ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  26.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) สงครามลิเก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

สงครามลิเก

          คืนนี้ทุกบ้านแถวตลาดสดคงต้องนอนดึก เพราะมีงานเลี้ยงรับขวัญลูกชายร้านทอง กลับสู่บ้านเกิดหลังหายไปร่วมสามปีเต็ม สาเหตุก็คือเฮียโก๋หนีตามสาวลาว ไปอยู่เวียงจันทร์ด้วยความรักอันแสนงดงาม ไม่มีใครทราบว่าทำไมเขาถึงกลับบ้าน มาเพียงลำพังไม่มีคนรักชื่อสร้อยทอง บางครั้งชีวิตคนเรา…ไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวัง

          รถกระบะตอนเดียวสีเทาควันบุหรี่อายุ 4 ขวบ กำลังเทียบจอดตรงลานกว้างหน้าร้านทอง ภายในกระบะเต็มไปด้วยเก้าอี้พลาสติก วางซ้อนสิบสองชั้นสุงเลยหลังคาเหล็กกั้นคอก ฝั่งขวาหลังคาห้อยยางอะไหล่หนึ่งเส้น ส่วนฝั่งซ้ายเต็มไปด้วยผ้าปูโต๊ะ บนหลังคารถมีผู้ชายจำนวน 3 คน สวมเสื้อดำกางเกงดำหมวกแก๊ปก็สีดำ สกรีนกลางหลังเสื้อว่า “ระพินทร์โต๊ะจีน”

          “ทั้งโด่ง ทั้งใหญ่ ทั้งแดง ทั้งหยิก อุ๊ย..!! สเป๊กพี่แอ๋วเลย”

          “นั่นจมูกหรือว่าเขาอีโต้กันแน่ ขอน้องจีจ้าสำรวจซักสองคืนได้ป่ะ”

          “การเงินมีปัญหา แต่งชุดนักศึกมาหาเจ๊เอียดนะจ๊ะตัวเธอ”

          การมาของรถเรียกเสียงฮือฮาจากแม่ค้า เพราะหนึ่งในสามเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี หุ่นสะโอดสะโอง จมูกโด่ง ผมสีน้ำตาลแดงหยักโศกเล็กน้อย เขาคนนั้นก็คือนายไพรวัลย์หรือพี่หรั่ง ว่าที่ประธานนักเรียนคนที่ยี่สิบเอ็ด ลูกชายร้านโต๊ะจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ลูกชายอดีตพระเอกลิเกคนดัง และคู่ปรับตลอดกาลของทรงเดช

          การตั้งโต๊ะจีนดำเนินไปตามที่มันควรเป็น พี่หรั่งยืนคุมรวมทั้งช่วยลูกน้องจัดสถานที่ รถสิบล้อทำกับข้าวเทียบจอดฝั่งขวาตัวตึก เป็นซอยที่แคบและตันเพราะด้านหลังคือบ้านเฮียโก๋ พี่หรั่งช่วยจัดการเรื่องอาหารอีกหนึ่งหน้าที่ เนื่องจากพ่อติดงานสำคัญปลีกตัวไม่ได้ และงานสำคัญที่ว่านั่นก็คือ…นั่งพูดคุยกับเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง

          “พวกลูกแน่ใจจริง ๆ นะ ว่าอยากแข่งลิเกกับลูกชายพ่อ”

          “แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งเสียอีกครับ ไม่เคยแน่ใจขนาดนี้มาก่อน ขนาดเมื่อคืนก่อนผมยังฝันว่าชนะใส”

          “ดีมาก !! เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มั่นคง แต่เอ็งอย่ามีเมียเยอะล่ะ หาเงินแทบตายไม่ได้ใช้ซักบาท”

          เจ้าของร้านระพินทร์โต๊ะจีนกำลังเจรจาต้าอ่วย ร่วมกับน้ามาดเจ้าของคณะลิเกชื่อดัง และทรงเดชผู้มีความมุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ ส่วนผม อำนาจ รวมทั้งนิตยา อยู่ร่วมวงเช่นกันแต่นั่งฟังอย่างเดียว อันที่จริงพวกเราเป็นใบ้มาหลายวันแล้ว

          “ไอ้มาดเอ๊ย…อย่าเพิ่งอวยเด็กสิวะ เอ็งช่วยข้าคิดแก้ไขปัญหาก่อน มันไม่ง่ายอย่างที่พูดนา”

          พ่อของพี่หรั่งเบรกเพื่อนรักหัวทิ่มบ่อ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทั้งขี้โม้และสุดดราม่า ชายคนนี้มีอายุประมาณ 50 ปี ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาคมกริบ คิ้วหนาดกดำ ผิวสีแทนกำลังดี เหมือนคนกรุงเก่าทั่วไปนั่นแหละครับ สมัยหนุ่ม ๆ เคยเป็นพระเอกลิเกคณะครูต่าย เพราะมีลูกชายจึงตัดสินใจล้างมือในอ่างทองคำ แล้วช่วยพ่อตาบุกเบิกโต๊ะจีนจนมีวันนี้ ผมขอเรียกลุงพินก็แล้วกัน

         “ไม่ยากหรอกว่ะไอ้พิน เด็กมันอยากแข่งก็ให้ลงสนามสิวะ หรือเอ็งกลัวลูกชายแพ้” ลุงมาดหันมาแหย่เพื่อน

          “ข้าไม่ได้กลัวมันแพ้ และข้าก็ไม่ได้กลัวมันชนะ แต่ข้าเกรงใจเอ็งกับพวกลูกน้อง”

          ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงครึ่งวันเสาร์ ที่บริเวณหน้าร้านจักรยานของอาม่า ได้กลายเป็นสถานที่ถกปัญหาระดับชาติ นั่นก็คือการดวลลิเกระหว่างพี่หรั่งกับทรงเดช เพื่อแย่งชิงสาวน้อยดวงตาซุกซนนามว่านิตยา

         “โอ๊ย..!! เกรงจงเกรงใจอะไรกัน” ลุงมาดส่ายหัวเป็นพระเอกหนังแขก “ข้าตั้งคณะลิเกมาร่วมยี่สิบปี เอ็งคิดว่าช่วงสิบปีหลังมาเนี่ย มีเด็กรุ่นใหม่ขอขึ้นไปแจมซักกี่คน คำตอบก็คือ…ไม่มีเลยซักคน ให้พวกหลาน ๆ ได้ลองซักตั้งจะเป็นไร”

          คู่สนทนาถอนใจแล้วคว้าน้ำดื่ม ดูไม่สบอารมณ์กับคำพูดตนเองเท่าไหร่ ลูงมาดเป็นเจ้าของลิเกคณะ “สมมาตร ราชนารี” สมมาตรเป็นลูกชายคนเดียวของน้ามาด เป็นพระเอกลิเกรุ่นเดียวกับศรราม น้ำเพชร ทว่าความดังต่างกันอยู่สองหมาหอน แปลเป็นไทยก็คือ…ไม่มีทางตามกันทันในรุ่นนี้ ต้องปั้นเด็กใหม่ที่แจ่มโบ๊ะกว่า ใสปิ๊งกว่า รวมทั้งร่วมสมัยกว่า ที่เล็งไว้ก็คือลูกชายของเพื่อนรัก ครั้นได้ยินได้ฟังเรื่องราวความวุ่นวาย จึงรีบยกคณะลิเกมาเปิดแสดงที่เมืองเรา

         “อย่างนั้นก็ได้ อย่าผิดคำพูดแล้วกัน” ลุงพินหันมาทางพวกเราบ้าง “ถามอีกที นึกยังไงอยากแข่งลิเกกับไอ้หรั่ง”

         “เป็นความผิดหนูเองค่ะ” นิตยาโยนบาปให้กับตัวเอง

         “ไม่ใช่หรอกครับ” ผมรีบเอ่ยตามเพื่อแก้ตัว แต่ไม่กล้าพูดความจริงอยู่ดี “นิดไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ไม่มีใครผิดใจหรือมีเรื่องกับใครทั้งสิ้น แค่…เอ่อ…แค่พวกเรากับพี่หรั่งคิดเห็นไม่ตรงกัน เลยอยากใช้ลิเกเพื่อแก้ปัญหา”

          “ใช้ลิเกเพื่อแก้ปัญหา ?? เคยเล่นลิเกมาก่อนไหม” พ่อพี่หรั่งจ้องหน้าตี๋หนุ่มด้วยคลางแคลง

          “ไม่เคยเลยครับ ไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อห้ามเพื่อนตัวเองไม่ได้ จึงอยากเล่นลิเกด้วยกันเสียเลย”

          ผมยอมรับความจริงสีหน้าระรื่น พลางโบ้ยไปยังต้นเรื่องผู้เป็นนักบาส ทรงเดชยังคงมั่นใจเกินร้อยเช่นเคย ทว่าเพื่อนทุกคนต่างรู้ดี ว่าหมอนี่ส่วนใหญ่เก่งแต่ปาก ลุงพินมองตามพลางครุ่นคิดในใจ ลุงมาดก็ครุ่นคิด…แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

          “เพื่อนรัก รักเพื่อน สู้เพื่อฝัน สู้เพื่อพวกพ้อง โอ้ววว…วิไลมาก ไม่ได้สำผัสอารมณ์นี้มานานแล้ว เอ็งจำน้องเอิบของข้าได้ไหมไอ้พิน” หัวหน้าคณะลิเกยิ้มกรุ้มกริ่ม พลันเบิ่งตาโตแล้วเอ่ยปาก “พวกหลานมาแจมบนเวทีได้เลย ผลัดกันออกคนล่ะตอนกับฝั่งโน้น แล้วให้ตัวเอกมาปะฉะดะร่วมกันซักฉาก หรืออยากเล่นแบบไหนก็ตามสะดวก ลุงยกเวทีให้ถึงสองทุ่มเลย”

          “นี่ก็เว่อไป อายหลานมันบ้าง” ลุงพินดุเพื่อนเล็กน้อย เขาเองก็ตัดสินใจได้ “เอาตามที่ลุงคนนี้ว่าก็แล้วกัน”

          อดีตพระเอกลิเกหยุดพูดชั่วคราว เขาจ้องมองเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคล กระทั่งมาหยุดที่หลานชายร้านจักรยาน

          “งานนี้พ่อจะมาดูแลด้วยตัวเอง ก่อนแสดงอยากให้ช่วยอะไรก็บอก รับรองไม่ถึงหูไอ้หรั่งแน่”

          เป็นคำพูดที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ลูกตัวเองลงแข่งแต่ยินดีช่วยอีกฝ่าย ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรม ว่าแอบภาวนาให้การเจรจาล้มเหลว เนื่องจากว่าไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ ถ้าไม่มีสถานที่ก็คงไม่มีการแข่งขัน แต่ในเมื่อคณะลิเกปูพรมแดงยินดีต้อนรับ คงต้องลุยไปข้างหน้าเพียงสถานเดียว จึงตัดสินใจสอบถามเรื่องคาใจ

          “ผมถามหน่อยสิครับ ลิเกตัดสินแพ้ชนะด้วยวิธีไหน”

          สองเพื่อนรุ่นเดอะมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะแบบที่เพื่อนเท่านั้นทำกัน เจ้าของร้านโต๊ะจีนตบไหล่คนถามหนึ่งที แววตาจ้องมองประหนึ่งต้องการสื่อความหมาย ทว่าผมไม่อาจเข้าใจแม้เพียงนิดเดียว

          “แล้วลูกจะรู้เอง พ่อไปทำงานก่อนนะ”

          ลุงพินและลุงมาดจากไปตามทางเดิน คนแรกตรงไปยังงานเลี้ยงลูกชายร้านทอง คนที่สองตรงไปยังวิกลิเกตลาดผ้าเก่า ทิ้งให้พวกเรานั่งหน้าเอ๋ออยู่ที่เดิม สงครามใหญ่ได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ทั้งที่ฝ่ายเราเล่นลิเกกันไม่เป็นซักคน

            ------------------------------------------------------------

          เย็นวันนั้นผมพาสมาชิกไปหน้าอำเภอ เป้าหมายก็คือบ้านพักข้าราชการด้านหลังจวน อาคารกึ่งไม้กึ่งปูนสีไข่ไก่สุงสองชั้น สภาพค่อนข้างเก่าล้อมด้วยกำแพงสีตุ่น ภายในรั้วเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ที่เป็นกระถางวางเกะกะปะปนแยกไม่ออก ฝั่งขวาตัวบ้านเป็นโรงรถขนาดพอเหมาะ มอเตอร์ไซค์สีชมพูคันหนึ่งจอดสงบนิ่ง เจ้าของรถก็น่าจะอยู่แถวนี้แหละ

          “พี่ท้อแท้…พี่ท้อแท้…พี่ท้อแท้เปิดประตูด้วย...!!”

          เราห้าคนตะโกนเสียงดังโดยพร้อมเพรียง ชิดชนกแอบหนีงานตามมาสมทบ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญขาดไม่ได้ พลังเสียงยอดมนุษย์ไฟฟ้าครบห้าสี ทำให้เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นจากความฝัน เจ้าตัวงัวเงียเปิดประตูอย่างเสียมิได้

          “พี่ท้อแท้เข้านอนไวจัง เพิ่งห้าโมงเย็นเอง” ชิดชนกกัดเข้าให้หนึ่งแผล

          “พี่ท้อแท้ยังไม่ตื่นมากกว่า เมื่อคืนเล่นไพ่ถึงเช้าแน่”

          ทรงเดชตามตบมุขอย่างรวดเร็ว มีงานศพคนใหญ่คนโตที่วัดหมูแดง โดยปรกติมักจะมีการละเล่นโต้รุ่ง หนึ่งในนั้นก็คือป๊อกเด้งกับน้ำเต้าปูปลา ทุกคนยังเป็นเด็กจึงไม่เคยอยู่ร่วม แต่ใบหน้าพี่ท้อแท้บ่งบอกว่าเป็นตามนั้น

          “พี่ไปจับเหล้าเถื่อนกับคุณพ่อน้องนิดต่างหาก” คนแก้ตัวอ้าปากหาวฟอด ๆ

          “ขี้โม้ พ่อนิดถึงบ้านตีสอง” นิตยาไม่เออออห่อหมกตาม

          “พี่ก็อยู่ด้วยถึงตีสองไง แล้วแวะไปดูลูกน้องเฝ้างานศพ พอดีช่วงนั้นขาขาด เลยนั่งเป็นเพื่อนเฮียโหงวแป้บเดียว”

          เจ้าของบ้านใช้สีข้างแถไปเรื่อย แล้วพลันร้องกรี๊ดเมื่อเห็นของฝากจากชิดชนก ตำปูปลาร้ารสเด็ดกับต้มแซบกระดูกอ่อน ถูกจัดใส่ชามวางแหมะกลางห้องรับแขก ทั้งที่ปากบอกว่าเกรงใจและไม่หิวเลย แต่มือขวาจกข้าวเหนียวก้อนโต มือซ้ายจิ้มส้มตำด้วยความชำนาญ พี่ท้อแท้ใช้เวลาหกนาทีสามสิบสองวินาที ของฝากจากชิดชนกละลายหายวับทันตาเห็น

          “อร่อยมั้ยคะ” เจ้าของต้มแซบเสียงอ่อนเสียงหวาน

          “มากกก…ที่สุด ขอบใจน้องนกและทุกคน ที่ช่วยต่อลมหายใจชะนีนางนี้” ครั้นพอกินอิ่มจึงเริ่มพูดเก่ง

          “อิ่มแล้วก็เริ่มงานได้ สอนพวกเราเล่นลิเกด้วย ขอแบบสามวันเก่งนะพี่” เจ้าของต้มแซบเสียงเข้มเสียงแข็ง

          พี่ท้อแท้ข้าวเหนียวติดคอกระทันหัน อยากขย้อนอาหารทิ้งมันเสียเดี๋ยวนี้ นึกแล้วเชียว…ทำไมพวกตัวแสบใจดีเกินเหตุ ไม่มีใครแย่งเขาเลยแม้แต่คนเดียว เอาแต่นั่งจ้องอมยิ้มส่งตาหวาน สุดท้ายงานงอกอีกแล้วครับท่าน

          ขออธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน พี่ท้อแท้เป็นมนุษย์ที่…จัดว่าเป็นชายก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นหญิงก็ไม่เชิง กระทั่งเจ้าตัวก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ ปล่อยเลยตามเลยแบบนี้มาเนิ่นนาน เขาเป็นคนมีความสามารถหลากหลาย เป็นผู้นำการทำกิจกรรมของอำเภอ เป็นผู้เชี่ยวมหรสพทุกประเภท รวมถึงลิเกเก่าและใหม่ทุกรูปแบบ ด้วยเหตุทั้งหลายทั้งปวง…พวกเราจึงต้องพึ่งพาพี่ท้อแท้

          “แข่งลิเกกับนายหรั่งเนี่ยนะ..!! พวกหล่อนใช้สมองส่วนไหนคิด”

          พี่ท้อแท้ท้าวสะเอวแล้วเริ่มพร่ำบ่น วิญญานสาวน้อยเซร่ามูนเริ่มสิงสถิต หล่อนจึงออกอาการตุ๊ดแต๋วมากกว่าเดิม ก็เลยเสียงแป๋นมากกว่าเดิมตามหลักสถิติ ขณะที่หลายคนควานหาสิ่งของปิดรูหู ผมเกรงว่าจะเสียเวลาที่มีน้อยนิด จึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวตามสมควร คนสวมชุดนอนผงกหัวรับเหมือนเป็นกิ้งก่า

          “อืมมม…ยากเหมือนกัน ขอคิดซักครู่” เจ้าของบ้านแจกจ่ายน้ำอัดลมกระป๋อง แล้วเสร็จจึงนั่งพักอีกครู่ใหญ่ “เล่นลิเกให้เป็นภายในห้าวันคงไม่ไหว แต่ถ้าแค่อยากชนะประชันลิเก พอมีหนทางอยู่เหมือนกัน”

          ราวกับมีแสงสว่างที่ปลายขอบฟ้า หลังพลัดหลงอยู่ในถ้ำที่แสนมืดมิด แค่ได้ยินว่าพอมีหนทาง กำลังใจก็เริ่มตามมาทันตาเห็น ครั้นเห็นลูกศิษย์เริ่มมีเลือดฝาดปรากฎ คุณครูจำเป็นจึงเข้าเนื้อหาโดยพลัน 

          “จะเล่นลิเกให้เก่งต้องหัวไว ทันคน มีความรู้รอบเอวยิ่งเยอะยิ่งดี เป็นการแสดงที่ต้องใช้ไหวพริบเฉพาะตัว ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่พอหรอก ต่อให้เสียงดี หน้าหวาน หรือรำเก่งแค่ไหน คนดูก็ไม่ติดใจเท่าแนวที่พี่อยากสอน”

           พี่ท้อแท้เป็นจริงเป็นจังมากกว่าเดิม เราทุกคนตั้งใจฟังไม่วอกแวก แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนเก่า

          “ทรงเดชต้องออกเป็นคนแรกสุด ทั้งฉายเดี่ยวและร้องประชันกับนายหรั่ง คิดว่าตัวเองไหมมั้ย”

          “ไอ้ไหวน่ะไหวอยู่หรอก แต่เล่นลิเกไม่เป็นเนี่ยสิ” คนพูดเกาหัวแก้เขิน บางครั้งเขาก็เซ็งตัวเองไม่ใช่น้อย “เสียดายนะพี่…ถ้าท้าแข่งแฟนพันธ์แท้บ้านทรายทอง ผมชนะขาดตั้งแต่คำถามชุดแรก”

          “อีบ้า..!! แล้วอีกฝ่ายจะแข่งด้วยเหรอ” พี่ท้อแท้มองค้อนประหลับประเหลือก “เธอน่ะ…ตัวต่อตัวกับนายหรั่งไม่ไหวหรอก หาวิธีประคองให้รอดออกมาเสียก่อน แล้วใช้เพื่อนดึงเข้าเกมส์ที่เราถนัด จากนั้นจึงค่อยตบจูบ ตีก้น ไซร้ซอกคอ อัดถั่วดำ รุมโทรม ขืนใจ หมาหมู่ แมวหมู่ จิ้งจกหมู่ มีไม้เด็ดอะไรงัดออกมาให้หมด ลิเกสนุกตรงไหนรู้มั้ย ตรงที่เราคาดเดาไม่ได้เลย”

          แววตาคนพูดฉายความน่ากลัวปนซาดิสต์ ผมกับอำนาจผวาเข้ากอดกันและกัน นี่เราเล่นลิเกหรือทำสงครามใต้สะดือกันแน่ ทำไมรู้สึกเสียวบั้นท้ายวาบ ๆ ยังไงพิกล มันก็แค่ ออกแขก ร้องรำ รับพวงมาลัย อ้อนแม่ยก แล้วก็ลาโรงไปไม่ใช่เหรอ

          “ไม่ใช่ย่ะ ถ้าลิเกมีแค่ที่นายพูดถึง พี่ถือหางนายหรั่งสามสิบต่อหนึ่งเลย บอกแล้วไงว่ามีวิธีเอาชนะ”

          พี่ท้อแท้ย้ำคำพูดนี้ครั้งที่สอง เพื่อเพิ่มกำลังใจไม่ก็ลดแรงกดดัน จะมีการฝึกสอนลิเกเป็นรายบุคคล รวมทั้งวิธีการตั้งรับโต้กลับที่เหมาะสม คนสอนให้พวกเราเลือกบทกันเอง รายละเอียดการแสดงก็เช่นกัน เจ้าตัวแค่ช่วยประคองและให้แนวทาง

          “พี่ท้อแท้ ผมถามอะไรหน่อย ลิเกตัดสินแพ้ชนะด้วยวิธีไหน”

          ขณะที่พวกเราเดินไปยังลานกว้างหน้าบ้าน เพื่อซ้อมร่ายรำหรืออะไรก็ตามเถอะ ผมแอบถามเรื่องค้างคาใจคำรบสอง คนโดนถามชายตามองพลางอมยิ้มมีเลศนัย ทว่าเจ้าตัวปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา เป็นอันว่าวันนี้ไม่ต้องรู้กัน

            ------------------------------------------------------------

          วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่เพียงไม่นานก็เข้าสู่เย็นวันพุธ การแข่งบาสนัดที่ 4 ได้เสร็จสิ้นลง ทีมเราชนะทีมโคกกระต่ายด้วยคะแนน 123 ต่อ 45 สิ้นสุดการแข่งนักบาสทั้งหมดไม่ยอมกลับบ้าน ยกโขยงไปยังตลาดผ้าเก่าทั้งที่เหงื่อเปียกโซก ค่ำคืนนี้ดาวเด่นของทีมจะขึ้นเวที แข่งขันประชันลิเกเพื่อปลดแอกเพื่อนร่วมห้อง

          ตลาดผ้าเก่าคือชื่อเรียกสถานที่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างตลาดสดเพียง 50 เมตร เป็นซอยแคบ ๆ มีตึกแถวประกบสองฝั่ง หลังคาสังกะสีครอบคลุมจรดท้ายซอย ร้านรวงส่วนใหญ่ล้วนขายผ้าผืน เสื้อผ้า รวมทั้งเครื่องนอนและเครื่องนุ่งห่ม เกิดเป็นชุมชนชาวจีนมาแต่เนิ่นนาน ตึกแถวบางส่วนสร้างใหม่สวยงามกว่าเดิม ติดประตูยืดไม่ก็ประตูม้วนควบคุมด้วยไฟฟ้า

          ทว่าส่วนใหญ่ยังเป็นตึกไม้สองชั้นอยู่ ประตูบานเฟี้ยมไม้เก่าติดกระจกสี โถงกลางทั้งกว้าง ยาว และลึก มีเสากลมมันวับรองรับน้ำหนักคาน ตู้กระจกโบราณขนานไปกับกำแพง กลางโถงตั้งชั้นเหล็กเพื่อวางสินค้า เว้นทางเดินแคบ ๆ เดินสวนไม่ได้ กระจกแปดเหลี่ยมด้านบนประตูหรือทางสามแพร่ง ตี่จูเอี๋ยตั้งอยู่กลางบ้านใกล้โต๊ะเก็บเงิน ลูกสาวขาวหมวยแต่ไม่สวยเพราะหน้าจืด ลูกชายคนรองติดเกมส์ไม่ยอมช่วยงาน ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้หมดทุกหลัง

           ไม่มีตลาดผ้าใหม่หรอกครับ ไม่รู้ใครตั้งชื่อแต่เรียกกันแบบนี้ ลึกเข้าไปฝั่งขวามือเป็นลานกว้าง ใช้จอดรถสมาชิกทุกคันในตลาดผ้า ลานดังกล่าวยาวประมาณ 60 เมตร เชื่อมต่อกับถนนของซอยถัดไป ตรงนั้นเองคือที่ตั้งของวิกลิเก

“…ปลาดุก กระดุ๊ก กระดิ๊ก เอามาผัดพริกอร่อยดีเฮ้ สุรานั้นแปลว่าเหล้า กินแล้วเมาก็เดินโซเซ

ฮัลเลวังกา ถ้าแขกไม่มา ลิเกก็ไม่มี เฮ้ฮัดช่า..!! ลิเกมาแล้วจ้า…”

          ลิเกคณะลุงมาดได้เริ่มทำการโหมโรง ด้วยการออกแขกโดยผู้แสดงตัวตลก ซึ่งมีความสุงใกล้เคียงกับอำนาจ ใช้คำพูดคนแขก สวมเสื้อผ้าคนแขก แต่งหน้าก็เหมือนคนแขก เพื่อเป็นการคำนับครู อวยพรผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ รวมทั้งแนะนำเรื่อง

          “และในค่ำคืนนี้…ทุกคนจะได้รับชม ลิเกเด็กยุคใหม่เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพิพากษานางวันทอง ทอง ทอง…”

          ออกแขกเพียงไม่นานก็ตัดเข้าเนื้อเรื่อง ต้องบอกกันก่อนนี่คือกรณีพิเศษ วันนี้มีผู้ว่าจ้างให้เล่นเรื่องเกียรติศักดิ์ทหารเสือ แต่จะเล่นประมาณสองทุ่มสิ้นสุดประมาณเที่ยงคืน ช่วงเวลาตั้งแต่หนึ่งทุ่มและไปเรื่อย ๆ จะเป็นลิเกอุ่นเครื่องระหว่าง “หรั่งหัวแดง” ปะทะ “เจ้าชายหมีน้อย” แฟนคลับขาประจำส่วนใหญ่ยังไม่มา แต่มีแฟนคลับขาจรแน่นขนัดทั่วอาณาเขต

          การแสดงฉากแรกสุดเกิดขึ้นแล้ว ด้วยการรำออกตัวประกอบเพลงเชิด ของลูกชายอดีตพระเอกลิเกชื่อดัง พร้อมกันกับเสียงกรี๊ดดังกระหึ่ม จากสาวแก่แม่ม่ายและสาวเอ๊าะวัยรุ่น พี่หรั่งไม่ทันร่ายรำจบเพลง ก็ต้องกุลีกุจอรับพวงมาลัยเต็มคอ

          “น่าอิจฉาจังวุ้ย รู้งี้ให้แม่เตรียมไว้บ้างก็ดี”

          นายอำนาจเพื่อนรักสี่ตาเริ่มพร่ำบ่น เจ้าตัวนั่งรอแต่งหน้าทาปากผัดแป้งครบสูตร ผมมองด้านหน้าเวทีแล้วพอเข้าใจ บรรดาแม่ยกที่เป็นคนต้นเสียงนั่นก็คือ เจ๊เอียด พี่แอ๋ว และน้องจีจ้า แฟนคลับขาประจำของพี่หรั่ง

          “เอาน่า…เดี๋ยวถึงตาเราขึ้นเวที อี๊จะไปตะโกนเย้ว ๆ ให้เอง”

          เสียงปลอบใจดังมาจากด้านหน้าทุกคน หญิงผมยาวกลางหลังเจ้าของคำพูด เธอคือน้าสาวคนสุดท้องของกระผม อี๊บ๊วยบรรจงเขียนคิ้วให้กับทรงเดช ใบหน้ายิ้มแย้มตั้งใจทำงานในที่แสงน้อย พ่อแม่ชิดชนกติดขายของอยู่ที่ร้าน แม่ทรงเดชไปสัมนาที่เพชรบุรี พ่อแม่อำนาจติดเวรดึกที่โรงพยาบาล อี๊บ๊วยจึงต้องทำหน้าที่ช่างแต่งหน้า แผนกเสื้อผ้า แผนกหุงหาอาหาร รวมทั้งผู้ปกครองพวกเราทุกคน ร้านจักรยานอาม่าปิดตัวเร็วกว่าทุกวัน

          ถัดจากทรงเดชจึงเป็นคิวของชิดชนก แม่สาวผมม้ายักคิ้วหลิ่วตาสนุกสนาน ส่วนอำนาจก็แหย่เพื่อนเหมือนอยากโดนตบ นี่คืองานจับปูใส่กระด้งของจริง สงสารน้าสาวผู้ไม่เคยแต่งหน้าทำผม ต้องมาให้บริการกับบรรดาลิงทะโมนทั้งหลาย ผมจัดการทุกอย่างเสร็จมาจากที่บ้าน จึงพร้อมเป็นคนแรกทั้งที่เล่นเป็นคนสุดท้าย ก็เลยผลาญเวลาทิ้งด้วยการดูลิเก

           คืนนี้พี่หรั่งแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ เสื้อคอกว้างแขนสั้นสีฟ้าปักเพชร สนับหรือกางเกงครึ่งน่องสีฟ้าปักเพชร ผ้านุ่งสำเร็จรูปสีฟ้าก็ปักเพชร ถุงเท้าสีขาวยาวถึงหัวเข่า (ปักเพชรไม่ได้) เครื่องประดับทั้งตัวทำจากเพชรเทียม ประกอบไปด้วย เกี้ยว ปิ่น สังเวียน หัวมอญ ขนนก ต่างหู สร้อยคอ เข็มขัด กำไลมือ กำไลเท้า แหวน ขนาดดอกไม้ก็ยังเป็นเพชรเลยนะเออ

“…ฉันคิดว่าเธอเป็นหงส์ กลับทรนงเป็นห่าน        หวังให้เธออยู่วิมาน แต่เธอเลือกบ้านหลังน้อย

เพิ่งรู้ธาตุแท้เป็นทุน เธอแค่สกุลเด็กวัด                  จะจับมาสอนมาหัด รังจะยิ่งดัดยิ่งด้อย

ฉันคิดว่าเธอเป็นเพชร ที่แท้ก็เศษของพลอย          เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่งงง….”

          ขอท้าวความกันก่อนซักนิดนึง ลิเกเรื่องนี้เป็นรักสามเส้าจบลงทั้งน้ำตา เริ่มต้นด้วยพระไวยอยากให้แม่กลับบ้าน จึงลักพาตัวนางวันทองมาให้ขุนแผน (ซึ่งเป็นพ่อ) ขุนช้างโกรธจัดรีบไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา มีการไต่สวนคดีความ โดยให้เจ้าตัวเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางวันทองเกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงว่าเป็นหญิงสองใจ…แล้วให้นำตัวไปประหาร

          ฉากที่กำลังเล่นคือขุนแผนร้องคร่ำคราญ ทั้งรักทั้งเกลียดนางวันทอง รวมทั้งเสียใจที่ภรรเมียจะโดนประหาร นักแสดงบนเวทีตีบทแตกละเอียด ทั่วทั้งลานกว้างมีแต่เสียงสะอึกสะอื้น ผมขยี้หัวด้วยความรู้สึกเซ็งเป็ด ผู้ชายนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

          พลันหันไปมองผู้อยู่เบื้องหลังฉาก เพื่อพบกับนักดนตรีรับเชิญกิตติมศักดิ์ ลุงพินกำลังตีระนาด ส่วนลุงมาดกำลังตีตะโพน ทั้งจังหวะ ลีลา ท่วงท่า และความหนักหน่วง รวมทั้งความสนุกสนาน จะดูยังไงก็ไม่เป็นรองใครหน้าไหน

          “แย่แล้ว แย่แล้ว.!! พี่ท้อแท้ไลน์มาบอกว่า คืนนี้ต้องไปดูควายเผือกตกลูก”

          ชิดชนกเป็นผู้นำข่าวร้ายมากบอก เธอแต่งหน้าทาปากเสร็จเพียงครึ่งเดียว สีหน้าแสดงความกังวลของคุณเธอ แลดูคล้ายตัวตลกโบโซ่ก็ไม่ปาน นอกจากคู่แข่งคนเก่งบนเวที จะมีความสามารถจัดจ้านแล้ว ความหวังสุดท้ายของเราก็เกิดเบี้ยวนัด อำเภอนี้ดันมีควายเผือกหลงมาจากป่า กระทรวงเกษตรให้คอยดูแลกระทั่งคลอดลูก แล้วพวกเขาจะมารับไปอยู่ห้วยขาแข้ง

          “ไม่เป็นไรมั้ง เราก็เล่นไปตามที่ซ้อมนั่นแหละ พี่ท้อแท้ขึ้นเวทีไม่ได้นี่นา” ถึงอย่างไรผมก็ต้องปลอบประโลม

          “เรื่องนั้นเราเข้าใจ แต่…พวกเรายังไม่” ชิดชนกอ้ำอึ้งด้วยเป็นหญิง

          “ไว้ถึงเวลาค่อยหาทางแก้ไข พี่ท้อแท้อาจมาทันก็ได้นะนก”

          ทั้งที่ตนเองก็ไม่รู้อะไรนัก แต่ผมไม่อยากให้เธอคิดมาก ชิดชนกเป็นกำลังสำคัญในการทำศึก รวมทั้งกำลังใจส่วนตัวเด็กหนุ่มคนนี้ ถ้าเธอจ๋อยไปผมก็คงต้องจ๋อยตาม นังเผือกนะนังเผือก ดั้นน…อยากคลอดลูกหน้าตาเฉย อะไรมันจะควายปานนี้

          “งั้นก็ได้ แล้วเราจะคอยดูฝีมือ แต่งหน้าต่อดีกว่า”

          สาวน้อยดวงตากลมโตตัดสินใจง่ายดาย คงเพราะติดพันเรื่องความสวยงามนั่นเอง ทิ้งปัญหาทั้งหลายทั้งปวงออกจากอ้อมแขน เธอจะขึ้นบนเวทีด้วยคิ้วข้างเดียวไม่ได้หรอก ลูกสาวเฮียอ๋าก้าวเดินเข้าหลังเวที ผมจึงหันไปจ้องมองด้านหน้าเวที

          การแสดงทั้งหมดแบ่งออกเป็น 6 ฉาก เริ่มจากฉายเดี่ยวพี่หรั่ง พี่หรั่งเล่นกับผู้ช่วย ฉายเดี่ยวทรงเดช ทรงเดชปะทะพี่หรั่ง ฉายเดี่ยวของผู้ช่วยทรงเดช (ซึ่งก็คือ ผม อำนาจ และชิดชนก) ปิดท้ายด้วยทุกคนเข้าฉากร่วมกัน การแสดงชุดแรกผ่านพ้นไป พี่หรั่งยังอยู่ที่เดิมเพราะต้องเข้าฉากต่อไป และนับต่อจากวินาทีนี้ก็คือ…ฉากเปิดตัวของผู้ช่วยสาวสวยเสียงหวาน

“…เราจากกันแต่ตัว อย่าให้ความชั่วติดตน      ให้รักเราขาดเหมือนหยาดฝน เมื่อตอนที่หล่นจากฟ้า

พี่เป็นเกือกทองรองพระบาท ขององค์พระราชบุตร     ให้ทรงศักดิ์รักที่สุด พี่อย่าได้หยุดรักษา

ถึงแม้จะรักแสนรัก น้องคงต้องตัดใจลา          เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่ง เต๊ง เตง เต่งงง….”

          สาวน้อยที่กำลังร่ายรำอยู่หน้าเวที มีชื่อในการแสดงว่า “สุพัตรา ราชนารี” เป็นน้องสาวคนรองของสมมาตร เป็นลูกสาวคนโตของลุงมาด เป็นน้องร้องวงลูกทุ่งโรงเรียนบางบาล จังหวัดอยุธยา เป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งนำหัวขบวน และเป็นนางเอกลิเกดาวรุ่งอยุธยา เธอเรียนหนังสือชั้นม.4 เช่นเดียวกับพวกเรา รู้จักกันเมื่อครู่นี้ก่อนการแสดง สุพัตราหรือพัต ตัวเล็กกว่าและผอมกว่าชิดชนก ทว่าเธอมีแก้วเสียงอันทรงพลัง ลูกคอยี่สิบเอ็ดชั้น ลึ้กซึ้ง กินใจ และโหยหา

          “ชาตินี้วาสนาของน้องน้อยนิด ขอกล่าวลาพี่ขุนแผนเสียตรงนี้ ชาติหน้ามีจริงฉันใด…คงได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันอีกครา น้องวันทองสัญญาต่อหน้าไฟ จะรักแค่พี่ขุนแผนคนเดียวตลอดกาล”

          นางเอกดาวรุ่งนัยน์ตาโศกแสดงบทบาท เธอกำลังจะโดนประหารเพราะความโลเล ฝ่ายพระเอกทั้งที่ยังรักอาลัยและโหยหา ทว่ากำแพงแห่งความแค้นขวางกั้นคนทั้งคู่ เขาจึงได้กล่าวเย้ยหยันทั้งที่หัวใจแตกสลาย

          “เธอไปจากบ้านฉันเสียดีกว่า จะไปนรกขุมไหนก็ตามเถิด” นักแสดงชายหันรีหันขวาง แววตาเผยความแค้นใจละคนเสียใจ “ไอ้หลัก ไอ้แหลม หายหัวไปไหนกันหมดวะ พวกเอ็งรีบเอาเกลือมาสาดหน้าบ้านข้าที”

          “พี่ขุนแผน…!! ทำไมพี่ถึงได้กล่าวเยี่ยงนี้ น้องวันทองเสียใจ”

          ระนาดเอกรัวถี่ยิบตามอารมณ์แค้น พลันเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าอาดูรผิดหวัง นางวันทองทั้งเสียใจทั้งเจ็บใจ ที่ผัวรักพูดใส่เหมือคนเกลียดกัน เธอจึงวิ่งหนีตั้งใจกระโดดน้ำตาย ทว่าขุนแผนตามมากระทั่งทันกัน จึงตรงเข้าขัดขวางคนรักคนแรกของเขา ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ที่ริมตลิ่ง กระทั่งฝ่ายสาวเริ่มหมดฤทธิ์เดช เสียงดนตรีเปลี่ยนท่วงทำนองอีกครั้ง

“…ใช่ฟ้าบันดาล ให้เธอเป็นคู่ของพี่ ฟ้าสร้างให้น้องพี่นี้ รักมีเพียงชั่วหวานชื่น

พี่แสนรัก แสนห่วงและหวงทุกคืน ขอให้รักรวยรื่น เหมือนรักพี่เถิดดวงใจ…”

          พี่หรั่งเริ่มครวญบทเพลง “ผู้เสียสละ” ของสายัณห์ สัญญา ถือเป็นไฮไลท์สำคัญในการแสดง ผมเหลียวมองเพื่อนรักโดยฉับพลัน ทรงเดชกำลังยืนนิ่งจ้องมองแต่ฝากระดาน เหมือนว่าเขาไม่มีความกดดันแม้นิดเดียว ทุกคนเพิ่งมาทราบในภายหลัง ว่าทรงเดชกำลังท่องบทเพราะจำไม่ได้ ส่วนเรื่องความกลัวน่ะเหรอ…ไม่ต่างไปจากผมหรืออำนาจหร๊อกก…!!

          การแสดงบนเวทีใกล้สิ้นสุด ผู้ช่วยพี่หรั่งทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ เธอสวมเสื้อคอกว้างแขนยาวสีเทาเข้ม นุ่งกระโปรงยาวลายเดียวกัน ทั้งยังประดับด้วยเพชรรอบตัว เครื่องประดับทำจากเพชรเทียมเช่นกัน ต่างหู สร้อยคอ กำไลมือ แหวน มงกุฎ รวมทั้งดอกไม้และคาดหน้า สาวน้อยคนนี้ผิวเนียนละเอียด ผมยาวสลวยสีดำขลับ ใบหน้าใสปิ๊งตามวัยหญิงขบเผาะ

          นักแสดงคิวต่อไปเตรียมขึ้นเวที สลับกับคนที่เพิ่งเล่นเสร็จสิ้น ขณะเดินสวนสุพัตรายิ้มให้เพื่อนผม เจ้าตัวไม่ได้สนใจเพราะกำลังจะออกแสดง พี่หรั่งแยกตัวไปยืนดูที่ขอบเวที นางเอกของเขาก็เลยมายืนใกล้กันกับผม

          ระนาดเอกรัวยาวเป็นจังหวะ ตัดเสียงตะโพนตีกระหน่ำปลุกความเร้าใจ กลองรำมะนาดังกึกก้องกังวานไกล ฆ้องวงใหญ่ตีผสมฆ้องวงเล็ก ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง เริ่มเบาเสียงลง เปิดโอกาสลิเกหน้าใหม่ได้ร้องรำ

          “ผมเป็นขุนแผนแสนสะท้าน บ้านอยู่ชัยบาดาลจิ้มจุ่ม เดินทางตามหาแม่นมนุ่ม หวังชวนไปจิ้มจุ่มสองต่อสอง”

         “ไม่ใช่มั้ง เอ็งเป็นขุนช้างโว้ยไอ้ทิด..!!”

          ทรงเดชร้องกลอนบทแรกไม่ทันจบ พลันมีคนดูตะโกนใส่จากขอบเวที เขาคนนั้นก็คือพี่อุ้มรองกับตันทีมบาส คิดว่านัดแนะกันมาก่อนแล้ว เสียงตะโพนตบมุขทันท่วงที พร้อมเสียงหัวเราะจากกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย

         ยอดนักบาสก้าวข้ามเขตแดนไปแล้ว เป็นกลเม็ดที่พี่ท้อแท้ช่วยแนะนำ ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากคนดู ทรงเดชแต่งลิเกเต็มยศเหมือนพี่หรั่ง สีหน้าครุ่นคิดว่าขาดอะไรหรือเปล่า พี่อุ้มเขวี้ยงบางอย่างขึ้นบนเวที สิ่งนั้นก็คือวิกหัวล้านทุ่งหมาหลง นักแสดงรีบคว้ามาสวมพร้อมโปรยยิ้ม

“…ตัวเราขุนช้าง อ้างว้างหนักหนา    เมียรักแก้วตา นั้นลาจากไป

ยิ่งคิดยิ่งแค้น ขุนแผนจันไร        จักฆ่าให้ตาย จับไปนอนโลง…”

          พ่อขุนช้างกระทืบเท้าชี้หน้าคนดู ตั้งวงแขนร่ายรำไปตามบทกลอน อาจจะดูขัดเขินไปบ้าง เหมือนท่องอาขยานไปนิด แต่ก็พอเอาตัวรอดได้อยู่ คงเพราะแววตาและท่วงท่าที่ปรากฎ แสดงความคับแค้นข้องใจถึงที่สุด นี่คือประโยชน์ของละครน้ำเน่า

“…ถ้าสิเปรียบชีวิตของอ้ายกะซำขุนซ้าง มีแต่โต๋กับใจฮ่างฮ่างที่มันฮักจริง

กะบ่คือขุนแผนคนหล่อ คนที่บ่พอ…สะหล่อเรื่องผู้หญิง ถ้าถามถึงความฮักจริงได้ครึ่งอ้ายบ่…”

          ทรงเดชเริ่มปล่อยไอทัมลับชิ้นแรก นั่นก็คือบทเพลง “ขุนช้างฮ้างฮัก” ของ บอย พนมไพร น้ำเสียงเหน่อ ๆ จากเด็กหนุ่มผู้บ้าพลัง สะกดคนดูหน้าเวทีได้อย่างอยู่หมัด ว่ากันว่า…ลิเกส่วนใหญ่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ดี แต่คงไม่ดีไปกว่านักร้องลูกทุ่งมืออาชีพ ถ้าพี่หรั่งมีลูกคอสุงเท่าแฟลตปลาทอง เพื่อนผมก็มีลูกคอสุงเท่าตึกมาลีนนท์

“…ขุนซ้าง…จังอ้ายกะมีหัวใจ อ้ายน้ำตาไหลยามถึกเจ้าถิ่มลงคอ

    ขุนซ้าง…บ่เคยทอดทิ้งวันทอง แล้วขุนแผนของน้องเฮ็ดได้คืออ้ายอยู่บ่…”

          บรรดาแม่ยกน้อยใหญ่ของพี่หรั่ง นั่งอ้าปากค้างน้ำลายไหลย้อยโดยถ้วนหน้า ถ้าทุกคนไม่ถูกขอร้องให้นั่งอย่างเดียว บรรดาแม่ ๆ คงรีบซื้อพวงมาลัยมาถวาย เพราะที่ต้นคอพ่อขุนช้างยอดนักกีฬา ไม่มีอะไรเลยนอกจากสายสิญจน์เส้นเดียว

          “ทรงเดชร้องเพลงเพราะมาก ลีลาท่าทางเหมือนมืออาชีพเลย ถามจริง…ไม่เคยเล่นลิเกจริงอ่ะ”

          นางเอกดาวรุ่งเริ่มบทสนทนาครั้งแรก เธอมองมาที่ผมสลับทรงเดชที่อยู่หน้าฉาก แววตาและน้ำเสียงเป็นธรรมชาติที่สุด คนได้ยินพลอยโล่งอกโล่งใจทันควัน ผมค่อนข้างหวาดเกรงคณะลิเกทุกคน เกรงว่าพวกเขาจะแอบเข้าพี่หรั่ง

          “ไม่เคยเล่นจริง ๆ สิ เราเคยดูลิเกแค่ไม่กี่ครั้งเอง” ผมตอบกลับ

          “จริงดิ แล้วปรกติทำอะไรกัน” สุพัตราชวนคุยต่อ

          “เอ่อ…ทรงเดชเป็นนักบาส ส่วนเราเป็นหัวหน้าห้อง อำนาจเป็นเด็กเรียน และชิดชนกเป็น…เป็นลูกสาวเฮียอ๋า”

          ในเมื่ออีกฝ่ายยื่นไมตรีจิตมาให้ ผมจึงน้อมรับและแนะนำเพื่อนคนอื่น สาวน้อยพยักหน้าจ้องมองตามมือที่ชี้ แววตาเธอดูแปลกใจทว่าเก็บอาการได้ดี ทรงเดชคร่ำครวญเพลงทิ่มแทงกระดูกดำ สะกดคนดูด้วยความในใจผู้โดนแย่งแฟน

          “ทรงเดชสุดยอดเลย เหมือนเขาน้ำตาคลอเบ้าด้วย นี่นายออกต่อเลยหรือเปล่า ไหวมั้ยเนี่ย”

          นางเอกดาวรุ่งชวนคุยไม่หยุด เธอน่าจะพูดเก่งเหมือนร้องให้หรือร่ายรำ คนคุยด้วยคิดมุขได้กระทันหัน

          “เราออกคนสุดท้าย แต่เชื่อเถอะ…นอกจากกระหรี่พับกับนมสดแล้ว ก็มีเรานี่แหละของดีจังหวัด”

         “แหวะ.!!” ลูกสาวลุงมาดแลบลิ้นใส่ เหมือนว่าเธอนึกหมั่นใส่อีกฝ่าย จึงอยากเอาคืนซักดอก “เป็นผู้ชายที่เจียมเนื้อเจียมตัวมว๊ากก…ประทานโทษนะคะคุณของดีจังหวัด ทำไมคุณถึงได้มือสั่นขาสั่นขนาดนี้”

         สุพัตราค่อนข้างเป็นกันเอง ทั้งยังสนิทกับทุกคนได้เป็นอย่างดี คงเพราะเรียนรุ่นเดียวกันล่ะมั้ง ความเป็นเพื่อนเลยสื่อถึงกันง่ายหน่อย ทว่าเธอดันมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ที่ผมต้องมายืนหัวโด่เพียงลำพัง เพราะร่างกายสั่นไม่ยอมหยุดเสียที

          “ต้องขออภัยในบางลีลา พอดีว่าเราหักดิบเลิกยาดม อีกซักพักคงดีขึ้นแหละ”

          “หักดิบเลิกยาดม !! มีงี้ด้วย”

          นางเอกลิเกหัวเราะเสียงดังไม่อายใคร ดวงตาหยี อ้าปากกว้าง ตัวโยนไปมา ผมยิ้มมุมปากทว่าน้ำตาไหลย้อย มีคนขำมุขเราเป็นครั้งที่สองในรอบห้าปี ถือเป็นฤกษ์ดีก่อนทำศึกปิดท้าย ขอบคุณนะสุพัตรา ขอบคุณจากใจจริง

          หลังได้หัวเราะตัวงอเป็นกุ้งแชบ๊วย สุพัตราหรือพัตจึงเริ่มกลับคืนปรกติ เธอจึงขอตัวแล้วเดินไปคุยกับชิดชนก เรื่องจุ๊กจิ๊กจ๊อกแจ๊กบนเวทีทำนองนี้ นางเอกลิเกสุงประมาณ 160 เซนติเมตร ยืนเทียบกันเตี้ยกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อย สองสาวสุมหัวคุยชนิดออกรสชาติ ไม่ทราบว่าสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน แอบมองอี๊บ๊วยแต่งหน้าให้อำนาจ รายนี้ใกล้แล้วเสร็จในอีกไม่ช้า

          แต่ที่แสดงเสร็จแล้วนั่นคือทรงเดช โชว์เดี่ยวของเขาได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้อง ทว่าเด็กหนุ่มยังคงยืนหล่ออยู่ที่เก่า สายตาจับจ้องไปยังมุมซ้ายโรงลิเก พี่หรั่งเดินหน้าถมึงตึงตรงเข้าใส่ พร้อมร่ายรำอ่อนช้อยงดงามตามตำรา จากนี้ไปจะเป็นการดวลกันตัวต่อตัว ผมเห็นแววตาพี่แกแล้วเสียววาบ เพื่อนเราจะต้องเจออะไรบ้าง แล้วเขาจะรับมือไหวหรือเปล่า

          กลองรำมะนารวมทั้งกลองยาวกำลังตีรัว เข้าสู่ท่วงทำนองออกศึก คึกคัก ตื่นเต้น เร้าใจ ฆ้องวงใหญ่ตีล้อกับฆ้องวงเล็ก ตามติดด้วยตะโพนมอญเคียงคู่ปี่ชวา เวทีลิเกขนาดกลางที่ตลาดผ้าเก่า ทุกตารางนิ้วร้อนระอุราวกับเตาเผาถ่าน

          “อ้าวววว…. เฮ้ !!”

                   ------------------------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา