ห้องสามเดอะซีรี่ย์
9.0
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
26 ตอน
0 วิจารณ์
25.47K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) นุ้ยกับนิ้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนุ้ยกับนิ้ง
“ไม่ไหวแล้วโว้ย ว๊ากกก…!!”
ทรงเดชตะโกนเสียงดังพลางดันตัวลุกขึ้นยืน ผมเผ้ายุ่งเหยิงน้ำลายฟุมปากราวคนบ้า จากนั้นจึงโกยอ้าวหายวับจากจอเรดาร์ มวลสารหนัก 85 กิโลกรัมพุ่งชนทุกอย่างล้มระเนระนาด รวมทั้งเพื่อนร่วมห้องที่ยืนเซ่อซ่าขวางทาง
“จะรีบไปไหนของมันฟระ สาธุ…ขอให้โดนต่อยตาปิด”
มนต์ชัยบ่นอุบขณะล้มกลิ้งอยู่บนพื้นห้อง เขาเพิ่งหายเจ็บโคนขาหนีบและกลับมาเรียน มาบัดนี้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เมื่อโดนคนสติแตกพุ่งชนเข้าเต็มแรง เด็กหนุ่มเอวหนาตาตี่ตั้งโต๊ะเก้าอี้เหมือนเก่า พลางเหลียวมองต้นเหตุด้วยแววตาแค้นเคือง ตรงนั้นเองมีนักเรียนชายหญิงสองคน ยืนโต้เถียงกันชนิดเอาเป็นเอาตาย
“ทำป๊อปคอร์นกระโดด คนดูต้องชอบแน่”
สาวน้อยนิตยาเสนอความเห็นงานวิทยาศาตร์ เธอยืนหน้างุ้มฝั่งซ้ายมือของวงสนทนา
“คนดูชอบ แล้วอาจารย์จะชอบไหม เธออย่าลืมสิยายหัวฟู ว่าเราจะต้องได้อันดับหนึ่งของโรงเรียนเท่านั้น คิดสิคิด ทำข้าวโพดคั่วบ้าบออะไรเนี่ย คงชนะพวกรุ่นพี่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มอำนาจโต้เถียงยาวเหยียดตามนิสัย เขายืนหน้ามุ่ยฝั่งขวามือของวงสนทนา
“น่ารักดีออก อาจได้รางวัลยอมนิยมก็ได้” สาวผมหยักโศกคิดในแง่ดี
“แต่ไม่ได้อันดับหนึ่ง โดนหักคะแนนหมดทั้งห้อง” อำนาจประชดกลับ เขาขยับแว่นตาก่อนพูดต่อ “มันต้องเป็นอะไรที่อาจารย์เห็นแล้วตะลึง อึ้ง ทึ่ง เสียว เช่น…ดรัมเบลลอยน้ำได้”
“ไม่เอารถถังลอยน้ำเลยล่ะ เอาที่มันทำได้สิพ่อ คิดสิคิด”
สาวน้อยดวงตาซุกซนประชดกลับ ทำเอาอีกฝ่ายโมโหควันออกหู วันศุกร์กลางเดือนธันวาคมหลังเลิกเรียน พวกเราทุกคนสมควรคิดถึงการพักผ่อน ถ้าไม่บังเอิญเกิดคดีรอยแดงที่ต้นคอ ทำให้โดนลงโทษหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ เว้นเสียแต่ชนะเลิศโครงการวิทยาศาสตร์ระดับโรงเรียน ถามความเห็นส่วนตัวของผม คงไม่ต่างไปจากเพื่อนสาวคนนี้
“ยังไงก็ไม่ชนะหรอก ทำสิ่งที่อยากทำดีกว่า” นิตยายืนยันความเห็น
“ไม่คิดว่า…เรากำลังอยากทำเรื่องนี้บ้างเหรอ” อำนาจก็ยืนยันความเห็นเช่นกัน
“ดรัมเบลประเทศไหนลอยน้ำได้ ป๊อปคอร์นกระโดดดีกว่า”
“ได้อายคนทั้งประเทศแย่เลย ดรัมเบลลอยน้ำเหอะ หรือนายว่ายังไง ?”
คนเรียนเก่งที่สุดได้หันหน้ามามอง พร้อมคู่อริที่มีงานอดิเรกคือย้ายโรงเรียน คนกลางอย่างผมถึงกับผงะพูดไม่ออก ตัวช่วยอย่างทรงเดชก็ดันไม่อยู่เสียแล้ว ป๊อปคอร์นกระโดดน่ารักเหมือนคำพูดนิตยา แต่จะแพ้และโดนหักคะแนนเหมือนคำพูดอำนาจ ครั้นให้ทำตามความคิดหมอนั่น กระทั่งเรียนจบม.ปลายจะเสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้
“แบบนี้ดีไหม” ผมปาดเหงื่อขณะพูด “กลับไปคิดทบทวนอีกซักคืน พรุ่งนี้เย็นค่อยประชุมผ่านไลน์แล้วกัน วันอาทิตย์ค่อยมาเจอที่โรงเรียน จะได้แบ่งงานไม่งั้นทำไม่ทันแน่”
“ก็ดี งั้นเรากลับก่อนนะ พ่อรออยู่”
ผู้เสนอป๊อปคอร์นกระโดดตอบตกลง เธอเดินจากไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ความคิดผมนิตยาไม่มีปัญหาอะไร เธอก็แค่เสนอความเห็นอย่างเด็กผู้หญิง ผู้เสนอดรัมเบลลอยน้ำต่างหากตัวปัญหา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับอีกฝ่าย
“ความคิดนายเข้าท่าดี แต่มันจะทำไม่ทันเนี่ยสิ ป๊อปคอร์นกระโดดเหอะ”
ผมเริ่มเจรจาอย่างเป็นทางการกับเพื่อน เจ้าตัวยักไหล่ตอบกลับชนิดไม่แคร์สื่อ
“ถ้าเป็นความคิดของนายหรือทรงเดชเรายังไงก็ได้ แต่ถ้าของยายหัวฟูไม่มีทาง”
เด็กหนุ่มมีสิวประปรายเดินจากไปบ้าง แต่ต้องคอยหยุดจามฮัดเช้ยเพราะไม่สบาย ที่อำนาจจ้องขัดแข้งขัดขานิตยานั้น คงมาจากวันที่เราไปป่วนสถานีอนามัย ขณะที่เขาเดินยิ้มมุมปากเข้าหาชิดชนก หวังทำให้ติดอีสุกอีใสจากอาจารย์สมพิศ นิตยาที่ได้วิ่งหนีไปเพราะความกลัว ได้ย้อนกลับมาพร้อมสายดับเพลิงขนาดมาตราฐาน อำนาจจึงโดนไอเท็มลับตัวเองเล่นงาน สุดท้ายเป็นหวัดงอมแงมมาจนถึงทุกวันนี้
ความวุ่นวายของวันสิ้นสุดลงพร้อมเวลา นักเรียนทุกคนทยอยเดินทางกลับบ้าน แม่ของอำนาจมารับไปบ้านลุง ผมกลับบ้านคนเดียวเพราะทรงเดชต้องซ้อมบาส พ่อของนิตยาก็มารับไปกรุงเทพ เพื่อนสาวอีกคนจึงกลับบ้านคนเดียวเช่นกัน
“นก…กลับบ้านเถอะ วันนี้ดูเงียบไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
ผมหันไปมองนักเรียนคนสุดท้ายในห้อง ชิดชนกเข้าประชุมร่วมกับเพื่อนทุกคน ทว่าเงียบกริบไม่พูดไม่จาซักประโยค กระทั่งผมคนนี้ยังลืมเธอคนนี้ได้ ต้องมีอะไรอยู่ในใจแน่
“เปล่า…ไม่ได้เป็นอะไร” อีกฝ่ายปฎิเสธ “เรากลับด้วยนะ ไม่ได้เอาจักรยานมา”
สาวน้อยหยิบเป้สีดำขึ้นมาสะพาย แล้วเดินจากไปทั้งที่คิ้วพันกันยุ่งเหยิง ผมต้องปิดประตูลงกลอนห้องเรียนทั้งหมด แล้วค่อยวิ่งตามกระทั่งทันกันที่ชั้นล่าง สาวน้อยตากลมยืนรอหน้าห้องเรียนวิชาเคมี
“เพียงตาไม่มาเรียนสองวันแล้ว เราเป็นห่วงเธอจังเลย”
ชิดชนกเผยความในใจที่เคยปกปิด วันนี้ทั้งวันเธอเอาแต่ชะเง้อมองหาเพื่อน แววตาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ ทำให้ผมอดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ จึงสรรหาคำพูดเท่ห์ ๆ เพื่อปลอบใจหญิง
“โดนเอเลี่ยนจับตัวไปแล้วมั้ง” นี่คือคำพูดสุดเท่ห์แล้วสินะ
“บ้า !” แม่สาวผมม้าค้อนขวับเข้าให้ “นายน่ะ…อย่าเอาแต่พูดเล่นสิ”
“ไม่ได้พูดเล่น แค่อยากให้นกยิ้มบ้าง มุขแป๊กซะงั้น เซ็งห่าน”
ผมและเธอต่างก้าวเดินไปตามเส้นทาง เป็นครั้งแรกที่พวกเรากลับบ้านพร้อมกัน แล้วความคิดในหัวก็เกิดคำถาม ว่าเส้นทางสองเราจะเคียงคู่กันตลอดไปไหม ก่อนที่ผมจะออกทะเลมากกว่านี้ คนที่เดินเคียงคู่ได้หันมาสบตาด้วย
“เพียงตาเป็นคนแข็งแรง ขนาดวันแดงเดือดยังลงแปลงผักได้ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่”
“งั้นเอาแบบนี้” ผมตัดสินใจปุบปับ “พรุ่งนี้สิบโมงเช้า พวกเราไปเยี่ยมเพียงตากัน”
“แต่เราไม่รู้จักบ้านเพียงตา ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็สายไม่ว่าง” ชิดชนกส่ายหัว
“เราก็ไม่รู้จัก แต่อาจารย์สมพิศรู้จัก และเราเป็นหัวหน้าห้องสาม…ไม่ใช่เหรอ”
คนพูดฉีกยิ้มที่คิดว่าหล่อที่สุด ชิดชนกพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มหวานกลับ พวกเราเลี้ยวซ้ายเข้าตัวอาคารสองทันที ปฎิบัติการขโมยข้อมูลเป็นไปอย่างเงียบกริบ ผมได้ที่อยู่เพียงตาจากโต๊ะอาจารย์สมพิศ จึงรีบสะกิดไหล่ชิดชนกผู้คอยดูต้นทาง
---------------------------------------------
เที่ยงตรงวันเสาร์อากาศร้อนจนถึงร้อนที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าที่เคยเขียวขจีในช่วงฤดูฝน เริ่มเหี่ยวเฉาลงเนื่องจากสู้แดดไม่ไหว รถตู้สายกรุงเทพ-นครนายกคันหนึ่ง จอดนิ่งหน้าวัดคลองยางเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ผม ทรงเดช และชิดชนก เดินหน้ามุ่ยฝ่าไอแดดกลางถนนดินลูกรัง ฝุ่นสีแดงลอยคว้างสุงท่วมหัวคนเดิมผ่าน แต่ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจพวกเราได้
วันนี้เดอะแก๊งค์นัดหมายไปเยี่ยมเพียงตา ทว่านิตยาไปหาแม่ตั้งแต่เมื่อวาน เธอตั้งใจซื้ออุปกรณ์จากกรุงเทพมาให้เลย แต่ฝั่งเราต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไรประกวด ส่วนอำนาจช่วยงานจิตอาสากับคุณแม่ หมอสาออกตรวจชาวบ้านทุกวันเสาร์เว้นเสาร์ หล่อนอยากให้ลูกชายได้รู้ได้เห็นซักครั้ง จึงเหลือสมาชิกร่วมขบวนแค่เพียง 3 คน
ถนนเส้นเดิมพาพวกเราลัดเลาะท้องไร่ท้องนา รั้วสังกะสียาวเหยียดตั้งเรียงรายฝั่งซ้ายมือ ภายในรั้วมีบ้านทรงไทยหลังใหญ่เรือนงาม ติดตั้งเครื่องปรับอากาศทรงประสิทธิภาพทั้งหลัง รถเก๋งป้ายแดงราคาแพงจอดอยู่ในโรงเก็บใหญ่ แต่ก่อนง่อนชะไรคนไทยนั้นรักสันโดษ จึงชอบทำไร่ทำสวนปลูกบ้านห่างจากคนอื่น เจ้าของบ้านหลังนี้ก็คงรักสันโดษเช่นกัน
“ไหนล่ะบ้านเพียงตา เดินจนเมื่อยตุ้มแล้วนะเฟ้ย”
ทรงเดชผู้แสนทรหดเอ่ยถามอย่างสิ้นหวัง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดพิเศษ 2 ชามไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง พลางกวักมือเรียกชิดชนกให้เข้าร่มไม้ใหญ่
“ตรงเข้ามาประมาณ 400 เมตร หน้าบ้านมีมะละกอ 2 ต้น ต้นขวามือออกลูกแล้ว ส่วนต้นซ้ายมือกำลังออกดอก”
นี่คือรายละเอียดที่เพียงตาเขียนประกอบ ผมและเพื่อนหันกลับไปมองถนนใหญ่ คำนวนดูแล้วมากกว่า 2 กิโลเมตรแน่นอน แล้วไอ้ต้นมะละกอ 2 ต้นเนี่ย จะยังออกลูกออกดอกเหมือนเดิมหรือเปล่า
“ไหวไหมเนี่ย เราไลน์ไปถามมนต์ชัยดีไหม” ชิดชนกจ้องมองสายตาเคลือบแคลง
“สบายมาก อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว นายเดินนำไปเลยทรงเดช”
ผมเก็บแผนที่พร้อมชักสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ตรงข้ามกับทรงเดชผู้พ่ายแพ้ต่อแสงแดด มนต์ชัยเคยมาที่นี่จึงย่อมรู้ทาง แต่ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากหมอนั่น ส่งผมไปท้าตบกระเทยควายยังดีเสียกว่า ยิ่งช่วงนี้โจทย์เก่าของอำนาจเพื่อนรัก แอบมาก้อร่อก้อติกชิดชนกเกินงาม เรื่องอะไรที่ผมจะเพิ่มคะแนนให้คู่แข่ง
“บ้านยายเพียงตาเป็นสวนมะละกอเหรอ ไม่เห็นมีเลย” ทรงเดชบ่นอุบด้วยร้อนแดด
“ตามข้อมูลที่เราได้มา พ่อแม่เพียงตาเลี้ยงนุ้ยกับนิ้ง” ผมตอบกลับโดยไม่หันมอง
“นุ้ยกับนิ้ง ! มันคืออะไรฟระ” ทรงเดชทำตาเหลือกขณะครุ่นคิด
“ไม่รู้ตัวอะไร แต่ชื่อน่ารักจัง เพียงตาตลกดีอ่ะ”
ชิดชนกพยายามกลั้นหัวเราะสุดกำลัง เธอสวมเสื้อยืดหมีพูห์สีดำกางเกงยีนส์ขาสั้นสีกรมท่า ผมมีกำลังใจเพิ่มเมื่อเห็นรอยยิ้มสาว แม้จะมีความกังวลใจอยู่บ้าง ว่านุ้ยกับนิ้งคงไม่น่ารักเหมือนชื่อแน่ เพียงตาก็ช่างแปลกคนเหลือเกิน เขาให้เขียนข้อมูลกับรายละเอียดบ้าน ดั๊นเขียนซะเหมือนนิยายน้ำเน่าช่องหลายสี
“บ้านเลขที่ 17 น่าจะหลังนี่แหละ บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวก็ถึง”
ผมปาดเหงื่อพลางยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก เมื่อพาทุกคนมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ สวนผลไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งขวามือ มีทั้งต้นมะม่วง ขนุน ชมพู่ และฝรั่งอยู่ภายในรั้วลวดหนาม บ้านกึ่งไม้กึ่งปูนสุง 2 ชั้นตั้งอยู่ภายใน ห่างออกไปเป็นแปลงดอกไม้ยาวสุดริมรั้ว มีรถอีแต๊กสภาพเลอะเทอะจอดสงบนิ่ง รวมทั้งเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์จัดเก็บผลไม้
“ทำไมบ้านเงียบจัง นายเป็นหัวหน้าห้องเดินไปเรียกให้หน่อย”
แววตาชิดชนกใสแป๋วราวกับลูกแก้ว เธอยืนนิ่งไม่พูดไม่จาคล้ายรอคำตอบ ผมสบตาด้วยครู่เดียวแล้วหันไปมองรั้ว ทุกครั้งที่แม่คนนี้ทำหน้าตาแบบนี้ มักเกิดเหตุการณ์วุ่นวายตามมาเสมอ
“เราไปเรียกที่หน้าบ้านดีกว่า เพียงตาอาจดูละครอยู่ก็ได้” ผมตัดสินใจก้าวเดิน
“ประตูรั้วก็มีกริ่ง จะเดินไปไกลทำไมคะคุณ” คนร้องขอเหน็บเข้าให้
“พูดแบบนี้ไม่รู้อะไรเสียแล้ว” ผมทำเสียงเข้มพร้อมชายตามอง “ตรงนั้นอาจมีกับดักวางอยู่ก็ได้ กดกริ่งปุ๊บโดนไฟดูดตัวดำปิ๊ดปี๋ สถานที่ห่างไกลชุมชนแบบนี้ พ่อของเพียงตา เจี๊ยกกกก…!!”
ไม่ทันพูดจบว่าพ่อของเพียงตาทำอะไร ผมรู้สึกเหมือนโดนธรณีสูบลงไปใต้ดิน สองเท้ารู้สึกเฉอะแฉะสองมือยันพื้นสกปรก ขาขาว ๆ ลูกสาวเฮียอ๋าแทนที่ใบหน้าใส ๆ แค่อยากบอกเพื่อน ๆ ทุกคนว่า ผมเดินมาตกหลุมใหญ่สุงท่วมเอว มีใบไม้และหนังสือพิมพ์วางทับด้านบน กับดักแบบนี้เด็กอนุบาลยังไม่หลงกลเลย
“หมดกันเพื่อนตรู” ทรงเดชส่ายหัวให้ ขณะเดินฉีกตัวออกมา “ตรงนั้นอาจมีกับดักวางอยู่ก็ได้ สุดท้ายตกหลุมดักควายเสียฟอร์ม ดูพี่ให้ดีนะไอ้น้อง ต้องมาฝั่งนี้ถึงจะ อร๊ายยยย…!!”
ไม่ทันพูดจบว่ามาฝั่งนี้แล้วทำไม ทรงเดชพลันกรีดร้องราวกับเด็กน้อย เขาเดินสะดุดเชือกฟางเส้นหนึ่งเข้า กะละมังใบโตพลัดหล่นโดนหัวพอดี นักบาสร่างโตนึกว่าโดนไม้คมแฝก ต่อมตุ๊ดจึงเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ
“ตรงนั้นอาจมีกับดักวางอยู่ก็ได้ ดูพี่ให้ดีนะไอ้น้อง สุดท้ายเป็นไงล่ะ” ชิดชนกส่ายหัวบ้าง ขณะดึงผมขึ้นจากหลุมดักควาย “บอกให้เดินมากดกริ่งกดกริ่ง ทำไมพวกผู้ชายต้องทำให้มันยุ่งยาก รู้แบบนี้เราเดินมา เย้ยยยย…!!”
ไม่ทันพูดจบว่าเดินมาแล้วยังไง ชิดชนกพลันร้องเสียงหลงไม่ต่างกัน เมื่อพบตัวประหลาดยืนจ้องมองอยู่ริมรั้ว สวมชุดสีขาวคลุมหัวคล้ายมนุษย์อวกาศ ลูกสาวเฮียอ๋าวิ่งแจ้นมาหลบด้านหลัง พลางดันตัวผมจนแทบล้มด้วยความกลัว เธอเห็นผมพึ่งพาได้ก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้ตัวที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เนี่ย มันเป็นเอเลี่ยนจากดาวไหนกัน
“อ้าว ! พวกเธอนั่นเอง มาได้ไงเนี่ย”
เอเลี่ยนสาวพูดไทยได้ชัดเจน หล่อนถอดหมวกคลุมหัวออกอย่างยากลำบาก เราสามคนตะโกนคำว่า “เฮ้ย” พร้อมกัน ผู้สวมชุดขาวคือผู้ที่เรามาเยี่ยมเยียน เพียงตาลูกสาวคนเดียวของบ้านนี้
ชิดชนกหายตกใจเมื่อรู้ความจริง เธอตรงดิ่งเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แล้วช่วยถอดชุดหนาเตอะทำจากผ้าฝ้ายให้ เพียงตาเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ค่อนข้างเก็บตัว คิ้วหนาตาโตผมดำขลับ มีลักยิ้มที่แก้มเป็นอัตลักษณ์ประจำตัว เนื่องจากต้นตระกูลเป็นไทยแท้ร้อยปอร์เซนต์ จึงมีหน้าตาคมขำผิวสีน้ำผึ้งร้อยเปอร์เซนต์ พิจารณาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพียงตาควรสวมเสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงใส่งอบ แล้วชุดเอเลี่ยนที่เธอใส่มันคืออะไร
“ปรกติแต่งตัวแบบนี้เหรอจ๊ะ เฟี๊ยวฟ๊าวจริงนะตัวเธอ” ทรงเดชเริ่มปากเสีย
“จะบ้าเหรอ เราทำงานอยู่ พูดมากมาช่วยเลยด้วย” เพียงตาพูดไปยิ้มไปไม่ถือสา
“อย่าว่าเราเลยนะ” ผมขยับปากบ้าง “เธอทำงานอะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องวางกับดักด้วย”
จะว่าผมโวยวายใส่ก็เห็นจะไม่ผิด ชิดชนกได้ยินถึงกับหัวเราะคิกคัก เจ้าของบ้านพาทุกเข้ามาในรั้ว เธอวางชุดสีขาวปริศนาบนแคร่ไม้ไผ่ พร้อมเชิญชวนเพื่อนทุกคนให้นั่งพัก
“เด็กน้อยแถวนี้ชอบมาขโมยมะม่วง เราเลยต้องลงโทษเสียบ้าง” คนพูดตักน้ำจากโอ่งเล็กแจกจ่าย “พ่อแม่เราทำสวนผลไม้และเลี้ยงนุ้ยกับนิ้ง นี่คือชุดที่ต้องสวมตอนดูแลนุ้ย”
เพื่อนทั้งสามหันหน้ามามองกัน นุ้ยเป็นใคร มาจากไหน สำคัญอย่างไร ทำไมต้องสวมชุดเอเลี่ยนตอนดูแล หรือว่านุ้ยเป็นมนุษย์หมาป่ากลายพันธ์ หรือว่านุ้ยเป็นผู้ป่วยติดเชื้อชนิดรุนแรง
“เรื่องอื่นไว้ก่อน เราอยากมาถามว่า เพียงตาไม่สบายหรือเปล่าถึงหยุดเรียน”
ชิดชนกรีบยกมือปรางห้ามพูด ก่อนทรงเดชแสดงวิสัยทัศน์ตนเองบ้าง เพียงตาพยักหน้าขณะเกาต้นคอ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ คงเป็นเพราะสวมชุดขาวนี่แหละ
“ขอบใจนะนก เราสบายดี” คนพูดยิ้มกว้างโชว์เหงือกแดง “เดือนนี้พ่อเราไปเลี้ยงนุ้ยที่ลำปาง สองวันก่อนมีคนอยากซื้อนิ้ง เราเลยหยุดเรียนช่วยแม่ขายนิ้งกับเลี้ยงนุ้ย ขายนิ้งหมดเมื่อไหร่จะกลับไปเรียนต่อ”
“ยายเพียงตา” ทรงเดชพูดขัดเสียงเหน่อ “แล้วน้องนุ้ยกับน้องนิ้งคือใคร งงไปหมดแล้ววุ้ย”
“ทำไมต้องใส่ชุดสีขาวหนาเตอะแบบนี้ด้วย” เพื่อนพูดจบผมจึงถามบ้าง
“เมื่อไหร่เพียงตาจะขายนิ้งหมด เรากลัวเธอตามเพื่อนไม่ทัน” ชิดชนกยิงคำถามถัดไป
“ต้นมะละกอหน้าบ้าน 2 ต้นหายไปไหน” ทรงเดชสงสัยเรื่องเก่า
“หยุด…!! ก่อนตอบคำถามทั้งหมด ขอกินข้าวกลางวันก่อนได้ไหม”
เพียงตาทนไม่ไหวเลยโวยกลับ ผู้มาเยือนจึงเริ่มรู้ตัวว่าเสียมรรยาท บนแคร่ไม้ไผ่มีปิ่นโตเถาเล็กตั้งอยู่ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอาหารกลางวัน สาวน้อยคมขำเริ่มจัดการอาหารตนเอง มีน้ำพริกกะปิ ผักต้ม และแกงเขียวหวานรสจัดจ้าน พวกเราทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดกันมาแล้ว จึงนั่งประจิ้มประเจ๋อมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“เราช่วยอะไรได้บ้าง นอกจากป่วนให้เพียงตาปวดหัวเล่น”
ชิดชนกยิงมุขตลกคาเฟ่ตามนิสัย เมื่ออีกฝ่ายทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เพียงตามองหน้าเธอสลับมองหน้าผม ก่อนมองหน้าทรงเดชแล้วทำท่าครุ่นคิด หลังน้ำเย็นหมดกระติกจึงมีคำตอบ
“แม่ขับรถไปส่งนิ้งที่หินกอง มีพ่อค้ามารับนิ้งที่บ้านตอนเย็น เราต้องเก็บนิ้งให้เสร็จก่อนพวกเขามา และเปลี่ยนแผ่นฐานรวงใหม่ให้กับนุ้ย ใครอยากช่วยอะไรเลือกเลย”
คนพูดหยิบแผ่นรังเทียมขึ้นมาโชว์ รูปร่างฐานหกเหลี่ยมทำจากไขผึ้งแท้ นาทีนี้พวกเราจึงถึงบางอ้อ ว่าน้องนุ้ยของเพียงตาก็คือน้องผึ้งบินได้ ที่สวมชุดเอเลี่ยนก็เพื่อป้องกันเหล็กใน
“นกช่วยเราทำนุ้ยดีกว่า พวกผู้ชายเก็บนิ้งก็แล้วกัน” เพียงตาช่วยตัดสินใจ
“ไม่เอาอ่ะ…เรากลัวโดนผึ้งต่อย ให้เราเก็บนิ้งดีกว่า” ลูกสาวเฮียอ๋าปฎิเสธ
“จะต่อยได้ยังไง ชุดหนาเตอะขนาดนี้ ทำกับเราเถอะ” เพียงตาคะยั้นคะยออีกครั้ง
“ไม่เอาอ่ะ…เรากลัวเป็นลมคาชุด” ลูกสาวเฮียอ๋าส่ายหัว เธอกลัวผึ้งนั่นแหละไม่มีอะไร
“เรามีชุดที่บางกว่านี้ แต่…” คนพูดตัดสินใจ “นกเก็บนิ้งก็ได้ เสร็จทางโน้นแล้วจะมาช่วย”
คราวนี้เองชิดชนกจึงยิ้มออก ตอนเด็กเธอโดนผึ้งต่อยหัวบวมปูด จากนั้นจึงกลัวฝังลึกเข้ากระดูกดำ ชิดชนกไม่รู้ซักนิดว่านิ้งคืออะไร แค่ขออยู่ห่างจากรังผึ้งเท่านั้นเป็นพอ จะให้ระเบิดภูเขาเผากระท่อมเธอก็ไม่ขัด
---------------------------------------------
บ่ายโมงสามสิบนาทีเดินทางมาถึงแล้ว สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนระอุ ตัวผมเองไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนซักนิด คงเป็นเพราะทำงานอยู่ในที่ร่ม และมีต้นไม้น้อยใหญ่ช่วยบดบังแสงแดด
ในโรงเรือนตั้งชั้นวางของยาว 10 เมตร แต่ล่ะชั้นมีถาดพลาสติกกว้าง 25 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตร ตั้งเรียงรายตามความยาว ในถาดบรรจุอาหารเลี้ยงไก่เนื้อหรือรำข้าว เสริมด้วยมะละกอดิบ แตงกวา หรือผลไม้อวบน้ำ หน้าที่ผมคือเอาตะแกรงร่อนทุกอย่างออก เพื่อคัดเลือกนิ้งตัวโตเต็มวัยใส่ภาชนะ เป็นงานที่แสนง่ายดายและไม่เหนื่อยเลย
แต่ถึงกระนั้นผมดันมีปัญหาคาใจ เมื่อสาวน้อยหน้าใสหน้าตาบึ้งตึงมาก เธอไม่ต้องทำงานกับผึ้งที่ตนเองกลัว ทำไมถึงอารมณ์ไม่ดีเทียบเท่าหน้าตา หรือเธอรังเกียจที่จะทำงานร่วมกับผม
“นก…เป็นอะไรหรือเปล่า ออกไปนั่งพักก่อนไหม”
จึงตัดสินใจสอบถามความจริงที่แท้จริง แม้ในใจไม่อยากได้ยินคำตอบ ชิดชนกเดินมาหยุดใต้ต้นมะม่วง ผมเดินตามพลางยื่นขวดน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบ เจ้าตัวรับไว้ขณะหย่อนก้นบนแคร่ไม้ไผ่
“เราไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่…วันนี้ถ้าจะเป็น วันซวยอย่างแท้จริง” คนพูดจิบน้ำหนึ่งอึก
“ทำงานกับเรามันซวยนักเหรอ” ผมเริ่มตัดพ้อตามบทละครน้ำเน่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ชิดชนกรีบปฎิเสธ สีหน้าเธอดูหวาดหวั่นใจ “นายไม่ได้เป็นตัวซวยหรอก เพียงแต่เรา…เราไม่รู้มาก่อนนี่นา ว่าน้องนิ้งของเพียงตา คือหนอนชาเขียวยึกยือ”
“หนอนนกต่างหากล่ะนก นกอย่าบอกว่านะว่านกกลัวหนอน หนอนต้องกลัวนกสินก”
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ทราบคำตอบ ไอ้เราก็นึกว่างอนหรือทำผิดอะไร แบบนี้ต้องเอาคืนกันบ้างแล้ว คิดดังนั้นจึงหยิบน้องนิ้งขึ้นมาถือ พลางทำท่าหยิบใส่ปากให้ดูหวาดเสียว
“ทุเรศ ทุเรศ ทุเรศ สาธุ…ของให้ตกใส่ปากจริง ๆ เถ๊อะ” อีกฝ่ายยกมือท่วมหัว
“เฮ้ย ! ถึงกับแช่งเลยเหรอ จะกลัวอะไรขนาดนั้น”
ผมเป็นฝ่ายหัวเราะคิกคักบ้าง ขณะนั่งฟังชิดชนกพร่ำบ่นเรื่องหนอน เมื่อเธอขอไม่ทำรังผึ่งเพราะกลัวผึ้ง ผมจึงเสนอให้ทรงเดชทำแทน เจ้าตัวบ่นอุบเนื่องจากไม่อยากตากแดด แต่เมื่อรับรู้ว่าน้องนิ้งคือน้องหนอนนก นักบาสร่างโตก็รีบโกยอ้าวไปที่กล่องเลี้ยงผึ้ง
“ไม่ได้กลัวแต่ขยะแขยง เราไม่ได้แกล้งนะ ดูสิขนลุกเลย”
ชิดชนกฮุคหมัดซ้ายเฉี่ยวปลายคางหวุดหวิด ผมมัวแต่หลบไม่ทันมองว่าขนลุกหรือเปล่า ครั้นเห็นสาวน้อยเม้มปากแล้วค้อนใส่ จึงเก็บสัตว์ตัวจิ๋วสีทองใส่ภาชนะ แล้วทำหน้าหมาเศร้าขอความเห็นใจ
“เพียงตาทำงานหนักมาก เธอตัวเล็กนิดเดียวเอง อ่อนแอแบบเราคงทำไม่ไหว”
ลูกสาวเฮียอ๋าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดวงตากลมโตฉายแววสงสารจับใจ ผมเองอยากค้านว่าไม่จริงเลย ชิดชนกช่วยที่บ้านขายของทุกวันอยู่แล้ว กว่าจะเลิกงานปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม เวลาส่วนตัวแทบไม่มีเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป แต่ผมก็รู้ดีว่าเธอไม่ชอบให้ใครอวย (รู้เรื่องของเธอเยอะไปไหม) จึงได้ชวนคุยเรื่องอื่นแทน
“เอาน่า อีกไม่กี่เที่ยวก็เสร็จแล้ว นกไม่ไหวพักก่อนดีกว่า” ผมพยายามโชว์ความเป็นแมน
“ไม่ ! นายทำเราทำ” ดวงตาคนพูดฉายแววความมุ่งมั่น
คำตอบที่ได้รับช่างแมนยิ่งกว่าผู้ชาย ชิดชนกทำให้ผมประจับใจทวีคูณ เมื่อเธออยากช่วยเพื่อนจึงไม่อยากขัด แต่พยายามทำงานให้มากขึ้นและเร็วขึ้น เวลาเดินทางมาถึงบ่ายสามโมงตรง เหลือหนอนนกให้เก็บอีกเพียงสี่ถาด
“นกพักก่อนเถอะ เหงื่อชุมหลังไปหมดแล้ว ที่เหลือเราทำเอง”
ผมเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากอีกฝ่ายหมดแรงอย่างเห็นได้ชัด ชิดชนกปาดเหงื่อปลายคิ้วออก ใบหน้าแดงก่ำยังสามารถยิ้มได้อยู่ สาวน้อยชูสองนิ้วลิโพขณะโต้ตอบ
“ไม่เอา…บอกแล้วไง นายทำเราทำ” ความดื้อรั้นแสดงออกผ่านแววตา
“ไม่เอาไม่ได้แล้ว เสร็จถาดนี้นกจะต้องนั่งพัก เข้าใจที่เราพูดนะ”
ผมตัดสินใจยื่นข้อเสนอกึ่งบังคับ ไม่อย่างนั้นแม่คุณคงไม่หยุดงาน คนฟังทำหน้างุ้มด้วยโดนขัดใจ
“หัวหน้าห้องอะไรเนี่ย วางอำนาจบังคับขู่เข็ญ ไอ้โหด”
ชิดชนกบ่นอุบเมื่อได้รับคำสั่ง พออีกฝ่ายหันหลังจึงยิ้มหวานหยดย้อย แม่สาวผมม้าคงไม่รู้ตัวสินะ ว่าหน้าโรงเรือนมีกระจกบานเล็กมัดติดเสา ผมจึงได้เห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดในสามโลก และได้เห็นผู้ไม่ได้รับเชิญเกาะอยู่บนหลังคา
“นก ! เดินมาหาเราอย่างช้า ๆ อย่ามองบนหลังคาเด็ดขาด”
ผมวางถาดใส่หนอนบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วรีบย้อนกลับมาท่าทางตื่นตระหนก ชิดชนกตกใจเมื่อเห็นใบหน้าคนพูด สัญชาติญานสั่งให้เธอทำตรงกันข้าม คือการแหงนมองหลังคาโรงเรือน
คนกลัวผึ้งร้องว้ายเสียงดังลั่น เนื่องจากมีตุ๊กแกตัวใหญ่อยู่เหนือหัว เสียงร้องเธอทำให้สัตว์กินแมลงตกใจ จึงกระโดดลงพื้นแล้วคลานเข้าหาหนุ่มหน้าตี๋ อารามตกใจผมรีบกระโดดหลบ ร่างเซถลาชนเก้าอี้พลาสติกสีแดง เก้าอี้เจ้ากรรมพุ่งชนสาวหน้าหมวย ชิดชนกเสียหลักใช้สองมือจับเสาโรงเรือน และนั่นก็คือความซวยอย่างแท้จริง
ถาดใส่หนอนในมือชิดชนก กำลังลอยคว้างกลางอากาศเป็นที่หวาดเสียว ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด ผมตัดสินใจสปริงข้อเท้ากระโดดลอยตัว ด้วยท่าเสิร์ฟมหาประลัยที่ซุ่มฝึกซ้อมมาหลายปี แล้วใช้มือขวาคว้าเป้าหมายมาครอบครอง ผมทำสำเร็จ…และลงสู่พื้นดินด้วยท่าจบ ถาดใส่หนอนเจ้ากรรมถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อย
หลานชายร้านจักรยานยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะชายตามองลูกสาวร้านเมียจ๋าพาณิชย์ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเป็นตลกคาเฟ่ เมื่อเห็นเธอคนนั้นกระโดดโลดเต้นไปมา พลางใช้สองมือปัดหนอนนกบนร่างกาย ถาดที่อยู่ในมือว่างเปล่าสะอาดสะอ้าน สงสัยว่าหนอนพวกนั้นคงจะบินได้ แล้วนี่ผมกระโดดขึ้นไปกลางเวหาเพื่อ…??
เสียงกรีดร้องชิดชนกดังกระแทกรูหู ผมทิ้งถาดพลาสติกแล้วพุ่งตัวเข้าไปหา ให้ฟ้าผ่ามนต์ชัยเถอะ..ไม่สามารถเดินได้แม้เพียงก้าวเดียว สีหน้าของผมขาวซีดเผือกราวกับผีดิบดูดเลือด เมื่อหนอนตัวหนึ่งคลานไปมาอยู่ที่ปลายจมูก
เท่านั้นเองหนุ่มหน้าตี๋จึงรู้ตัว ว่าโดนน้องนิ้งโจมตีทั่วร่างกาย ผมไม่เคยกลัวหนอนและไม่คิดที่จะกลัว ทว่าตอนนี้โดนมันกัดหัวนมเข้าให้ เข้าใจแล้วว่าทำไมชิดชนกถึงได้เกลียดนัก เวลาที่หนอนคลานกระดื๊บ ๆ มันช่างแต้วแล้วสิ้นดี ขืนเก็บออกทีล่ะตัวคงไม่ทันการณ์ จึงเริ่มสะบัดร่างกายให้หนอนกระเด็นออกไป
หนอนนกตัวหนึ่งลอยสุงก่อนตกลงมา จังหวะเดียวกับที่ผมอ้าปากโวยวาย หนอนจึงพุ่งเข้าชนต่อมทอมซิน บินลงไปสู่กระเพาะ ลัดเลาะไปลำใส้ใหญ่ หลับไหลอยู่ที่ไส้ติ่ง ก่อนสงบนิ่งที่ทวารหนัก
คำสาปแช่งชิดชนกเป็นจริงแล้ว ผมอยากอ้วกหมดใส้หมดพุงเดี๋ยวนี้เลย ขณะที่ผมล้วงคอตัวเองอย่างเมามัน พลันนึกถึงหญิงสาวเจ้าของคำสาป จึงหันกลับไปมองจนคอแทบหัก ชิดชนกหยุดเต้นแร้งเต้นกาแล้ว สีหน้าเธอตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด สาวน้อยพยายามปัดหนอนออกจากร่างกาย แล้วเธอก็…
“เย้ยยยย…!! นกจะทำอะไร”
ผมร้องลั่นเมื่อเห็นภาพชัดระดับ Full HD หนอนบางตัวคงหล่นไปใต้ร่มผ้า สาวน้อยตกใจพยายามถอดเสื้อออก จึงรีบห้ามปรามแล้วดึงชายเสื้อลง ไม่อย่างนั้นเลือดกำเดาคงไหลหมดตัว
“มีหนอนไต่อยู่กลางหลัง เราไม่ไหวแล้ว…!!” ชิดชนกตอบกลับพลางกรีดร้อง
ผมเองก็อยู่ที่นี่ไม่ไหว ตรงนั้นก็หนอน ตรงนี้ก็หนอน ตรงโน้นก็หนอน แม้แต่หลังคาก็ยังมีหนอน คิดดังนั้นจึงคว้ามือคู่สนทนา ก่อนพามายังแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะม่วงหัวช้าง แล้วชิดชนกก็เริ่มมีสติ
“หันไปทางโน้นแล้วหลับตาด้วย เดี๋ยวนี้”
คำสั่งที่ได้ยินเด็ดขาดและจริงจัง ผมต้องทำตามทั้งที่ไม่อยากซักนิดเดียว เธอคงถอดเสื้อออกเพื่อสะบัดหนอน เสียงขยับตัวไปมาทำให้ผมเตลิดเปิดเปิง เวลาไม่กี่วินาทีรู้สึกยาวนานไม่สิ้นสุด กระทั่งมีมือเล็ก ๆ มาสะกิดหัวไหล่
“หนอนออกหมดหรือยัง เราอยากร้องให้จังเลย”
สีหน้าคนพูดใกล้เคียงกับคำว่าร้องให้ เธอหันซ้ายแลขวาไม่มีความมั่นใจซักนิด ผมจ้องมองบนเสื้อยืดสีดำอย่างตั้งใจ ไม่มีหนอนอยู่บนนั้นร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่ามันดันมาอยู่ที่…อยู่ที่
“มีหนอนติดอยู่ที่ขอบกางเกง”
เป็นคำพูดที่ยากลำบากเสียนี่กระไร หนอนลามกก็ช่างหาที่สิงสถิตได้น่าถีบ เจ้าของกางเกงสีกรมท่าเริ่มเต้นแรพโย่วอีกครั้ง เธอมีสีหน้าขยะแขยงมากขณะพูดโต้ตอบ
“เอาออกให้ที เรามองไม่เห็น เร็ว ๆ สิ”
เป็นคำร้องขอที่ยากลำบากเสียนี่กระไร ผมลังเลสุดชีวิต ใจนึงอยากทำใจนึงไม่อยาก แววตาคนพูดเป็นตัวเร่งปฎิกริยา จึงตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน แล้วยื่นมือขวาสั่นเทาเข้าหาเป้าหมาย อีก 5 เซนติเมตร…อีก 3 เซนติเมตร…อีก 1 เซนติเมตร
ทันใดนั้นเองเกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อมีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ พุ่งเข้าจับมือขวาซึ่งกำลังจะจับหนอน แววตาคนจับทั้งตื่นตระหนกและหวาดระแวง ชิดชนกโกรธอะไรผมอีกล่ะนี่
“เรายังไม่ได้จับเลยนะ ไม่โดนตัวนกซักนิด” ผมรีบแก้ตัวตะกุกตะกัก
“นาย-ช่วย-หัน-ไป-มอง-ด้าน-หลัง-ที !”
เจ้าของมือเล็กและนุ่มพยายามสื่อสาร ทว่าพูดได้ทีล่ะคำให้คนฟังตีความเอง ต้องมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ทุกครั้งที่เธอเป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นแบบนี้ ผมจึงหันไปมองด้วยความยากลำบาก
บระเจ้า…!!! นี่มันนรกขุมไหนกัน บนท้องฟ้าที่ผมเห็นในขณะนี้ ปรากฎผึ้งพันธุ์คาร์นิโอลานอยู่เต็มไปหมด พวกมันมีถิ่นกำเนิดจากลุ่มแม่น้ำดานูบ ลำตัวเล็กเพรียวสีน้ำตาล ปกคลุมด้วยขนสีเทาปนน้ำตาล มีนิสัยเชื่องกับมนุษย์ ไม่ตื่นกลัวและเลี้ยงง่ายมาก ทว่าน้องนุ้ยของเพียงซึ่งจ้องมองผมอยู่ กำลังโมโหควันออกหูอย่างเห็นได้ชัด
“วิ่งไปที่สระน้ำข้างรั้ว เดี๋ยวเราเอาไฟไล่ให้เอง วิ่งสิวิ่ง !!”
เสียงตะโกนเพียงตาดังตามหลังฝูงผึ้ง เจ้าตัวกำลังวิ่งพร้อมลากตัวทรงเดชมาด้วย มือขวาเจ้าของบ้านมีธูปติดไฟอยู่ 3 ดอก สำหรับไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าก็ดีอยู่หรอก แต่จะเอามาต่อกรกับผึ่งหลายพันตัวเนี่ยนะ
ทรงเดชกรีดร้องโอดโอยปริ่มว่าจะขาดใจ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ตอนนี้ขอจัดการเรื่องของพวกเราก่อน ผมตัดสินใจลากตัวชิดชนกไปที่ปลอดภัย (ต้องบอกว่าเธอลากตัวผมมากกว่า) สองเราวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน เหยียบขี้โคลนลุยป่าหญ้าพร้อมกัน กรีดร้องเสียงดังราวกับคนบ้าพร้อมกัน กระโดดข้ามแปลงดอกไม้พร้อมกัน ตกลงไปในสระน้ำพร้อมกัน และรอดตายจากน้องนุ้ยของเพียงตาพร้อมกัน
---------------------------------------------
“…ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย อยากรู้จังเลยว่าใครเอ่ยถึงฉัน ถึงได้จามอยู่ได้ตลอดวัน จนไม่มีเวลาทำงาน ใครบ่นถึงฉันถึงจามฮัดเช้ยฮัดเช้ย…”
บทเพลงฮัดเช้ยที่รักของนักร้องลูกทุ่ง จิ้งหรีดขาว วงศ์เววัญ ดังกระหึ่มจากลำโพง 12 นิ้วพร้อมซับวูฟเฟอร์ บนรถ 6 ล้อฮี่โน่ร้านอาหารสัตว์ชื่อดัง คนงานทยอยขนหนอนนกขึ้นท้ายกระบะ โดยมีแม่ของเพียงตาช่วยอำนวยความสะดวก
ผมฟังเพลงนี้พร้อมกับจาม ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย ตามเพลง น้ำในสระใสสะอาดทว่าเย็นตัดขั้วหัวใจ เมื่อวานนี้ผมเพิ่งล้ออำนาจเรื่องเป็นหวัด วันนี้ดันเป็นเสียเองใครเห็นคงสมน้ำหน้า เนื่องจากใส่เสื้อผ้าพ่อของเพียงตาไม่ได้ จึงต้องนุ่งผ้าขาวม้าท้าแดดท้าฝนทนทุกสภาวะ อย่างน้อยก็ยังมีเสื้อม่อฮ่อมกันอุจาด ผมพยายามคิดในทางที่ดี
“กาแฟมาแล้ว อันที่จริงไม่อยากให้เด็กกินเลย แต่ในบ้านไม่มีโอวัลตินเพราะไม่มีเด็ก”
เพียงตาเดินเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มและของว่าง ผมกับทรงเดชรับมาถือพลางเหล่ตามอง คำก็เด็ก…สองคำก็เด็ก ยายคนพูดโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ ตอนเข้าแถวยืนอยู่ท้ายขบวนไม่ใช่เหรอ
“ขอบใจนะเพียงตา เราใส่ได้พอดีเลย แล้วพรุ่งนี้จะซักมาคืน”
ชิดชนกเป็นอีกคนที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอสวมเสื้อยืดรถไถคูโบต้ากับกางเกงวอร์มโรงเรียน เพียงตาชอบใส่เสื้อผ้าใหญ่กว่าตัว แม่สาวผมม้าก็เลยใส่ได้แม้จะคับนิดหน่อย
“วันหลังก็ได้นก” คนพูดวางของในมือ “นี่เลย…จานนี้ของโปรดเราเอง ลองชิมดู”
ของโปรดเพียงตาตั้งอยู่ตรงหน้าทุกคน ผมกับชิดชนกจ้องมองตาแทบเหลือก มันคือตั๊กแตนปาทังก้าทอดกรอบ ราดด้วยซ๊อสฝาเขียวโรยพริกไทยหอมฉุย น้องตั๊กยังคงสภาพร่างกายเหมือนเดิม ทุกตัวต่างส่งยิ้มหวานเชื้อเชิญให้ลองชิม ลูกสาวเฮียอ๋าถอยหลังพร้อมแบะปาก ส่วนผมอยากคายของเก่ามันเสียเดี๋ยวนี้
“เราถามสิหน่อย ทำไมทรงเดชถึงได้เละเทะขนาดนี้”
เพราะไม่อยากแตะต้องของโปรดเพื่อน ชิดชนกจึงเปลี่ยนประเด็นคุยเรื่องอื่น ผมรีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม พร้อมเอ่ยถามเรื่องนี้ด้วยอีกคน เพียงถอนหายใจได้ยินถึงวัดคลองยาง
“ก็ทรงเดชน่ะสิ อยู่ดีไม่ว่าดีดันหาเรื่อง” คนพูดทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เราเปลี่ยนแผ่นฐานรวงรังผึ้งหมดแล้ว กำลังเดินกลับมาช่วยนกทำงาน ไม่รู้หมอนี่นึกบ้าอะไร ถอดหมวกคลุมออกแล้วก้มลงงับรังผึ้ง”
“ไม่ได้งับ…เราแค่อยากชิมน้ำผึ้งสด ๆ จากรวงผึ้งเฟ้ย”
ตัวการเรื่องนี้ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ทั้งที่โดนผึ้งต่อยบวมไปแล้วครึ่งหน้า ตาขวาปิดสนิทราวกับคำสาปมนต์ชัย ผมและชิดชนกถอนหายใจพร้อมกัน ส่งเดชได้ส่งเฝือกให้เพื่อนอีกแล้ว
เพื่อนสาวทั้งสองทำพิธีเม้าท์มอยอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงเดชอิ่มพุงกางจึงหาที่เอนหลัง ผมเปลี่ยนบรรยากาศไปยังรถหกล้อบ้าง นอกจากหนอนนกในภาชนะมีฝาปิด ยังมีสับปะรดศรีราชากองโตเท่าภูเขา
ทันใดนั้นเอง…ความคิดในหัวสมองก็เริ่มทำงาน ถ้าเรา XXX แล้ว YYY ก็จะได้ ZZZ สินะ
“นก ชิดชนก !!” คนพูดตะโกนลั่น ‘รู้แล้วจะว่าจะทำอะไรเข้าประกวด”
คราวนี้เองที่ผมกลายเป็นจุดสนใจ ทั้งจากคนบนบ้านและคนงานร้านอาหารสัตว์ สาวน้อยตากลมยิ้มตามทั้งที่มืนตื๊บ ผมจึงช่วยคลี่คลายปริศนาคาใจ ด้วยการชี้นิ้วไปนอกชานพร้อมเอ่ยคำว่า “ไอ้นั่น”
ชิดชนกกับเพียงตารีบหันไปมองไอ้นั่น พบนายทรงเดชนอนไขว่ห้างสบายใจเฉิบ นักบาสร่างโตเคี้ยวตั๊กแตนทอดเสียงดังกร๊วบ ครั้นเห็นเพื่อนจ้องมองจึงยักคิ้วข้างเดียวกวนโอ๊ย
สิ่งนั้นก็คือสุดยอดไอเท็มลับ สำหรับงานวิทยาศาสตร์อีกไม่กี่วันข้างหน้า !!
---------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ