ลมหวาน ป่าหนาว
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
42) ลมหวาน ป่าหนาว อวสาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้ามืดของวันเสาร์ พวกเราออกเดินทางมุ่งหน้าไปหินช้างสี ป่าสักขับ BMW K1600GTLSpecial Color สีน้ำเงิน-ดำ ผมเห็นป่าสักขึ้นนั่งค้อมขับมอไซค์คนหรูแล้วดูหล่อดูเท่ห์มากๆ ยิ่งวันนี้ป่าสักสวมแว่นตากันแดดสีดำตามด้วยชุดหนังสีดำด้วยแล้วยิ่งทำให้ใบหน้าเรียวๆของเขาดูมีสไตล์เข้าไปอีก ยิ่งมองยิ่งหลง คนอะไรก็ไม่รู้หล่อจังเลย ส่วนผมนะเหรอป่าสักก็จัดให้แบบผมต้องตะลึงไปเลยกับ Harley-Davidson CVO Limited สีดำล้วน กับชุดหนังดำ ดูเข้ากันมากๆ ฟินสิครับงานนี้ ได้ขับรถเที่ยวชมนกชมไม้ บนป่าเขาลำเนาไพร ป่าสักขับนำหน้าขบวน ตามด้วยผม ตรีภพ และปิดท้ายขบวนในทริปนี้คือพี่สงกรานต์นั้นเอง พวกเรามาถึงสถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ก็สักเกือบๆจะเจ็ดโมงเช้าพอดี จอดรถไว้ใต้ร่มไม้แล้วก็เดินเท้าต่อสักประมาณห้าสิบเมตรเราก็ต้องตกตะลึงกับลานหินทรายน้อยใหญ่สลับกันไปตามเนินเขา มองดูแล้วสวยงามแปลกตามากๆเลย
“เป็นไงทุ่ง สวยอย่างที่กูบอกไว้ไม๊”
ป่าสักเดินมาพร้อมกับใช้มืออีกข้างคว้าไหล่ของทุ่งธรมากอดไว้หลวมๆแล้วเดินไปพร้อมกันทามกลางบรรยากาศที่แสนจะชดชื่น ลานหินทรายที่สลับตัวก่อนอย่างสวยงาม ช่างเป็นบรรยากาศที่สุดจะบรรยายได้จริงๆ
“อืม สวยจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าแถวขอนแก่นบ้านเราจะมีสถานที่สวยๆแบบนี้เนาะ”
“เดินขึ้นไปอีกนิด ก็จะเจอหินที่ก้อนใหญ่และสวยกว่านี้แน่ๆ”
“จริงอะ?”
“อืม มาๆถ่ายรูปกันหน่อย เอาวิวตรงนี้แหละกำลังสวย”
ป่าสักร้องเรียกตรีภพและสงกรานต์ให้มาร่วมเฟรมด้วย จากนั้นทั้งสี่คนก็ถ่ายรูปอัพลงโซเชียลกันอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว มีทั้งภาพเดียวภาพคู่และภาพหมู่คณะ
ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกในการถ่ายภาพกับวิวสวยๆของหินทรายท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามอยู่นั้น ตรีภพก็เดินออกจากกลุ่มตรงไปยังหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่เยื่องๆไปทางทิศตะวันตกของสวนหินช้างสี ตรีภพเห็นหลังใครคนหนึ่งเดินไวๆหลบไปข้างหินก้อนนั้น เขาแปลกใจเป็นอย่างมากที่ชายคนนั้นลักษณะท่าทางคล้ายๆกับใครบางคนที่เขาอยากจะลบออกจากใจ
“เหมือนจริงๆ ทำไมถึงได้เหมือนกันอย่างนี้”
ตรีภพรำพันกับตัวเองเบาๆออกมาหลังจากที่เดินตรงมายังชายคนนั้น แต่พอมาดูใกล้ๆก็ปรากฏว่าเป็นใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่รู้จัก จู่ๆโทรศัพท์ของตรีภพก็ดังขึ้นมา เขาหยิบมือถือขึ้นมาดูก็ปรากฏว่าเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน เขาลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจรับสายได้
“ฮัลโล สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใครหรือครับ?”
ตรีภพกรอกเสียงไปตามสายทันที หลังจากที่ตัดสินใจกดรับสายแล้ว แต่ก็มีแต่ความเงียบไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด
“น้องตรี มาทำอะไรตรงนี้ครับ?”
เสียงสงกรานต์ร้องทัก หลังจากที่เขาเดินตามตรีภพมาด้วยความเป็นห่วง ตรีภพจึงตัดสินใจกดวางสายโทรศัพท์ทิ้งไป
“อ่อ ปะเปล่าหรอกครับพี่กรานต์ พอดีว่าตรีเดินมาดูวิวทางนี้เฉยๆ พี่กรานต์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีว่าป่าสักกับทุ่งธร เขาเดินขึ้นไปข้างบนสันเขาแล้ว เห็นว่าจะไปดูน้ำในโพรงหิน พี่ว่ามันน่าสนใจดี เลยมาชวนตรีไปดูด้วยกันครับ”
“เอาสิครับ ตรงนี้คงไม่มีอะไรน่าดูแล้ว ไปดูน้ำในโพรงหินข้างบนก็คงดีเหมือนกันครับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินมุ่งหน้าตรงไปข้างบนสันเขาทันที แต่ในระหว่างทางเดินนั้น พื้นเป็นทางขรุขระสลับกับมีก้อนหินน้อยใหญ่ จึงยากสำหรับคนที่ไม่ชินทาง จึงเป็นสาเหตุให้ตรีภพเดินไปสะดุกก้อนหินแล้วล้มลงไปอย่างจัง
“โอ้ยยยย”
ตรีภพร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อเท้าเขาไปสะดุดกับก้อนหินนั้น แล้วล้มลงอย่างจัง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าน้องตรี”
สงกรานต์ที่เดินตามมาติดๆรีบวิ่งเข้าไปประครองร่างตรีภพที่ล้มลงไปนอนราบกับพื้นให้ลุกขึ้นนั่งทันที
“ปวดตรงข้อเท้า สงสัยข้อเท้าน่าจะแพลงนะครับ”
“ไหนพี่ขอดูหน่อยครับ”
สงกรานต์พูดเสร็จก็ค่อยๆเอามือจับข้อเท้าของตรีภพ แต่ยังไม่ได้ขยับเลยแค่เอามือแตะความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นกับตรีภพอีกครั้ง
“โอ้ยย พี่กรานต์ผมเจ็บครับ”
“สงสัยเท้าจะแพลงจริงๆด้วย ทำไงดีละทีนี้ น้องตรีพอจะใช้เท้าอีกข้างยันตัวให้ลุกขึ้นได้ไหมครับ?”
ในระหว่างที่สงกรานต์กำลังแนะนำวิธีที่จะพาตรีภพไปหาหมออยู่นั้น จู่ๆเดือนมหาวิทยาลัยอย่างโอม ศักดิ์พินิจ ก็เข้ามาคว้าเอาร่างของตรีภพขึ้นไปแบกไว้บนบ่าทันที
“ไอ้โอม!”
ตรีภพลืมความเจ็บปวดไปทันที เมื่อรู้ว่าใครที่มาอุ้มตัวเขาขึ้นไปไว้บนบ่า
“เอ่อกูเอง จะใครล่ะ”
โอมตอบพร้อมใช้สายตามองไปยังดวงตาของตรีภพทันที เพราะอีกคนกำลังฝืนตัวที่จะไม่ไปตามแรงอุ้มของอีกฝ่าย
“มึงมาได้ไง !”
“ช่างกูเหอะ ตอนนี้มึงต้องรีบไปหาหมอก่อน”
“อะไรของมึงวะโอม มึงทำแบบนี้ทำไม?”
ตรีภพ ถามศักดิ์พินิจออกไปทันที เพราะเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาวุ่นวายกับตัวเองอีกทำไม
“ตรี กูขอโทษ”
โอม กล่าวคำขอโทษต่อตรี ออกมาอย่างสำนึกผิด ที่ได้ตัดสินใจทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมาแล้ว
“มึงเป็นเชี่ยไร มึงบ้าไปแล้วเหรอ? หรือมึงลืมแดกยาไอ้เชี่ยโอม”
“กูไม่ได้เป็นบ้า กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น กูตัดสินใจดีแล้ว”
“นั้นมันเรื่องของมึง มันไม่เกี่ยวกับกู มึงจะตัดสินใจอะไรก็เรื่องของมึง มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะเว้ย ไอ้โอม ไอ้เลว”
ตรีภพทั้งดิ้น ทั้งใช้มือทุบ ทำทุกอย่างที่จะกระทำได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
“อย่าดิ้นสิตรี ขาเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวตกลงมาได้ขาหักอีกข้างพอดีหรอก”
“กูจะเป็นจะตาย มันก็เรื่องของกู ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้”
“ขาเจ็บอยู่แต่ยังปากดีนะมึง เดี๋ยวจับจูบเลยดีมั้ย”
“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะเว้ย ไอ้เชี่ยโอม”
ในขณะที่โอม ศักดิ์พินิจกับตรีภพ กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น สงกรานต์ก็ตัดสินใจเข้าไปห้ามทัพเสียก่อน
“น้องๆครับ พี่ว่าใจเย็นๆกันก่อนไหม มีอะไรก็ค่อยๆพูดกัน ดูสิคนอื่นๆเขามองกันหมดแล้ว”
โอมหยุดเดินชั่วคราว แล้วมองดูคนที่วิ่งเข้ามาพูดกับเขาทันที จากนั้นโอมก็ถามตรีภพออกไปทันที
“ไอ้นี้เป็นใคร? แล้วเป็นอะไรกับมึง เข้ามาเผือกทำไม?”
“พี่เขาจะเป็นใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับมึง ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะเว้ยไอ้เชี่ยโอม”
“ได้ มึงไม่บอกกูก็ได้ เดี๋ยวกูบอกมันเอง”
จากนั้นโอม ก็หันไปมองหน้าคนที่มายืนข้างๆเขาทันที ด้วยสาตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างมาก
“คนที่ผมแบกอยู่นี้ เป็นแฟนผม คนที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่ายุ่ง นี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว”
ตรีภพได้ยินคำพูดแบบนั้นออกจากปากของโอม ก็หยุดดิ้นทันที พร้อมรีบหันไปมองดูนักท่องเที่ยวที่กำลังมายืนมุงดูเขากับโอมทะเลาะกัน
“เออครับ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่งพี่แค่เป็นห่วงเฉยๆครับ”
สงกรานต์ได้ยินคำพูดแบบนั้นออกจากปากของผู้ชายที่กำลังแบกตรีภพอยู่ ก็พอเข้าใจอะไรมากขึ้นในทันที
“งั้นน้องก็รีบพาน้องตรีไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ ดูอาการแล้วน่าจะหนัก”
**ใจแอบเหงาในห้องเช่าข้างโรงงาน คนไกลบ้าน ใจลอยไปถึงบ้านเรา
แหงนมองจันทร์ ผ่านทางหน้าต่างห้องเช่า จันทร์ไม่เต็มดวงดูเหงา ช่างเหมือนเราที่ไม่มีใคร
มีเพียงฝัน และใจมั่นเป็นเพื่อนเรา ใครกันเล่า จะแบ่งเบาให้เหงาหายไป
เหมือน ก้อนดิน กลิ้งปนฝุ่นเมืองหมองไหม้ พบเธอแค่เผลอมองไป เจียมใจจนต้องหลบตา
อยากมีคนเต็มใจรัก อยากรักคนเต็มใจรอ คนนั้นจะมีไหมหนอ กระซิบถามจันทร์ยามล้า
รู้ดี ไม่มีใครสน เป็นแฟนคนธรรมดา ใจฉันเหมือนจันทร์บนฟ้า ที่รอเวลา เต็มดวง
รอหน่อยนะบอกแม่พ่อ ที่รอความหวัง คนเคียงข้างบอกใจรออย่ารีบถามทวง
ฝัน ยังดี ชีวิตไม่มีวันร่วง พระจันทร์ที่ใจถามทวง คงได้เต็มดวง สักวัน
พระจันทร์ที่ใจถามทวง คงได้เต็มดวง..สักวัน..**
*เพลงพระจันทร์ไม่เต็มดวง นัน อนันต์*
หลังจากที่สงกรานต์ยืนมองโอมแบกตรีไปยังรถแล้ว เขาก็สบายใจได้ว่าตรีภพ คงจะปลอดภัยแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินไปหาป่าสักและทุ่งธร ตรงบริเวณจุดชมวิวบนสันเขานั้นเอง
“อ้าวพี่กรานต์ เพิ่งขึ้นมาถึงเหรอครับ แล้วไอ้ตรีล่ะพี่ หายไปไหนครับ”
ป่าสักถามสงกรานต์ทันที ที่เห็นว่าเขากำลังเดินมายังตรงที่เขาและทุ่งธรกำลังยืนชมวิวมองดูน้ำในบริเวณท้ายเขื่อนอยู่นั้นเอง
“ครับ พอดีเกิดเรื่องกับน้องตรีนิดหน่อย แต่ตอนนี้น่าจะถึงหมอแล้วครับ”
“อ้าวแล้วไอ้ตรีเป็นไรครับ ถึงต้องไปหาหมอ”
“หกล้ม ขาแพลงนะครับ คิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรมากครับ”
“อ้าว! แล้วใครพามันไปหาหมอครับพี่กรานต์ พวกเราไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ พอดีเรื่องมันเกิดกะทันหัน ส่วนคนที่พาไปหาหมอ น่าจะเป็นแฟนน้องตรีครับ”
“ไอ้โอม!”
ทั้งป่าสักและทุ่งธร ร้องตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างสุดเสียง
“ครับน่าจะใช่ เห็นตรีเรียกว่าโอม คงจะเป็นคนเดียวกันครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปเดินดูน้ำในโพรงหินทางโน้นก่อนนะครับ”
“ครับพี่กรานต์ ว่าแต่พี่กรานต์ไม่อยู่ชมวิวตรงนี้กับพวกเราก่อนหรือครับ”
ป่าสักเอ่ยชวนอีกฝ่ายให้อยู่ชมวิวตรงจุดชมวิวของสันเขาหินช้างสีด้วยกัน
“ขอบคุณครับ แต่พี่ไม่อยากเป็นก้างเท่าไร น้องๆตามสบายนะครับ”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินชมวิวบนสันเขาไปเรื่อยๆปะปนไปกับนักท่องเที่ยว ที่ตอนนี้เริ่มหนาตากันมากแล้ว
“ไอ้โอมนี้ก็มาแปลกเนาะ ผุดๆโผล่ๆ มันจะเอาไงของมันกันแน่”
ป่าสักหันมาสนทนากับทุ่งธรต่อทันที หลังจากที่ทั้งคู่มองดูร่างของสงกรานต์ที่เดินปะปนไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆแล้ว
“มันก็คง ตัดสินใจได้แล้วมั้ง ว่าจะเลือกเดินทางไหน”
ทุ่งธรตอบป่าสักไป พร้อมกับยิ้มให้กับแผนของตัวเองทันทีอย่างพอใจในผลงาน
“อืม คงจะจริง แล้วมึงละทุ่ง ตัดสินใจได้หรือยัง?”
“ตัดสินใจอะไรว่ะ?”
ทุ่งธรหันมาทางป่าสักทันที เพราะไม่เข้าใจในคำถามของอีกฝ่ายที่อยู่ๆก็ถามออกมาแบบนี้
“อ้าว! ก็ตัดสินใจ ว่าจะให้กูค่อยดูแลมึง และเราจะเดินเคียงข้างกันไปตลอดแบบนี้นะสิ”
ทุ่งธรได้ยินมาแบบนั้น ก็ทำอะไรไม่ถูก เขารีบหันหน้ากลับไปมองดูวิวข้างล่างสันเขาทันที
“วิวตรงนี้สวยจริงๆเลยเนาะ มึงว่ามั้ยป่าสัก”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยทุ่ง กูกำลังถามมึงอยู่น่ะ”
ป่าสักคว้าเอาร่างของทุ่งธรเข้ามากอดไว้อย่างหลวมๆ จากด้านหลังหลังทำให้ตอนนี้ทั้งคู่กอดกันยืนดูวิวบนจุดชมวิวของสันเขา ที่ข้างล่างนั้นเป็นวิวบริเวณของท้ายเขื่อน ทำให้มองออกไปแล้วเห็นแต่น้ำและท้องฟ้าอันสดใส สายลมเย็นๆปะทะเข้ากับใบหน้าของทั้งสองอย่างแผ่วเบา ความอุ่นจากกายของป่าสักทำให้ทุ่งธรนั้นรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยขึ้นมาทันที
“อะไร ถามอะไร”
“ก็ กูจะขอดูแลมึงแบบนี้ตลอดไปได้ไหม?”
ป่าสักกระสิบถามใกล้ๆกับใบหูของทุ่งธรต่อทันที พร้อมกับกอดกระชับอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
“นี้มึงยังต้องขอกูอยู่อีกหรือว่ะ เล่นเข้ามากอดข้างหลังกูสะแน่นแบบนี้”
“อ้าว คนเรามันก็ต้องมีการพูดคุยกันสิ ไม่ใช่ให้กูคิดไปเองฝ่ายเดียวแบบนี้”
“โห่มึง เล่นถามกันตรงๆแบบนี้เลยใช่ไหม?”
“สรุปว่าไง จะเซเยสหรือเซโน ก็ว่ามา”
“เอาจริงเหรอว่ะ”
“อืม กูรอฟังคำตอบอยู่”
“มึงคิดดีแล้วใช่ไหมป่าสัก ที่ถามกูออกมาแบบนี้”
ทุ่งธรตัดสินใจหันหน้ากลับมามองยังคนถามอย่างช้าๆ พร้อมกับจ้องตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ทั้งคู่ยืนมองตากัน ท่ามกลางบรรยากาศบนสันเขาที่แสนจะโรแมนติก
“ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว ความรู้สึกกูก็บอกว่ามึงใช่สำหรับกู แล้วมึงละ”
ป่าสักตอบทุ่งธรกลับไปพร้อมกับใช้วงแขนยาวๆรัดเอวบางๆนั้นเข้ามาใกล้ตัวเขาอีก
“กู กูก็ไม่ต่างอะไรจากมึง มึงคือผู้ชายคนแรกที่กูคิดจะมองและคิดจะรักตลอดไป”
“ตกลงเราเป็นแฟนกันนะ”
“อืม ”
ทุ่งธรตอบกลับมาได้เพียงแค่นั้น เพราะป่าสักไม่รอให้เขาได้พูดอะไรต่อไปอีก ป่าสักรีบโน้มใบหน้าเรียวๆแล้วใช้ปากรูปกระจับของเขามาประกบกับปากบางๆของทุ่งธรทันที รสชาติของจูบที่ทั้งคู่เต็มใจจะมอบความหอมหวานให้กันและกันนั้นมันช่างหอมหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าเสียจริงๆ
“กูจะไม่สัญญากับมึง แต่กูจะกระทำให้มึงเห็นว่ากูจะอยู่เคียงข้างมึงไปตลอด”
ป่าสักบอกทุ่งธรหลังจากที่เขาถอนริมฝีปากรูปกระจับนั้นออกมาจากปากของทุ่งธรอย่างอ่อนโยน
“ป่าสัก ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาน่ะ กูรักมึงวะ”
“กูก็รักมึง รักมากๆเลยด้วย”
จากนั้นทั้งคู่ก็สวมกอดกันอย่างอ่อนโยนโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมายืนมองพวกเขาเลย เพราะตอนนี้ความรักมันล้นออกมาจนไม่สามารถที่จะอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
**อวสาน**
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ