ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  26.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) เรามาตั้งชื่อแก๊งค์กันเถอะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เรามาตั้งชื่อแก๊งค์กันเถอะ

     เสียงนกหวีดดังกึกก้องทั่วหอประชุม เมื่อลูกวอลเลย์บอลกระทบพื้นแล้วกลิ้งออกข้าง นักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนหน้าซีดเซียว ดวงตาจับจ้องไปยังผู้เป่านกหวีดคนนั้น โลกของเธอเงียบสงัดราวกับหนังใบ้ ทำให้ทุกคนพลอยเงียบเสียงตามไปด้วย ผมได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตัวเอง ขณะรอลุ้นว่าเหตุการณ์จะลงเอยอย่างไร

     “เพียงตาผ่าน ครั้งหน้าอาจารย์จะไม่ปล่อยแล้วนะ คนต่อไปนะ”

     อาจารย์พละผอมกะหร่องตะโกนเสียงดังใส่ อาจเป็นเพราะแกหูตึงกว่าคนทั่วไป เด็กสาวผู้มีลักยิ้มกระโดดดีใจตัวลอย แล้ววิ่งถลาไปหาเพื่อนที่ยืนรอข้างสนาม เพียงตาเป็นนักเรียนเพื่อนร่วมห้องผมเอง ที่เธอดีใจจนออกนอกหน้านั้นมีสาเหตุ ลูกเสิร์ฟท้ายสุดโดนแถบขนานตาข่ายก่อนข้ามฝั่ง ซึ่งถ้าว่ากันตามกติกาจะถือว่าเป็นลูกเสีย แต่อาจารย์วิบูลย์นึกสงสารหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงยอมให้ผ่านหน้าตาเฉยเป็นที่ฉงน ถือได้ว่าอาจารย์คนนี้มีมุมมุ้งมิ้งเช่นกัน

     ขณะนี้เป็นเวลาพักเที่ยงให้ทุกคนได้ทานข้าว แต่มีนักเรียนบางส่วนรวมตัวอยู่ในหอประชุม เนื่องจากหลายคนมาสอบซ่อมการเสิร์ฟลูก หลายคนมาเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน หลายคนมาทานอาหารจากปิ่นโตตัวเอง และอีกหลายคนมามุงดูเพราะไม่มีอะไรจะทำ ผม อำนาจ และทรงเดช ต่างยืนหัวโด่ร่วมกับคนอื่น ๆ  แม้ว่าจะสอบการเสิร์ฟลูกผ่านกันหมดแล้ว นั่นก็เพราะคนสอบซ่อมถัดจากเพียงตานั้น คือสาวน้อยน่ารักที่เพิ่งสนิทกันเมื่อคืนก่อน นิตยาสาวผมหยักโศกดวงตาซุกซน ผู้เคยดริฟท์รถจนทรงเดชอ้วกแตกอ้วกแตนมาแล้ว

     “สุดยอด มันต้องแบบนี้สิ คุณแม่บุษบาสู้เขานะ”

     เสียงตะโกนจากสามหนุ่มสามมุมดังกึกก้อง เมื่อเห็นลูกบอลข้ามตาข่ายแล้วตกกลางสนาม นิตยาแสดงอาการดีใจโดยไม่ปิดบัง ก่อนรวบผมไปด้านหลังแล้วรับบอลลูกใหม่มาถือ เธอใช้ท่าเสิร์ฟด้วยมือล่างเฉกเช่นปรกติ แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช้าตรู่วันนี้ผมได้ช่วยติวหลักสูตรเร่งรัดให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้ผลขนาดนี้ นิตยามีพื้นฐานของนักกีฬาที่ดีเป็นทุน ทั้งการตีบอลและรับบอลดีกว่านักเรียนหญิงทั่วไป ที่เธอสอบไม่ผ่านก็เพราะมีปัญหาเล็กน้อย

     “นิตยาผ่าน เธอทำได้มากอาจารย์ขอชม” อาจารย์วิบูลย์หันไปที่นักเรียนคนอื่น “พวกเราทุกคนฟังเรื่องนี้ไว้ด้วย จะเล่นกีฬาให้ดีต้องมีสมาธิอยู่กับการแข่ง ที่สำคัญจะต้องรู้สึกสนุกและอยากลงแข่ง ไม่ใช่เอาแต่กดดันตัวเองเพราะกลัวสอบตก มันก็เลยสอบตกกันเยอะแบบนี้ ต้องเล่นไปยิ้มไปแบบที่นิตยาทำ เข้าใจไหมนะ”

     “ไม่ใช่สอบตกเพราะไปซ้อมยกโต๊ะกันเหรอครับ” ใครบางคนแย้งขึ้นมา

     “หุบปาก! เดี๋ยวเอ็งจะโดน” คนคุมสอบเปลี่ยนเป็นโหมดโหด “คนต่อไปนะ”

     เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอาจารย์วิบูลย์ชมนักเรียนหญิง และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นนิตยาทำท่าเขินอาย ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ถ้าผมคนนี้เป็นเขาคนนั้นก็คงทำเช่นเดียวกัน เพราะคนโดนชมเสิร์ฟบอลลงสนามทุกลูก ทั้งที่วันก่อนเธอเสิร์ฟบอลออกหลังหมด ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทำให้นิตยาดูโดดเด่น และยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเมื่อเจ้าตัวโปรยยิ้มทั่วสนาม

     แล้วการสอบซ่อมก็ดำเนินต่อไป อาจารย์วิบูลย์หันไปสนใจที่กลางสนามแทน นักเรียนหญิงผู้สอบผ่านเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน เพื่อทำพิธีเม้าท์มอยตามประสาผู้หญิงนั่นเอง จากนั้นไม่นานเธอจึงเดินมาที่พวกเรา นิตยาวันศุกร์ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงบันเทิงใจ ผิดกับนิตยาวันพฤหัสที่หน้าบึ้งตึงปราศจากรอยยิ้ม

     “ขอบใจทุกคนมาก โดยเฉพาะนายที่ช่วยเราสอบผ่าน”

     เธอกล่าวคำขอบคุณออกมาจากใจ แววตาคู่นั้นทำให้ผมถึงอายม้วนต้วน

     “ไม่เป็นไร อันที่จริงเราไม่ได้ช่วยอะไรเลย” ผมแก้ตัวตะกุกตะกัก

     “ไม่ได้ช่วย แล้วเราสอบผ่านได้ยังไง” สาวน้อยถามกลับแบบรู้ทัน

     “เออว่ะ นายทำอีท่าไหนกันแน่ ยายนิดถึงเสิร์ฟลงทุกลูก”

     ถึงคิวพูดของอำนาจเพื่อนรักสี่ตาบ้าง วันนี้เขาดูโรย ๆ และสวมแว่นตาคู่ใหม่ ผมกับทรงเดชก็รู้สึกอ่อนเพลียไม่แพ้กัน เป็นผลมาจากการผจญภัยในบึงหนองโพธิ์ กว่าพวกเราจะกลับถึงบ้านก็ดึกมากโข ทรงเดชเลยอู้ซ้อมบาสโดยอ้างว่าเป็นไข้ พวกเราสงสัยก็แต่เพียงว่า ทำไมนิตยายังดูปรกติเหมือนได้นอนเต็มอิ่ม

     “ก็ไม่มีอะไรมาก” ผมเล่นตัวนิดหน่อยก่อนพูดต่อ “อันที่จริงนิดเล่นวอลเลย์บอลดีอยู่แล้ว ทั้งการรับ การตบ หรือการยืนตำแหน่ง รวมทั้งตั้งใจเล่นอย่างที่อาจารย์วิบูลย์บอก แต่ที่สอบตกก็เพราะตั้งใจมากเกินไป นิดพยายามเสิร์ฟไปที่เส้นหลังทุกครั้ง เราแค่แนะนำให้เน้นเสิร์ฟลงกลางสนาม เรื่องของเรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ”

     คำแนะนำง่าย ๆ ของนักวอลเลย์บอลวัดหมูแดง ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต่างถึงบางอ้อ รวมทั้งเจ้าตัวซึ่งแลบลิ้นรับสารภาพ แต่ก็ทำให้มีคำถามต่อไปตามมาทันที จากนักบาสโรงเรียนคนเก่งผู้มีน้ำมูกไหลย้อย

     “แล้วนิดจะลงแข่งได้หรือ ในเมื่อตั้งใจมากเกินไปซะงั้น”

     “ได้สิ” ผมอธิบายตามประสบการณ์ “นิดมีพื้นฐานดีแต่ไม่เคยลงแข่ง ถ้าได้ลองซักครั้งก็จะรู้ไปเองว่า ควรเสิร์ฟแบบไหน รับลูกแบบไหน ตบหน้าเน็ตแบบไหน เหมือนนายเริ่มเล่นบาสปีที่แล้วไงเพื่อน”

     “งั้นนิดลงแข่งกีฬาสีเลย เราว่าคัดตัวผ่านสบายเฉิบ” ทรงเดชเกิดความคิดขึ้นมาปุบปับ

     “แต่เราว่านะ” อำนาจมองสาวผมหยักโศกอย่างพินิจพิเคราะห์ “สีเราต้องปรับปรุงการแต่งกายโดยด่วน ใส่ชุดหลวมโครกมันจะไปคล่องตัวอะไร กางเกงวอร์มขายาวได้ล้มหัวทิ่มกันพอดี”

     “เอาชุดทีมชาติญี่ปุ่นดีไหม เปี๊ยะ ๆ ติ้ว ๆ งี้นะ” ทรงเดชแหลขึ้นมาบ้าง

     “เกาหลีใต้หรือไต้หวันก็เยี่ยม ไม่ก็สาวเบลารุส”

     อำนาจรับมุขอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งคู่หัวเราะร่วนเสียงดังลั่นหอประชุม ผมในฐานะเพื่อนที่ดีจึงต้องหัวเราะตาม แม้ใจจริงไม่ได้อยากทำซักนิดเดียว วันนี้พวกเราสวมเสื้อเชิ๊ตลายส้มเหลือง ผู้ชายสวมกางเกงนักเรียนส่วนผู้หญิงสวมกางเกงวอร์ม นิตยาจึงดูแตกต่างไปจากเมื่อคืนก่อน ซึ่งทำให้พวกเราเลือดกำเดาไหลนองพื้น อำนาจเลยแซวตามประสามนุษย์หมาป่า ทว่าเจ้าตัวไม่ได้มีทีท่าจะเข้าใจ ว่าเพื่อนชายกำลังนินทาระยะประชิดอยู่ เธอจึงได้คุยต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

     “พวกนายตลกดีเนอะ ถามหน่อยสิ ตั้งชื่อแก๊งค์ว่าอะไร”

     “ชื่อแก๊งค์..?? ต้องมีด้วยเหรอ” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามกลับ

     “เอ๋า…” คนพูดส่ายหัวไปมาก่อนท้าวความ “ตอนที่เราเรียนเสาร์ห้านะ มีทั้งแก๊งค์แมวเหมียวขี้เหงา แก๊งค์หมาเศร้ากิงกิง แก๊งค์พี่ลิงนอนป่วย แก๊งค์จีบหมวยไม่ติด ห้องอื่นก็มีแก๊งค์ปลาน้อยโรคจิต แก๊งค์ส้มจิ๊ดอาภัพ แก๊งค์นอนหลับก็ยังฝันร้าย”

     “น่าสนุกแฮะ หรือว่าพวกเราควรจะมีชื่อแก๊งค์ ทุกคนว่าดีป่ะ”

     อำนาจเริ่มคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยทีท่าเอาจริงเอาจัง พลอยทำให้ทรงเดชหน้านิ่วคิ้วขมวดตามกัน ส่วนผมกำลังนึกปลงกับชื่อแก๊งค์ที่ได้ยิน นี่ไม่มีชื่ออื่นจะตั้งกันแล้วหรือยังไง ฟังแล้วหดหู่ใจและเศร้าสลดอย่างถึงที่สุด ขณะที่ผมกำลังยืนดราม่าอยู่คนเดียวนั้นเอง ชิดชนกก็เดินปรี่เข้ามาร่วมกลุ่ม ลูกสาวเฮียอ๋าเสนอความคิดกับทุกคนบ้าง

     “เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวเราตั้งชื่อให้เอง” เธอใช้สายตาดุ ๆ จ้องมอง ทรงเดช อำนาจ ก่อนมาหยุดที่ผม “ทุกคนน่าจะเปลี่ยนชื่อกันใหม่ด้วยนะ เอาเป็น… พี่หอก พี่หัก และพี่แหก สมาชิกจากแก๊งค์ 3 หื่นที่โลกต้องสะพรึง”

     แม่สาวผมม้าใช้น้ำเสียงประชดประชัน ก่อนหันขวับเดินจากไปยังโรงอาหาร โดยไม่ลืมจูงมือนิตยาเพื่อไปทานข้าว ก่อนไปเธอได้ตีศอกใส่ท้องน้อยทรงเดช ผลักอำนาจล้มกลิ้งหัวทิ่มบ่อ แล้วเดินมาเหยียบเท้าผมเข้าอย่างจัง

     “อะไรของยายนกเนี่ย ตรูไม่ได้เป็นกระสอบทรายนะโว้ย!”

     คุณพี่หอกทำท่าจะร้องให้เพราะจุกลิ้นปี่ ฝ่ายคุณพี่หักกุมก้นตัวเองอยู่บนพื้น และคุณพี่แหกก็กำลังกระโดดโหยง ๆ แหกปากลั่น เนื่องจากฤทธิ์เดชรองเท้าผ้าใบนันยางชูการ์เบอร์ 36 เหล่าสมาชิกแก๊งค์ 3 หื่นร้องโอดโอยโดยถ้วนหน้า และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงโดนทำร้าย โดยเฉพาะผมซึ่งหนักกว่าใครเพื่อน เพราะแม่สาวตากลมยังงอนไม่เลิกเสียที

     ระหว่างที่พวกเราปฐมพยาบาลตัวเองอยู่นั้น พลันมีเสียงหัวเราะเอาเป็นเอาตายมาจากด้านหลัง หันกลับไปก็เจอมนต์ชัยยืนอยู่ริมสนาม ไม่ทันสังเกตุว่าหมอนี่โผล่มาตอนไหน เด็กหนุ่มเอวหนาตาตี่หยุดหัวเราะในที่สุด หลังปลดปล่อยอารมณ์ชนิดไม่เกรงใจเพื่อนฝูง ทำให้ใครบางคนในกลุ่มเรารู้สึกไม่พอใจ

     “แก๊งค์ 3 หื่นที่โลกต้องสะพรึง เหมาะสมกับพวกนายมาก โคตรฮาเลย”

     หลังหยุดหัวเราะมนต์ชัยจึงแซวไปที่อำนาจ ทำให้อีกฝ่ายเริ่มหน้าบึ้งขึ้นมาแล้ว

     “เออว่ะ ยายหูกางตั้งชื่อได้ฮาดี แล้วนายมีปัญหาอะไร” อำนาจย้อนกลับบ้าง

     “ไม่มี๊! เราไม่กล้ามีปัญหากับแก๊งค์หื่นมันฮาของนายหรอก” มนต์ชัยปฎิเสธเสียงสุงท่าทางยียวน

     “แต่เราว่านะ…” เด็กหนุ่มสวมแว่นทำท่าครุ่นคิด แล้วเขาก็พูดต่อพลางยิ้มแฉ่งใส่ “นายน่าจะเข้าร่วมแก๊งค์นี้ด้วยกัน เออมนต์ชัย เราคิดชื่อที่เหมาะสมกับนายได้แล้ว”

     “ชื่ออะไรเหรอครับ คุณพี่หัก” มนต์ชัยยังคงปากดีไม่หยุด

     “ก็ชื่อ คุณพี่ห่ายังไงล่ะ!”

     คำตอบข้อนี้กลายเป็นตัวจุดชนวน อำนาจโผตัวเข้าไปหาคู่อริหลังพูดจบ ใบหน้ามีสิวประปรายเต็มไปด้วยความโมโห แต่ทว่าไม่สำเร็จเพราะผมคว้าตัวไว้ได้ทัน ฝ่ายทรงเดชซึ่งควรจะห้ามมนต์ชัยนั้น ก็ดันยุส่งให้ทั้งคู่ต่อยตีกันเสียนี่ ในตอนแรกมันก็ดูจะได้ผลอยู่หรอก เพราะมนต์ชัยเดินหน้ามุ่ยถกแขนเสื้อเข้าหา แต่ผมไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอกนะครับ

     และแล้วก็เป็นจริงตามที่คาดการณ์ มนต์ชัยทำท่าขึงขังแต่เดินวนไม่เข้าใกล้ หลังโวยวายใส่กันและกันอยู่พักหนึ่ง ผู้ที่เอวหนากว่าก็จากไปเหมือนเช่นเคย มนต์ชัยสุงกว่าอำนาจถึง 15 เซนติเมตร ตัวใหญ่กว่า มือใหญ่กว่า พุงใหญ่กว่า อะไร ๆ ก็ใหญ่กว่า ถ้าลองได้ต่อยกันเพื่อนรักผมคงสู้ไม่ได้ ทั้งคู่มักมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอ แต่ไม่เคยสำผัสโดนตัวกันแม้แต่ครั้งเดียว เหตุการณ์มักลงเอยแบบนี้เสมอมาและเสมอไป สุดท้ายอำนาจก็บ่นกระปอดกระแปดไปตามเนื้อเพลง บางครั้งผมก็สงสัยเหมือนกันนะครับ ว่าถ้าปล่อยให้เขาทำอะไรโดยไม่ห้ามปราม อำนาจจะกล้าต่อยมนต์ซัยหรือเปล่านะ

     จากนั้นไม่นานพวกเราจึงเดินไปที่อื่น เพราะยังเหลือเวลาพักเที่ยงอีกตั้ง 15 นาที อำนาจโม้เรื่องงานวิทยาศาสตร์ที่ใกล้มาถึง ส่วนทรงเดชก็เริ่มจามน้ำหูน้ำตาไหล ผมเองเอาแต่ครุ่นคิดว่าทำไมถึงโดนชิดชนกเหยียบเท้า หรือว่าเธอบังเอิญล้มเสียหลักจึงทรงตัวไม่อยู่ แล้วสัญญานเข้าห้องเรียนก็ดังกระหึ่ม ทุกคนจึงลืมเรื่องชื่อแก๊งค์ไปโดยปริยาย

                       ---------------------------------------------

     คาบสุดท้ายของวันศุกร์เดินทางมาถึงแล้ว ห้อง 4/3 โดนเวรทำความสะอาดบริเวณสนามฟุตบอล ผมเดินหาวฟอด ๆ แถวเสาธงพร้อมถุงขยะ พลางคิดถึงวันหยุดในสวนมะม่วงของอาม่า อาทิตย์นี้มีแต่เรื่องวุ่นวายเหลือคณานับ ดูตามรูปการณ์ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ถึงเวลาที่ผมจะต้องปลีกวิเวกวิเหวโหว เพื่อค้นหาตัวตนให้เจอหรือนี่กระไร ก่อนกลับมาโลดแล่นในวงการอีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นใจตั้งใจเรียนหนังสือ อนาคตของเจ้ายังอีกไกลเด็กน้อยเอ๋ย อนาคตที่เจ้าไม่เคยมองเห็นอะไรซักอย่าง ขณะที่ผมยืนฝันลม ๆ แล้ง ๆ ท่ามกลางแดดเปรี้ยง ได้ถูกรบกวนจากเสียงเด็กผู้ชายแหลม ๆ เล็ก ๆ เข้า

     “พี่ พี่ อาจารย์สมพิศให้มาตามพี่ไปพบ”

     เด็กนักเรียนมัธยม 1 นายหนึ่งเป็นคนกล่าว ผมหันไปมองจึงพบหน้าเด็กน้อยคนหนึ่ง กำลังยืนยักคิ้วข้างเดียวท่าทางกวนเท้าไม่ใช่น้อย ผมพยักหน้าตอบพลางก้มตัวดึงกางเกงอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวรู้ทันจึงปกป้องอย่างสุดกำลัง ผมแก้เกมส์ด้วยการจี้เอวทันที นักเรียนตัวจิ๋วดิ้นพล่านหัวเราะไม่หยุด หลังโดนกลั่นแกล้งจนสาแก่ใจคนทำแล้ว ผู้มาแจ้งข่าวจึงได้จากไปตามทางเดิน

     ผมเดินแยกตัวจากทุกคนที่กำลังเก็บขยะ ท่ามกลางเสียงครหานินทาตามหลัง ตรงข้ามเสาเธงคืออาคารเรียนสุง 3 ชั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าอาคารสามนั่นเอง อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมเฉกเช่นตึกปูนทั่วไป ต่อเติมหลังคาหน้าจั่วเพื่อระบายความร้อน ด้านข้างของอาคารเป็นระเบียงยาวติดกัน มีเสาสีขาวรองรับน้ำหนักตลอดแนว อาคารสามเป็นห้องเรียนประจำของนักเรียนมัธยม 1 และมัธยม 4 รวมทั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฟิสิกส์ เคมี หรือชีววิทยา

     ถัดไปหน่อยเดียวคือตึกแฝดชื่ออาคารสอง เป็นห้องเรียนประจำของนักเรียนมัธยม 2 และมัธยม 3 รวมทั้งห้องพักอาจารย์ ห้องพยาบาล ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องโสตทัศนศึกษา โดยมีอาคารอเนกประสงค์ทรงไทยขั้นกลาง เชื่อมระหว่างกันด้วยทางเดินมีหลังคาคลุม อาคารสองติดตั้งนาฬิกาบนผนังขนาดใหญ่มาก นัยว่านักเรียนจะได้เทียบเวลาให้ตรงกัน ระบบกลไกของนาฬิกาโผล่อยู่หลังกระดานดำ ซึ่งเป็นห้องเรียนประจำของพวกเราเมื่อปีที่แล้ว นาฬิกาเรือนนี้หยุดเดินครั้งเดียวในรอบ 30 ปี สาเหตุก็เพราะผม อำนาจ และทรงเดช มีความอยากรู้อยากเห็นมากไปนิด

     ฝั่งตรงข้ามอาคารสองเป็นที่ตั้งของอาคารหนึ่ง ตึกปูนรูปทรงโบราณขนาดใหญ่สุง 2 ชั้น หลังคาทรงสุงมีจั่วมุงกระเบื้องสีเขียวมรกต ฝั่งซ้ายของอาคารอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ ตัวอาคารคู่ขนานไปกับสนามฟุตบอล ก่อนหักมุม 45 องศาไปอีก 10 เมตร ตรงนั้นเองมีจวนขนาดใหญ่ขั้นกลางอาคาร ชั้นล่างต่อเติมหลังคาเพื่อเป็นจุดรับส่งด้วยรถยนต์ พื้นที่ในจวนใช้สำหรับสำนักงานบริหารและจัดการ บริเวณชั้น 2 เป็นห้องทำงานผู้บริหารระดับสุง อาคารฝั่งขวาทอดยาวไปตามทางเดิน กระทั่งมาหยุดหัวมุมถนนเยื้องกับอาคารสอง หัวและท้ายของอาคารเป็นทางเดินขึ้นลง รวมทั้งห้องเก็บของบริเวณด้านล่างบันได

     อาคารหนึ่งเป็นห้องเรียนประจำของนักเรียนมัธยม 5 และมัธยม 6 รวมทั้งห้องฝ่ายปกครองและห้องกรรมการโรงเรียน ระหว่างอาคารหนึ่งกับอาคารสองเป็นที่ตั้งของสหกรณ์ ตึกรูปทรงสี่เหลี่ยมคูหาเดียวขนาดกระทัดรัด สร้างด้วยเงินอุดหนุนจากสมาคมผู้ปกครอง สามารถหาขนมหวานและอุปกรณ์การเรียนได้จากที่นี่ บริหารงานโดยคณะอาจารย์และนักเรียนบางส่วน ผมเดินมาหยุดหน้าสหกรณ์ก่อนบังคับเลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นทางเดินไปยังชั้นสองของอาคารสองอีกที

     เมื่อขึ้นมาถึงผมบังคับเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ตรงนั้นเองเป็นห้องพักอาจารย์ระดับมัธยมปลาย โต๊ะของอาจารย์สมพิศอยู่ฝั่งซ้ายด้านในสุด เจ้าตัวกำลังขยับแว่นทรงแหลมที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ ภายในห้องไม่มีอาจารย์ท่านอื่นเลยซักคน

     “มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ อาจารย์มีเรื่องอยากคุยด้วย”

     อาจารย์ประจำชั้นจอมเฮี๊ยบได้เอ่ยปาก พลางวุ่นวายกับเอกสารมากมายตรงหน้าต่อ ผมเดินหงุด ๆ มาที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เป็นตัวที่ใช้นั่งประจำเมื่อโดนหล่อนเรียกพบ เวลาอยู่ในห้องเรียนอาจารย์สมพิศมักชอบโวยวาย แต่เวลาอยู่ที่โต๊ะหล่อนมักเงียบเชียบแบบนี้เสมอ น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวของผู้หญิงทั่วไป ที่มีทั้งโหมดนางฟ้าและแม่มดอยู่ในร่างเดียว

     “เอาล่ะ เสร็จเสียที” เจ้าตัวละสายตาจากเอกสารในที่สุด จากนั้นจึงหันหน้ามายังผู้นั่งรอ

     “อาจารย์มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย เมื่อคืนก่อนเธอกับอำนาจไปเที่ยวไหนกันเหรอ”

     “ครับ คือว่า…” ผมมีอาการเส้นกระตุกเล็กน้อย “ผมชวนอำนาจและทรงเดชไปบ้านนิตยา พอดีเธอจะย้ายของหนักแล้วทำเองไม่ไหว ครั้นจะรอคนงานก็ต้องมาเรียนหนังสือ ผมเห็นว่าพวกเราพอทำกันได้ ก็เลยอาสาไปช่วยให้เรียบร้อย”

     “คิดยังไงถึงไปกลางดึกกลางดื่น พ่อนิตยารู้เรื่องหรือเปล่า” คนพูดจิกตามองผ่านกรอบแว่น

     “รู้สิครับ นิตยาบอกพ่อแล้ว ผมยังเจอพ่อเธอก่อนกลับบ้านเลย”

     ขณะที่พูดผมก็แอบถอนหายใจไปด้วย พลางนึกสงสารแม่สาวดวงตาซุกซน กว่านิตยาจะทำความเข้าใจพ่อตัวเองได้ ทำเอาพวกผมต้องเล่นน้ำกันเกือบทั้งคืน นี่เธอยังจะโดนโรงเรียนสอบสอนต่อ โลกนี้ช่างแสนโหดร้ายเสียนี่กระไร ทว่าผมไม่ได้กังวลใจซักนิดเดียว เพราะได้นัดแนะให้ทุกคนพูดตรงกัน ถึงอาจารย์สมพิศจะเรียกชิดชนกมาถามก็เถอะ หล่อนจะได้คำตอบมาตราฐานนาโต้กลับไปแน่ ผมมั่นใจว่าเพื่อนไม่หลุดปากร้อยเปอร์เซนต์ จึงไม่รู้สึกว่ากดดันแม้แต่นิดเดียว

     อาจารย์สมพิศนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ตาก็จับจ้องหน้าผมสลับมองเอกสารในมือ หล่อนดูแปลกไปจากปรกติอย่างชัดเจน จากที่เคยพูดเปิดหัวแล้วขยี้ซ้ำราวกับปืนกล ทำไมวันนี้ฝีปากของหล่อนถึงไม่ทำงาน หรือว่าอาจารย์มีวันนั้นของเดือนกันแน่ หรือว่าอาจารย์กำลังคิดแผนใหม่ที่ผมไม่รู้จัก ผมเริ่มลังเลสับสนและไม่เข้าใจ จึงพยายามทำสมองให้ปลอดโปร่ง เพราะกลัวอาการคิดในใจเป็นคำพูดจะโผล่ขึ้นมา พาลได้ซวยซ้ำซวยซ้อนกันอีกคราวนี้

     “อาจารย์ขอพูดกับเราตรง ๆ ว่าเป็นห่วงนายอำนาจมาก”

     หลังนั่งมองหน้ากันและกันจนครบ 5 นาที อาจารย์สาวจึงเริ่มเปิดปากอีกครั้ง นั่นทำให้ผมงุนงงมากยิ่งขึ้น

     “อ๋อ… พอดีเมื่อคืนเขาทำแว่นหล่น วันนี้เลยใส่อีกอันมา” ผมตอบตะกุกตะกัก

     “อาจารย์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” คนพูดส่ายหัวให้

     “อ๋อ… พอดีเมื่อคืนเขาโดนฝน แต่ทานยาแก้ไข้แล้วครับ” ผมก็ยังตอบตะกุกตะกัก

     “อาจารย์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” คนพูดส่ายหัวมากขึ้น

     “อ๋อ… แล้วอาจารย์ หมายถึงเรื่องไหนล่ะครับ”

     คราวนี้ผมไม่ตอบตะกุกตะกักแล้ว เพราะไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรให้ถูกใจหล่อน จึงตัดสินโยนกลับไปให้เจ้าตัวเสียเลย ไหน ๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเป้าหมายที่แท้จริงคืออำนาจเพื่อนรักสี่ตา

     “อาจารย์เป็นห่วงเรื่อง…อนาคต อนาคตของอำนาจ”

     คนพูดหยุดพูดไปอีกแล้ว พลางก้มมองเอกสารไม่มีทีท่าสนใจรอบข้าง นั่นทำให้ผมงงเต๊กเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจเลยว่าจะหยุดพักไปเพื่ออะไร ถ้าหล่อนพูดรวดเดียวจบแล้วมันจะตายไหม คนฟังจะได้เข้าใจว่าหล่อนต้องการอะไรจากโลก ทว่าผมทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงอาจารย์ประจำชั้น ได้แต่ฝืนยิ้มนางงามรอรับชะตากรรมสถานเดียว

     “อำนาจเป็นลูกชายคนเดียวของคุณหมอประสาท เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     เมื่อครบ 5 นาทีอาจารย์สมพิศจึงพูดต่อ หล่อนต้องมีนาฬิกาจับเวลาฝังอยู่ในรูจมูกแน่ ไม่ทันที่ผมจะตอบกลับซักประโยค อาจารย์ประจำชั้นก็ร่ายยาวใส่เป็นชุด เครื่องจักรสีแดงเริ่มทำงานอีกครั้ง

     “อำนาจเป็นเด็กดีสุภาพอ่อนโยน เขาไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลยซักครั้ง ผลการเรียนก็ดีเยี่ยมสม่ำเสมอทุกเทอม จนอาจารย์เอาไปคุยโม้กับเพื่อนได้เลย อาจารย์คิดว่า อำนาจกับมนต์ชัย จะเป็นความหวังสำคัญของประเทศเรา”

     ผมหวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนพักเที่ยง แล้วต้องเกาหัวจนหนังศรีษะแทบหลุด อำนาจกับมนต์ชัยเนี่ยนะ ความหวังสำคัญของประเทศ แค่หวังให้ทั้งคู่เลิกกัดกันเองเสียที ยังเป็นไปไม่ได้เลยครับอาจารย์

     “แต่…” เจ้าตัวเครื่องติดจึงพูดไม่หยุด “แต่อาจารย์กลัวว่า อำนาจจะหลงเดินทางผิดเข้า โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ ตอนนี้คุณหมอประสาทกับภรรยาไปกรุงเทพ อาจารย์เลยวานให้เราช่วยดูแลอำนาจ หมายถึงให้เขาอยู่บ้านอ่านหนังสือตำราเรียน ไม่ใช่ออกไปเที่ยวเตร่ดึกดื่นค่อนคืน กระทั่งป่วยไข้ไม่สบายเสียการเรียน เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     คนฟังตอบคำถามกลับแบบเนือย ๆ พลางทำคิ้วขมวดเป็นเลขแปดอารบิค อาจารย์สมพิศกำลังจะบอกอะไรกันแน่ ผมไม่เข้าใจความหมายซักนิดเดียว ก่อนหน้านี้ผมกับอำนาจก็เป็นแบบนี้ พวกเรามักออกไปหาของกิน ไม่ก็นั่งคุยกันแถวตลาดสด บางครั้งเขาก็มานอนค้างที่ห้องผม บางครั้งผมก็ไปนอนค้างที่คลีนิคหมอประสาท ทำไมวันนี้หล่อนถึงบอกว่าไม่สมควรทำ

     “อีกเรื่องนะ อาจารย์ได้ข่าวมาว่า… เดี๋ยวนี้ถึงกับตั้งแก๊งค์กันเลยเหรอ”

     หลังจากพูดอ้อมโลกอยู่นานพอควร อาจารย์สาวขี้กังวลก็ยิงหมัดตรงใส่ นั่นทำให้หัวหน้าห้อง 4/3 ทำหน้าเหมือนคนปวดท้องเมนส์ มีอาการปากหนักจนพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรหล่อนจึงเริ่มร่ายยาวจนจบ

     “ฟังอาจารย์ให้ดีนะ” อาจารย์ประจำชั้นขยับแว่นตาพร้อมทำหน้าจริงจัง “อาจารย์เห็นว่าเธอเป็นเด็กดีมาโดยตลอด จึงได้เรียกมาเตือนก่อนที่จะไปกันใหญ่ จริงอยู่เธอกับอำนาจสนิทกันมาก อาจารย์เลยไหว้วานให้ช่วยดูแลเขา แต่คนเราทุกคนย่อมมีหนทางเป็นของตัวเอง วันนี้พวกเธอเพิ่งเรียนม.4 ก็จริงอยู่ แต่เมื่อเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปต่อมหาวิทยาลัย อาจารย์คิดว่า…อำนาจต้องได้เรียนแพทย์แน่นอน ถ้าไม่พากันออกรกออกพงไปเสียก่อน เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ” ผมตอบด้วยคำตอบสามัญประจำบ้าน

     “เข้าใจก็ดีแล้ว แค่นี้แหละ ไปเก็บขยะต่อเถอะ”

     อาจารย์สมพิศหันไปสนใจเอกสารต่อ และทำราวกับว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยไม่มีตัวตน ผมยกมือไหว้ก่อนเดินจากไปแบบมืน ๆ สมองกำลังประมวลผลด้วยความเร็วเหนือเสียง 2 เท่า แต่ทว่าผมไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย เหมือนกับว่าหล่อนโทษผมเป็นต้นเหตุทั้งหมด หรือว่าหล่อนอยากให้ผมออกไปจากชีวิตอำนาจ หรือว่าหล่อนอยากให้ผมคอยดูแลอำนาจกันแน่ ช่วงเวลาแห่งความสับสนกำลังมาเยือน ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยซักนิด ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

     “พี่ พี่ อาจารย์วิบูลย์ให้มาตามพี่ไปพบที่สนามตะกร้อ”

     เสียงเด็กผู้ชายแหลม ๆ เล็ก ๆ ดังที่ข้างหูอีกครั้ง เด็กนักเรียนมัธยม 1 นายหนึ่งเป็นคนกล่าว ผมหันไปมองจึงพบหน้าเด็กน้อยคนเดิม กำลังยืนยักคิ้วข้างเดียวท่าทางกวนเท้าไม่ใช่น้อย ถ้าเป็น 20 นาทีก่อนผมคงจับถอดกางเกงแน่ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อยากเจอหน้ามนุษย์ ก็เลยพยักหน้าให้พร้อมโบกมืออำลา ผู้มาแจ้งข่าวจึงได้จากไปตามทางเดิน

     ผมเดินกลับไปตามเส้นทางเดิมของตัวเอง ผ่านสนามฟุตบอลที่เพื่อนกำลังเก็บขยะอยู่ ท่ามกลางเสียงครหานินทาตามหลัง สิ้นสุดสนามก็ถึงสามแยกปากหมาพอดี ผมบังคับเลี้ยวซ้าย 90 องศากระทันหัน แล้วก้าวผ่านต้นหูกวางกับต้นมะขามเทศยักษ์ สนามบาสล้อมรอบด้วยอัฒจันทร์กึ่งถาวรอยู่ทางขวามือ ด้านหลังเป็นสถานที่ลึกลับชื่อว่าแผนกช่างยนต์ สนามตะกร้ออยู่ถัดจากสนามบาสหน่อยเดียว มีบ่อพักน้ำกว้าง 4 เมตรยาวขนานไปกับสนาม ช่วงหน้าร้อนน้ำมีน้อยกระทั่งมองเห็นก้นบ่อ บริเวณนั้นหนาแน่นไปด้วยต้นหูกวางน้อยใหญ่ นักเรียนหลายคนใช้เป็นที่ทานอาหารกลางวัน

     “มาแล้วเหรอ รอก่อนนะ อาจารย์มีเรื่องอยากคุยด้วย”

     อาจารย์วิบูลย์กำลังให้เด็กทาสีเส้นสนาม อาทิตย์หน้าจะมีการแข่งตะกร้อระหว่างอาจารย์ม.ต้นกับม.ปลาย ผมดูนกตกปลาไปตามภาษาวัยรุ่นวุ่นรัก กระทั่งคนคุมงานไล่นักเรียนกลับห้องจนหมด จึงได้เดินมาเสนอหน้าเป็นครั้งที่สอง

     “เอาล่ะ เสร็จเสียที” เจ้าตัวเก็บแปรงทาสีเข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงหันหน้ามายังผู้ยืนรอ

     “อาจารย์มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย เมื่อคืนก่อนเธอกับทรงเดชไปเที่ยวไหนกันเหรอ”

     “ครับ คือว่า…” ผมมีอาการเส้นกระตุกเล็กน้อย “ผมชวนอำนาจและทรงเดชไปบ้านนิตยา พอดีเธอจะย้ายของหนักแล้วทำเองไม่ไหว ครั้นจะรอคนงานก็ต้องมาเรียนหนังสือ ผมเห็นว่าพวกเราพอทำกันได้ ก็เลยอาสาไปช่วยให้เรียบร้อย”

     “คิดยังไงถึงไปกลางดึกกลางดื่น พ่อนิตยารู้เรื่องหรือเปล่า” คนพูดจิกตามองประหนึ่งหญิงสาว

     “รู้สิครับ นิตยาบอกพ่อแล้ว ผมยังเจอพ่อเธอก่อนกลับบ้านเลย”

     อาจารย์วิบูลย์นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ตาก็จับจ้องหน้าผมสลับมองกางเกงวอร์มตัวเอง เขาดูแปลกไปจากปรกติอย่างชัดเจน จากที่เคยพูดลงท้ายคำว่านะ…นะ…นะ จนนักเรียนแทบจะนะจังจังไปหมด ทำไมวันนี้ฝีปากของเขาถึงไม่ทำงาน หรือว่าอาจารย์มีวันนั้นของเดือนกันแน่ หรือว่าอาจารย์กำลังคิดแผนใหม่ที่ผมไม่รู้จัก ผมเริ่มลังเลสับสนและไม่เข้าใจ จึงพยายามทำสมองให้ปลอดโปร่ง เพราะกลัวอาการคิดในใจเป็นคำพูดจะโผล่ขึ้นมา พาลได้ซวยซ้ำซวยซ้อนกันอีกคราวนี้

     ขณะที่ยืนรอผมก็แอบถอนหายใจไปด้วย พลางนึกถึงภาพยนต์เรื่องเดจาวูขึ้นมาทันที อาจารย์วิบูลย์คงเป็นห่วงเรื่องการเรียนของทรงเดช เลยอยากเตือนผมไม่ให้ชวนออกจากบ้านตอนกลางคืน เรื่องของเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ร้อยเปอร์เซนต์ ในเมื่อผมเพิ่งจะมีบทเรียนมาก่อนหน้า ก็จะไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เมื่อครบ 5 นาทีพอดี ผมจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ

     “อาจารย์วิบูลย์ครับ” ผมชิงพูดตัดหน้าทันควัน “ไม่ต้องห่วงเรื่องการเรียนของทรงเดชนะครับ ผมจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อีกอย่างนะครับ บ้านทรงเดชอยู่ห่างบ้านผมพอสมควร เราคงไม่ได้ไปไหนมาไหนกันบ่อยหรอกครับ”

     “ไม่ใช่แบบนั้นนะ เด็กผู้ชายออกนอกบ้านเป็นเรื่องปรกติ” อาจารย์วิบูลย์มองหน้าผมสลับกับมองกางเกงวอร์มอีกแล้ว แต่คราวนี้เขาทำมันแค่เพียง 3 นาที “อาจารย์ขอพูดกับเราตรง ๆ ว่าเป็นห่วงทรงเดชมากนะ”

     “อาจารย์เป็นห่วงเรื่องอะไรครับ”

     คิ้วของผมได้พันกันเองยุ่งเหยิงไปหมด พลางใช้ความคิดอย่างหนักจนเส้นเลือดฝอยแทบแตก ในเมื่ออาจารย์วิบูลย์ไม่ได้เป็นห่วงเรียนการเรียน แล้วยังจะมีอะไรให้เขาหนักใจอีก ในเมื่อเพื่อนผมสมบรูณ์แบบเสียขนาดนั้น

     “ทรงเดชเป็นเด็กดีสุภาพอ่อนโยน เขาไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลยซักครั้ง เล่นกีฬาก็ดีเยี่ยมสม่ำเสมอทุกเทอม จนอาจารย์เอาไปคุยโม้กับเพื่อนได้เลย อาจารย์คิดว่า ทรงเดช จะเป็นความหวังสำคัญของมวลมนุษย์”

     คนพูดออกลีลาท่าทางประกอบไปด้วย เขาหลับตาพริ้มอมยิ้มแก้มตุ่ยเมื่อเอ่ยถึงทรงเดช ร่างกายผอมกะหร่องไร้ซึ่งกล้ามเนื้อยืนอยู่กลางสนามตะกร้อ แสงแดดเปรี้ยง ๆ ไม่ส่งผลกับเขาแม้ในยามเพ้อเจ้อ ตรงข้ามกับผมที่พยายามหาร่มเงาจากต้นหูกวาง อย่างน้อยที่สุดได้หลบแดดซักครึ่งตัวก็เอา แล้วยืนฟังอาจารย์พละศึกษาอวยเพื่อนตัวเองต่อไป

     “แต่…” เจ้าตัวหันมาที่คนฟังบ้าง “แต่อาจารย์กลัวว่า ทรงเดชจะหลงเดินทางผิดเข้า โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ จำตอนแข่งบาสกับโรงเรียนผักหนองน้ำได้ไหม อยู่ดี ๆ เขาก็เป็นลมล้มพับหน้าตาเฉย วันนี้ทรงเดชก็ขอลาป่วยไม่ได้มาซ้อม ทั้งที่ปรกติเขาแข็งแกร่งประหนึ่งโคตรเพชรซาอุ แถมยังมีน้ำมูกไหลหยดตลอดเวลา เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     คนฟังตอบคำถามกลับแบบเนือย ๆ พลางทำคิ้วขมวดเป็นตัวเอ็มใหญ่เกรทบริเตน อาจารย์วิบูลย์กำลังจะบอกอะไรกันแน่ ผมไม่เข้าใจเขาเลยซักนิดเดียว ที่ทรงเดชเป็นลมก็เพราะเห็นเลือด อาจารย์ก็ไปโรงพยาบาลด้วยนี่นา แล้วจะเรียกผมมาคุยเรื่องนี้เพื่ออะไร ในเมื่อผมไม่รู้วิธีรักษาแม้แต่น้อย ไหนยังจะเรื่องน้ำมูกไหลขี้ไคลย้อย เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ

     “อีกเรื่องนะ อาจารย์ได้ข่าวมาว่า… เดี๋ยวนี้ถึงกับตั้งแก๊งค์กันเลยนะ”

     หลังจากพูดอ้อมโลกอยู่นานพอควร อาจารย์หนุ่มขี้กังวลก็ยิงหมัดตรงใส่ นั่นทำให้หัวหน้าห้อง 4/3 ทำหน้าเหมือนคนปวดท้องเมนส์ และมีอาการปากหนักจนพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรเขาจึงเริ่มร่ายยาวจนจบ

     “ฟังอาจารย์ให้ดีนะ” อาจารย์พละดึงกางเกงวอร์มขึ้นพร้อมทำหน้าจริงจัง “อาจารย์เห็นว่าเธอเป็นเด็กดีมาโดยตลอด จึงได้เรียกมาเตือนก่อนที่จะไปกันใหญ่ จริงอยู่เธอกับทรงเดชสนิทกันมาก แต่คนเราทุกคนย่อมมีหนทางเป็นของตัวเอง วันนี้พวกเธอเพิ่งเรียนม.4 ก็จริงอยู่ แต่เมื่อเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปต่อมหาวิทยาลัย อาจารย์คิดว่า…ทรงเดชต้องติดทีมชาติแน่นอน ถ้าไม่พากันออกรกออกพงไปเสียก่อน เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “ไม่เข้าใจครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

     “ว่าแล้วเชียว… ไม่ควรหลงเชื่ออาจารย์สมพิศเลย”

     ฝ่ายอาจารย์ตบต้นขาตัวเองดังเพลี๊ยะ เหมือนลงโทษที่ดันทำพลาดอย่างมหันต์ได้ ฝ่ายนักเรียนแทบอยากนอนหงายเก๋ง เพราะนึกว่าตัวเองเดินทางย้อนเวลาไปมา ที่อาจารย์วิบูลย์พูดเหมือนอาจารย์สมพิศมาก คงเพราะได้เตี๊ยมกันมาก่อนแล้วแน่

     หลังใช้เวลาตั้งสติอยู่พักหนึ่ง อาจารย์พละคนเก่งก็กลับสู่โหมดปรกติ จึงมีท่าทีเหมือนอาจารย์วิบูลย์คนเดิม ไม่ใช่อาจารย์วิบูลย์ที่โดนอาจารย์สมพิศสิงร่างอยู่ เขาขยับเข้าใกล้ตัวผมมากขึ้น พลางเอ่ยปากพร้อมจ้องมองด้วยแววตาดุดัน

     “ถามแบบแมน ๆ เลยนะ เธอพาทรงเดชไปดูดกัญชาบ่อยไหมนะ”

     ผมตกใจอุทานคำว่าเฮ้ยเสียงดังลั่น หลังโดนอีกฝ่ายยิงหมัดอัปเปอร์คัทขวาเข้าปลายคาง ทรงเดช กัญชา ผมพาไป นี่มันอะไรกันเนี่ย นาทีนี้ผมอยากวิ่งไปกลางสนามแล้วตะโกนให้สุดเสียง ทว่าคนคุยด้วยกำลังจ้องมองตาไม่กระพริบอยู่

     “อาจารย์เอาอะไรมาพูด ผมเนี่ยนะ พาทรงเดชไปดูดกัญชา” ผมตอบตะกุกตะกัก

     “อาจารย์ก็มีคอนเน็คชั่นอยู่เหมือนกันนะ” คนพูดหน้าเครียดประหนึ่งเจมส์บอนด์ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่ออะไรก็ไม่รู้ “เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พวกนายตั้งแก๊งค์ดูดกัญชากันได้ซักพักใหญ่ โดยใช้สวนอาม่าของนายเป็นสถานที่ ส่วนของได้มาจากคลีนิคพ่อนายอำนาจ อาจารย์ไม่อยากให้เพชรน้ำเอกของโลกต้องมัวหมอง ช่วงนี้ทรงเดชอ่อนแอเหมือนคนติดยาไม่มีผิด อาจารย์อยากให้เลิกทำตั้งแต่วันนี้เลยนะ โดยจะแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยนะ เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “แต่ผมไม่ได้ทำนะครับอาจารย์”

     ฝ่ายนักเรียนรีบแย้งกลับทันทีทันใด ฝ่ายอาจารย์รีบยกมือห้ามแล้วปล่อยวลีเด็ด

     “ถ้าไม่ได้ทำจะกลัวอะไร ทองแท้ย่อมไม่ไหม้ไฟ ฉันใดก็ฉันนั้นนะ เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจก็ได้ครับ” ผมตอบด้วยคำตอบสามัญประจำบ้าน

     “เข้าใจก็ดีแล้ว แค่นี้แหละ ไปเก็บขยะต่อเถอะนะ”

     อาจารย์วิบูลย์หันไปสนใจกางเกงวอร์มต่อ และทำราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ด้วยไม่มีตัวตน ผมยกมือไหว้ก่อนเดินจากไปแบบมืน ๆ สมองกำลังประมวลผลด้วยความเร็วเหนือเสียง 2 เท่า แต่ทว่าผมไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย เหมือนกับว่าเขาโทษผมเป็นต้นเหตุทั้งหมด หรือว่าเขาอยากให้ผมออกไปจากชีวิตทรงเดช หรือว่าเขาอยากให้ผมคอยดูแลทรงเดชกันแน่ ว่ากันตามความจริงจากหัวใจ ผมไม่เคยรู้จักกัญชาแม้แต่น้อย บางทีมันอาจซ่อนอยู่ในยาดมโป๊ยเซียน ไม่ก็อยู่ในนมสดรสจืดที่ทรงเดชชอบดื่ม

     ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งทำให้อำนาจไม่ได้เรียนแพทย์ นาทีนี้ผมทำให้ทรงเดชไม่ติดทีมชาติ แล้วนี่ผมจะทำให้ใครหมดอนาคตเพิ่มขึ้นอีก ช่วงเวลาแห่งความสับสนกำลังมาเยือน ผมเริ่มไม่เข้าใจผู้ชายไปด้วยแล้ว ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

     “พี่ พี่ ผอ.ยอดรักให้มาตามพี่ไปพบที่แปลงผัก”

     เสียงเด็กผู้ชายแหลม ๆ เล็ก ๆ ดังที่ข้างหูอีกครั้ง เด็กนักเรียนมัธยม 1 นายหนึ่งเป็นคนกล่าว ผมหันไปมองจึงพบหน้าเด็กน้อยคนเดิม กำลังยืนหอบแฮก ๆ พลางปาดเหงื่อที่กกหู ไอ้น้องคงเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามผมทั้งวัน คิดแล้วก็อดสงสารนายตัวจิ๋วคนนี้ไม่ได้ ทว่าผมไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรทั้งสิ้น จึงพยักหน้าเบา ๆ ให้แล้วจากไปตามทางเดิน

                        ---------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา