ลมหวาน ป่าหนาว

9.2

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.

  42 ตอน
  8 วิจารณ์
  70.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

39) ให้มันสุดเหวี่ยงไปเลยเพื่อนเอ๋ย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมกับป่าสักขับรถตามหาไอ้เชี่ยตรีไปทั่วมหาวิทยาลัย  แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของมันเลย  ตอนนี้ไอ้ตรีไปอยู่ไหนว่ะ  โทรไปก็ไม่ติด  ไลน์ไปก็ไม่ตอบ  ตอนนี้ใจผมเป็นห่วงมันมากๆเลย

“เอาไงดีว่ะทุ่ง?”

ป่าสักถามผมออกมาหลังจากที่ขับรถตระเวนไปจนทั่วมหาวิทยาลัยแล้วแต่ก็ไม่เจอตรีภพ จนเขาขับรถมาจอดอยู่ข้างๆโรงยิมของมหาวิทยาลัย

“กูว่าเราลองวกกลับไปดูที่บ้านไร่อีกครั้งไหม?  เผื่อบางทีเชี่ยตรีมันอาจไปอยู่แปลงทดลองก็ได้”

“แต่คณะเกษตรเราไปเป็นที่แรกเลยนะเว้ย”

“เราไปดูแค่ตรงภาควิชาพืชไรกับตัวคณะ  แต่เรายังไม่ได้ข้ามไปที่แปลงทดลองนะป่าสัก”

“อืม  เอาแบบนั้นก็ได้  แปลงทดลอง   ใช่..ไอ้เชี่ยตรีมันอาจจะไปอยู่แปลงทดลองที่บ้านไร่ก็ได้”

จากนั้นป่าสักก็ขับรถออกจากโรงยิมของมหาวิทยาลัยตรงไปยังคณะเกษตรศาสตร์ทันที  ผมและป่าสักเราจอดรถไว้ข้างๆตึก  แล้วก็เดินตรงไปยังบ้านไร่  แต่ยังไม่ถึงสะพานไม้สายตาของผมก็ไปเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ข้างๆแม่น้ำใต้สะพานไม้

“ป่าสัก....  คนเขามุงดูไรกันว่ะใต้สะพานไม้?”

ผมพูดพร้อมชี้นิ้วไปตรงจุดที่สายตามองไปทันที  เพื่อบอกให้ป่าสักได้มองตามไปตรงจุดนั้น

“เอ่อว่ะ?  คนเยอะด้วย  เขาดูไรวะ?”

“เขาจับปลาเหรอ?”

“ไม่ใช่มั้ง?  มึงก็รู้เขาห้ามจับปลาที่แม่น้ำในบริเวณมหาลัย”

“เอ่อก็ใช่น่ะ.....  แล้วคนพวกนั้นเขามุงดูไรกันแน่”

“กูว่าเราไปดูสักหน่อยดีไหม?”

“ก็ดีเหมือนกัน  ต่อมเผือกกูเริ่มทำงานอีกแล้ว”

“แต่กูว่าไม่ใช่ต่อมเผือกหรอก  แต่มันเป็นที่นิสัยส่วนตัวของมึงล้วนๆเว้ย”

“ไอ้หมอหมา  ปากหมาไม่เคยลดเลยนะมึง”

“ปากหมาแล้วชอบป่ะ?”

“โอ้ยจะเล่นอะไรเนี้ย   คนยิ่งกลุ้มๆอยู่”

“เอาน่าใจเย็นๆมึง  ไอ้เชี่ยตรีไม่เป็นไรหรอก   มึงเชื่อกูเถอะทุ่ง”

ผมกับป่าสักเดินตรงไปยังตรงจุดที่มีไทยมุง ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก  เพราะเห็นผู้ชายตัวโตๆกำลังช่วยปั้มหัวใจร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น  แสดงว่ามีคนจมน้ำแน่ๆ มองดูด้านหลังของผู้ชายตัวโตคนนั้นช่างน่ามองจริงๆ เสื้อยืดสีขาวที่เปียกไปด้วยน้ำมันช่างชวนให้มองจริงๆ(โอ้ยจะมามองอะไรตอนนี้ทุ่งธร ตื่นๆสนใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก่อนได้ไหม  เสียภาพพจน์นายเอกหมดจะมาหื่นอะไรตอนนี้)

“เอ้ยย!! นั้นมันคนจมน้ำนี้หว่าทุ่ง”

“ปะเรารีบไปดูเถอะ  เพื่อว่ามีอะไรพอที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้าง”

เมื่อเข้าไปใกล้ๆในระยะปะชิดก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก  เพราะร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่กลับเป็นคนที่เรากำลังตามหาอยู่นั้นเอง  ..ตรีภพ..

“ไอ้ตรี  ?!”

ผมกับป่าสักร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ  ในสิ่งที่คาดไม่ถึง  ป่าสักรีบเข้าไปดูอาการของตรีภพทันที  พร้อมกับใช้มือเปิดเปลือกตาของร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวนั้นดู

“โทษนะครับ  ทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้”

เสียงของทุ่งธรถามคนที่กำลังปั้มหัวใจให้ตรีภพอยู่นั้นเอง  แต่ผู้ชายตัวโตคนนั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบทุ่งธรเลยสักนิด  เพราะเขามัวแต่สนใจช่วยเหลือชีวิตของอีกคนนั้นเอง  แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงลุงคนหนึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ออกจะตื่นเต้นไม่แพ้กับทุ่งธรเลย

“ก็ไอ้หนุ่มคนนี้นะสิ  สงสัยจะเป็นลม แล้วก็พลัดตกจากสะพานไม้  จมน้ำอย่างที่เห็น”

“มีใครเห็นไหมครับ  ว่าทำไมเขาถึงพลัดตกจากสะพานได้?”

“มีคนเห็นว่าไอ้หนุ่มคนนี้  มานั่งอยู่บนสะพานไม้ตั้งเป็นนานสองนานท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ที่ร้อน  ก็เลยน่าจะเป็นสาเหตุให้เป็นลมได้”

“อ่อครับ”

“แล้วนี้รู้จักกับไอ้หนุ่มคนนี้ด้วยหรือเราน่ะ?”

คุณลุงที่ยืนดูอยู่ข้างๆก็ได้ถามทุ่งธรทันที  ที่เห็นว่าทุ่งธรนั้นเขาไปดูอาการของตรีภพอย่างใกล้ชิด

“ครับ  เขาเป็นเพื่อนพวกเราเองครับคุณลุง”

“อืมดีแล้วล่ะ  จะได้พาเพื่อนไปหาหมอ”

หลังจากนั้นไม่นานตรีภพที่นอนแน่นิ่งอยู่ก็ค่อยๆได้สติฟื้นคืนมา  เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา

“น้องเป็นไงบ้าง”

เสียงทุ่มๆนุ่มๆของหนุ่มนักศึกษาตัวโตคนนั้น  เขาน่าจะเรียนอยู่ประมาณสักปีสามหรือปีสี่ คนที่ช่วยปั้มหัวใจให้กับตรีภพเอ่ยถามตรีภพทันที ที่เห็นว่าคนที่ตนช่วยไว้นั้นได้สติแล้ว

“เอ่อ   เอ่อ  แฮรกๆ  นี้ผม  อยู่ที่ไหนครับ?”

ตรีภพพยายามถามคนตัวโตที่ประครองเขาลุกขึ้นนั่ง  ด้วยอาการของคนเพิ่งฟื้นจากหมดสติ

“มึงเป็นลม  แล้วพลัดตกน้ำน่ะ”

ทุ่งธรรีบตอบบอกเพื่อนทันที  เพราะว่าดูจากอาการแล้วตรีภพน่าจะยังไม่มีสติเท่าที่ควร

“ตรี  มึงจำพวกเราได้ไหม?”

เสียงป่าสักร้องทักมาอีกคนด้วยความเป็นห่วงเพื่อน   ตรีภพหันไปตามเสียงของป่าสัก  แล้วก็จ้องมองใบหน้าเรียวได้รูปของป่าสัก  พร้อมกับพยักหน้าตอบโต้อีกฝ่ายทันที

“อืม  งั้นก็ดีแล้ว  ปะไปหาหมอเถอะ”

ป่าสักพูดเสร็จก็รีบเข้าไปช่วยคนตัวโตพยุงให้ตรีภพยืนขึ้น  พร้อมกับพามายังรถยนต์ของตัวเอาเองที่จอดไว้ข้างๆคณะเกษตรศาสตร์

“เอ่อพี่ครับ  ขอบคุณมากนะครับ  ที่ช่วยเพื่อนผม”

ทุ่งธรเดินตามมาติดๆพร้อมกับกล่าวขอบคุณคนตัวโตทันที  ที่มีโอกาส

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ยังไงเราก็เป็นพี่น้องร่วมสถาบันเดียวกัน  มีอะไรก็ช่วยเหลือกันครับ”

“ขอบคุณพี่มากๆนะครับ”

จากนั้นคนตัวโตก็ช่วยพาร่างของตรีภพเข้าไปนั่งในรถของป่าสักทันที  ด้วยความรีบเพราะเป็นห่วงเพื่อนจึงไม่ทันได้ถามว่าผู้ชายตัวโตคนนั้นชื่ออะไร  ป่าสักก็รีบขับรถพาตรีภพไปโรงพยาบาลทันที

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์  ทุ่งธร  ป่าสัก  และตรีภพก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเดิม  ซึ่งวันนี้พวกเขาก็มาซ้อมกีฬาในตอนเย็นเหมือนเช่นเคย 

“เป็นอะไรว่ะไอ้ตรี  ทำไมเองตีบอลไม่มีแรงแบบนี้  แถมไม่ลงจุดด้วย  แล้วมึงจะตีให้มันเหินไปถึงไหน?”

เสียงดุเอ็ดตะโรของโค้ชหลังจากที่ซ้อมตบหัวเสาแต่ตรีภพก็ไม่สามารถทำตามที่โค้ชต้องการได้

“ผมขอโทษครับโค้ช  เดี๋ยวผมจะตั้งใจให้มากกว่านี้”

“พอเถอะ  กูว่ามึงไปพักก่อนดีไหม  ดูหน้ามึงแล้วซีดเหมือนไก่ต้มว่ะ”

“เออ....   แต่ว่าโค้ชครับ  ผมยังไหวครับ”

“ไม่ต้องแล้ว  มึงไปนั่งพักก่อนเถอะ  กูรำคาญว่ะ”

เสียงโค้ชวอลเลย์บอลตะคอกกลับมายังตรีภพ  หลังจากที่ต้องหัวเสียให้กับฝีมือของตรีภพที่นับวันยิ่งแย่ลงแย่ลง  ซึ่งทำให้โค้ชและเพื่อนๆต่างก็เป็นห่วงอาการของตรีภพกันทั้งทีม

“ไอ้ตรี  กูว่ามึงไปพักสักหน่อยเถอะนะ  อย่าฝืนเลย ร่างกายมึงยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

ผมรีบเดินไปลากไอ้ตรีให้ออกจากสนามกีฬาทันที  เพราะกลัวว่าไอ้ตรีมันจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่  ยิ่งช่วงนี้อารมณ์ของตรีภพเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  ผมก็เข้าใจอยู่ว่าเพื่อนเจออะไรมามาก  มันคงต้องใช้เวลาอีกนาน

“เออก็ได้ว่ะ”

“ปะไปนั่งพักก่อน”

“ทุ่ง  มึงว่าลูกเมื่อกี้ กูตีแย่ขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ?”

ตรีภพถามทุ่งธรทันที  หลังจากมานั่งพักข้างสนามซ้อมแล้ว

“มึงจะให้กูพูดตรงๆปะล่ะ?”

“พูดมาเลย   มึงอย่าวอนแดรกตีนกูได้ไม๊ไอ้เชี่ยทุ่ง”

“เออ.... ลูกตบของมึงเมื่อกี้นี้  กูว่ามันหมาไม่แดกว่ะ  กูนี้ตั้งท่ารอรับลูกตบมึง  แต่แม่งเสือกเหินฟ้าไปเพดานโน้น”

“ก็ลูกมันโด่งเกินไป  กูเลยเผลอไปตีใต้บอลพอดี”

“เอ่อ  แต่เท่าที่กูเห็น  มึงเหม่อว่ะ  ไม่เกี่ยวกับบอลโด่งไม่โด่งเลย”

“เอ้าไอ้ห่านี้  กูบอกว่าบอลโด่งก็โด่งสิว่ะ”

“จร้าโด่ง  โด่งมากๆเลย  โด่งจนไปทะลุเพดานโรงยิมแล้ว”

“ไอ้เชี่ยทุ่ง  มึงอย่าวอนตีนกูนะเว้ยยยย”

ตรีภพพูดพร้อมยกเท้าขึ้นมาทำท่าจะถีบเพื่อนให้ได้  แต่ทุ่งธรก็ตั้งท่าพร้อมจะหลบเท้าของเพื่อนอย่างรู้ทัน

“เอ่อนี้ตรี  เย็นนี้ซ้อมเสร็จ  ไปโรงเตี้ยมไหม?”

“?......!!”

“มึงไม่ต้องทำหน้างงเลย  กูเห็นมึงไม่ค่อยมีแรง  จะพามึงไปหาไรแดกไงเพื่อน”

“ลาบน้ำตก  ส้มตำเผ็ดๆปลาร้ารสแซ่บ?”

“อืม  พอดีกูว่าจัดหนักสักหน่อยไหมมึง  เรี่ยวแรงมึงจะได้กลับมาไง”

“ฟังดูเข้าท่าเหมือนกันวะ   ช่วงนี้กูแดกไรไม่ค่อยลงด้วย บางทีไปแดกข้าวกับพวกมึงคงจะอร่อยขึ้นมาบ้าง”

“โอเค  งั้นเลิกซ้อมเจอกันที่โรงเตี้ยมนะมึง”

“ทุ่ง  มึงไปพร้อมกูดีกว่าว่ะ?”

“อ้าวทำไมว่ะ?”

“กูยังไม่พร้อมที่จะไปคนเดียว”

“เอาแบบนั้นเหรอว่ะ?”

“อืม  แบบนี้แหละดีแล้ว  เดี๋ยวกูโทรบอกให้ป่าสักให้มันตามเราไป”

“เอ่อ  เออ เอาแบบนั้นก็ได้  เพื่อเพื่อนกูสบายอยู่แล้ว”

จากนั้นตรีภพก็เดินไปยังกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างๆสนามซ้อมทันที  เขาไปถึงก็ล้วงหาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาป่าสักเลย  ผมเห็นท่าทางจริงจังของเพื่อนแล้วก็เลยหันกลับไปซ้อมกับทีมต่อเพราะตอนนี้ในสนามกำลังเข้มข้นเลยทีเดียว

หลังจากที่ซ้อมเสร็จผมกับไอ้ตรีก็ตรงดิ่งไปยังโรงเตี้ยมของเจ้ดิ้งคนสวยเลย  เพราะกลัวว่าไปช้าจะไม่มีที่นั่งนั้นเอง  ยิ่งวันนี้เป็นคืนวันศุกร์นักศึกษาที่เป็นลูกค้าประจำของเจ้ดิ้งต้องมาแน่นร้านแน่ๆ

“เกือบไม่ทันที่นั่งประจำเสียแล้วมึง”

ผมหันไปพูดกับไอ้ตรีทันที  ที่เดินเข้ามาในโรงเตี้ยม  ในเวลานี้ลูกค้าของเจ้ดิ้งเริ่มแน่นร้านแล้ว  ฝั่งดนตรีสดก็มีนักศึกษาขึ้นไปขับกล่อมบรรเลงเพลงเพราะๆให้ได้ฟังกันบ้างแล้ว

“เอ้าว่าไงค่ะเด็กๆ  หายหน้าหายตาไปนานเลยนะจ๊ะ”

เสียงเจื้อยแจ้วที่แสนจะสดใสของเจ้ดิ้งก็ดังมากระทบกับโสตประสาทหูผมทันที  ที่นั่งลงโต๊ะอาหารของทางร้านยังไม่ถึงห้าวินาทีเลย

“พอดีช่วงนี้ซ้อมหนักไปหน่อยครับเจ้  เลยไม่ค่อยได้มีเวลามาแวะชิมฝีมือเจ้”

“อุ้ยปากหวานตลอดเลยนะคร้าน้องทุ่ง  แล้ววันนี้ทำไมถึงมาได้ค่ะ?”

“พอดีวันนี้คืนวันศุกร์ปล่อยผีครับ  ไม่ต้องรีบเข้าหอ”

“ดีเลยค่ะ  อยู่เป็นเพื่อนเจ้ๆนานหน่อยนะค่ะ  เรียกแขกช่วยหน่อยเดี๋ยวเจ้จะลดค่าอาหารให้”

“เจ้ก็ว่าไป  หนังหน้าอย่างผมกับไอ้ตรีใครเห็นก็ต้องวิ่งหนี  แถมเขากินข้าวไม่ลงอีกต่างหาก”

“โอ้ยยยน้องทุ่งก็พูดถ่อมตัวเกินไปแล้วค่ะ  เอะแล้วนี้พ่อรูปหล่อของเจ้หายไปไหนค่ะน้องทุ่ง  ทำไมวันนี้คุณหมอรูปงามของเจ้ถึงไม่มาด้วยกัน?”

เจ้ดิ้งพูดพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาป่าสักนั้นเอง

“อ่อ  ป่าสักเหรอเจ้  เดี๋ยวก็ตามมา  พอดีผมซ้อมเสร็จก่อนเลยรีบมาจองโต๊ะ  เดี๋ยวเต็มก่อนจะไม่ได้กินอาหารฝีมือเจ้”

“เจ้ตกใจหมดเลย  นึกว่าป่าสักจะไม่มา  เพราะถ้าป่าสักไม่มานี้ร้านเจ้คงไม่มีสาวๆเข้ามานั่งแน่นอนเลย”

“เกินไปไม๊เจ้”

“อิอิอิ   ......  เอ่อน้องตรีค่ะ  แล้วเดือนมหาลัยสุดหล่อของเจ้ล่ะ  ทำไมไม่มาด้วยกัน  เจ้ไม่ได้เจอตั้งนานคิดถึ้งคิดถึง”

พอได้ยินเจ้ดิ้งถามถึงโอม  ใบหน้าของตรีภพก็สลดขึ้นมาทันที  พร้อมกับรอยยิ้มเจือๆของตรีภพ

“เอ่อ  เกิดอะไรขึ้นค่ะ  นี้เจ้  พูดอะไรผิดไปไม๊?”

“ไม่มีอะไรเจ้  พอดีว่าไอ้เชี่ยโอมมันยังทำงานไม่เสร็จเลยไม่ได้มาด้วยกัน  ก็แค่นั้น”

ทุ่งธรรีบแก้ไขสถานการณ์ทันที  เมื่อเห็นว่าอาการของเพื่อนนั้นเริ่มจะไม่ดีแล้ว

“อ่อเหรอจ๊ะ  งั้นก็สั่งอาหารดีกว่าเนาะ  จะได้กินไวๆ”

“ดีครับเจ้  ตอนนี้กำลังหิวอยู่พอดีเลย  เอาแบบเดิมนะครับ”

“ได้ค่ะเดี๋ยวเจ้จัดให้”

หลังจากนั้นเจ้ดิ้งแห่งโรงเตี้ยมก็เดินกลับไปยังห้องครัวของโรงเตี้ยมทันทีเพื่อจะไปสั่งให้แม่ครัวของทางร้านได้ทำเมนูสุดโปรดของเหล่านักกีฬาของมหาวิทยาลัยอย่างตรีภพและทุ่งธร 

“ไอ้หมอหมา  ทางนี้”

เสียงร้องทักของตรีภพ  ส่งไปให้ป่าสักทันทีที่เขาก้าวเข้ามายังร้านอาหารของเจ้ดิ้ง  ซึ้งใครๆต่างก็รู้ดีว่าร้านนี้ขายอาหารไม่แพงแถมถูกปากอีกต่างหาก

“พวกมึงมาถึงนานแล้วเหรอ?”

ป่าสักถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆทุ่งธรทันที

“ก็ไม่นาน  เพิ่งสั่งอาหารไปเอง  คงจะอีกนานกว่าจะได้คิว  เพราะวันนี้คนเต็มร้านเร็วมากเลย”

ในขณะที่สามหนุ่มกำลังนั่งคุยกันฆ่าเวลาเพื่อนรออาหารอยู่นั้น  จู่ๆสายตาของทุ่งธรก็มองไปเห็นผู้ชายร่างใหญ่ตัวโตคนนั้นเข้า  เขากำลังเดินเข้ามาในโรงเตี้ยมด้วยท่าทางที่กำลังมองหาที่นั่งหรือมองหาเพื่อนก็ไม่แน่ใจ

“ป่าสัก  มึงเห็นพี่คนตัวโตๆนั้นปะว่ะ?”

“คนไหนว่ะ  ในนี้ก็มีแต่คนตัวโตๆทั้งนั้นเลย”

“ก็คนที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมทางเข้าร้านฝั่งดนตรีสดไง”

ทุ่งธรพูดพร้อมชี้นิ้วให้ป่าสักดู  ป่าสักมองตามก็ต้องร้องออกมาทันที

“เอ้ยนั้นพี่คนที่ช่วยไอ้ตรีวันนั้นนี้หว่า”

“กูก็คิดว่าใช่ว่ะ”

“งั้นกูไปเรียกพี่เขามานั่งด้วยกันไหม  ไหนๆก็เจอกันโดยบังเอิญแล้ว”

ป่าสักหันไปปรึกษากับทุ่งธรทันที  ที่มั่นใจว่าผู้ชายตัวโตคนนั้น เป็นคนเดียวกับที่ช่วยตรีภพไว้ในวันเกิดเหตุ

“เอ้ยพวกมึง  เดี๋ยวก่อน  จะไปอัญเชิญใครมานั่งด้วย  ถามกูสักหน่อยไหมเพื่อน?”

เสียงของตรีภพร้องค้านขึ้นมาทันที  ที่ได้ยินเสียงของป่าสักและทุ่งธรคุยกันถึงเรื่องที่จะไปชวนใครสักคนมานั่งทานข้าวด้วยกัน

“เอ้าไอ้ห่ารากนี้  มึงจำพี่เขาไม่ได้เหรอว่ะ?”

เสียงป่าสักร้องเอ็ดเพื่อนทันที  ที่จำคนที่ช่วยเขารอดจากการจมน้ำเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ได้

“พี่ไหนว่ะ?”

“ก็พี่คนที่ช่วยปั้มหัวใจมึงไง”

“พี่คนนั้นเหรอว่ะ”

ตรีภพพูดพร้อมกับชี้มือไปยังผู้ชายตัวโต กำลังยืนมองหาเพื่อนๆของเขาอยู่นั้นเอง

“เอ่อก็พี่คนนั้นแหละ  ไปเถอะป่าสัก  กูว่าไปชวนพี่เขามากินข้าวด้วยกันสักหน่อยก็ดีว่ะ”

“อืม”

จากนั้นป่าสักก็ลุกขึ้นเดินไปหาผู้ชายตัวโตทันที  ไม่นานทั้งป่าสักและผู้ชายตัวโตคนนั้นก็เดินมาถึงยังโต๊ะของตรีภพและทุ่งธร

“เอ่อพี่สงกรานต์ครับ  นี้ไอ้ตรีคนที่พี่ช่วยมันไว้วันนั้นครับ  และนี้ก็ทุ่งครับ”

“สวัสดีครับพี่สงกรานต์”

ทุ่งธรและตรีภพกล่าวทักทายคนที่มาใหม่ทันทีพร้อมกับยกมือไหว้ตามธรรมเนียม

“หวัดดีครับน้องตรีน้องทุ่ง  เรียกพี่ว่า  พี่กรานต์ก็ได้ครับ”

“ครับพี่กรานต์”

“เอ่อน้องตรีเป็นไงบ้างครับ  ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วนะครับ”

สงกรานต์หันไปถามตรีภพด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นห่วงแฝงมาด้วย  หลังจากที่เขานั่งลงข้างๆตรีภพ

“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ  เกือบจะเป็นปกติแล้วครับพี่  ขอบคุณนะครับสำหรับวันนั้นที่ช่วยชีวิตผมไว้”

“ไม่เป็นไรหรอก  มันเป็นอุบัติเหตุ  มันเกิดขึ้นได้กับทุกคนแหละ”

ในระหว่างที่สงกรานต์กำลังคุยอยู่กับตรีภพนั้น  เจ้ดิ้งก็กำลังเอาอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะทันที

“มาแล้วจร้าเด็กๆ ลาบรสแซ่บฝีมือสุดเริ่ดของทางโรงเตี้ยม  แล้วนี้ก็ส้มตำที่ทุกคนปรารถนา”

“กำลังหิวอยู่พอดีเลย   พี่กรานต์วันนี้ทานข้าวด้วยกันนะครับ  ถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณพี่ที่ช่วยเหลือผมวันนั้น”

ตรีภพหันไปชวนคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาทันที  ที่พนักงานของทางโรงเตี้ยมจัดวางอาหารลงโต๊ะเสร็จเป็นที่เรียบร้อย

“มันจะดีหรือครับ?”

“ไม่เป็นไรเลยพี่  กินด้วยกันหลายๆคนอร่อยออก”

ทุ่งธรออกปากชวนเสริมตรีภพทันที  เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขามีน้ำใจช่วยเหลือตรีภพนั้นเอง

“พี่เกรงใจจัง  เห็นพวกเรามากับเพื่อนสนิทแบบนี้  คงจะต้องการความเป็นส่วนตัว  พี่ว่าพี่ขอตัวดีกว่า”

“อุ้ยพ่อรูปหล่อไม่ต้องเกรงใจน้องๆเขาหรอกจ๊ะ  นั่งด้วยกันนี้แหละ  เจ้จะได้อ่านกิน โอ๊ะๆอาหารน่ากินน่ะจ๊ะ  กินด้วยกันนี้แหละ  เจ้คิดราคาพิเศษเลยค่ะสำหรับคืนนี้”

เจ้ดิ้งเจ้าของโรงเตี้ยมรีบเชิญชวนหนุ่มตัวโตรูปงามให้ร่วมทานข้าวทันที

“เอ่อพี่กรานต์ครับ  ไม่เป็นไรจริงๆ  ถือสะว่ากินข้าวกับน้องมหาลัยเดียวกันก็ได้ครับถ้าพี่ไม่สะดวกใจ”

ป่าสักรีบเสริมอีกเสียงเพื่อนให้สงกรานต์คลายความเกรงใจลงได้บ้าง

“เอาแบบนั้นเหรอครับ   งั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วน่ะ”

จากนั้นพวกเราทั้งสี่ก็นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันอย่างสนุกสนาน  พร้อมกับมีเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องสมัครเล่นที่ช่วยกันหมุนเวียนขึ้นไปร้องเพลงกันตลอด  พวกเราเพิ่งทราบว่าพี่สงกรานต์นั้นเรียนอยู่ปีสี่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมธรณี  มิน่าละพี่เขาถึงไปอยู่แถวสะพานไม้ได้  เพราะพี่เขาไปเรียนที่ตึกคณะเกษตรศาสตร์ด้วยนั้นเอง

“เอ่อเชี่ยตรี  ไหนๆวันนี้เราก็ไม่ต้องรีบเข้าหอแล้ว  มึงไปร้องเพลงสักเพลงหน่อยสิว่ะ”

“เอ้ยไอ้ห่านนี้มึง จะบ้าเหรอ  กูอายคน”

เสียงตรีภพร้องเอ็ดป่าสักด้วยน้ำเสียงที่ตกใจไม่คิดว่าเพื่อนจะแกล้งตัวเองแบบนี้

“อ้าวมึง  ร้องเพลงให้พี่กรานต์ฟังหน่อย  เพื่อเป็นการขอบคุณพี่เขาไงว่ะ”

“โอ้ยไอ้หมอหมาไอ้บ้า  มึงไม่ต้องมาแกล้งกูเลยเว้ย”

“พี่ก็ว่าดีนะครับน้องตรี  ไหนๆพวกเราก็รู้จักกันแล้ว  ร้องเพลงเสียหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี้ครับ”

“ใช่ๆมึงไปร้องเดี๋ยวนี้เลย  กูอยากฟังว่ะ”

เสียงทุ่งธรรีบพูดเสริมอีกหนึ่งเสียงทันที  ทำให้ตรีภพนั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้  ก็ต้องยอมลุกขึ้นเดินไปยังลานเวทีแสดงดนตรีทันที

“ให้กูร้องจริงเหรอว่ะ?”

“มั่นใจ เอาให้มันสุดๆไปเลยเพื่อน  อย่าได้แคร์สื่อเว้ยยยย”

เสียงร้องให้กำลังใจเพื่อนจากทุ่งธรส่งไปยังตรีภพ ทำให้ตรีภพก้าวเท้าขึ้นไปยังเวทีทันที  พร้อมกับระบายอารมณ์ผ่านเสียงเพลงที่ร้องออกมาได้อย่างกินใจ

**โกรธยามใด๋ เคียดยามใด๋   กะซวนว่าเฮามาเลิกกันเถาะ

พอสาเนาะ จบสาเนาะ  บ่ขอไปต่อด้วยกัน  เหมือนคิดไว้นานแล้วว่าสิไป

อยากได้เพียงสาเหตุถ่อนั้น   ฮักของเฮาที่ถนอมมานาน  คงถึงวันหมดอายุ

น้องเบิดคำสิว่า   กอดขารั้งอ้ายบ่อยู่   บอกให้ฮู้ คำเดียว ว่าพอเด้อ

พอกะพอถ้าไปต่อแล้วมันฝืนใจอ้าย  พอกะได้ น้องยอมให้อ้ายได้เสมอ

คือเขียนฮักด้วยก้อนขี้ถ่านไฟ     คนใหม่เดินผ่านใกล้ก็เบลอ

เขาคงกดดันเธอ    ให้เร่งเคลียร์น้องจบจากใจ   หมดความหมายบ่มีความหมาย

สิเฮ็ดจั่งใด๋ใจของอ้ายบ่อยู่   เจ็บหลายอยู่เสียใจอยู่   แต่บ่ฮู้สิรั้งจั่งใด๋

ก็มีแค่คำว่าฮักผูกกัน    ฮักขาดสะบั้นก็ถิ่มกันง่ายๆความจำบนเส้นทางใจคนจำคือคนเจ็บกะฮู้

น้องเบิดคำสิว่ากอดขารั้งอ้ายบ่อยู่บอกให้ฮู้ คำเดียว ว่าพอเด้อ

พอกะพอถ้าไปต่อแล้วมันฝืนใจอ้าย  พอกะได้ น้องยอมให้อ้ายได้เสมอ

คือเขียนฮักด้วยก้อนขี้ถ่านไฟ   คนใหม่เดินผ่านใกล้ก็เบลอ

เขาคงกดดันเธอ  ให้เร่งเคลียร์น้องจบจากใจ   ให้เร่งเคลียร์น้องจบจากใจ

เพื่อเปิดตัวคนใหม่ แม่นบ่**

**เพลงพอกะพอ  น้ำอ้อย  สมใจรักษ์**

“น้องตรีร้องเพราะกินใจมากๆครับ  ขออีกเพลง”

เสียงของสงกรานต์ร้องตะโกนมาดังๆให้กำลังใจตรีภพที่ยืนร้องเพลงอยู่บนเวที  ซึ่งตอนนี้ตรีภพคงได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้คลายลงไปได้บ้างแล้ว

“เพลงต่อไปนี้ผมขอมอบให้กับอดีตที่ผ่านมาของผมน่ะครับ”

**มือขวาทุบที่อกซ้าย มือซ้ายกะป้ายน้ำตาฮ้องแฮงๆ ขึ้นไปเทิงฟ้า ว่าอย่าซั่วหลาย

พ่อแม่เลี้ยงมาให้เป็นคน เป็นหยังจั่งกลายเป็นควายถืกตั๋วจนเมื่อย เจ็บจนแป๋ตาย ชั่วย้อนเชื่อคนง่ายจากคนต้องกลายเป็นควาย กลางทุ่ง  คงบ่มีอีกแล้วความโง่สิโผล่ให้เห็น

ต่อไปนี้สิเป็น คนดีที่ไม่ยอมโง่  พร้อมสิโผล่หัวออกมาบอกเจ้าว่า

พึ่งฮู้โตว่าโง่หลาย ทุ่มเทไปเขาบ่เห็นค่า  เศษฮักเขาโยนเข้าป่า เขี่ยหาก็ไม่เจอ

ตบหน้าตัวเองดังๆ ฮ้องบอกเจ้าของว่าพอได้แล้วเด้อไอเราทั้งฮัก ทั้งห่วงเสมอ

แต่เขากลับไปบำเรอ ฮักกับคนอื่น  คงบ่มีอีกแล้วความโง่สิโผล่ให้เห็น

ต่อไปนี้สิเป็น คนดีที่ไม่ยอมโง่  พร้อมสิโผล่หัวออกมาบอกเจ้าว่า  พึ่งฮู้โตว่าโง่หลาย ทุ่มเทไปเขาบ่เห็นค่า  เศษฮักเขาโยนเข้าป่า เขี่ยหาก็ไม่เจอ    ตบหน้าตัวเองดังๆ ฮ้องบอกเจ้าของว่าพอได้แล้วเด้อ  ไอเราทั้งฮัก ทั้งห่วงเสมอ  แต่เขากลับไปบำเรอ ฮักกับคนอื่น

พึ่งฮู้โตว่าโง่หลาย ทุ่มเทไปเขาบ่เห็นค่า  เศษฮักเขาโยนเข้าป่า เขี่ยหาก็ไม่เจอ

ตบหน้าตัวเองดังๆ ฮ้องบอกเจ้าของว่าพอได้แล้วเด้อ  ไอเราทั้งฮัก ทั้งห่วงเสมอ

แต่เขากลับไปบำเรอ ฮักกับคนอื่น**

**เพลงคนเคยโง่ - ตั๊กแตน ชลดา**

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา