ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  25.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) สงครามลิเก 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สงครามลิเก 2

          โรงลิเกชั่วคราวยกพื้นสุงประมาณ  1 เมตร ประดับด้วยผ้าดิบสีฟ้าคาดแดง เขียนชื่อคณะตัวอักษรสีเหลืองดำ กว้างตามมาตราฐานคือ 6 เมตร ลึกประมาณ 6 เมตร มีฉากผ้ากั้นกลางสุงประมาณ 3.5 เมตร วางตั่งหรือเตียงไม้เป็นที่นั่งแสดง วงดนตรีปี่พาทย์อยู่เยื้องฝั่งขวามือ ลิเกตอนพิเศษดำเนินมาแล้วครึ่งเรื่อง เรามาสำรวจคนดูภายในงานกัน

          จากจุดที่ผมยืนอยู่ เห็นนักกีฬาทีมบาสอยู่ฝั่งซ้ายของเวที พี่ป๊อบกัปตันทีมนั่งห่างออกไปนิดนึง เพราะเป็นคนกลางจึงต้องสงบนิ่งเก็บอาการ ทว่าพี่อุ้มรองกับตันทีมบาสนั้นไม่ใช่ เขานำสมาชิกเชียร์ทรงเดชอย่างออกนอกหน้า

          ถัดไปกลางเวทีเป็นส่วนกองเชียร์พี่หรั่ง นำโดยสามสาวดาวกระจายตลาดสด ต่อด้วยทีมงานผู้สมัครหมายเลข 2 และเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกัน ส่วนฝั่งขวาล้วนเป็นคนดูขาประจำ ทยอยเข้ามานั่งตามเสียงฮือฮา นักเรียนห้องสามนั่งปะปนร่วมกัน ที่เห็นชัดหน่อยคือเพียงตากับนิตยา มนต์ชัยยืนเกะกะคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ส่วนเพื่อนบางคนหายตัวไปทำภารกิจ

          ค่ำคืนนี้พวกเรามีแขกพิเศษที่ไม่ได้รับเชิญ พี่เต้หัวเม่นมาพร้อมกล้องวีดีโอตัวเก่ง พี่ตูนเพื่อนรักเพื่อนแค้นก็มาด้วย โดยมีน้องชายม.1 และเพื่อนผิวเข้มเป็นบอดี้การ์ด ประธานนักเรียนสวมชุดแซกกระโปรงยาวสีเลือดนก ปล่อยผมยาวสลวยไม่ผูกโบว์ ทาปากทาแก้มวาดคิ้วงามพอควร เธอจึงดูสวยสะดุดตาที่สุดในงาน

          ด้านล่างเวทีกำลังคึกคักสนุกสนาน ด้านบนเวทีก็กำลังเข้มข้นเร้าใจ ถึงตอนขุนแผนแสดงโดยพี่หรั่ง ตรงเข้าห่ำหั่นคู่อริอย่างเผ็ดร้อน แววตาพิโรธโกรธ สุดแค้นสุดเจ็บปวด รวมทั้งเศร้าโศกเสียใจ อันมีสาเหตุมาจากขุนช้างนำแสดงโดยทรงเดช ลูกชายอดีตพระเอกลิเกระเบิดอารมณ์พร้อมร่ายรำ

          "... ให้เวรกรรมตามสนอง  เดี๋ยวนี้ไม่ต้องชาติหน้า              เสมือนฟ้าผ่าศาลา   สุดอนาถาที่จะเอ่ย

          ไม่เคยสร้างเวรให้เจ้า แล้วทำกับเรา ทำมั๊ยยย.!!!                     ไอ้ขุนช้างใจมันร้าย   ช่างทำได้จริงจริงเว้ย

          ขอเป็นศัตรูกับเอ็งทุกชาติ  ข้าขอประกาศไว้เลย            เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่งงง….”

          ปลากระป๋องสามแม่ครัวควรเปลี่ยนพรีเซนเตอร์ใหม่ หากแม้นท่านได้น้องจีจ้า พี่แอ๋ว และเจ๊เอียดไปร่วมงาน ท่านจักได้ยอดขายอันดับหนึ่งเป็นแน่แท้ สามหน้าม้าสาวเข้าถึงอารมณ์อย่างแท้จริง ทั้งกรีดร้อง สาปแช่ง กระทืบเท้า รวมทั้งชี้หน้าใส่คู่อริ หากไม่มีเวทีสุงหนึ่งเมตรเป็นสิ่งกั้นขวาง ขุนช้างอาจคอหักตายด้วยท่าบอดี้แอทแทค ผู้หญิงเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกิน

          ทว่าทรงเดชไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย หมอนี่ยักคิ้วข้างเดียวใส่น้องจีจ้าซะงั้น (แหงะล่ะสิ…คนนี้บึ้มสุดนี่นา) เพื่อนเราปรายตามองคนดูรอบเวที พลางรำกระหยองกระแหยงร้องลิเกท่อนต่อไป

          "....ผมเป็นลิเกตลก บ้านไม่มีครกมีแต่สาก      ยามหิวโหยมันลำบาก เพราะมีแต่สากสกปรก

         ถ้าสาวใดนึกสงสาร ช่วยทำทานถวายครกเอย   เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่งงง….”

         พ่อขุนช้างโปรยยิ้มหวานใส่คนดู เนื่องจากว่าตนร้องลิเกได้เท่านี้ พี่ท้อแท้แนะนำกลเม็ดเคล็ดลับสำคัญ พยายามใช้มุขตลกแค่เอาตัวรอด แล้วดึงไปสู้ในสิ่งที่เราถนัดกว่า ชักช้าเสียทีจะไม่ได้การ…ยอดนักบาสรีบลงมือทันควัน

         “ท่านขุนแผนแสนสะท้าน ท่านเห็นเหมือนที่ข้าพเจ้าเห็นหรือไม่”   

         “ท่านเห็นอะไรรึ…ท่านขุนช้าง” พระเอกลิเกหัวแดงงุนงง

         “ก็นี่ยังไงล่ะ…แม่หญิงทั้งสามคนนี้ พวกเธอช่างสะสวยติดตราตรึงใจข้าพเจ้ายิ่งนัก แต่แม่หญิงกำลังมีเคราะห์”

         “เอ…แล้วแม่หญิงคนงามจะมีเคราะห์ได้เยี่ยงไร”

         เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน พี่หรั่งก็เลยขอดูทีท่าไปก่อน สถานการณ์บนเวทีเริ่มเข้าทางโจร

         “อะไรกัน…!! นี่ท่านไม่ใส่ใจเลยหรืออย่างไร”

         ทรงเดชส่ายหัวไปมาระอาใจ แล้วกระโดดลงไปนั่งข้างกายน้องจีจ้า ทำตาเล็กตาน้อยใส่ด้วยจริตชายเจ้าชู้ เพื่อนเราหันไปจ้องมองเจ๊เอียดอย่างจาบจ้าง ตามด้วยการฉอเลาะใส่พี่แอ๋ว สุดท้ายเอื้อนเอ่ยคำพูดที่เตรียมไว้

         “มีข่าวฆาตกรโรคจิตที่เสาร์ห้า มันทั้งเชือด ! เฉือน ! ขยี้ ! ขยำ ! ปล้ำ ! แล้วฆ่าหั่นศพมาแล้วสามราย สำคัญกว่านั้นก็คือ…หมอนี่ลงมือแค่เฉพาะคนสวยเท่านั้น กว่าลิเกจะเลิกก็ปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืน ข้าพเจ้ากลัวแม่หญิงทั้งสามจะเป็นอันตราย”

          น้องจีจ้าร้องกรี๊ดพลางเกาะแขนคนปากหวาน เจ๊เอียดกับพี่แอ๋วก็ร้องกรี๊ดพลางทำท่าขวยเขิน เสียงฮือฮาตามมาไม่ขาดตอน ขนาดลุงมาดยังเป่าปากวิ๊ดวิ้วให้ ลิเกเรื่องนี้ถึงลูกถึงคนอย่างแท้จริง ครั้นเห็นว่าถึงเวลาขุนช้างจึงเข้าประเด็น

          “ฉะนั้นแล้วท่านขุนแผน พวกเรารีบสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะโดยเร็วเถิด แม่หญิงทั้งสามจะได้รีบกลับบ้านโดยปลอดภัย”

          ทรงเดชแต่งหน้าทาปากราวกับสมิงพระราม เขารูปร่างดี ตัวสุงใหญ่ มีหน้าตาไทยแท้เป็นทุน เมื่อได้สวมชุดลิเกอนุเคราะห์โดยเพื่อนร่วมทีม จึงมีรัศมีเปล่งประกายไม่แพ้อีกฝ่าย ว่ากันว่า…ผีเท่านั้นจึงจะเห็นผีด้วยกันได้ สามแม่ค้าสาวโดนแทะเล็มด้วยมุขละคร ความน้ำเน่าของทางนี้เข้ากันได้ดีกับทางนั้น พวกหล่อนก็เลยปรบไม้ปรบมือแสดงความชอบใจ

          “ท่านขุนช้างว่าแบบนั้นก็ดี มา…เรามาสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย ท่านอยากสู้ด้วยวิธีไหนเชิญว่ามา”

          ดูเหมือนพี่หรั่งจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ ว่าทางนั้นหาได้เป็นหมูสนามเมืองภูเก็ต แต่ว่าเป็นปลาไหลใส่สเก๊ตจากเมืองสุพรรณ ทั้งยังมีแผนการต่อสู้ที่ค่อนข้างรัดกุม ฐานมวลชนอันเป็นที่รักกำลังระส่ำ จำต้องแสดงฝีมือเพื่อข่มอีกฝ่ายให้จมดิน แต่ก็ต้องมีความเป็นพระเอกตลอดกาลด้วย นี่คือที่มาของการยื่นข้อเสนอท้ารบ

          “แหม่…ถ้าจะเอากันแบบนี้” ทรงเดชทำท่าครุ่นคิด เขาส่งยิ้มให้ลูกสาวน้านงค์แล้วพูดต่อ “ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า เราควรผลัดกันดวลกลอนสดคนล่ะบท เพื่อสร้างความสำราญให้กับบรรดาแม่ ๆ ทุกคน ดีมั้ยล่ะท่านขุนแผน”

          “ดีมาก..!! เชิญท่านขุนช้างก่อน” พี่หรั่งตอบกลับอย่างมั่นใจ

          “ข้าพเจ้าให้ท่านขุนแผนเริ่มก่อนดีกว่า ขอเวลาให้ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดซักครู่หนึ่ง”

          ไม่รู้เพราะอะไรเพื่อนเราจึงไม่ยอมเปิดหัว เหมือนว่าเขาจะมั่นใจหรือไม่มั่นใจฝีมือตัวเอง ผมกับอำนาจหวนนึกถึงกลอนตดของเพื่อน รู้สึกขมคอขึ้นมากระทันหัน ทรงเดชคงรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่นะ

          "...คนอะไรไม่รู้ดูสวยเริ่ด                เทพธิดามาเกิดเชียวหรือนี่       

          อกเอวองค์สามส่วนล้วนเข้าที         งามอย่างนี้ใครได้เห็นเป็นต้องตา

          ดวงเนตรคมผมสลวยรวยรอยยิ้ม     ปากเอิบอิ่มรูปกระจับรับใบหน้า       

          อยากจีบเธอเป็นคู่ชมสมอุรา            พอรู้ว่าเธอเป็นตุ๊ดสุดเศร้าใจ..."

          บทกลอนของพี่หรั่งตรงตามตำราทุกประการ ทั้งยังปิดท้ายด้วยมุขฮาเรียกรอยยิ้ม มวลชนของเขาพร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์ มวลชนอีกฝ่ายมีเสียงโห่ฮาเล็กน้อย ถึงตาเพื่อนรักของเราสำแดงฝีมือบ้าง เขาเดินอย่างมาดมั่นมาหยุดต่อหน้าเจ๊เอียด

          "...มือขยับจับบรรจงตรงที่หมาย          น้องว่าอายกลัวเจ็บจึงขัดขืน      

          น้องไม่เคยพี่ยังทำสุดกล้ำกลืน             น้องยังตื่นบอกพี่เบาเขายังกลัว

          พุ่งกระฉูดน่าสยองนองด้วยเลือด         ช่างดุเดือดส่งเสียงครางดังไปทั่ว     

          โธ่น้องเจ็บน้องปวดไปทั้งตัว               มาบีบมั่วสิวหัวช้างข้างแก้มเรา..."

          นักกีฬาบาสเป่าปากตีมือกันยกใหญ่ เสียงฮือฮาดังสนั่นทั่วลานกว้าง ผมนี้ยืนลุ้นผลจนไม่กล้าหายใจ เกรงว่าเพื่อนจะสัปดี้สัปดนเกินเหตุ ทว่าทรงเดชทำได้เกินคาดหมาย กระทั่งชิดชนกกับสุพัตรายังชอบใจบทกลอนนี้

          "...เห็นแววตาของเธอที่บ้องแบ๊ว         เห็นดวงแก้วกลมใสข้างในนั่น     

          เห็นดวงตาของเธอดั่งพระจันทร์          เห็นขี้ตาก้อนนั้นดั่งใจตน

          แขนเธอหักฉันรับได้เพราะใจรัก         ขาเธอหักฉันรับได้ไม่ขัดสน   

          อกเธอหักฉันรับได้ไม่กังวล                 แต่สุดทนดั้งเธอหักรักไม่ลง..."

          พี่หรั่งพยายามต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทรงเดชช่วยปรบมือแค่พอเป็นพิธี คราวนี้เขาเลือกเดินไปยืนหน้าน้องจีจ้า

          "...พี่บอกให้เงียบแล้วยังไงเล่า                แล้วใยเจ้าจึงเสียงดังครางไปทั่ว       

          พี่จะทำเบาเบาไม่ต้องกลัว                      ค่อยค่อยรัวนิ้วช้าช้านะยาใจ

          ค่อยค่อยกดค่อยค่อยเน้นอย่างเป็นขั้น     ไม่ต้องหันหน้าหนีพี่ไปไหน      

          พอน้ำออกพลันความเจ็บจะหายไป        แล้วทรามวัยจะหน้าใสไร้สิวเอย..."

          เสียงฮือฮาดังกระหึ่มยิ่งกว่าเดิม หลังทรงเดชร่ายกลอนทะลึ่งจนครบบท แม่ยกพี่หรั่งแหกปากกรี๊ดลั่นด้วยความสะใจ สาวน้อยสาวใหญ่ร้องวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ ส่วนผมลุ้นจนตัวโก่งหนักกว่าเก่า แอบเห็นอี๊บ๊วยปิดปากขำอยู่หลังฉาก

          การต่อสู้มีโอกาสยาวนานมากกว่าเดิม ด้วยว่าสองฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน พี่หรั่งว่ากลอนบทถัดไป ทรงเดชว่ากลอนบทถัดมา เห็นท่าคงไม่ดีเพราะคนที่เหลือจะอดเล่น จึงมีความเคลื่อนไหวจากทีมงานคณะลิเก

          "...เมื่อเป็นคำสั่งอย่านั่งพัก เชิญเลยพ่อรักแรกพบ         เชิญฆ่าให้ตายกลายเป็นศพ  ไม่สู่จุดจบอวสาน

          แม่จะได้ตายตาหลับ  ขอเชิญลงดาบอย่าพัก          โปรดจงลืมคำว่ารัก  ที่เคยสมัครหลังม่าน

        จงหยิบอาวุธแล้วหยุดชีวิต  เราขออุทิศเป็นทาน        เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่งงง….”

          นางเอกดาวรุ่งนัยน์ตาโศกปรากฎโฉมอีกครั้ง โดยคำบัญชาของลุงพินไม่ก็ลุงมาด สุพัตราเข้ามาคั่นกลางระหว่างสองหนุ่ม เพื่อเบรกความร้อนรุ่มและตัดเข้าสู่ฉากต่อไป ลิเกอาชีพกับลิเกสมัครเล่นต่างกันตรงนี้

          “ได้ของใหม่แล้วลืมของเก่าเลยนะยะ” สาวน้อยชำเลืองมองน้องจีจ้า ก่อนหันมาจิกตามองใส่สองคู่อริ “ที่นัดไว้ตอนตีสอง ไม่ต้องมาเลยนะทั้งคู่ อืมม….พี่คะ พี่คนนั้นแหละ คืนนี้ทำการบ้านเสร็จหรือยัง พาน้องวันทองไปแว๊นส์ได้ป่ะ”

          สาวน้อยหันไปเล่นหูเล่นตากับพี่อุ้ม รองกับตันทีมบาสเล่นด้วยหน้าตาเฉย คืนนี้พี่อุ้มดูจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ คงเพราะอยากเห็นพี่หรั่งโดนรุ่นน้องสอนลิเก จะว่าไปก็พอเข้าเค้าอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่โดนผมคนนี้ทำพังเสียก่อนนะ

           ----------------------------------------------------

          สุพัตราใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ลากตัวสองหนุ่มเข้าหลังเวทีสำเร็จ ฉากต่อไปเป็นคิวของผู้ช่วยทรงเดช ชิดชนกกับอำนาจกำลังยืนเตรียมพร้อม ทั้งคู่จะออกไปก่อนแล้วผมตามไปสมทบ โดยมีเซอร์ไพรส์จากผองเพื่อนอีกที

          เสียงระนาดรัวจบจังหวะเพลงเชิด เสียงหัวใจเต้นระรัวราวเครื่องตัดหญ้า ผมจ้องมองเพื่อนทั้งสองด้วยความหวาดกลัว กลัวชิดชนกตกใจเวทีจนลืมบทพูด กลัวอำนาจจะทำทุกสิ่งทุกอย่างพัง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

          นายสี่ตาแต่งชุดลิเกใหม่เอี่ยมที่แม่ซื้อให้ รำปร๋อด้วยท่าควักกะปินำออกไปก่อน หมอลงทุนใส่คอนแทกเลนส์เพิ่มความหล่อเหลา หวังว่าเพื่อนเราจะไม่ทำคอนแทกเลนส์หล่นหาย ชิดชนกเดินตามติดไม่ห่างเท่าไหร่ แค่ปรากฎตัวทุกคนก็เริ่มฮือฮาแล้ว ลูกสาวเฮียอ๋านั่งกระมิดกระเมี๊ยนอยู่บนตั่ง แสดงบทบาทตามที่ได้เตี๊ยมกันไว้

          “…อันตัวเราเป็นพระเจ้าตา เอิง เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอิง เอย เป็นพระเจ้าตา

          อยู่กระทรวงเวียงวังคลังนา เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอย มีชื่อพระเจ้าตา…”

          เสียงตะโพนรับมุขสดอย่างทันท่วงที พร้อมกันกับอำนาจทำท่าสะดุ้งโหยง ชิดชนกปล่อยมุขโบราณโคตรเป็นดอกแรก เธอสวมชุดผ้าดิบเย็บยาวติดกันทั้งตัว แต่งหน้าเหมือนคนแก่ใกล้นอนโลง เดินหลังโก่งเชื่องช้าคล้ายของจริง

          อากัปกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูของชิดชนก ทำให้ทุกคนอมยิ้มและไม่ถือสา ฉับพลันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะถล่มทลาย เมื่อพระเจ้าตาฉีกยิ้มโชว์ฟันหลอ สาวน้อยลงทุนทาฟันหน้าจนมันดำปิ๊ดปี๋ ตัดกับสีขาวของเสื้อผ้าทำให้ดูโดดเด่น เห็นดังนั้นผมรีบกระโจนลงหลังเวที เพื่อซื้ออะไรบางอย่างแล้ววิ่งไปหาอี๊บ๊วย แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังเสียงการแสดง

          “เจ้าก็ได้ร่ำเรียนวิชาหมดไส้หมดพุงข้าแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับเมืองเสียที” พระเจ้าตาลืมตาแล้วพูดต่อ “ก่อนที่เจ้าจะเดินทางไกลนั้น จันทโครพเอ๊ย…พระเจ้าตาขอมอบผะอบให้กับเจ้า ในนั้นมีนางโมราบอกไว้ก่อนเลย”

          “ข้าพเจ้าขอนางโนบราได้มั้ยพระเจ้าตา” จันโครพเริ่มออกอาการหื่น

         “ถ้ายังปากเสียไม่เลิก เดี๋ยวเอ็งจะโดนถีบขึ้นเรือโนอาห์ แล้วให้พวกมโนราห์รุมตุ๋ย”

          ผมโดนอี๊บ๊วยไล่กลับไปยืนประจำที่ การแสดงบนเวทีใกล้เข้ามาแล้ว อำนาจเล่นลิเกได้เพียงหน่อยเดียว เป็นแค่ตัวประกอบแม้พยายามแล้วก็เถอะ ถึงคิวที่ผมต้องออกไปชิงผะอบ แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวจากด้านหลังฉาก

          จะมีนักแสดงคนที่สามได้อย่างไร ในเมื่อผมก้าวขาไม่ออกเลย ยืนตัวสั่นงันงกเหมือนคนทรงเจ้า หูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลม มีอาการเกร็งลำไส้เลยมาถึงท้องน้อย สุพัตรารีบเดินมาตามด้วยตัวเอง เธอทั้งผลักทั้งดันทั้งทุบจนสุดแรง แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแม้นิดเดียว แกะมือผมออกจากฝากระดานไม่ได้ด้วยซ้ำ กาวตราช้างที่ว่าโคตรเหนียว ยังแพ้มือเหี่ยว ๆ ของนายคนนี้

          “ไหนบอกว่าเป็นของดีจังหวัด ทำไมอ่อนหัดเป็นของปลอมเสิ่นเจิ้น ออกไปหน้าเวทีเดี๋ยวนี้..!!”

          ลูกสาวลุงมาดทั้งดุทั้งปลอบคนตัวสั่น ทรงเดชรีบเดินเข้ามาช่วยอีกแรง ทว่าผมไม่อาจขยับแข้งขาได้เลย ซ้ำเกาะไม้กระดานแน่นจนกระทั่งเจ็บมือ ใครไม่เคยเจอกับตัวเองคงไม่รู้ ไม่ได้แกล้งซักนิดแต่มันกลัวนี่นา หันไปมองหน้าเวทีอีกครั้ง ชิดชนกกับอำนาจเริ่มไปต่อไม่ถูก ทั้งคู่ชะเง้อมองด้านหลังเวที คนดูชะเง้อมองตามด้วยทันที

          “แย่แล้วสิ” นางเอกดาวรุ่งถอนหายใจ เธอหันไปมองคนตีตะโพน “พ่อ…หนูขอนะ”

        ผมเหลือบมองคนตีตะโพนตามเจ้าหล่อน เห็นลูกมาดพยักหน้าหรือไงเนี่ยแหละ นี่พวกเขาจะทำอะไร…คงไม่ยกเลิกการแสดงหรอกนะ ว่าแล้วก็หันไปมองเจ้าของคำพูด แล้วพลันตกใจสะดุ้งโหยงอ้าปากหวอ

          นางเอกดาวรุ่งขยับตัวเข้าประชิด เธอหอมแก้มซ้ายคนกลัวเวทีโดยไม่บอกกล่าว เสียงจมูกปะทะแก้มดัง “ฟอดดด…” ได้ยินถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โน่น คนโดนหอมตกใจร้องเจี๊ยกเสียงดัง ใจเต้นโครมครามแทบหลุดออกจากกาย

          ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ หรือว่าสุพัตรา…หลงรักผมตั้งแต่แรกพบ แล้วที่เธอขอพ่อคืออะไร หรือว่าสุพัตรา…อยากขอผมแต่งงานด้วย เธอจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร หรือว่าสุพัตรา…อยากให้ผมเป็นลูกเขยคณะลิเกชื่อดัง

          คนที่ตกใจตาเหลือกไม่แพ้กัน ก็คือทรงเดชผู้มีหัวล้านทุ่งหมาหลง เขาเหลียวมองดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของบางบาล แล้วอ้าปากค้างเบิ่งตากว้างโดยฉับพลัน ผมเองกำลังเคลิ้มไม่ทันได้สังเกตุ รู้ตัวอีกทีออกมาอยู่หน้าฉากแล้ว

        สุพัตราแกะผมออกจากฝาผนังได้อย่างไร ?? เปล่า…เธอไม่ได้ทำอะไรอย่างว่า แค่ยกขาขวาถีบบั้นท้ายชนิดสุดแรงเกิด ลิเกอ่อนหัดเซถลาดั่งนกปีกหัก ล้มกลิ้งสองตลบสยบนิ่งแทบเท้าพระเจ้าตา เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูกระหึ่มเวที

          ขณะที่ผมพยายามลุกขึ้นยืน จึงเริ่มรู้ตัวว่าเจออะไรเข้าไป โดนผู้หญิงถีบกระเด็นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่เจ็บใจที่สุดก็คือ ทำไมต้องใส่กางเกงขาสั้นไว้ในกระโปรงด้วย นึกว่าจะได้เห็นอะไรแวบ ๆ แล้วเชียว ท่าทางทรงเดชก็คงเจ็บใจไม่แพ้กัน

          “ไม่ทราบว่า ตัวท่านเป็นสัตว์จำพวกไหน สัตว์กินแมลง สัตว์กินพืช หรือสัตว์สังเคราะห์แสงได้เองตามธรรมชาติ”

          อำนาจแหลเข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ผมเริ่มมีสติสตังค์ ตามบทบาทต้องร่ายรำประกอบเพลงเชิด ทว่าตอนนี้ถูกถีบออกมาแล้วนี่ จึงถือว่าเลยตามเลยก็แล้วกัน นักแสดงคนสุดท้ายเริ่มเปิดการแสดง

          “…อันตัวเราเป็นปุ้นจิ้น เอิง เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอิง เอย เป็นเปาปุ้นจิ้น

          อยู่กระทรวงเวียงวังคลังดิน เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอย มีชื่อเปาปุ้นจิ้น….”

          กริ๊บเลยครับ…มุขแรกของผมเงียบกริ๊บกันทั้งบาง เคยบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ฉายาพ่อมดมุขฝืดไม่ใช่ได้มาเพราะโชดช่วย ขาแข้งที่เป็นปรกติเริ่มกลับมาสั่นอีกครั้ง คราวนี้ก็มีคนเห็น และเป็นหญิงสาวเช่นเคย

          “เดี๋ยวก่อนนะ มาผิดเวทีหรือเปล่าคุณ” ชิดชนกนั่นเองเป็นผู้ช่วยเหลือ พระเจ้าตารีบเข้ามายืนเทียบกัน “แต่งหน้าแต่งตัวขนาดนี้ ไม่เกรงใจเพื่อนร่วมคณะเลยท่านเปา อ้าว…อย่าเพิ่งเดินหนีสิ ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว เล่นด้วยกันซักฉากเป็นไง”

          สาวน้อยดวงตากลมโตฉุดมือผมไว้ ดูจากด้านล่างอาจเพราะเธออยากปล่อยมุข แต่ถ้าคุณเป็นผมหรือยืนใกล้กันกับผม จะรู้ว่าตัวของผมสั่นสะท้านเหมือนรถกระบะ มือเล็ก ๆ ของชิดชนกไม่ค่อยอบอุ่น ออกจะกระด้างอยู่บ้างเพราะช่วยที่บ้านขายของ แต่ทว่ามือเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยอบอุ่นนี้ ช่วยให้ผมหายกลัวเวทีโดยสิ้นเชิง

          “งั้นขอเล่นด้วยคนนะ แนะนำตัวเองก่อน เราชื่อจิ้น ชื่อจริงชื่อเปาปุ้นจิ้น ชื่อในวงการชื่อจิ้น ชวนชื่น”

          ครั้นพูดจบผมจึงรีบฉีกยิ้มกว้าง โชว์ฟันเหยินที่เพิ่งซื้อมาสด ๆร้อน ๆ พระเจ้าตาและจันทโครพต่างสะดุ้งโหยง ทั้งคู่ตกใจจริง ๆ เพราะไม่รู้ว่ามีไอเท็มลับ คนดูชอบอกชอบใจมุขนี้ถือว่าผ่าน อย่างน้อยก็ไม่เงียบกริ๊บเหมือนมุขแรกสุด

          ถ้าทำสำเร็จต้องอย่าลืมใช้มุขตามขยี้ คำสั่งเสียของพี่ท้อแท้หมอตำแยความเผือก ผมรีบโยกฟันเหยินขึ้นลงเพื่อเรียกเสียงฮา จากนั้นจึงแกล้งทำหล่นโชว์ฟันหลอครบ 32 ซี่ กว่าจะทาสีดำหมดปากได้เสร็จทันเวลา โดนอี๊บ๊วยบ่นหูแฉะแต่เธอก็ทำสำเร็จ น้าสาวคนสุดท้องของผมต้องภาคภูมิใจ ผลงานอี๊บ๊วยสร้างเสียงหัวเราะถล่มทลาย

          อำนาจล้มขมำหัวเราะตัวงอตามผู้ชม ชิดชนกตัวสั่นไปมาแต่ยังควบคุมสติได้ เปาปุ้นจิ้นก้มยอง ๆ ลงไปเก็บฟันเหยิน พร้อมกันกับพระเจ้าตาขยับตัวเข้าใกล้ ท่านเปาลุกขึ้นจึงชนก้นพระเจ้าตาอย่างจัง หัวทิ่มหัวตำร้องไอ๊หยาอั๊วซี๊เลี๊ยวว้า

          เสียงหัวเราะมุขนี้น้อยลงไปบ้าง ผมบ่นในใจทำไมก้นชิดชนกแหลมจัง ถึงตอนนี้เพื่อน ๆ ทุกคนคงพอเข้าใจ ทีมเราเล่นลิเกไม่ได้เลย จึงต้องแลกหมัดด้วยมุขตลกคาเฟ่เท่านั้น อีกทั้งลุงมาดไม่จำเวลาเล่นเสียด้วย จึงมีการระดมความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย ทั้งที่อยู่บนเวทีและด้านล่างเวที เราจะชิงตัวเพื่อนคืน…ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่พอนึกออก

          เพียงตาเป็นคนคุมเกมส์จากด้านล่าง เธอใช้นิ้วชี้ขวาแคะขี้มูก แปลว่าคนดูเริ่มไม่ฮา…ให้รีบเข้าสู่แผนสองทันที

          “ว่าแต่ท่านเปา ท่านมาที่นี่ทำไม หรือต้องการชิงผะอบที่เรามอบให้จันทโครพ” พระเจ้าตาเริ่มพูดเข้าประเด็น

          “ข้ามิได้ต้องการผะอบดอกพระเจ้าตา แต่ข้าต้องการนางวันทอง เอ๊ย..!! นางโมราต่างหาก” ท่านเปาตอบกลับ

          “บังอาจ บังอาจ บังอาจ..!!” อำนาจตะโกนใส่ตามบทบาท หมอทำหน้าตาขึงขังเกินไปนิด “กำเริบเสิบสานใหญ่แล้วท่านเปา กล้าดักชิงแม่นางโนบรา 36 คัพซีของเราเชียวรึ แบบนี้ต้องรบกันให้แหลกไปข้าง”

          ผมกับอำนาจทำท่าจะเข้าห้ำหั่น ทว่าโดนพระเจ้าตาห้ามไว้ก่อน บอกกันตรงนี้เลย ว่าต่อจากนี้พวกผู้ชายไม่รู้อะไรอีกแล้ว เพราะพวกผู้หญิงคิดเองเออทั้งหมด ถามอะไรก็ไม่หลุดออกมาซักแอะ บอกแต่ให้เล่นไปตามท้องเรื่องเท่านั้นเอง

          เสียงเพลงค้างคาวกินกล้วยดังขึ้นทันที พร้อมการปรากฎตัวสุดเซอร์ไพรส์ของณรงค์ฤทธิ์และวิทยา ทั้งคู่สวมชุดนักเรียนหญิงมัธยมต้น แต่งหน้าทาปากพอทน ขนหน้าแข้งแน่นหนายิ่งกว่าดงพญาเย็น เห็นแค่นี้คนดูแทบกลิ้งตกเก้าอี้แล้ว ทว่าสองหนุ่มไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังเอายางมัดถุงร้อยติดกันมาฝาก ด่านแรกสุดเราต้องแข่งกระโดดหนังยาง

          การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้นเร้าใจ ตอนอีตาตุ่มกับอีหัวเข่าน่ะไม่เท่าไหร่ ทุกคนผ่านฉลุยได้อย่างสะดวก แต่พอถึงอีหน้าอกเริ่มมีปัญหา มันสุงเกินเหตุและพวกเราล้วนไม่ปรกติ ชิดชนกกระโดดตัวปลิวผ่านพ้นสบาย คืนนี้เธอเป็นพระเจ้าตาที่สุดเซ็กซี่ สาวน้อยถลกผ้านุ่งโชว์ต้นขาขาวโบ๊ะ เปลือยไหล่ซ้ายอวดโฉมต่อชาวโลก สายเสื้อในวาโก้โผล่ให้เห็นเป็นกระษัย ชิดชนกเล่นลิเกได้ดีและไม่เคอะเขิน แม้ลิเกที่เล่นจะไม่เป็นลิเกเลยก็ตาม แต่แบบนี้แหละเข้าทางเธอเต็ม ๆ

          ถึงตาอำนาจกระโดดอีหน้าอก ด้วยความสุง 155 เซนติเมตร และไม่มีพลังพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น เขาก็เลยตายหยังเขียดหมดราคา ต่อจากนายคนนั้นก็คือผมนายคนนี้ เนื่องมาจากชุดท่านเปาทั้งหนักทั้งคับ ที่สวมหัวและรองเท้ายางก็หนาโคตร ก็เลยเหยียดขาได้ค่อนข้างน้อย แรงสปริงข้อเท้าจึงน้อยตาม สุดท้ายล้มทับอำนาจที่ยืนขวางทาง เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้พอสมควร

          เพียงตาเป็นคนคุมเกมส์จากด้านล่าง เธอใช้นิ้วชี้ขวาแตะปลายลิ้น แปลว่าคนดูเริ่มไม่ฮา…ให้รีบเข้าสู่แผนสามทันที

          ณรงค์ฤทธิ์และวิทยาวิ่งเข้าไปด้านหลังเวที เพียงครู่เดียวก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งคู่สวมชุดม่อฮ่อมสีน้ำเงินเข้ม เสียงเพลงไทยเดิมคุ้นมากดังกระแทกรูหู ผมจ้องมองไม้ไผ่สีเขียวแล้วพอเข้าใจ ด่านที่สองเราต้องแข่งลาวกระทบไม้

          ชิดชนกกระโดดพริ้วไหวประหนึ่งสายลม ทั้งยังโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ได้อย่างทั่วถึง แต่ผมกับอำนาจกำลังตกที่นั่งลำบาก คนถือไม้ไผ่ก็ดันเร่งจังหวะเร็วปานฟ้าผ่า ตาตุ่มเอย นิ้วโป้งเอย นิ้วก้อยเอย โดนตีดังป๊าบ ๆ จนต้องร้องเอ๋ง ปวดแสบปวดร้อนคล้ายโดนปิรันย่างับขา ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องทำอะไรแบบนี้ ผมจะรีบใส่ถุงเท้าหนา ๆ ซักสองชั้น

          การแสดงลิเกของพวกเรายังไม่จบสิ้น ทั้งที่ผมกับอำนาจแทบยืนกันไม่ไหว เพียงตาเป็นคนคุมเกมส์จากด้านล่าง เธอใช้นิ้วชี้ขวาแคะขี้มูกแล้วแตะปลายลิ้น (แหวะ!!) แปลว่าคนดูเริ่มไม่ฮา…ให้รีบเข้าสู่แผนสี่ทันที

          ณรงค์ฤทธิ์และวิทยาวิ่งเข้าไปด้านหลังเวที เพียงครู่เดียวก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งคู่สวมชุด เอ่อ….ชุดสาวบันนี่สีขาวสว่างโร่ โชวต้นขาขาวเนียนขนเยอะพอประมาณ สวมหูกระต่ายใหญ่เท่าใบลาน ยืนทำหน้าเจื่อนด้วยเขินอายเป้ากางเกง

          ดูเหมือนเพื่อนเรา…จะไม่มีใครยอมใครกันเลย ทุกคนทุ่มสุดตัวพร้อมทำสิ่งที่มันทุเรศลูกตา ผมไม่กล้าคาดเดาอะไรทั้งสิ้น ด้วยว่าตนไม่เคยเดาใจเพื่อนสาวได้ กระทั่งได้ยินเสียงเพลงดังกระหึ่ม เป็นบทเพลงที่ช่างคุ้นหูเสียนี่กระไร ณรงค์ฤทธิ์และวิทยาออกลีลาท่าเต้นเป็นคู่แรก เมื่ออำนาจจำได้หมอกระโดดเข้าใส่ไม่ช้า ชิดชนกยิ้มเหงือกบานพร้อมออกสเต๊ปแด๊นซ์ ขณะที่ผมยักย้ายส่ายสะเอวรอคอยผู้สาว จังหวะเต้นรำของเราทุกคนเข้ากันได้ดี เรื่องนี้มีที่มาที่ไปครับ

          เทอมที่แล้วมีการแบ่งกลุ่มเต้นรำประกอบจังหวะ เราทั้งห้าจับพลัดจับพลูอยู่กลุ่มเดียวกัน จึงไม่ยากเลยที่จะเต้นร่วมกันใหม่ บทเพลงที่ลุงพินและลุงมาดตั้งใจบรรเลง ประพันธ์โดย พร ภิรมย์ โด่งดังมากในอดีต มีชื่อว่าเพลง “โสน-สะเดา”

          เปาปุ้นจิ้น : แม่ดอกโสนบานเช้า

          พระเจ้าตา : พ่อดอกสะเดาบานเย็น

          เปาปุ้นจิ้น : ผู้หญิงอะไรแหม…หน้าทะเล้น

          พระเจ้าตา : ก็อยากมาหน้าเป็น กับเขาก่อนทำไมกัน

          เปาปุ้นจิ้น : มองความสวยตลอดวัน เห็นความก๋ากั่นแล้วรักไม่ลง

          พระเจ้าตา : ฉันง้อเสียเมื่อไหร่ พ่อคนสุงใหญ่เหมือนดั่งเสาธง

          เหมือนเพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อผมกับชิดชนก ขนาดบุคลิกของผู้ร้องก็ยังตรงเผง อาจมีคู่พระนางที่เสียงดียิ่งกว่าคู่เรา อาจมีคู่พระนางที่หน้าตาดียิ่งกว่าคู่เรา อาจมีคู่พระนางที่เล่นลิเกเก่งยิ่งกว่าคู่เรา รวมทั้งอาจมีพระนางที่ปล่อยมุขฮายิ่งกว่าคู่เรา แต่ทุกคนเชื่อผมซักเรื่องเถอะ จะไม่มีพระนางคู่ไหน…ที่มีเคมีตรงกันยิ่งกว่าคู่เราอีกแล้ว

          เปาปุ้นจิ้น : แม่ดอกกะถินหอมกลิ่นระรวย

          พระเจ้าตา : พ่อดอกพังพวยสวยตายแล้วนั่น คิ้วก็หนา ตาก็ตี่

          เปาปุ้นจิ้น : ก็มีหญิงมาใฝ่ฝัน ละเมอทุกวันแอบรักฉันเข้าแล้วไง

          พระเจ้าตา : ขืนรักคนครึ่งลิง พ่อหนุ่มสตริงหลายใจ

          เปาปุ้นจิ้น : อุ๊ย..!! ปากเหมือนกรรไกร

          พระเจ้าตา : ไว้ตัดลิ้นชายเล่น

          เปาปุ้นจิ้น : แม่ดอกโสนบ้านนา หน้าตาเหมือนม่วยอย่านึกว่าสวยเด่น

          มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ความทุกข์มักอยู่กับเราอย่างเนิ่นนาน แต่ความสุขความสนุกสนาน แค่เพียงประเดี๋ยวประด๋าวก็จากไป เพลงคู่เพลงแรกของสองเราก็เช่นกัน ตดไม่ทันหายเหม็นดันจบเสียแล้ว ผมตัดสินใจเริ่มร้องใหม่อีกรอบ ชิดชนกทำตามโดยไม่มีข้อโต้เถียง เธอไม่ได้พิศวาสอะไรผมหรอก ผมก็ไม่ได้อยากเก็บความสุขให้นานที่สุด พวกเรามีเหตุผลสำคัญต่างหาก

          เหตุผลที่ว่าสืบเนื่องมาจากคดีควายเผือก พี่ท้อแท้ลืมสอนวิธีจบการแสดงลิเกให้ เราทั้งสามคนเดินมาจนสุดหนทางแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงต่อจึงต้องร้องวนไปสิ ความผิดพลาดครั้งนี้อาจทำให้พ่ายแพ้ แต่ทว่ามัน…มันไม่สำคัญอีกต่อไป

          ระหว่างร้องเพลงผมจ้องผู้คนรอบกาย พี่อุ้มเป็นหัวโจกนำนักบาสเต้นแร้งเต้นกา ทุกคนยืนต่อแถวตีก้นเพื่อนที่อยู่ถัดไป พี่ป๊อบหันมาเห็นเข้าก็เลยหัวเราะร่วน ส่วนบรรดาสาวแก่แม่ม่ายด้านหน้าเวที ต่างลุกขึ้นมาเซิ้งกระติ๊บชนิดไม่ห่วงสวย หลังจากยอดชายทรงเดชกระโดดลงไปร่วมแจม แม่ยกทุกคนลุกขึ้นต่อสู้ให้ตายกันไปข้าง

          ที่น่าประหลาดใจก็คือ สุพัตรานางเอกดาวรุ่งนัยน์ตาโศก ได้แอบมาแจมกับพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังโดนลูกถีบพลังช้างสารของแม่คุณ คิดว่าเธองอนตุ๊บป่องไปแล้วเสียอีก ลูกสาวลุงมาดไม่ได้มาเพียงลำพัง ยังได้ชวนคนร้องออกแขกมาร่วมแจมด้วย บนเวทีนี้จึงมีนักแสดงมากถึง 7 ชีวิต ไม่รวมทรงเดชที่เต้นท่ากิ้งกือน้อยเดินตกท่อ อยู่กับสามสาวดาวกระจายขายหัวเราะ

          พี่ตูน เมกกะแดนซ์ ยักย้ายส่ายสะโพกแค่พองาม วันนี้เธอเป็นกุลสตรีจึงออกสเต๊ปเพียงเท่านี้ เหลียวมองกลุ่มเพื่อนห้องสามบ้าง เพียงตาโดนพี่เต้และมนต์ชัยยืนบัง เนื่องจากทั้งคู่กำลังถ่ายทำวีดีโอ จากตรงนี้มองเห็นนิตยาอย่างชัดเจน สาวน้อยสดใสร่าเริงเหมือนกับคนอื่น และมีน้ำตาอาบแก้มไม่เหมือนใคร

          ไม่ใช่หยดน้ำตาจากความเสียใจ ผมอาจเดาใจผู้หญิงไม่ถูกเลย แต่ผมรู้ว่านิตยา…กำลังมีความสุขตามแบบที่เธอเป็น

          แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ผมคิดแบบนี้นะ…

          ตลอดเวลานับตั้งแต่เกิดเรื่อง นิตยาแบกความทุกข์ไว้บนสองบ่า เธอไม่เคยวางมันลงแม้เสี้ยวนาที เธอไม่เคยส่งมันต่อให้คนอื่น แม้โดนคำครหาที่ไม่เป็นจริงถาโถมใส่ เพื่อนสาวทำแค่ยักไหล่แล้วเดินหนี

          พวกเราเอาแต่คิดหาวิธีเอาชนะ ไม่ก็ค้นหาหนทางที่จะไม่แพ้ ไม่มีใครซักคนถามเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยว่ามันผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ จนถึงตอนที่ผมวิ่งไปซื้อฟันเหยิน เธอคนนี้เองได้เดินเข้ามาคุยด้วย

          “เราเหงา…พวกผู้ชายไปแข่งบาสกันหมด นกกับเพียงตาต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน มีแค่เราคนเดียวที่ไร้ค่า”

          เธอไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา ผมทิ้งเธอไว้กลางทางหน้าตาเฉย เป็นความผิดที่ไม่สมควรให้อภัย

          ไม่สำคัญว่าพี่หรั่งย่องเข้ามาตอนไหน ไม่สำคัญว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น แค่ได้เห็นนิตยาสดใสร่าเริงอีกครั้ง ต่อให้พวกเราต้องร้องและเต้นแบบนื้ทั้งคืน ผมมั่นใจว่าเพื่อนทุกคนไม่มีใครถอย

          ทว่าตอนนี้สายตาผมกำลังพร่ามัว เป็นมาได้ซักพักหนึ่ง…หลังได้เห็นนิตยาแอบร้องให้

             --------------------------------------------------

          ผมยืนมองด้านหน้าเวทีจากจุดเดิม ยืนเพียงลำพังเพราะคนอื่นกำลังแสดง ลิเกเรื่องขุนช้างขุนแผนเล่นมาถึงฉากสุดท้าย ชิดชนกปล่อยมุขฮาที่เตรียมมาอย่างเมามันส์ โดยมีทรงเดชและอำนาจช่วยเป็นคู่ขา กระทั่งพี่หรั่งและสุพัตรายังเอากับเขาด้วย ทั่วทั้งลานจอดรถตลาดผ้าเก่า เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน

          ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ตอนนั้นพวกเรากำลังเข้าตาจน เพราะร้องเพลงคู่รอบที่สองจบลงแล้ว ฉับพลันมีเสียงระนาดเอกตีรัว ตามติดด้วยกลองรำมะนาเสียงหนักแน่น เมื่อ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง เริ่มทำหน้าที่ ได้มีนักแสดงลิเกตัวจริงจำนวน 4 คน ปรากฎตัวราวปาฎิหารย์เรียกเสียงฮือฮา ระหว่างที่พวกเขากำลังร่ายรำเพลงม้าย่อง ลูกสาวลุงมาดแอบลากทุกคนเข้าไปด้านใน ปิดฉากการแสดงลิเกจำอวดโดยสมบรูณ์แบบ

          ทำไมลุงพินช่วยเหลือพวกเรา ? ทำไมลิเกคณะลุงมาดช่วยเหลือพวกเรา ? ทำไมสุพัตราช่วยเหลือพวกเรา ? คำถามทั้งหมดไม่มีคำตอบหรอกครับ ผมเหลียวมองฝั่งขวามือของเวทีบ้าง ลุงพินและลุงมาดนั่งดูลิเกอยู่ด้วยกัน ยกเครื่องดนตรีคืนให้เจ้าของตัวจริง ผมจำคำพูดทั้งสองลุงได้อย่างติดหู

          “พวกลูกเล่นเก่งทุกคน ลิเกคืนนี้สนุกมาก”

          เจ้าของโต๊ะจีนเอ่ยปากเพียงเท่านี้ ผมยกมือไหว้แต่ไม่ทันถามสาเหตุ ถึงกระนั้นลุงพินก็ยังลูบหัวพวกเราอย่างอ่อนโยน ส่วนลุงมาดหัวเราะร่วนตามนิสัยคนใจดี เขากอดลูกสาวตัวเองขณะพูดคุยสั่งลา

          “ไอ้หรั่งเล่นลิเกเนียนกว่าเดิมมาก มันเป็นได้ทั้งพระเอกและตัวอิจฉาเจ้าคิดเจ้าแค้น” คนหวงลูกสาวหันมามองที่ผม “แต่ถ้าบทชายเจ้าน้ำตาดราม่าท่วมจอ ไม่มีใครกินหลานชายนี้หร๊อก”

          แล้วลุงมาดก็เดินตามเพื่อนรักไป เขาตบไหล่ผมเบา ๆ เป็นการส่งท้าย คนโดนแซวอ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง แอบเห็นชิดชนกกับสุพัตราอมยิ้มแก้มป่อง สองสาวยังมีเมตตาไม่ทับถม แม้พวกเธอทำได้นั่นถือว่าแปลกมาก สู้อุตส่าห์แต่งหน้าเป็นท่านเปา หวังใช้ปิดบังใบหน้าซีด ๆ ตอนขึ้นเวที ดั๊นนน…เกิดเหตุการณ์ไม่พึ่งประสงค์ ผมบ่นในใจขณะจ้องมองกระจกเงา อี๊บ๊วยช่วยทารองพื้นให้ใหม่แล้ว ขอบตาที่เลอะคราบน้ำตาจึงกลับสู่ปรกติ

          “พี่..!! หูหนวกเหรอเปล่า ผมเรียกจนคอจะแตกแล้ว”

          เหมือนมีเสียงเด็กน้อยตะโกนใส่ หันไปมองพบไอ้หนูผู้ชอบยักคิ้วข้างเดียว ยืนเคียงคู่เพื่อนผิวคล้ำชื่อสำลี

          “ว่าไงไอ้น้อง ผอ.ยอดรักเรียกพี่เหรอ” คนพูดเผลอตัวไปนิดส์

          “ผอ.อะไรล่ะพี่” เด็กน้อยส่ายหัวไปมา “นี่โรงลิเกไม่ใช่โรงเรียน พวกเค้าเรียกพี่ขึ้นเวทีแล้ว”

          น้องชายพี่ตูนชี้ไม้ชี้มือไปทางขวา ผมมองตามแล้วสะดุ้งโหยงขนหัวลุก สุพัตรากำลังกวักมือเรียกหยอย ๆ เธอส่งยิ้มหวานยืนเคียงคู่พี่หรั่งหัวแดง ชิดชนกก็กวักมือเรียกเช่นกัน แม่คุณทำหน้าบึ้งราวกับโกรธกันมาทั้งชาติ

          เสียงดนตรีเปลี่ยนท่วงทำนองอีกครั้ง กลายมาเป็นเพลงจีนที่รู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง เสียงกลองเอวดังสนั่นเคียงข้างเกาหู (ซอเสียงสุง) ขิมหยางเริ่มการบรรเลงเดี่ยว โดนมีฉิ่งฉาบช่วยตีกำกับจังหวะ ณรงค์ฤทธิ์และวิทยาปรากฎตัวอีกครั้ง ทั้งคู่สวมชุดหวังเฉาและหม่าฮั่น เจ้าหน้าที่คุ้มกันแห่งศาลไคฟง ถึงเวลานักแสดงคนสุดท้ายต้องออกโรง

          ท่านเปาปุ้นจิ้นสะบัดชายเสื้อแล้วก้าวเดิน กระทั่งมาหยุดหน้าตั่งพอดิบพอดี จึงได้ออกลีลาร่ายรำวิทยายุทธ เริ่มจากท่าฝ่ามือเทพบุปผาร่วงโรยของมารบูรพา ตามด้วยท่า 18 ฝ่ามือพิชิตมารของยาจกอุดร แล้วใช้ท่าดรรชนีเอกสุริยันของราชันต์ทักษิน จบด้วยท่ากระเรียนเหินหาวของไอ้หนุ่มซินตึ้ง ปิดท้ายการร่ายรำลิเกครั้งหนึ่งในชีวิต 

          เสียงฮือฮา (ไม่ก็เสียงโห่ไล่) ดังสนั่นทั่วทั้งลานกว้าง เมื่อนายหัวหน้าห้องเริ่มร้องประโยคแรก

          “…อันตัวเราเป็นปุ้นจิ้น เอิง เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอิง เอย เป็นเปาปุ้นจิ้น

          อยู่กระทรวงเวียงวังคลังดิน เอิง เอิ่ง เอิ๊ง เอย มีชื่อเปาปุ้นจิ้น….”

               ---------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา