ลมหวาน ป่าหนาว
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) พาร์ทของตรี (ฟางเส้นสุดท้าย)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากงานคืนลอยกระทงผ่านไปก็เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของผมกับไอ้โอมก็ค่อยๆห่างกันออกไปทีละนิด จากคืนนั้นข้อความเฟสจากไอ้โอมก็เงียบ ไลน์ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่ศาลาสามแยกปากหมาที่ผมกับมันมาเจอกันบ่อยๆก็ไม่ได้เจอกันเลย หรือที่โรงอาหารก็ไม่เห็นแม้เงาของไอ้เดือนมหาวิทยาลัยปีนี้เลย ตอนนี้ผมเหมือนผีดิบเดินได้ไร้ชีวิต มันไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยจริงๆ ไปซ้อมกีฬาก็ทำแบบขอไปทีไม่มีจิตใจที่จะฝึกฝนหรือพัฒนาฝีมือของตัวเองให้เท่าทันกับพี่ๆในทีมเลย แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะผู้ชายอย่างไอ้โอมคนเดียวแท้ๆที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นผีดิบแบบนี้ วันนี้ผมนั่งจมอยู่แต่ในห้องภายในหอพักนักกีฬาไม่ออกไปไหนคิดถึงแต่เรื่องราวระหว่างผมกับมันที่เคยทำมาด้วยกัน ความสุขที่เคยได้รับจากมัน มันช่างเป็นความสุขที่ผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน ผมค่อยๆเปิดโน๊ตบุ๊คเข้าสื่อโซเชียล ผมเลือกที่จะกดเข้าไปดูเฟซบุ๊กของไอ้โอมก่อนอื่นเลย แต่ผมก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อเฟซบุ๊กของไอ้โอมตอนนี้หน้าโปรไฟล์ของมันเปลี่ยนเป็นสีดำ รูปคู่ที่เคยถ่ายไว้ด้วยกันเมื่อคืนวันลอยกระทงถูกลบออกไปแล้ว !!! มันลบออกไปตั้งแต่ตอนไหน ก็เมื่อสองวันก่อนผมยังเห็นอยู่เลย แต่มาวันนี้ทำไมถึงไม่มีรูปคู่ของผมกับไอ้โอมอีกแล้ว มือไม้ผมเริ่มสั่น อยู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมมันก็ไหลออกมายากสุดที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้
“ ฮักกันมาแต่โดนแล้ว บ่มีวี่มีแววเปลี่ยนแปลงไป
ตั้งแต่ทางมีแต่ขี่ไหง่ แล้วจังได๋คือมาเป็นลายต่าง
สิบสิฮ่างหรือซาวสิฮ่าง สิจับมือกันหย่างว่าซั่นว่า
หัวใจสะหวอยน้องบ่หัวซา บัดสิว่าเฮาไปกันบ่ได๋
ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ไสว่าสิมีกันและกัน
ไสว่าสิฮักแพงกัน ไสว่าสิมีกันตลอดไป
ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ไสว่าสิมีกันเรื่อยไป
ไสว่าสิบ่แบ่งใจ ไสว่าสิมีแค่ เฮา
น้ำตาพังลงหย่าวๆ ย้อนผู้สาวเปลี่ยนใจไห้จนเซ
บ่คิดบ่ฝันว่าฮักสิฮ่างสิเพ สะเลเตดอกนี้ไร้กลิ่นหอม
เฮ็ดจั่งได๋หัวใจบ่พร้อม หรือต้องยอมฮับความเป็นจริงอิหลี
ไห่สาเด้อ ไห่ให้ตายมื้อนี้ ไห่ให้คนที่ลืมสัญญา”
*เพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ศิลปิน ก้อง ห้วยไร่*
ผมต้องรีบปิดเพลงทันที ไม่สามารถที่จะทนฟังเพลงนี้ให้จบได้ ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะปรึกษาเพื่อนก็กลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจไปด้วย แล้วตอนนี้ผมจะอยู่ได้ยังไงในเมื่อเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว หรือว่าผมจะเคลียร์กับโอมให้รู้เรื่องไปเลยดีไหม? คิดได้แบบนั้นผมตัดสินใจโทรหาโอมทันที
ตื๊ด......
ตื๊ด.....
ตื๊ด....
เสียงโทรศัพท์บอกว่าปลายทางยังไม่ยอมรับสาย ผมจึงตัดสินใจกดวางสายไปทันที ตอนนี้เรี่ยวแรงของผมมันอ่อนล้าไปหมดแล้ว แม้แต่โทรศัพท์ผมโอมก็ยังไม่ยอมรับสายเลย ผมตัดสินใจเข้าไปในเฟซบุ๊กของตัวเองอีกครั้งเพื่อจะลบภาพคู่ของผมกับโอมทิ้ง ต่อจากนี้ไปเรื่องราวของผมกับโอมขอให้มันเป็นแค่อดีต อดีตที่มีเพียงแต่ผมสินะที่อยากจะจดจำไว้ แต่อีกคนเขาคงอยากจะลบมันออกไปจากชีวิต
“ต้องใช้กี่หยดน้ำตา ถึงจะลืมเธอได้”
นี้คือข้อความสุดท้ายที่ผมจะโพสในเฟสส่วนตัว ผมค่อยๆปิดโน๊ตบุ๊คแล้วเดินออกจากห้องพัก ไม่รู้ว่าจะไปไหนรู้แต่ว่าตอนนี้ไม่อยากจะอยู่ในห้องแล้วอยากจะไปที่ไหนสักแห่งเพื่อให้หัวใจได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอีกสักครั้ง
“ฮักกันมาตั้งโดน บ่คิดหลูโตนน้องแหน่บ้ออ้าย
เขี่ยถิ่มป๋านขี้ไก่ จบง่ายแท้..น้อ
ความดีที่เคยสร้างมา อ้ายเคยเห็นค่า..แนบ่หนอ
หรือเห็นน้องเป็นแค่ไม่ลำปอ หักไว้อ่อยไฟ
เห็นว่าฮักหลายกะอย่าทำร้ายเกินไปเด้ออ้าย
ฟ.แฟน บ่แม่น ค.ควาย หยุดทำร้ายหัวใจน้องสา..
โยนถิ่มให้หมาสาเด้ออ้ายจ๋า ใจน้อง..ดวงนี้
น้องมันเป็นคนบ่ดี บ่ดีที่ฮักอ้ายหลาย
ไปกับเขาสา อ้ายฮักเขาสิล้มสิตาย
ปล่อยน้องคือจั่งบั้งไฟ จุดแล้วสิไปสิตกกะส่าง
เห็นว่าฮักหลายกะอย่าทำร้ายเกินไปเด้ออ้าย
ฟ.แฟน บ่แม่น ค.ควาย หยุดทำร้ายหัวใจน้องสา..
โยนถิ่มให้หมาสาเด้ออ้ายจ๋า ใจน้อง..ดวงนี้
น้องมันเป็นคนบ่ดี บ่ดีที่ฮักอ้ายหลาย
ไปกับเขาสา อ้ายฮักเขาสิล้มสิตาย
ปล่อยน้องคือจั่งบั้งไฟ จุดแล้วสิไปสิตกกะส่าง
โยนถิ่มให้หมาสาเด้ออ้ายจ๋า ใจน้อง..ดวงนี้
น้องมันเป็นคนบ่ดี บ่ดีที่ฮักอ้ายหลาย
ไปกับเขาสา อ้ายฮักเขาสิล้มสิตาย
ปล่อยน้องคือจั่งบั้งไฟ จุดแล้วสิไปสิตกกะส่าง
น้องแค่คนผ่านทาง บ่มีอีหยังให้อ้ายต้องฮัก
เป็นได้แค่คนรู้จัก เลื่อนเป็นคนฮักบ่ได้ดอกหนา
ปล่อยน้องคือจั่งบั้งไฟ จุดแล้วสิไป...สิตกกะส่าง”
*เพลงโยนใจให้หมามันกิน ตั๊กแตน*
ตื๊ด.....
ตื๊ด....
อยู่ๆโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบมันขึ้นมาดูภายในใจก็ภาวนาขอให้เป็นเบอร์โอมที่โทรเข้ามา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ แต่มันเป็นเบอร์เพื่อนสนิทของผมนั้นเอง ทุ่งธร
“ฮัลโล ว่าไงมึง”
ผมกดรับสายของเพื่อนออกไป พยายามคุมน้ำเสียงให้มันเป็นปกติที่สุด เท่าที่จะควบคุมมันได้ในตอนนี้
“ฮัลโล ตรีมึงอยู่ไหนว่ะ?”
เสียงของไอ้ทุ่งถามผมออกมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล สงสัยมันคงจะดูออกแล้วว่าผมมีปัญหาชีวิต
“กูอยู่คณะ”
ผมพยายามฝืนตอบกลับให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่เสียงของผมก็ยังคงสั่นอยู่นั้นเอง
“วันนี้วันเสาร์ไม่มีเรียน มึงไปทำไรที่คณะว่ะ?”
“กูก็มาทำงานส่งอาจารย์สิ”
“อ้าวเหรอ กูนึกว่ามึงอยู่ห้อง ...... ตรีมึงว่างเปล่า”
“ก็กูบอกเมื่อกี้ไงว่ามาทำงานส่งอาจารย์ มึงไม่มีหูเหรอ?”
ผมพยายามตะเบ็งเสียงให้ดังเข้าไว้ เพราะกลัวว่าเพื่อนจะจับได้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง เพราะตอนนี้น้ำตาผมมันก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้งแล้ว
“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องรมณ์เสียใส่กูก็ได้นะมึง ที่ถามก็เพราะกูเป็นห่วงมึง”
ผมได้ยินคำว่ากูเป็นห่วงมึงจากปากของเพื่อน ยิ่งทำให้น้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกเลย
“มีอะไรอีกไม๊ ถ้าไม่มีกูจะทำงานต่อ”
ผมพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด เพื่อไม่ให้เพื่อนต้องเป็นกังวลไปกับผม
“มะไม่มี มึงทำงานต่อเถอะ”
ทุ่งธรว่างสายไปจากผม ผมได้แต่ขอบคุณมันในใจที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนที่อ่อนแอแบบผมเสมอมาตั้งแต่เรารู้จักกัน
ตอนนี้ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้พาร่างอันบอบช้ำจิตใจอันห่อเหี่ยวมาถึงสะพานไม้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกครั้งเพราะสายลมเย็นๆมาปะทะเข้ากับใบหน้าเสียแล้ว ผมนั่งมองสายน้ำที่ไหลไปอย่างช้าๆมองไปทางไหนก็คิดถึงแต่หน้าโอม คิดถึงแต่เรื่องราวระหว่างเราสองคนที่เคยทำด้วยกันมา ผมจะทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดี ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีเถอะ ว่าผมควรจะหยุดแค่นี้หรือควรจะแย่งชิงโอมกลับคืนมา หรือว่าผมต้องสอบถามความต้องการของโอมว่ายังต้องการผมอยู่อีกไหม? ในเมื่อความรู้สึกของผมยังมีโอมอยู่เต็มสี่ห้องของหัวใจผมควรจะให้โอกาสตัวเอง ให้ใจของผมได้เดินเคียงคู่โอมอีกครั้ง
ตื๊ด...........
ตื๊ด..........
ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปหาโอมอีกครั้ง ผมอยากจะพูด อยากจะบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อมัน ให้มันได้รับรู้ถึงความรักที่ผมมีให้มัน เพื่อว่ามันจะได้ไม่จบลงแบบนี้ ไม่นานโอมก็กดรับสายจากมือถือของผม
“ฮะ..ฮัลโล โอม กูเองนะ”
“อืม มึงมีไรว่ะตรี?”
“วันนี้มึงว่างไม๊โอม”
“ตอนนี้เหรอ?”
“อืม ตอนนี้ หรือถ้ามึงไม่ว่างเอาเป็นตอนเย็นก็ได้”
“มึง มีไรหรือเปล่า?”
“คือ.. กะ...กู มีเรื่องอยากจะคุยกับมึง”
“พอดีเลย กูก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน”
“เหรอ... แล้วมึงมีไรจะคุยกับกู?”
ผมรีบถามโอมกลับไปทันที เพราะคิดว่าโอมก็น่าจะคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงมัน
“เอาไว้เดี๋ยวกูไปหามึง”
“มะ ...มึงจะมาตอนไหน?”
“เดี๋ยวกูไป”
“มึงว่างแล้วเหรอ?”
“ไม่เป็นไร มึงอยู่ไหน?”
“กูอยู่สะพานไม้”
“งั้นมึงรอกูอยู่นั้นแหละ เดี๋ยวกูไป”
“อืม”
ผมวางสายจากโอมด้วยหัวใจที่พองโต อย่างน้อยโอมก็ยังไม่ได้ใจดำตัดสายผมทิ้ง การที่มันลบภาพออกจากเฟซบุ๊กคงมีสาเหตุแน่ๆ แถมมันยังบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผมด้วย มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆเลย คิดได้แบบนี้หัวใจของผมที่มันเหี่ยวเฉาก็กลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง ผมนั่งรอโอมอยู่บนสะพานไม้ของคณะที่เชื่อมจากตัวคณะเกษตรศาสตร์ไปยังบ้านไร่มีสายน้ำไหลผ่านลอดใต้สะพานไม้ไป ซึ่งจะบอกว่าสะพานไม้แห่งนี้เป็นสถานที่โรแมนติกมากๆเลยก็ว่าได้ คู่รักในมหาวิทยาลัยต่างก็พากันพานั่งกินลมชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานไม้ตลอดเลย และที่สำคัญตรงสะพานไม้แห่งนี้ก็สำคัญกับผมเช่นกันในคืนวันที่โอมได้ตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยโอมเอาสายสะพายมาให้ผม ณ ที่ตรงนี้ ผมจึงจดจำได้ขึ้นใจเป็นที่สุด แต่ตอนนี้มันเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสองแล้วแดดแรง ผู้คนเลยไม่มี ก็คงมีแต่เพียงผมคนเดียวที่นั่งยิ้มให้กับตัวเองอยู่เหมือนคนบ้า
“ตรี.....”
“อ้าวโอม มึงมาแล้วเหรอ?”
“โทษนะที่กูปล่อยให้มึงรอนานไปหน่อย”
ผมก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสี่ นี้ผมนั่งรอไอ้โอมจนถึงบ่ายสี่โมงเย็นเลยเหรอ?
“ไม่เป็นไร มึงคงทำธุระอยู่”
“เห็นมึงบอกมีเรื่องจะคุยกับกูใช่ไหม?”
“อืม....”
“มีไรเรื่องว่ะ”
ตอนนี้ผมกับโอมยืนประจันหน้ากันอยู่บนสะพานไม้ ดวงตาของโอมทำไมตอนนี้มันถึงมีแต่ความว่างเปล่า แถมใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ ไม่มีมาดของเดือนมหาวิทยาลัยหลงเหลืออยู่เลย
“ คือว่ากู... มีเรื่องจะถามว่ะ”
“ว่ามากูฟังอยู่”
พอได้สบตาไอ้โอมอีกครั้ง ความคิดของผมก็เริ่มสับสน ผมเริ่มไม่กล้าจะพูดจะถามเรื่องที่ค้างคาใจเสียแล้วสิ
“เออโอมไหนมึงบอกกูว่ามีเรื่องจะคุยกับกูเหมือนกัน มึงคุยเรื่องของมึงก่อนก็ได้”
“ตรี มึงว่าเรื่องของมึงก่อนเถอะ กูรอฟังอยู่”
“ดะ..ได้ โอม ... มึงลบรูปในเฟสเหรอว่ะ?”
“รูปไหน?”
“รูปที่มีมึงกับกูถ่ายด้วยกันคืนลอยกระทง”
“อ่อ อืม กูลบเอง พอดีรูปในเฟซกูมันเยอะเกินไป”
“แล้วทำไมมึงเลือกที่จะลบคู่ระหว่างเรา?”
“กูก็ลบตั้งหลายรูปนี้ ไม่ใช่เฉพาะรูปในคืนนั้น....แล้วนอกจากเรื่องกูลบรูปในเฟซแล้วมึงมีเรื่องอะไรอีกไหม?”
“เอ่อ คะคือว่า กูกับมึงรู้จักกันมานานยังว่ะ”
“ก็นาน”
“เอ่อเนาะคงตั้งแต่สมัยมัธยม”
“ตรี มึงเอาตรงๆเลย”
“เออ คือ..... กูอยากรู้เรื่องระหว่างเราสองคน?”
ผมตัดสินใจถามโอมออกไป ไหนๆมันก็มาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่ปล่อยให้มันคาใจผมอีกต่อไป
“เรื่องระหว่างเราสองคน เราก็เป็น........เพื่อนกันไง”
ผมได้ยินคำว่าเพื่อน ออกจากปากโอม ขาผมแทบทรุด นี้เรื่องราวระหว่างผมกับมันจบลงแล้วเหรอ ผมเป็นได้แค่เพื่อนของโอมเหรอ??
“อะ...อะไรน่ะ มึงบอกว่าระหว่างเรา แคะ..แค่เพื่อนเหรอ?”
“อืม เพื่อน”
“แล้วที่ผ่านมา มันคืออะไรว่ะ?”
“เอ่อ คือว่ากูขอโทษนะตรี ที่ทำให้มึงเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดเหรอ เพื่อนกันเขาทำกันแบบนั้นเหรอว่ะโอม”
ไม่รู้ว่าผมเข้าถึงตัวโอมตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกครั้งก็ไปจับแขนทั้งสองข้างมันเขย่าสุดแรงแล้ว
“กูรู้ว่าทำอะไรแย่ๆกับมึง แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อนจริงๆ”
“มึงมันแมร่งเหี้ยว่ะโอม มึงทำกูเจ็บมากเลย กูคิดว่าที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเราสองคนมันมากกว่าเพื่อน กูคิดด้วยซ้ำไปว่ามันเป็น ความรัก แต่เปล่าเลยกูคิดผิด”
“กูขอโทษว่ะ”
โอมค่อยๆแกะมือของตรีภพออกอย่างช้าๆ พร้อมกับดันให้ร่างของตรีออกห่างจากตัวเอง
“มึงเคยรักกูบ้างไม๊ว่ะโอม กูถามว่ามึงเคยรักกูบ้างไหม?”
“ตรี.... ที่ผ่านมากูแค่หลงทาง แต่ตอนนี้กูพบทางเดินแล้วว่ะ”
“มึงบอกว่าที่ผ่านมาแค่หลงทางเหรอว่ะ มันไม่พูดง่ายไปหน่อยไม๊ว่ะเชี่ยโอม”
“อืมกูแค่หลงทาง กูมีเรื่องจะพูดกับมึงแค่นี้ กูไปก่อนน่ะ”
โอมพูดจบก็รีบหันหลังเดินหนีจากตรีไปทันที ไม่ยอมแม้แต่จะฟังเสียงของตรีภพเลย
“เดี๋ยวโอม ถ้ามึงต้องการให้มันเป็นแบบนี้ กูขออะไรมึงสักอย่าง”
“อะไร?”
โอม หยุดเดินแต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับมามองตรีเลยสักนิด เขายังคงมองไปข้างหน้า
“จากนี้ไป มึงกับกูอย่าได้รู้จักกันอีกเลย”
“อืม......ได้”
โอม เดินจากผมไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น เขาไม่คิดแม้แต่จะหันหลังกลับมามองผมเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ผมยืนมองตาหลังเขาไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปนเปกันจนยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ มันสุดจะกลั้นไว้ได้จริงๆน้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างไม่อายใคร
ในระหว่างที่โอมศักดิ์พินิจ เดินจากตรีภพมานั้นเขาไม่ได้หันหลังกลับมามองตรีภพเลย ยังคงปล่อยให้ตรีภพยืนนิ่งเป็นหุ่นเหมือนหินอยู่กับราวสะพานไม้ ตรีภพยืนมองศักดิ์พินิจเดินจากไปจนลับสายตา เขาถึงได้รู้ว่าโลกนี้มันไม่ช่างโหดร้ายเสียจริง อยู่ๆร่างของตรีภพก็โอนเอนพลิกตกราวสะพานไม้หล่นลงสู่แม่น้ำทันที
“ถ้าหากสวรรค์ยังเมตตา ขออย่าให้เราได้พบกันอีกเลย”
ตูม !!!! ...........................
“ฮู้โตดี มื้อนี้เบิดความหมาย
ตำแหน่งที่ได้ น้องเป็นผู้สาวเก่า
เรื่องของเฮา จบตอน เขาเข้ามา
เหนื่อยและท้อกับการตอแหล
อ้ายบ่แคร์ แม้แต่เบิ่งหน้า
คนเบิดค่า อย่าหัวซา อย่าใส่ใจ
แล้วสุดท้ายอ้ายกะไปกับเขา
เอาฮักเฮา ถิ่มไว้กลางทาง
เบิดแฮงย่าง คนเคียงข้าง บ่มีไผ
จบแล้ว..บ่แม่นคนหน้าตาดี บ่มีมันนี่ปานใด๋
ขอเงินแม่ใช้สู่มื้อ มันกะบ่คือจังเขา
ที่พร้อมฮับเช้า ฮับแลง.. ไปกินกัน.. ฮู้..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..
คำเดียว..
ต่อจากนี้มันบ่มีอีกแล้ว
อายคนแซว แถวบ้านคงสิส่า
คงสิถามว่า อ้ายนั้น ไปไส
โอ้ยอายแท้..
บ่แม่นคนหน้าตาดี บ่มีมันนี่ปานใด๋
ขอเงินแม่ใช้สู่มื้อ มันกะบ่คือจังเขา
ที่พร้อมฮับเช้า ฮับแลง.. ไปกินกัน.. ฮู้..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..
น้องมันของเล่น เป็นบางเวลา
น้องมันมีค่า ยามอ้ายเหงา
น้องทนเจ็บ ทนเศร้า.. ย้อนฮักอ้าย..คำเดียว..”
*เพลงของเล่น ดอกเหมย*
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ