ลมหวาน ป่าหนาว
9.2
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
42 ตอน
8 วิจารณ์
70.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) หินช้างสี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากที่ผมผ่านเรื่องราวสุดช็อคมาได้สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มจะปรับเปลี่ยนความคิดได้บ้างแล้ว ว่าผมไม่ควรเข้าไปผิดที่ผิดเวลา โดยเฉพาะครอบครัวของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ถึงแม้ว่าตัวท่านและพี่ชายของผมจะยินดีที่ได้รับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ก็ตามแต่คำว่าครอบครัวของพ่อก็ทำให้ผมต้องหยุดคิด ถึงการเข้าไปเป็นส่วนเกินตรงนั้น ตอนนี้ผมก็กลับมาอยู่ในส่วนของผมเหมือนเดิมสำหรับพี่หมอแสนผมยังคงนับถือและรักพี่ชายเหมือนเดิมแต่ไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวให้ใจเจ็บช้ำอีก เช้านี้ผมก็ยังคงมาซ้อมกีฬาตามปกติเหมือนเดินส่วนป่าสักมาส่งผมที่สนามวอลเลย์บอลแล้วเขาก็ไปซ้อมบาสเกตบอลกับทีมทันที ตอนนี้ผมกำลังวอร์มร่างกายเบาๆรอเพื่อนอยู่ข้างสนาม
“อ้าวพี่เชอรี่ หวัดดีครับ เช้านี้สวยเด่นเป็นนางพญามาเลยนะครับเจ้”
ผมกล่าวทักเจ๊ใหญ่ของวงการ วันนี้นางมาในชุดแดงเพลิงพร้อมกับปากสีชมพูปัดแก้มเบาๆตามสไตล์อันสุดมั่นของนาง
“หวัดดีจ๊ะลูกสาวของคุณแม่ เจ้ก็สวยของเจ้แบบนี้ตลอดแหละ เอ่อหน้าตาสดชื่นขึ้นนะเรา สงสัยได้ยาดีมาแน่ๆ”
“โอ้ย พี่เชอรี่ บอกว่าอย่าเรียกลูกสาวครับ พี่เกรงใจหุ่นควายๆของผมด้วย”
“ต๊าย! ใครบอกว่าเธอหุ่นควายย่ะ อย่างเธอมันหุ่นนางแบบอินเตอร์ชัดๆ เจ้ยังอิจคุณน้องเลย อยากได้หุ่นแบบนี้บ้าง บางทีเจ้อาจจะได้ผัวเป็นหมอหมาบ้างก็ได้ใครจะไปรู้ อิอิ”
“เจ้! โอ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว คุยด้วยทีไรแว้งกัดผมทุกทีเลย”
“ว้าย! เจ้ไม่ใช่หมานะค่ะคุณน้องที่จะได้กัด แต่ถ้าเป็นผู้ชายหล่อๆก็ไม่แน่เจ้จะงับคอเลย”
“ก็เจ้เล่นพูดมาแบบผมไปไม่เป็นเลยนี้ ถ้าขืนพูดมากอีกผมจะจับเจ้ไปฉีดยากันบ้าเลย”
“แหม๋ๆพูดนิดพูดหน่อยทำเป็นเขิน รอเจ้ด้วยสิคุณน้องอย่ารีบวิ่งเจ้ตามไม่ทัน”
ในระหว่างที่ผมกับเจ๊เชอรี่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่รอบสนามนั้นก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเชี่ยตรีเดินเข้าสนามมา ไม่ใช่แปลกใจที่ไอ้เชี่ยตรีมันเดินเข้ามานะครับที่แปลกใจคือบุคคลที่เดินตามตูดของมันมานั้นล่ะที่สร้างความแปลกประหลาดให้กับพวกเรา
“ว้ายต๊ายแล้วคุณน้องทุ่งขา เห็นเหมือนกันกับเจ้ไม๊ค่ะ? นั้นๆน้องตรีของเรามากับใคร”
“เออว่ะ แล้วเชี่ยตรีมันมากะใครวะเจ้”
“อ้าวคุณน้องเป็นเพื่อนสนิทน้องตรี ก็ไม่รู้เหรอค่ะ ว่าผู้ชายคนสูงใหญ่คนนั้นเป็นใคร”
ผมต้องหยุดวิ่งแล้วใช้สายตาเพ่งไปยังจุดที่ทั้งคู่กำลังยืนคุยกัน ผมก็ต้องตกใจ นั้นมันพี่สงกรานต์ คนที่ช่วยไอ้เชี่ยตรีไว้วันนั้นนี่น่า
“เป็นไงค่ะคุณน้อง ดูออกไหม เป็นคนที่คุณน้องรู้จักเปล่า?”
“เอ่อ มะ ..ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยเจ้”
“จริงเหรอ? แต่เอะทำไมเจ้คุ้นหน้าจังเลย เหมือนๆเป็นนักกีฬาอะไรสักอย่างนี้แหละฯ็น”
“เจ้ก็ไปถามเชี่ยตรีเองดิ จะได้รู้ว่าใคร? ไม่ต้องมายืนงงเป็นไก่ตาแตกกันอยู่แบบนี้”
“ว้ายต๊ายแล้ว ใครจะไปกล้าถามค่ะคุณน้อง ปะๆไปวิ่งต่อเถอะ หยุดต่อมเผือกไว้ก่อน โน้นๆโค้ชมาแล้ว”
เจ๊เชอรี่รีบชี้ไปยังโค้ชนักกีฬาวอลเลย์บอลที่ตอนนี้มายืนคุมนักกีฬาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ วันนี้พวกเราซ้อมเกือบถึงสองชั่วโมงถึงได้เวลาเลิกซ้อมกลับไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะต้องรีบไปเรียนให้ทัน
“ไอ้เชี่ยตรี มึงจะรีบไปไหนไม่ทราบ ตั้งแต่เช้ามืดมากูยังไม่มีโอกาสได้คุยกับมึงเลยนะเว้ย”
ผมเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทไป ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนนั้นต้องการหลบหน้าไม่ต้องการตอบคำถามที่ผมอยากถามนั้นเอง
“แล้วมึงมีไรจะคุยกะกูว่ะ?”
“อ้าวไอ้ห่านนี้ พูดออกมาได้ ก็..กูอยากเผือกเรื่องของมึง ไม่ได้หรือไง?”
“เอ่อตรงดีนะมึง แสดงว่าต่อมเผือกของมึงมันคันเขย่อมาก”
“ไอ้เชี่ยตรี มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นเว้ย พูดซะกูหมดค่าเลย”
“อ้าวใครจะไปรู้ กูเห็นมึงส่อแววตั้งแต่กูเดินเข้ามาในโรงยิมเมื่อเช้าแล้ว”
“สรุปเป็นไงมาไงว่ะมึง ถึงได้หนีบพี่กรานต์มาด้วยเมื่อเช้านี้”
“ใครหนีบ? กูเปล่าสักหน่อย”
“มึงกำลังจะบอกกูว่า พี่เขามาหามึงเองว่างั้น?”
“โอ๊ะ...? แน่นอน พี่เขามาเอง ไม่เกี่ยวกับกู”
“ช่างกล้า มั่นหน้ามั่นโหนกนะมึง”
“แน่นอน นิวตรีทูเดย์เว้ย”
“สรุปมึงจะบอกกูได้ยังว่ะ ว่าไอ้พี่กรานต์มากับมึงได้ไง แล้วทำไมต้องมากับมึงวะเชี่ยตรี”
“โอ้ยไอ้ทุ่ง มึงเอาที่ละคำถาม ทีละประเด็นได้ปะวะ เล่นยิงมาเป็นชุดแบบนี้กูตอบไม่ทัน”
“เอ่อ มึงจะบอกกูได้ยัง ว่ามึงกับพี่เขามาด้วยกันได้ไง?”
“พอดีกูเจอพี่เข้าตอนจะเข้ามาในโรงยิม พี่เขาจะมาซ้อมฟุตบอลก็แค่นั้น”
“พูดยังกะกูเป็นเด็กอมมือ ที่จะมองไม่ออกมาแมวมันกำลังจะกินปลาย่าง”
“แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ?”
“เอาจริงเหรอมึง?”
“เปล่ากูแค่คุยขำๆ กูเข็ดแล้วว่ะทุ่ง เรื่องความรัก”
ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งไปกับความคิดของเพื่อน ที่ตอนนี้ตรีคนเดินได้หายไปจากผมแล้วใช่ไหม? ผมยังงงอยู่กับมุมมองของเพื่อนสนิทแต่ไอ้เพื่อนตัวร้ายของผมมันได้เดินจากผมไปตั้งนานแล้ว มันคงปล่อยผมงงอยู่เพียงคนเดียว
“ทุ่ง.... เป็นไรว่ะมึง ยืนเหม่ออะไรแต่เช้าเชียว?”
ไม่รู้ว่าป่าสักมาตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีป่าสักก็มายืนเรียกผมอยู่ข้างตัวแล้ว
“อ่อ ปะเปล่าหรอกมึง กูก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“ยังคิดเรื่องพ่ออยู่อีกเหรอ?”
ป่าสักถามทุ่งธรออกไปพร้อมกับยื่นมือไปรับลูกวอลเลย์บอลจากมือของอีกฝ่ายมาถือไว้แทน
“ไม่หรอก กูเลิกคิดเรื่องนั้นไปนานแล้ว”
ทุ่งธรตอบป่าสักออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ พร้อมกับเดินไปยังลานจอดรถของโรงยิม
“แล้วมึงคิดเรื่องไรว่ะ?”
“ก็ไม่นิ กูก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นี้มึงซ้อมเสร็จแล้วใช่ป่ะ”
“อืม มีไรเหรอ?”
ป่าสักเปิดประตูรถพร้อมกับจัดการจับลูกบาสและลูกวอลเลย์บอลใส่ท้ายรถหรูทันที
“เปล่า งั้นเราไปกันเถอะ นี้ก็สายมากแล้ว”
“เอ่อทุ่ง เสาร์นี้อยากไปพักผ่อนไหม?”
ป่าสักถามทุ่งธรออกไป หลังจากที่ทั้งคู่นั่งรถกลับหอพักด้วยกัน โดยวันนี้พวกเขาไม่ได้แวะทานข้าวเช้าที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย เพราะตอนนี้สายมากแล้ว
“ไปเที่ยวเหรอ?”
“อืม กูว่าจะพามึงไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที เสาร์นี้เราไปกันน่ะ”
“ที่ไหนว่ะ?”
“มึงเคยไป หินช้างสี ไม๊”
“เคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยไปสักทีเลย หินช้างสีที่มันอยู่แถวเขื่อนใช่ป่ะ?”
“ อืม งั้นก็ดีเลย เพราะที่นี้วิวสวย หินงานมากๆเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่วิจิตรตระการตา เหมาะกับคนเรียนศิลปะอย่างมึงมากๆ ซึ่งธรรมชาติได้ปรุงแต่งผืนป่าอันเขียวขจีแทรกอยู่กับกลุ่มหินทรายขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตา น่ามองทีเดียวเลยแหละ”
“โอ้ ! ข้อมูลเปะมากเลยนะมึง”
“แน่นอนก็กูมันเทพอยู่แล้ว”
“แล้วมึงพอจะรู้ประวัติหินช้างสีปะว่ะ? ทำไมมันต้องชื่อว่าหินช้างสีด้วย”
“ประวัติเหรอ? ได้ยินมาว่าหินช้างสี แต่เดิมเป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ของบ้านเรา มีช้างป่าและสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบโป่งดินที่มีรอยแทะกินของสัตว์ต่างๆ และที่บริเวณโขดหินที่มีรอยแทะกินของสัตว์มีร่องรอยโคลนดินและขนช้าง ที่เกิดจากการเสียดสีผิวหนังของช้างป่า เป็นที่มาของชื่อ หินช้างสี มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในบริเวณนี้ ก็มีพวก กลุ่มหินช้างสี จุดชมวิวหินหัวกะโหลก โป่งธรรมชาติ น้ำในโพรงหิน และภาพเขียนสีสลักก่อนประวัติศาสตร์ แถมมึงยังจะได้เห็นวิวจากด้านบนสันเขื่อนอุบลรัตน์เลยนะเว้ย รับรองมึงเห็นแล้วต้องติดใจแน่ๆ”
“โอ้ พูดซะให้กูเกิดกิเลสอยากไปมากๆเลยวะมึง โอเค งั้นเสาร์นี้เราไปกัน”
ป่าสักเห็นท่าทางดีใจอย่างกับเด็กของทุ่งธร ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวสวยงามเรียงกันเป็นซี่อย่างคนที่สุขภาพช่องปากที่ดี
“มึงยิ้มไรว่ะ?”
“ปะเปล่า กูก็ยิ้มไปเรื่อย”
“มึงนี้ท่าจะบ้าไปทุกวันแล้วนะ”
“เอ่อทุ่ง กูว่าเราขับมอไซค์ไปเองดีไหม?”
“ดีๆ ขับรถขึ้นเขาจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดเลย”
“ทุ่ง มึงจะนั่งซ้อนท้ายกู หรือจะขับไปคนละคัน”
ป่าสักถามทุ่งธรขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินขึ้นบันไดหอพัก อย่างรีบเร่งเพราะตอนนี้ก็สายมากแล้ว
“อืม ...อยากลองขับเองว่ะ”
“ได้เดี๋ยวทริปนี้ ป๋าจัดให้”
“ขอบคุณนะป่าสัก มึงดีกับกูมาตลอดเลย”
“ก็กูบอกมึงไปแล้วไงว่าจะดูแลมึงเอง เรื่องแค่นี้สบายมาก”
“เอ่อป่าสัก กูว่าไหนๆเราก็จะเอามอไซค์ไปแล้ว ชวนเชี่ยตรีไปด้วยได้ไหม?”
“เอาสิ ไปกันหลายๆคนสนุกดี ว่าแต่ไอ้เชี่ยตรีมันจะไปกับเราหรือ?”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”
“อืมตามนั้น”
หลังจากนั้นผมกับป่าสักก็ต้องรีบทำเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปเรียนคาบแรกให้ทันนั้นเอง ผมมาถึงภาควิชาศิลปะก็เล่นเอาเกือบจะเก้าโมงแล้ว ต้องรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของอาคารเรียนเพื่อที่จะได้ทันเข้าห้องก่อนอาจารย์ เนื่องด้วยผมมาสายที่นั่งโต๊ะท้ายๆของห้องเรียนจึงถูกเพื่อนๆจับจองกันหมดแล้ว ทุกคนคงจะพอทราบว่าเอกอย่างพวกผมไม่ค่อยมีใครชอบนั่งเรียนแถวหน้ากันหรอกครับ ส่วนมากใครที่มาถึงห้องก่อนก็จะรีบจับจองแถวหลังทันที วันนี้ก็เช่นกัน ผมจึงต้องจำใจเดินไปนั่งแถวหน้าซึ่งก็ต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นไอ้เชี่ยโอมกำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เอ้ยโอม วันนี้มึงมาสายเหรอว่ะ ถึงได้มานั่งหน้าชั้นได้?”
ผมยิ่งคำถามทันที ที่นั่งลงข้างๆโต๊ะของไอ้เดือนมหาลัยหน้าหล่อ
“เปล่า กูอยากมานั่งข้างหน้าเฉยๆ มึงมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ปะป่าว กูก็แค่แปลกใจ ที่เห็นคนอย่างมึงมานั่งตรงนี้”
“กูก็อยากเปลี่ยนที่นั่งบ้าง มึงจะทำไม?”
โอม ศักดิ์พินิจ หันเอาหน้าหล่อๆของมันมาทางผม พร้อมจ้องด้วยสายตากวนประสาท
“โอ๊ะ! ผีเข้ามึงเหรอ? ทุกทีเห็นชอบหลังตลอด”
“มันก็ต้องมีเปลี่ยนกันบ้าง เดิมๆก็เบื่อแย่สิว่ะ มึงว่าจริงไม๊ทุ่ง”
“เหรอ? แล้วนี้ถ้ามึงลองมาหน้าแล้วมันไม่เวิร์ค มึงจะกลับไปหลังป่ะ?”
“ถึงกูจะอยากกลับไปมากเท่าไร แต่มันก็สายไปแล้วว่ะมึง”
โอม ศักดิ์พินิจ ตอบเพื่อนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าๆ
“แล้วถ้ามันยังไม่สายไปล่ะ?”
“! ?”
ก่อนที่ผมกับไอ้เชี่ยโอมจะพูดคุยกันไปมากกว่านั้น อาจารย์ก็เข้ามาในห้องเรียนเสียก่อน จึงทำให้พวกเรานักศึกษาต้องหยุดเห่าหยุดหอนกันเป็นการชั่วคราว จากนั้นเวลาของการเล่าเรียนก็เริ่มต้นขึ้น ทามกลางบรรยากาศที่แสนจะวุ่นวายของนักศึกษาภาควิชาศิลปศึกษา เพราะบางคนก็ลืมเครื่องมือ บางคนก็ลืมงานมาส่งในส่วนของอาทิตย์ที่แล้วเพราะตอนนี้อาจารย์ได้ตามงานกันเพื่อจะได้ให้คะแนนในส่วนของภาคปฏิบัตินั้นเอง
“โอ้ย กว่าจะส่งงานครบทุกชิ้น เกือบตายเลยกู”
ผมบ่นออกมาดังๆหลังจากที่เลิกเรียนในคาบสุดท้ายของวันนี้
“เริ่ดนะยะ เทอมนี้มาแรง เก็บได้ทุกงานเลยนะแก”
เสียงไอซ์ทักผมขึ้นมาดังๆหลังจากที่นางเดินมานั่งข้างๆพร้อมกับแก้วน้ำสองแก้ว
“น้ำที่แกถือมา ให้ฉันใช่ป่ะ?”
“อืม เอาไปสิ น้ำส้มคั้นที่แกชอบ”
ไอซ์ ยื่นแก้วน้ำส้มคั้นจากร้านประจำให้ผมทันที พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัยแอบแฝง
“เกิดไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆเกิดใจดีซื้อน้ำมาให้ฉันด้วย”
“เปล่า ฉันไม่ได้ซื้อ มีคนซื้อให้แก เขาเลยวานให้เพื่อนที่แสนดีอย่างฉันถือมาให้แกแดรกค่ะ”
ไอซ์ อัยรดา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระแนะกระแหนเป็นที่สุด
“ใครว่ะ?”
“โอ้ยจะใครเสียอีกละ ก็โอปป้าสุดหล่อนนั้นแหละ ไม่รู้จะตื้อไปถึงไหน?”
“ของพี่ชนแดนเหรอ?”
“คร้า.... จะใครเสียอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่รายนั้น ไม่รู้จะหลงอะไรเบอร์นี้ สาวๆสวยๆอย่างฉันไม่มอง กลับไปมองตัวอะไรก็ไม่รู้ พูดมาแล้วรมณ์เสีย”
“โอ้ยนางไอซ์ แกก็พูดเกินไป พี่เขาเป็นพี่รหัส ก็ต้องดูแลน้องรหัสเป็นธรรมดาปะว่ะแก”
“จร้า ดูแลกันธรรมดามาก เกินหน้าเกินตาคนอื่นเขา”
“โอ้ยแก ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันต้องรีบไปซ้อมว่ะ เอาไว้วันจันทร์ค่อยเจอกันนะไอซ์ ไปก่อนนะแก บ่ายๆ”
“แก ไม่ให้ฉันไปส่งเหรอ?”
“ไม่เป็นไร พอดีนัดเชี่ยตรีให้มันมารับน่ะแก แต่ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย”
“อืม บ่ายๆแก โชคดีเจอกันวันจันทร์”
ผมเดินจากไอซ์มา ก็รีบตรงไปยังศาลาสามแยกปากหมาทันที เพราะนัดเชี่ยตรีให้มารับที่ศาลาสามแยกปากหมา ก่อนจะกลับหอในด้วยกัน แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงตัวศาลาก็เดินสวนทางกับไอ้เดือนมหาลัยพอดี
“อ้าวโอม จะกลับเลยเหรอ?”
“อืม พอดีว่าจะรีบไปเคลียร์งานให้เสร็จ ยังเหลือค้างอีกเยอะเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำเลยว่ะ”
“อ้าวเหรอ เอาใจช่วยนะมึง สู้ๆ”
“แล้วนี้มึงจะไปไหน หอมึงไม่ได้อยู่ทางนี้น่ะ?”
“กูนัดเชี่ยตรีให้มารับที่ศาลาสามแยกปากหมา แล้วถึงจะไปพร้อมกัน”
หลังจากที่โอมได้ยินชื่อของตรีภพ สีหน้าก็ถอดสีจนเห็นได้ชัด พร้อมกับสายตาเศร้าๆปนความอาลัย
“อ่อ งั้นกูไปน่ะ”
โอม ศักดิ์พินิจ พูดกับผมแค่นั้น แล้วมันก็รีบเดินคอตกจากไปทันที ผมดูก็รู้ว่ามันฝืนตัวเองขนาดไหน
“ไอ้โอม โอม รอเดี๋ยวมึง”
โอม ได้ยินผมร้องเรียกก็หยุดแล้วหันกลับมายังผมทันที แต่ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยคำถาม
“มึงมีไรว่ะทุ่ง เรียกกูเสียงดังเชียว?”
“เอ่อ คะคือว่า วันเสาร์พวกกูจะไปเที่ยวที่หินช้างสี ถ้ามึงอยากไปก็ตามมาน่ะ”
ผมควรทำในสิ่งที่ ควรทำใช่ไหม? หวังว่าผมคงจะตัดสินใจถูกต้อง
“มีใครไปบ้าง?”
เสียงโอมถามออกมา หลังจากที่นิ่งไปพักหนึ่ง
“มึงนี้ก็ไม่น่าถาม อย่างที่มึงรู้ มึงคิดดูดีๆนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ ที่กูจะช่วยมึงได้ ถ้ามึงตัดสินใจได้แล้ว ก็เจอกันที่หินช้างสี วันเสาร์เวลาเจ็ดโมงเช้า”
“อืม”
โอม ตอบรับผมเพียงคำเดียวสั้นๆจากนั้นเขาก็กลับหลังหันเดินมุ่งหน้าไปยังที่จอดรถของภาคศิลป์ ทันที ผมเดินมานั่งรอไอ้ตรีที่ศาลาสามแยกปากหมา ไม่นานมันก็ขับมอไซค์คู่ใจของมันมาจอดข้างๆตัวศาลา ผมต้องรีบเดินไปซ้อนท้ายมอไซค์มันทันที เพราะมันไม่ยอมดับเครื่องรถ
“ตรี วันเสาร์นี้มึงว่างป่ะ?”
“ว่าง ก็ไม่ได้ทำไร มึงมีไรเหรอ?”
“พอดีว่า กูจะชวนมึงไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
“เที่ยวเหรอ ที่ไหนว่ะ?”
“หินช้างสี”
“เอาสิ ไปพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน บางทีชีวิตอาจจะดีขึ้น ได้พักผ่อนเสียบ้าง”
“โอเคงั้นก็ตามนี้น่ะ เราจะออกจากที่นี้เช้าๆหน่อยให้ไปถึงที่โน้นสักเจ็ดโมง จะได้ไม่ร้อน มึงว่าโอมั้ย?”
“ตามแต่มึงสิ กูยังไงก็ได้ เออทุ่ง ถ้ากูจะชวนเพื่อนไปด้วยอีกสักคนมึงจะโอเคเปล่าว่ะ?”
“ชวนเพื่อน?”
“อืม จริงๆก็ไม่เชิงเพื่อนหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ คนนี้มึงก็รู้จักดี”
“ใคร? นี้มึงอย่าบอกกูน่ะว่า เป็นพี่สงกรานต์!”
“อ้าวพี่เชอรี่ หวัดดีครับ เช้านี้สวยเด่นเป็นนางพญามาเลยนะครับเจ้”
ผมกล่าวทักเจ๊ใหญ่ของวงการ วันนี้นางมาในชุดแดงเพลิงพร้อมกับปากสีชมพูปัดแก้มเบาๆตามสไตล์อันสุดมั่นของนาง
“หวัดดีจ๊ะลูกสาวของคุณแม่ เจ้ก็สวยของเจ้แบบนี้ตลอดแหละ เอ่อหน้าตาสดชื่นขึ้นนะเรา สงสัยได้ยาดีมาแน่ๆ”
“โอ้ย พี่เชอรี่ บอกว่าอย่าเรียกลูกสาวครับ พี่เกรงใจหุ่นควายๆของผมด้วย”
“ต๊าย! ใครบอกว่าเธอหุ่นควายย่ะ อย่างเธอมันหุ่นนางแบบอินเตอร์ชัดๆ เจ้ยังอิจคุณน้องเลย อยากได้หุ่นแบบนี้บ้าง บางทีเจ้อาจจะได้ผัวเป็นหมอหมาบ้างก็ได้ใครจะไปรู้ อิอิ”
“เจ้! โอ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว คุยด้วยทีไรแว้งกัดผมทุกทีเลย”
“ว้าย! เจ้ไม่ใช่หมานะค่ะคุณน้องที่จะได้กัด แต่ถ้าเป็นผู้ชายหล่อๆก็ไม่แน่เจ้จะงับคอเลย”
“ก็เจ้เล่นพูดมาแบบผมไปไม่เป็นเลยนี้ ถ้าขืนพูดมากอีกผมจะจับเจ้ไปฉีดยากันบ้าเลย”
“แหม๋ๆพูดนิดพูดหน่อยทำเป็นเขิน รอเจ้ด้วยสิคุณน้องอย่ารีบวิ่งเจ้ตามไม่ทัน”
ในระหว่างที่ผมกับเจ๊เชอรี่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่รอบสนามนั้นก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเชี่ยตรีเดินเข้าสนามมา ไม่ใช่แปลกใจที่ไอ้เชี่ยตรีมันเดินเข้ามานะครับที่แปลกใจคือบุคคลที่เดินตามตูดของมันมานั้นล่ะที่สร้างความแปลกประหลาดให้กับพวกเรา
“ว้ายต๊ายแล้วคุณน้องทุ่งขา เห็นเหมือนกันกับเจ้ไม๊ค่ะ? นั้นๆน้องตรีของเรามากับใคร”
“เออว่ะ แล้วเชี่ยตรีมันมากะใครวะเจ้”
“อ้าวคุณน้องเป็นเพื่อนสนิทน้องตรี ก็ไม่รู้เหรอค่ะ ว่าผู้ชายคนสูงใหญ่คนนั้นเป็นใคร”
ผมต้องหยุดวิ่งแล้วใช้สายตาเพ่งไปยังจุดที่ทั้งคู่กำลังยืนคุยกัน ผมก็ต้องตกใจ นั้นมันพี่สงกรานต์ คนที่ช่วยไอ้เชี่ยตรีไว้วันนั้นนี่น่า
“เป็นไงค่ะคุณน้อง ดูออกไหม เป็นคนที่คุณน้องรู้จักเปล่า?”
“เอ่อ มะ ..ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยเจ้”
“จริงเหรอ? แต่เอะทำไมเจ้คุ้นหน้าจังเลย เหมือนๆเป็นนักกีฬาอะไรสักอย่างนี้แหละฯ็น”
“เจ้ก็ไปถามเชี่ยตรีเองดิ จะได้รู้ว่าใคร? ไม่ต้องมายืนงงเป็นไก่ตาแตกกันอยู่แบบนี้”
“ว้ายต๊ายแล้ว ใครจะไปกล้าถามค่ะคุณน้อง ปะๆไปวิ่งต่อเถอะ หยุดต่อมเผือกไว้ก่อน โน้นๆโค้ชมาแล้ว”
เจ๊เชอรี่รีบชี้ไปยังโค้ชนักกีฬาวอลเลย์บอลที่ตอนนี้มายืนคุมนักกีฬาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ วันนี้พวกเราซ้อมเกือบถึงสองชั่วโมงถึงได้เวลาเลิกซ้อมกลับไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะต้องรีบไปเรียนให้ทัน
“ไอ้เชี่ยตรี มึงจะรีบไปไหนไม่ทราบ ตั้งแต่เช้ามืดมากูยังไม่มีโอกาสได้คุยกับมึงเลยนะเว้ย”
ผมเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทไป ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนนั้นต้องการหลบหน้าไม่ต้องการตอบคำถามที่ผมอยากถามนั้นเอง
“แล้วมึงมีไรจะคุยกะกูว่ะ?”
“อ้าวไอ้ห่านนี้ พูดออกมาได้ ก็..กูอยากเผือกเรื่องของมึง ไม่ได้หรือไง?”
“เอ่อตรงดีนะมึง แสดงว่าต่อมเผือกของมึงมันคันเขย่อมาก”
“ไอ้เชี่ยตรี มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นเว้ย พูดซะกูหมดค่าเลย”
“อ้าวใครจะไปรู้ กูเห็นมึงส่อแววตั้งแต่กูเดินเข้ามาในโรงยิมเมื่อเช้าแล้ว”
“สรุปเป็นไงมาไงว่ะมึง ถึงได้หนีบพี่กรานต์มาด้วยเมื่อเช้านี้”
“ใครหนีบ? กูเปล่าสักหน่อย”
“มึงกำลังจะบอกกูว่า พี่เขามาหามึงเองว่างั้น?”
“โอ๊ะ...? แน่นอน พี่เขามาเอง ไม่เกี่ยวกับกู”
“ช่างกล้า มั่นหน้ามั่นโหนกนะมึง”
“แน่นอน นิวตรีทูเดย์เว้ย”
“สรุปมึงจะบอกกูได้ยังว่ะ ว่าไอ้พี่กรานต์มากับมึงได้ไง แล้วทำไมต้องมากับมึงวะเชี่ยตรี”
“โอ้ยไอ้ทุ่ง มึงเอาที่ละคำถาม ทีละประเด็นได้ปะวะ เล่นยิงมาเป็นชุดแบบนี้กูตอบไม่ทัน”
“เอ่อ มึงจะบอกกูได้ยัง ว่ามึงกับพี่เขามาด้วยกันได้ไง?”
“พอดีกูเจอพี่เข้าตอนจะเข้ามาในโรงยิม พี่เขาจะมาซ้อมฟุตบอลก็แค่นั้น”
“พูดยังกะกูเป็นเด็กอมมือ ที่จะมองไม่ออกมาแมวมันกำลังจะกินปลาย่าง”
“แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ?”
“เอาจริงเหรอมึง?”
“เปล่ากูแค่คุยขำๆ กูเข็ดแล้วว่ะทุ่ง เรื่องความรัก”
ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งไปกับความคิดของเพื่อน ที่ตอนนี้ตรีคนเดินได้หายไปจากผมแล้วใช่ไหม? ผมยังงงอยู่กับมุมมองของเพื่อนสนิทแต่ไอ้เพื่อนตัวร้ายของผมมันได้เดินจากผมไปตั้งนานแล้ว มันคงปล่อยผมงงอยู่เพียงคนเดียว
“ทุ่ง.... เป็นไรว่ะมึง ยืนเหม่ออะไรแต่เช้าเชียว?”
ไม่รู้ว่าป่าสักมาตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีป่าสักก็มายืนเรียกผมอยู่ข้างตัวแล้ว
“อ่อ ปะเปล่าหรอกมึง กูก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“ยังคิดเรื่องพ่ออยู่อีกเหรอ?”
ป่าสักถามทุ่งธรออกไปพร้อมกับยื่นมือไปรับลูกวอลเลย์บอลจากมือของอีกฝ่ายมาถือไว้แทน
“ไม่หรอก กูเลิกคิดเรื่องนั้นไปนานแล้ว”
ทุ่งธรตอบป่าสักออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ พร้อมกับเดินไปยังลานจอดรถของโรงยิม
“แล้วมึงคิดเรื่องไรว่ะ?”
“ก็ไม่นิ กูก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นี้มึงซ้อมเสร็จแล้วใช่ป่ะ”
“อืม มีไรเหรอ?”
ป่าสักเปิดประตูรถพร้อมกับจัดการจับลูกบาสและลูกวอลเลย์บอลใส่ท้ายรถหรูทันที
“เปล่า งั้นเราไปกันเถอะ นี้ก็สายมากแล้ว”
“เอ่อทุ่ง เสาร์นี้อยากไปพักผ่อนไหม?”
ป่าสักถามทุ่งธรออกไป หลังจากที่ทั้งคู่นั่งรถกลับหอพักด้วยกัน โดยวันนี้พวกเขาไม่ได้แวะทานข้าวเช้าที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย เพราะตอนนี้สายมากแล้ว
“ไปเที่ยวเหรอ?”
“อืม กูว่าจะพามึงไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที เสาร์นี้เราไปกันน่ะ”
“ที่ไหนว่ะ?”
“มึงเคยไป หินช้างสี ไม๊”
“เคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยไปสักทีเลย หินช้างสีที่มันอยู่แถวเขื่อนใช่ป่ะ?”
“ อืม งั้นก็ดีเลย เพราะที่นี้วิวสวย หินงานมากๆเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่วิจิตรตระการตา เหมาะกับคนเรียนศิลปะอย่างมึงมากๆ ซึ่งธรรมชาติได้ปรุงแต่งผืนป่าอันเขียวขจีแทรกอยู่กับกลุ่มหินทรายขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตา น่ามองทีเดียวเลยแหละ”
“โอ้ ! ข้อมูลเปะมากเลยนะมึง”
“แน่นอนก็กูมันเทพอยู่แล้ว”
“แล้วมึงพอจะรู้ประวัติหินช้างสีปะว่ะ? ทำไมมันต้องชื่อว่าหินช้างสีด้วย”
“ประวัติเหรอ? ได้ยินมาว่าหินช้างสี แต่เดิมเป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ของบ้านเรา มีช้างป่าและสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบโป่งดินที่มีรอยแทะกินของสัตว์ต่างๆ และที่บริเวณโขดหินที่มีรอยแทะกินของสัตว์มีร่องรอยโคลนดินและขนช้าง ที่เกิดจากการเสียดสีผิวหนังของช้างป่า เป็นที่มาของชื่อ หินช้างสี มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในบริเวณนี้ ก็มีพวก กลุ่มหินช้างสี จุดชมวิวหินหัวกะโหลก โป่งธรรมชาติ น้ำในโพรงหิน และภาพเขียนสีสลักก่อนประวัติศาสตร์ แถมมึงยังจะได้เห็นวิวจากด้านบนสันเขื่อนอุบลรัตน์เลยนะเว้ย รับรองมึงเห็นแล้วต้องติดใจแน่ๆ”
“โอ้ พูดซะให้กูเกิดกิเลสอยากไปมากๆเลยวะมึง โอเค งั้นเสาร์นี้เราไปกัน”
ป่าสักเห็นท่าทางดีใจอย่างกับเด็กของทุ่งธร ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวสวยงามเรียงกันเป็นซี่อย่างคนที่สุขภาพช่องปากที่ดี
“มึงยิ้มไรว่ะ?”
“ปะเปล่า กูก็ยิ้มไปเรื่อย”
“มึงนี้ท่าจะบ้าไปทุกวันแล้วนะ”
“เอ่อทุ่ง กูว่าเราขับมอไซค์ไปเองดีไหม?”
“ดีๆ ขับรถขึ้นเขาจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดเลย”
“ทุ่ง มึงจะนั่งซ้อนท้ายกู หรือจะขับไปคนละคัน”
ป่าสักถามทุ่งธรขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินขึ้นบันไดหอพัก อย่างรีบเร่งเพราะตอนนี้ก็สายมากแล้ว
“อืม ...อยากลองขับเองว่ะ”
“ได้เดี๋ยวทริปนี้ ป๋าจัดให้”
“ขอบคุณนะป่าสัก มึงดีกับกูมาตลอดเลย”
“ก็กูบอกมึงไปแล้วไงว่าจะดูแลมึงเอง เรื่องแค่นี้สบายมาก”
“เอ่อป่าสัก กูว่าไหนๆเราก็จะเอามอไซค์ไปแล้ว ชวนเชี่ยตรีไปด้วยได้ไหม?”
“เอาสิ ไปกันหลายๆคนสนุกดี ว่าแต่ไอ้เชี่ยตรีมันจะไปกับเราหรือ?”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”
“อืมตามนั้น”
หลังจากนั้นผมกับป่าสักก็ต้องรีบทำเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปเรียนคาบแรกให้ทันนั้นเอง ผมมาถึงภาควิชาศิลปะก็เล่นเอาเกือบจะเก้าโมงแล้ว ต้องรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของอาคารเรียนเพื่อที่จะได้ทันเข้าห้องก่อนอาจารย์ เนื่องด้วยผมมาสายที่นั่งโต๊ะท้ายๆของห้องเรียนจึงถูกเพื่อนๆจับจองกันหมดแล้ว ทุกคนคงจะพอทราบว่าเอกอย่างพวกผมไม่ค่อยมีใครชอบนั่งเรียนแถวหน้ากันหรอกครับ ส่วนมากใครที่มาถึงห้องก่อนก็จะรีบจับจองแถวหลังทันที วันนี้ก็เช่นกัน ผมจึงต้องจำใจเดินไปนั่งแถวหน้าซึ่งก็ต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นไอ้เชี่ยโอมกำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เอ้ยโอม วันนี้มึงมาสายเหรอว่ะ ถึงได้มานั่งหน้าชั้นได้?”
ผมยิ่งคำถามทันที ที่นั่งลงข้างๆโต๊ะของไอ้เดือนมหาลัยหน้าหล่อ
“เปล่า กูอยากมานั่งข้างหน้าเฉยๆ มึงมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ปะป่าว กูก็แค่แปลกใจ ที่เห็นคนอย่างมึงมานั่งตรงนี้”
“กูก็อยากเปลี่ยนที่นั่งบ้าง มึงจะทำไม?”
โอม ศักดิ์พินิจ หันเอาหน้าหล่อๆของมันมาทางผม พร้อมจ้องด้วยสายตากวนประสาท
“โอ๊ะ! ผีเข้ามึงเหรอ? ทุกทีเห็นชอบหลังตลอด”
“มันก็ต้องมีเปลี่ยนกันบ้าง เดิมๆก็เบื่อแย่สิว่ะ มึงว่าจริงไม๊ทุ่ง”
“เหรอ? แล้วนี้ถ้ามึงลองมาหน้าแล้วมันไม่เวิร์ค มึงจะกลับไปหลังป่ะ?”
“ถึงกูจะอยากกลับไปมากเท่าไร แต่มันก็สายไปแล้วว่ะมึง”
โอม ศักดิ์พินิจ ตอบเพื่อนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าๆ
“แล้วถ้ามันยังไม่สายไปล่ะ?”
“! ?”
ก่อนที่ผมกับไอ้เชี่ยโอมจะพูดคุยกันไปมากกว่านั้น อาจารย์ก็เข้ามาในห้องเรียนเสียก่อน จึงทำให้พวกเรานักศึกษาต้องหยุดเห่าหยุดหอนกันเป็นการชั่วคราว จากนั้นเวลาของการเล่าเรียนก็เริ่มต้นขึ้น ทามกลางบรรยากาศที่แสนจะวุ่นวายของนักศึกษาภาควิชาศิลปศึกษา เพราะบางคนก็ลืมเครื่องมือ บางคนก็ลืมงานมาส่งในส่วนของอาทิตย์ที่แล้วเพราะตอนนี้อาจารย์ได้ตามงานกันเพื่อจะได้ให้คะแนนในส่วนของภาคปฏิบัตินั้นเอง
“โอ้ย กว่าจะส่งงานครบทุกชิ้น เกือบตายเลยกู”
ผมบ่นออกมาดังๆหลังจากที่เลิกเรียนในคาบสุดท้ายของวันนี้
“เริ่ดนะยะ เทอมนี้มาแรง เก็บได้ทุกงานเลยนะแก”
เสียงไอซ์ทักผมขึ้นมาดังๆหลังจากที่นางเดินมานั่งข้างๆพร้อมกับแก้วน้ำสองแก้ว
“น้ำที่แกถือมา ให้ฉันใช่ป่ะ?”
“อืม เอาไปสิ น้ำส้มคั้นที่แกชอบ”
ไอซ์ ยื่นแก้วน้ำส้มคั้นจากร้านประจำให้ผมทันที พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัยแอบแฝง
“เกิดไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆเกิดใจดีซื้อน้ำมาให้ฉันด้วย”
“เปล่า ฉันไม่ได้ซื้อ มีคนซื้อให้แก เขาเลยวานให้เพื่อนที่แสนดีอย่างฉันถือมาให้แกแดรกค่ะ”
ไอซ์ อัยรดา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระแนะกระแหนเป็นที่สุด
“ใครว่ะ?”
“โอ้ยจะใครเสียอีกละ ก็โอปป้าสุดหล่อนนั้นแหละ ไม่รู้จะตื้อไปถึงไหน?”
“ของพี่ชนแดนเหรอ?”
“คร้า.... จะใครเสียอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่รายนั้น ไม่รู้จะหลงอะไรเบอร์นี้ สาวๆสวยๆอย่างฉันไม่มอง กลับไปมองตัวอะไรก็ไม่รู้ พูดมาแล้วรมณ์เสีย”
“โอ้ยนางไอซ์ แกก็พูดเกินไป พี่เขาเป็นพี่รหัส ก็ต้องดูแลน้องรหัสเป็นธรรมดาปะว่ะแก”
“จร้า ดูแลกันธรรมดามาก เกินหน้าเกินตาคนอื่นเขา”
“โอ้ยแก ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันต้องรีบไปซ้อมว่ะ เอาไว้วันจันทร์ค่อยเจอกันนะไอซ์ ไปก่อนนะแก บ่ายๆ”
“แก ไม่ให้ฉันไปส่งเหรอ?”
“ไม่เป็นไร พอดีนัดเชี่ยตรีให้มันมารับน่ะแก แต่ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย”
“อืม บ่ายๆแก โชคดีเจอกันวันจันทร์”
ผมเดินจากไอซ์มา ก็รีบตรงไปยังศาลาสามแยกปากหมาทันที เพราะนัดเชี่ยตรีให้มารับที่ศาลาสามแยกปากหมา ก่อนจะกลับหอในด้วยกัน แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงตัวศาลาก็เดินสวนทางกับไอ้เดือนมหาลัยพอดี
“อ้าวโอม จะกลับเลยเหรอ?”
“อืม พอดีว่าจะรีบไปเคลียร์งานให้เสร็จ ยังเหลือค้างอีกเยอะเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำเลยว่ะ”
“อ้าวเหรอ เอาใจช่วยนะมึง สู้ๆ”
“แล้วนี้มึงจะไปไหน หอมึงไม่ได้อยู่ทางนี้น่ะ?”
“กูนัดเชี่ยตรีให้มารับที่ศาลาสามแยกปากหมา แล้วถึงจะไปพร้อมกัน”
หลังจากที่โอมได้ยินชื่อของตรีภพ สีหน้าก็ถอดสีจนเห็นได้ชัด พร้อมกับสายตาเศร้าๆปนความอาลัย
“อ่อ งั้นกูไปน่ะ”
โอม ศักดิ์พินิจ พูดกับผมแค่นั้น แล้วมันก็รีบเดินคอตกจากไปทันที ผมดูก็รู้ว่ามันฝืนตัวเองขนาดไหน
“ไอ้โอม โอม รอเดี๋ยวมึง”
โอม ได้ยินผมร้องเรียกก็หยุดแล้วหันกลับมายังผมทันที แต่ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยคำถาม
“มึงมีไรว่ะทุ่ง เรียกกูเสียงดังเชียว?”
“เอ่อ คะคือว่า วันเสาร์พวกกูจะไปเที่ยวที่หินช้างสี ถ้ามึงอยากไปก็ตามมาน่ะ”
ผมควรทำในสิ่งที่ ควรทำใช่ไหม? หวังว่าผมคงจะตัดสินใจถูกต้อง
“มีใครไปบ้าง?”
เสียงโอมถามออกมา หลังจากที่นิ่งไปพักหนึ่ง
“มึงนี้ก็ไม่น่าถาม อย่างที่มึงรู้ มึงคิดดูดีๆนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ ที่กูจะช่วยมึงได้ ถ้ามึงตัดสินใจได้แล้ว ก็เจอกันที่หินช้างสี วันเสาร์เวลาเจ็ดโมงเช้า”
“อืม”
โอม ตอบรับผมเพียงคำเดียวสั้นๆจากนั้นเขาก็กลับหลังหันเดินมุ่งหน้าไปยังที่จอดรถของภาคศิลป์ ทันที ผมเดินมานั่งรอไอ้ตรีที่ศาลาสามแยกปากหมา ไม่นานมันก็ขับมอไซค์คู่ใจของมันมาจอดข้างๆตัวศาลา ผมต้องรีบเดินไปซ้อนท้ายมอไซค์มันทันที เพราะมันไม่ยอมดับเครื่องรถ
“ตรี วันเสาร์นี้มึงว่างป่ะ?”
“ว่าง ก็ไม่ได้ทำไร มึงมีไรเหรอ?”
“พอดีว่า กูจะชวนมึงไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
“เที่ยวเหรอ ที่ไหนว่ะ?”
“หินช้างสี”
“เอาสิ ไปพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน บางทีชีวิตอาจจะดีขึ้น ได้พักผ่อนเสียบ้าง”
“โอเคงั้นก็ตามนี้น่ะ เราจะออกจากที่นี้เช้าๆหน่อยให้ไปถึงที่โน้นสักเจ็ดโมง จะได้ไม่ร้อน มึงว่าโอมั้ย?”
“ตามแต่มึงสิ กูยังไงก็ได้ เออทุ่ง ถ้ากูจะชวนเพื่อนไปด้วยอีกสักคนมึงจะโอเคเปล่าว่ะ?”
“ชวนเพื่อน?”
“อืม จริงๆก็ไม่เชิงเพื่อนหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ คนนี้มึงก็รู้จักดี”
“ใคร? นี้มึงอย่าบอกกูน่ะว่า เป็นพี่สงกรานต์!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ