอบกลับสีหน้าไม่สลด แล้วหยิบถั่วตัดออกมากัดคำโต เพื่อนทั้งสองต่างหันมามองผม
     “โดนอาจารย์เรียกด้วยเหรอ ถึงว่าหายหัวไปเลย” ทรงเดชชิงถามก่อน
     “ข้อหาอะไรล่ะ ตบเด็ก เตะหมา ด่าผู้หญิง” อำนาจพูดแดกดันบ้าง
     “ไม่มีอะไร อาจารย์เรียกใช้งานเฉย ๆ เหมือนทุกทีนั่นแหละ”
     ผมพยายามฝืนยิ้มนางงามให้ ด้วยว่าตัวเองได้ทำพลาดไปแล้ว แต่คนที่มาด้วยกันยังคงจิกตามอง คล้ายกับว่าต้องการจับผิด เพื่อน ๆ ทุกคนครับ กฎในการพูดเท็จนั้นมีอยู่ว่า ถึงโดนจับได้คาหนังคาเขา จงอย่ายอมรับผิดเป็นอันขาด คนทำพลาดจึงโบ้ยไปเรื่องอื่น โดยไม่ลืมใช้ตัวช่วยผู้ชอบยักคิ้ว
     “ไอ้น้อง พี่ถามหน่อย นอกจากพวกพี่ยังต้องตามใครอีกไหม”
     คำถามข้อนี้ดึงดูดทุกความสนใจ ไปยังบุคคลผู้ทำหน้าที่เดินสาร
     “มีอีกคนพี่” เด็กน้อยตอบกลับทันควัน “ผู้ชายตาตี่ ๆ หน่อย เอวหนา ๆ หน่อย”
     “แล้วจะรู้ไหมเนี่ย ตาตี่กันทั้งโรงเรียน” อำนาจประชดตามนิสัย
     “เอ๋า…! คนที่นำสวดมนต์บ่อย ๆ ไงพี่” คนบนตึกให้ข้อมูลเพิ่มเติม
     “เอวหนา ๆ ตาตี่ ๆ นำสวดมนต์บ่อย ๆ หรือว่าจะเป็น… มนต์ชัย !”
     ผม อำนาจ และทรงเดช เอ่ยชื่อออกมาพร้อมกัน แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม
     “มนต์ชัยโดนอาจารย์เรียก หมอนี่เนี่ยนะ” อำนาจแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
     “ข้อหาพกหนังสือโป๊หรือเปล่า” ทรงเดชยัดคดีร้ายแรงทันควัน
     “อย่าเพิ่งเดาส่งเดชสิ อาจโดนเรียกใช้เหมือนเราก็ได้” ผมจึงต้องแก้ต่างให้
     “ไม่ใช่ พี่คนนี้ไม่ได้โดนเรียกตัว เขาเดินไปหาอาจารย์เอง”
     คนเดินสารแจ้งข่าวลับสุดยอด แล้วหันหลังกลับวิ่งไปหาพี่สาว นาทีนี้เองผมจึงได้รู้ความจริง ว่าหมอนี่เป็นน้องชายประธานโรงเรียน ที่สำคัญเธอคนนี้สวยจับใจ เป็นดาวฝ่ายหญิงโรงเรียนเราคนหนึ่ง ขณะเดียวกันผมก็รู้ความจริงอีกอย่าง ว่านายเอวหนา ๆ ตาตี่ ๆ นำสวดมนต์บ่อย ๆ ได้ไปพบอาจารย์ก่อนหน้าพวกเรา
     “หรือว่ามนต์ชัยเป็นตัวการ หมอนี่แค้นเรามานานแล้ว”
     อำนาจเริ่มคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยทีท่าเอาจริงเอาจัง แต่ทว่าทรงเดชไม่อยากปักใจเชื่อ
     “จะเป็นไปได้เหรอ นี่มันเรื่องใหญ่นะโว้ย มนต์ชัยไม่กล้าทำหรอก”
     “ตอนเราเดินไปหาอาจารย์สมพิศ เห็นมนต์ชัยยืนคุยกับรัตนา พอเห็นหน้าเราเท่านั้นแหละ หมอก็รีบชิ่งทันที” อำนาจพยายามใส่ไฟคู่อริ คราวนี้เขาทำได้ผลไม่ใช่น้อย
     “ไอ้มนต์ชัย !” ทรงเดชกัดฟันขณะพูด “เล่นของสุงแล้วนะเอ็ง”
     “ใจเย็นไว้ก่อนเพื่อน” ผมรีบปรามโดยด่วน พลางดุให้อำนาจหยุดพูด “อำนาจแค่บังเอิญเห็น แต่ไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกัน กลับบ้านไปตั้งหลักกันก่อน อาทิตย์หน้าค่อยว่ากัน”
     เราทั้งสามออกเดินไปตามถนน เพื่อขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน เนื่องจากตอนเช้าขี่จักรยานไม่ไหว แม่ทรงเดชก็ติดงานเลี้ยงที่ทำงาน จึงไม่ได้มารับลูกชายตามปรกติ เมื่อก้าวมาถึงหน้าประตูใหญ่ อำนาจจึงได้เปิดปากอีกครั้ง
     “มันทะแม่ง ๆ อยู่นะ ปรกติมนต์ชัยไม่ทำแค่นี้”
     “มันทำมากกว่านี้” ทรงเดชช่วยเฉลย “อาจารย์วิบูลย์บอกว่า กัญชาที่เราดูดได้มาจากคลีนิคพ่อนาย”
     “เฮ้ย ! กัญชา เอากันแบบนี้เลยเหรอ ไอ้มนต์ชัย”
     คนพูดหันหลังกลับ 180 องศา และทำท่าจะวิ่งไปที่ไหนซักแห่ง ผมรีบดึงให้เขาหันกลับที่เดิม เนื่องจากรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ มนต์ชัยกลับบ้านตั้งแต่โรงเรียนเลิก หมอนี่นกรู้มาแต่ไหนแต่ไร
     “จะมีอะไรอีกไหมเนี่ย ปรกติมนต์ชัยไม่ทำแค่นี้”
     อำนาจทั้งโมโหทั้งเหนื่อยและง่วงนอน จึงพร่ำบ่นเป็นคนแก่ปลดระวาง ทำให้ผู้มีจินตนาการสุงอย่างทรงเดช เกิดความคิดพิลึกพิลั่นขึ้นมาปุปปับ จึงโพล่งขึ้นพลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน
     “หรือว่ามนต์ชัย แจ้งตำรวจกองปราบให้มาดักจับ อาจอยู่แถวนี้แล้วก็ได้”
     “ไม่ถึงขนาดนั้น มนต์ชัยจะรู้จักตำรวจกองปราบเชียวหรือ”
     ผมต้องปรามเพื่อนครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี่ง่วงนอนมาก เพื่อนทั้งสองคนต่างรู้สึกเช่นกัน การสนทนาเป็นอันยุติลง พวกเราก้าวเท้าผ่านประตูใหญ่ออกมา สายตาจับจ้องแต่รถยนต์บนถนน  ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกหนักที่ไหล่ซ้าย
     “ไอ้น้อง พี่ถามหน่อย เรียนกันอยู่ชั้นไหน”
     เสียงห้าว ๆ ดังมาจากซ้ายมือ ทุกคนจึงได้หันหน้าไปมอง แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกสุดตัว ผู้เอ่ยถามคือทหารไทยสวมชุดพราง ตัดผมสั้นหนวดเคราประปราย คิ้วเข้มจมูกโด่งดวงตาคมกริบ เขาผู้นี้ใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายผม
     “ม.4 ครับ” ผมตอบกลับชนิดลังเลสุดขีด เมื่อเห็นว่าด้านหลังมีทหารอีก 3 นาย
     “ดีเลย” ทหารหนุ่มหันไปพยักหน้าให้เพื่อน “อยู่ห้องไหนล่ะ บอกพี่ได้ไหม”
     คนพูดแสดงอาการดีใจให้ปรากฎ คนฟังแสดงอาการตกใจให้เห็น อำนาจกับทรงเดชรีบจับมือของกันและกัน ส่วนผมนึกอยากใส่เกียร์หมาวิ่งหนี ทว่าเกรงใจดวงตาคมกริบคู่นั้น รวมทั้งสายตาดุ ๆ จากเพื่อนเขาด้วย
     “ห้องสามครับ” ผมต้องบอกความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
     “โป๊ะเช๊ะ” ทหารหนุ่มล้วงกระเป๋าสะพาย “มนต์ชัยบอกพี่ว่า เฮ่ย ! น้อง ไอ้น้อง จะรีบไปไหน”
     ร้อยตรีจุมพตยกมือขวาขึ้นเกาหัว ด้วยความไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด เขาเพิ่งได้ประดับยศไม่ถึงขวบปี และอยู่ระหว่างการฝึกร่วมไทย-อเมริกา ที่ปราจีนบุรี บ่ายวันนี้มีคำสั่งเรียกตัวเข้ากรุงเทพ เขากับเพื่อนก็เลยบึ่งรถออกมาจากป่า เมื่อผ่านเมืองนี้พลันนึกถึงลูกของอา มนต์ชัยอยากได้เสื้อยืดทหารอเมริกามาก จึงให้เพื่อนเลี้ยวรถมาที่โรงเรียน ทว่าโทรศัพท์มือถือดันแบตหมด เลยต้องมารอญาติผู้น้องอยู่หน้าโรงเรียน
     หลังจากยืนอยู่นานจนเพื่อนเริ่มบ่น ก็ยังไม่เจอเด็กเอวหนาตาตี่สวดมนต์เก่ง โชดดีมากที่พบเพื่อนมนต์ชัยเข้า จะได้ฝากเสื้อยืดไปให้เจ้าตัว แต่เมื่อเอ่ยคำว่ามนต์ชัยออกมานั้น นักเรียนทั้งสามต่างวิ่งหนีไปไกลลิบ ความเร็วที่เห็นประหนึ่งนักกีฬาโอลิมปิค เพียงครู่เดียวก็หายวับไปกับตา เป็นเหตุให้เขาต้องใช้มือเกาหัว แล้วถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
     “เอ็งทำอะไรกับพวกนั้น ถึงได้วิ่งหนีกันป่าราบ”
     เพื่อนทหารนายหนึ่งเป็นคนกล่าว ขณะเคี้ยวไก่ย่างจนหนวดเลอะ นายทหารหนุ่มส่ายหัวให้
     “ไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาตัดสินใจทันที “กลับกรุงเทพดีกว่า ไม่เจอมนต์ชัยแล้วล่ะ”
     คนหนวดเลอะเดินไปที่รถสีเขียวขี้ม้า มีชื่อรุ่นว่า รยบ.ขนาดเบา 4x4 แบบ 50 เป็นรถดัดแปลงจากรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ ติดตั้งประตู 4 บานพร้อมกระจกผ้าใบ ด้านท้ายใส่หลังคาผ้าใบชนิดถอดเก็บได้ รอบคันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางทหาร เสียงเครื่องยนต์ดีเซลดังกระหึ่ม เรียกให้เพื่อนทหารอีก 2 นายพากันขึ้นรถ
     ร้อยตรีจุมพตเก็บเสื้อยืดใส่กระเป๋า พลางหันไปมองตึกหนึ่งอันแสนสง่างาม สถานที่นี้ดูไม่เลวเลยทีเดียว เแต่ต้องเตือนมนต์ชัยเรื่องการคบเพื่อนบ้าง โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย 3 คนนั่น ถ้าพวกนั้นไม่เต็มบาทก็คงเกินบาท นายทหารหนุ่มก้าวขึ้นรถเป็นคนท้ายสุด ยานพาหนะคู่ใจออกเดินทางอีกครั้ง แล้ววันศุกร์ที่แสนวุ่นวายก็ได้สิ้นสุดลง
                        ---------------------------------------------
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา