ลมหวาน ป่าหนาว
9.2
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
42 ตอน
8 วิจารณ์
70.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) พาร์ทของตรี (ขอบคุณนะที่เป็นห่วง...??? 18+)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากที่สอบเสร็จผมก็กะว่าจะชวนไอ้ทุ่งไปปลอดปล่อยสักหน่อยแบบว่าดูหนังฟังเพลงชิวๆ แต่ก็ถูกขัดจังหวะจากไอ้คุณหนูไฮโซป่าสักเสียก่อนเพราะไอ้นั้นมันจะพาว่าที่แฟนไปให้พ่อกับแม่ดูตัวนะสิครับ งานนี้ผมเลยต้องว้าเหว่เอกาอยู่คนเดียวเพราะถ้าจะไปซ้อมกีฬาโค้ชก็หยุดให้พักผ่อนหลังจากสอบเสร็จสรุปงานนี้ผมคงต้องนอนเบื่ออยู่คนเดียว ส่วนอีกคนไอ้โอมหลังจากที่มันมาดูอาการท้องเสียของผมในวันนั้นแล้วมันก็หายเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่ก็อย่างว่าละครับความสัมพันธ์ของผมกับมันก็ไม่มีสถานะอะไรนอกเสียจากคำว่าเพื่อน เพื่อนเท่านั้น แต่หัวใจของผมกลับไม่คิดว่าไอ้โอมเป็นเพื่อนเสียแล้วผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน หรือมันเกิดขึ้นตอนที่ผมเสียอาณานิคมช่วงท้ายให้กับไอ้คนขี้เมาอย่างมันก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็รักมันข้างเดียวเข้าไปแล้ว ตอนนี้ที่ทำได้คือต้องห้ามใจไม่ให้รักมันมากกว่านี้ ผมก็ได้แค่แอบเข้าไปส่องดูเฟซของไอ้โอมไปวันๆ แต่บางทีการที่เข้าไปดูเฟซมันบ่อยๆก็ทำให้ผมเจ็บ เจ็บแบบฝังลึกเพราะว่าไปเห็นภาพบาดตาบาดใจของมันกับสาวๆมากมายที่เข้ามาหามัน มันออกงานแต่ละครั้งก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนมาขอถ่ายรูปมีแฟนคลับ ก็มันเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ส่วนผมมันก็แค่นักกีฬาแถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันกับมันมีเหมือนกับมันทุกๆอย่าง
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” นี้คือข้อความล่าสุดที่ผมโพสลงในเฟซส่วนตัว ผมก็ทำได้แค่นี้แหละครับ ทำอะไรมากไปกว่านี้ก็คงไม่ได้ แต่แล้วจู่ๆระบบในเฟซมันก็เตือนว่ามีคนเข้ามากดไลค์ ผมต้องแปลกใจเพราะหนึ่งในจำนวนคนที่มากดไลค์ให้ผมนั้นคือไอ้โอม แล้วจู่ๆไลน์ผมก็ดังขึ้นมาทันที
Om pheang : ไม่เป็นไร
Tee Hua Sao : อะไรของมึง
Om pheang : ก็เห็นโพสขอบคุณกูในเฟซ
Tee Hua Sao : ใครบอกมึงว่ากูขอบคุณมึง
Om pheang : ก็กูบอกมึงอยู่นี้ไง
Tee Hua Sao : กูขอบคุณคนอื่น ไม่ใช่มึง อย่าหลงตัวเอง
Tee Hua Sao : สติ๊กเกอร์โมโห
Om pheang : ให้มันจริงเถอะ
Om pheang : โกหกไม่ดีนะเว้ยยยยมันบาป
Tee Hua Sao : บาปอะไร กูพูดความจริง
Om pheang : บาปสิ โกหกผัวตัวเอง มันบาปหนักรู้ไหม
Om pheang : รูปดอกไม้
Tee Hua Sao : สัส
Om pheang : มึงสอบเสร็จแล้วใช่ไหม?
Tee Hua Sao : ทำไม
Om pheang : กูอยากดูหนังวะ
Tee Hua Sao : อ้าว ใครมัดขามึงไว้วะ
Om pheang : กูได้บัตรฟรีมา มึงไปดูกะกูนะ
Om pheang : รูปตั๋วหนังสองที่นั่ง หมายเลข 14,15
Om pheang : พอดีกูรับจ๊อบเอาไว้ ไปรับมึงไม่ได้เจอกันที่หน้า
โรงหนังเลยนะเวลา 21.00 น.
Tee Hua Sao : อ้าวมึงมีงานแล้วทำไมต้องชวนดูหนังด้วยวะ
Tee Hua Sao : มึงก็ ทำงานให้เสร็จสิ
Om pheang : งานเสร็จทัน ตามนั้นเครนะมึง
จากนั้นไลน์ผมก็เงียบไป สงสัยมันคงยุ่งกับงานจริงๆผมควรจะดีใจมั้ยที่ไอ้โอมชวนไปดูหนัง ถึงจะเป็นบัตรฟรี???แต่ก็ช่างเถอะคิดมากไปก็ปวดหัว ก็ดีเหมือนกันที่จะได้ไปดูหนังแก้เบื่อไหนๆก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วไปดูหนังก็ไม่เลว คิดได้แบบนี้อาบน้ำแต่งตัวไปรอมันที่ห้างดีกว่าไปเดินดูอะไรเล่นๆรอเวลา จากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ขับมอไซค์คู่ใจของผมตรงไปห้างในเมืองทันที ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหนหรอกครับ เป็นของพ่อไอ้คุณหนูไฮโซป่าสักนั้นเองเห็นไหมครับว่ามันรวยขนาดไหนกิจการต่างๆในเมืองขอนแก่นส่วนมากแล้วก็เป็นของครอบครัวของไอ้เชี่ยคุณหนูป่าสักไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูๆ ภัตตาคารห้าดาว ห้างใจกลางเมืองหรือแม้แต่ที่ดินมากมายก็เป็นของตระกูลบุญนิสากุลทั้งนั้น ผมขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มแล้วเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงแวะร้านหนังสือดีกว่าหาอะไรไปอ่านแก้เซ็งคงจะเข้าท่า
“อ้าวตีญ่า มาซื้อหนังสือเหรอ?”
เสียงคุ้นๆหู ทักผมขึ้นมาหลังจากที่ผมเดินดูหนังสือได้ไม่นาน
“สวัสดีครับพี่เชอรี่ นี้พี่ก็มาซื้อหนังสือเหมือนกันเหรอครับ”
“เปล่าหรอกจ๊ะพอดีพี่มาทานอาหารกับเพื่อนๆนะ เลยแวะมาดูหนังสือสักหน่อย เอ่อแล้วนี้ลูกตีญ่าของคุณแม่มาคนเดียวเหรอค่ะ”
“โอ้ยยยเจ้ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกตีญ่า ผมไม่ชอบ อายเขา”
“เครๆๆล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้ ว่าแต่แกมาคนเดียวหรือไงยะ แล้วเพื่อนซี้เธอหายไปไหน”
“แล้วเจ้ เห็นผมมากะใครละ ก็มาคนเดียวสิ ส่วนไอ้ทุ่งมันไปบ้านแฟน”
“ว้ายยยตายแล้ววว นี้ทุ่งธรมีแฟนแล้วเหรอ???”
พอเจ๊เชอรี่ได้ยินว่าทุ่งธรมีแฟนแล้วก็เล่นเอาตกใจเป็นการใหญ่รีบเอามือมาทาบอกแทบไม่ทัน
“แล้วนี้แฟนของทุ่งเป็นใครอะ เจ้รู้จักไหม???บอกมาๆ”
“เอ่อมัน ก็ต้องมีของมันบ้างสิเจ้ แหม่คนเราก็ต้องมีบ้างใช่ปะ?”
“สรุปว่าแฟนของน้องทุ่งเป็นใครยะ บอกเจ้มาเลยนะ”
“เจ้ ถ้าอยากรู้เจ้ก็ไปถามมันเอาเองแล้วกัน ขืนผมพูดไปเดี๋ยวก็โดนไอ้ทุ่งมันเตะปากให้พอดีสิ”
“บอกแค่นี้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเจ้ไปถามเองชิ พวกแกนี้ไวไฟนะยะ ขนาดฉัน
อยู่มาจนป่านนี้ยังไม่มีใครแล”
“อ้าวเจ้ก็พวกผมมันวัยใส ไม่ใช่วัยแรกแยมฝ่าโลงอย่างเจ้อะ”
“ว้ายยยไอ้ตรี แกนี้ปากคอเลาะร้ายมากเลยนะ ฉันไม่คุยกะแกแล้วไปก่อนดีกว่าเพื่อนๆรออยู่”
“โชคดีนะเจ้ เอาไว้เจอกันที่สนามนะ”
“เครบ่าย เอ่อตรีแกอย่าเผลอลากผู้ไปกินในห้องน้ำห้างนะ”
“โอ้ยยยเจ้ ก็เกินไปน่ะ”
พอพี่เชอรี่เดินออกจากร้านหนังสือผมก็ดูเวลาทันทีเพราะกลัวว่าจะเลยเวลานัดกับไอ้โอม
“อืม อีกสิบห้านาทีจะถึงสามทุ่ม เดินไปรอเลยแล้วกัน”
จากนั้นผมก็เดินออกจากร้านหนังสือตรงไปยังชั้นสี่ของห้างสรรพสินค้าเพื่อที่จะไปรอดูหนัง มาถึงโรงหนังคนก็เริ่มมากันเยอะแล้วส่วนมากก็จะมีแต่นักศึกษาที่สอบเสร็จแล้วบางคนก็มาเป็นกลุ่มบางคนก็มากับแฟน แต่ก็มีส่วนน้อยที่มาคนเดียว ตอนนี้ผมได้แต่ยืนรอไอ้คนนัดอยู่ห่างๆถัดจากทางเข้าโรงหนังไปสักห้าเมตร
“เอ้านี้มันสามทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่มาอีกนะ”
ผมบ่นกับตนเองเพราะว่าได้เวลาหนังฉายแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของไอ้คนนัดเลย ผมตัดสินใจส่งไลน์ไปหาโอมทันที
Tee Hua Sao : โอม มึงถึงยังวะ
Tee Hua Sao : กูถึงแล้วนะ
เงียบไม่มีการตอบกลับ หรืออ่านไลน์เลยแม้แต่น้อยหรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมันวะ พอนึกได้อย่างนั้นผมรีบโทรหามันทันที
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ไอ้โอมปิดเครื่อง หรือมันยังทำงานไม่เสร็จ ผมก็คงคิดได้แค่นี้จริงๆเพราะมันบอกว่าทำงานเสร็จแล้วจะมา จากนั้นเวลาก็ผ่านมาสิบห้านาทีก็ยังไม่เห็นวี่แววของไอ้โอมโผล่หัวมาเลย หรือแม้แต่ไลน์ก็ไม่ทักกลับมา ผมตัดสินใจนั่งรอมันต่ออีกสักสิบห้านาทีก่อนแล้วค่อยส่งไลน์ไปอีกครั้งเพราะบางทีมันกำลังเดินทางอยู่ก็ได้เพราะทุกวันนี้ในตัวเมืองขอนแก่นรถติดเหมือนในกรุงเทพเลย
Tee Hua Sao : โอมนี้มันสามทุ่มครึ่งแล้วนะ
Tee Hua Sao : มึงอยู่ไหน??????
ผมพิมพ์ไลน์ไปได้แค่นั้นจู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมแห่งความน้อยใจมันก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย ทำไมความรู้สึกแบบนี้ทำไมมันถึงต้องเกิดขึ้นกับผม แหงนหน้ามองเพดานห้างสิน้ำตาถึงจะได้ไม่ไหลออกมา ผมบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเดินหันหลังให้กับโรงหนังทันที เดินมาได้สักพักสายตาอันพร่ามัวของผมก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงๆร่างนั้น ร่างสูงที่มันทำให้ผมร้องไห้นี้นั้นมันไอ้โอมนี้ ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังผมก็จำมันได้แล้วมันกำลังเดินไปไหน ทำไมมันถึงได้มากับผู้หญิงไหนมันบอกว่ามีงานแล้วมันทำงานเสร็จแล้วหรือ??แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคำถามมากมายเข้ามาในหัวสมองของผมทันที?? ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก หน้าผมชาไปหมดขาก็ก้าวไม่ออกจะเดินต่อก็ไปไม่ไหวเหมือนว่ากำลังในตัวมันได้หายไปหมดสิ้นทำไมอ่อนแรงได้เพียงนี้ นี้หรือคนที่นัดให้ผมมารอ แต่มันกลับมากับคนอื่นถ้าไม่ว่างก็น่าจะบอกผมสักคำ ไลน์ไปก็ไม่อ่านไม่ตอบ โทรไปก็ปิดเครื่อง ผมสังเกตว่าตอนที่เห็นหลังไอ้โอมกับผู้หญิงคนนั้นเดินมามันเป็นทางที่เดินออกมาจากโรงหนังด้านข้างนี้ แสดงว่ามันมาดูหนังกับสาวสวยคนนั้น แล้วมันจะมานัดผมทำไม????มันทำแบบนี้กับผมทำไม มันมีหัวใจหรือเปล่า......ผมไม่รู้ตัวว่าขับรถมอไซค์ออกมาจากห้างตั้งแต่ตอนไหนมารู้สึกตัวอีกทีก็พาร่างกายที่อ่อนล้ากับหัวใจที่ช้ำๆมาหยุดที่หน้าร้านเหล้าแล้วผมตัดสินใจซื้อเบียร์กระป๋องมาเป็นโหลคืนนี้จะเอาให้มันเมาไปเลยพอได้เบียร์แล้วผมตรงไปยังที่ ที่ผมคุ้นเคยสะพานไม้ สะพานไม้ที่ไม่เคยทอดทิ้งใคร ผมค่อยๆนั่งลงมองดูดวงจันทร์บนสะพานไม้แสงจันทร์ตกกระทบกับสายน้ำช่างดูสวยงามอะไรปานนั้น ตรงข้ามกับจิตใจของผมนักตอนนี้มันช่างทรมานเสียจริงๆยิ่งคิดยิ่งดื่มผมไม่รู้ว่าดื่มเบียร์ไปกี่กระป๋องแล้ว แต่ตอนนี้รู้สึกได้ว่าร่างกายเหมือนๆจะทรงตัวไม่อยู่เอาเสียเลย ทามกลางความเงียบสงบของสะพานไม้จู่ๆโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมาทันที ไอ้เชี่ยโอมโทรมา มันจะโทรมาทำไมก็ในเมื่อมันอยู่กับสาวสวยคนนั้นแล้ว สาวสวยคนที่เหมาะสมกับมันทุกอย่างไม่ว่าหน้าตาก็ดูสวยสมกับไอ้โอมเอามากๆ มันจะมาตอแยผมอีกทำไม คิดได้แบบนั้นผมก็กดตัดสายมันทิ้งไป ตัดไฟเสียแต่ต้นลมยิ่งเห็นมันโทรมาก็ยิ่งเจ็บเข้าไปในทรวงมากขึ้นอีก ดื่มครับ ยกเบียร์ขึ้นดื่มสิจะรออะไรอยู่ละ ให้รสชาติขมๆของเบียร์มันดับความช้ำในใจเถอะ
“พอได้แล้วมั้ง”
จู่ๆก็มีมือใครที่ไหนไม่รู้มาแย่งเอาขวดเบียร์ออกจากมือผมไปเสียดื้อๆทำให้ผมต้องรีบหันหน้าไปไปทางต้นเสียงนั้นทันที
“ทำไม มึงไม่รอดูหนังกับกู”
โอมศักดิ์พินิจพูดจบก็ยกเบียร์ในกระป๋องที่แย่งเอามาจากตรีภพขึ้นดื่มทันทีพร้อมกับนั่งลงข้างๆที่ราวสะพานไม้ใกล้ๆกับตรีภพ
“สัส แย่งกูแดรก”
“ทำไมไม่รอกู”
ไอ้เชี่ยโอม มึงยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอผมนึกในใจแต่ไม่พูดออกไปได้แต่ยกเบียร์กระป๋องใหม่ขึ้นมาดื่มให้มันสาแก่ใจ
“กูขอโทษ ที่ไปช้า พอดีติดธุระนิดหน่อย”
“กูไม่อยากดูละครน้ำเนาวะ ไปเล่นที่อื่นเถอะมึง”
“ตรี กูรู้ว่าทำให้มึงโกรธ แต่กูติดธุระจำเป็นจริงๆ”
“ช่างแม่งมันเถอะ มึงจะมาสนใจอะไรกับคนอย่างกู”
“ตรี กูรู้ว่ามึงไม่พอใจ แต่มึงฟังกูก่อนได้ไหม”
“มึงจะมาล้อเล่นอะไรกับกูอีกวะโอม แค่นี้มึงยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
“ตรี มึงอย่าใช้อารมณ์สิวะ กูรู้ว่าผิดนัดกับมึง แต่มึงฟังกูก่อนได้ไหม”
“หึ ว่ามามึงอยากจะเล่าอะไรก็เล่ามา เอาที่มึงสบายใจเลยโอม กูไม่มีสิทธิอะไรในตัวมึงอยู่แล้วว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิตรี มึงฟังกูนะตรี”
จากนั้นโอมก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆกับตรีทันที เขายื่นมือออกไปจับใบหน้าเข้มๆของตรีภพให้หันมาทางเขาอย่างช้าๆถึงแม้ว่าจะมีการเกร็งฝืนของอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม
“ตรี มึงมองตากูนะ ว่าเรื่องต่อไปนี้กูจะพูดความจริงให้มึงฟัง”
ผมจ้องตาของไอ้โอมกลับทันทีอยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างมันจะโกหกอะไรผมอีก
“คือว่ากูไปดูหนังกับลูกสาวของเพื่อนแม่ เลยมาดูหนังกับมึงไม่ทัน”
“อืม กูเห็นแล้วว่า”
“นี้มึงเห็นเหรอ แล้วทำไมไม่เข้าไปทักกูวะ”
“กูเห็นมึงเดินออกมาจากโรงหนังกับผู้หญิงคนนั้น”
“เอ้ยไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจนะเว้ย เขาเป็นลูกเพื่อนแม่กู พอดีเขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ”
“แล้วไง มึงเลยอาสาพาไปดูหนัง?”
“เปล่า พอดีแม่เขาไปธุระกับแม่กูเลยเอาเขามาฝากให้กูช่วยดูแลเขาก่อน”
“อืมก็ดีแล้ว มึงจะมาสนใจกูทำไมวะ กลับไปดูแลสาวสวยคนนั้นเถอะ”
“ตรี มึงอย่าพูดแบบนี้สิวะ กูขอโทษที่ทำให้มึงรอเก้อ”
“มึงแม่ง ก็น่าจะบอกกูสักคำ มึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ”
“คือกูไม่รู้จะบอกมึงยังไง กูคิดว่ารอบหนังมันจะทันกันพอดี แต่แมร่งหนังมันเสือกช้า”
“มึงเลยสับรางไม่ทัน?”
“เปล่ากูไม่ได้สับราง แค่กูไม่สามารถปฏิเสธได้”
“อืม กูเข้าใจแล้วกูมันก็แค่เพื่อนมึง จะสำคัญสู้ใครได้วะ”
“เอ้ยตรี ไม่ใช่อย่างนั้นนะมึง”
จากนั้นตรีภพก็ลุกขึ้นยืนทันที แต่ด้วยความที่ร่างกายรับเอาแอลกอฮอล์เข้าไปมากจึงทำให้ร่างของเขาเซไปข้างหน้า กำลังจะตกลงไปในแม่น้ำใต้สะพานแต่มือของโอมก็คว้าเอาไว้ได้ทัน โอมดึงร่างของตรีเข้ามาแนบชิดไว้กับอกกว้างๆได้ทันพอดี
“อุ๊บ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เออ เอ่อ กูไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
“ตรี มึงเข้าใจกูไหม?”
“เอ่อปล่อยกูได้แล้ว กูไม่เป็นไรแล้ว”
“ไม่ มึงจะหนีกู ตอบมาก่อนว่าเข้าใจกูหรือยัง”
“กูจะหนีมึงทำไมวะ”
“อ้าวก็มึงโกรธกู มึงยังไม่เข้าใจกู”
“กูไม่ได้โกรธมึงไอ้โอม แค่กูเข้าใจว่ามึงกับกูก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน”
“ตรี ถ้ามึงเห็นกูเป็นแค่เพื่อน ทำไมตอนนี้มึงถึงไม่กล้ามองหน้ากู”
“อะไรของมึงวะไอ้โอม ปล่อยกู กูจะกลับหอแล้ว”
“กูไม่ปล่อย จนกว่ามึงจะยอมมองหน้ากู หรือมึงไม่กล้า”
ศักดิ์พินิจได้ทีก็รีบท้าตรีภพ เพราะรู้ว่านิสัยอย่างตรีภพนั้นใครก็อย่าได้คิดมาท้าดวล
“ได้แค่มองหน้าเอง กูไม่เห็นจะต้องกลัวมึงเลย”
ผมค่อยๆจ้องหน้าไอ้คนตัวสูงรูปหน้าเรียวๆดวงตาที่มีแววของความขี้เล่นของโอมส่งมายังผมทันที เราจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักพักโอมก็ค่อยๆโน้มใบหน้าเรียวๆของเขาเข้ามาใกล้กับปากของผม โอมใช้ปากของเขาจูบลงอย่างหนักหน่วงและรุนแรงเพื่อเปิดปากของผมแล้วจากนั้นก็ใช้ลิ้น
ครวญหาความหอมหวานมาดูดดื่ม เราต่างก็แลกลิ้มซึ่งกันและกันทามกลางบรรยากาศใต้แสงจันทร์บนสะพานไม้แห่งนั้นเนินนานแสนนานจากอารมณ์ที่น้อยใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นแรงปรารถนาในกายของกันและกัน
“กี่โมงแล้ววะโอม”
ผมตื่นมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ภายใต้ห้องนอนของโอมศักดิ์พินิจคงไม่ต้องบอกว่าเมื่อคืนนี้เราจบลงแบบไหนนะครับเอาเป็นว่าเข้าตำราวัวเคยค้าม้าเคยขี่ก็แล้วกัน
“ไม่รู้ คงเช้าอยู่มั้งมึงจะรีบตื่นไปไหน นอนต่อก่อนเถอะ”
“บ้าแล้วมึง แสงแดดส่องมาแยงตาแล้วเช้าบ้านมึงสิ”
“โอ้ยยนี้มันวันหยุดนะเว้ยตรี ก็ตื่นสายๆหน่อยก็ได้อีกอย่างกูยังเพลียอยู่เลย”
พอสิ้นเสียงพูดโอมก็คว้าตัวผมให้กลับไปนอนต่อภายใต้ผ้าห่อผืนเดียวกับโอมทันที ร่างของเราทั้งสองเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่
“เมื่อคืนเล่นกูสะเหนื่อยเลย ขอนอนต่ออีกนิดนะมึง”
“อะไรกันของมึง ใครเล่นมึงกูเห็นมีแต่มึงนั้นแหละใส่เกียร์สี่เร่งเอา เร่งเอา”
“หึหึพูดแบบนี้ อยากต่ออีกสักรอบเหรอวะตรี”
“เอ้ยยไอ้บ้าโอม พอแล้วกูไม่ไหวแล้วมึง เมื่อคืนก็สองรอบแล้ว”
“อ้าวมึงปลุกกูเองนะเว้ยตรี ช่วยไม่ได้ตอนนี้น้องชายกูมันตื่นมาเคารพธงชาติแล้ววะ มึงต้องรับผิดชอบ”
“ไม่นะเว้ยยยยยยไอ้โอมมมมมมปล่อยกู มึงอย่าทำแบบนี้สิวะ กูไม่ไหวแล้วกูเหนื่อย”
ศักดิ์พินิจพลิกตัวขึ้นมาแล้วจับขาของตรีภพแยกออกจากกันโดยทันที ตอนนี้ตรีภพนอนอยู่ในท่านอนหงายขาถ่างออกโดยอัตโนมัติ มือใหญ่ของศักดิ์พินิจจับมังกรน้อยพร้อมพ่นพิษอยู่ตลอดเวลาเข้าถ้ำทันที
“อ๊อยยสส์ ซี้ดส์ โอมมม มึงเบาๆหน่อย อูยย์”
“กูจะเบาๆนะตรี ทนอีกนิดเดียวก็ได้เสียวแล้วมึงอ๊อยยยยส์”
“โอ้ววววซี้ดส์”
ตรีภพครางเบาๆด้วยความเสียวซ่านปนความเจ็บเมื่อแท่งแกนกลางลำใหญ่ยักษ์ของศักดิ์พินิจแทงพรวดเข้าทางประตูหลังจนมิดลำในคราวเดียว
กึก!!!!!!!!!
“อ๊อยยยยส์ โอ้ววววว ซี้ดดสส์ สุดๆเลยมึง”
“อ้ายยยอ๊อยยยยส์โอ้ววววซี้ดดดดส์”
ศักดิ์พินิจแช่แท่งทองคำไว้ไม่ให้ขยับ ตรีภพได้จังหวะก็ค่อยๆแอ่นสะโพกให้รับเข้ากับแท่งทองคำยักษ์นั้นทันที สะโพกของศักดิ์พินิจก็ส่ายร่อนเป็นจังหวะพร้อมกับโยกขยับไปมา พายุเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้คงจะมีอานุภาพรุนแรงที่จะถล่มเมืองทั้งเมืองได้ภายในพริบตา
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” นี้คือข้อความล่าสุดที่ผมโพสลงในเฟซส่วนตัว ผมก็ทำได้แค่นี้แหละครับ ทำอะไรมากไปกว่านี้ก็คงไม่ได้ แต่แล้วจู่ๆระบบในเฟซมันก็เตือนว่ามีคนเข้ามากดไลค์ ผมต้องแปลกใจเพราะหนึ่งในจำนวนคนที่มากดไลค์ให้ผมนั้นคือไอ้โอม แล้วจู่ๆไลน์ผมก็ดังขึ้นมาทันที
Om pheang : ไม่เป็นไร
Tee Hua Sao : อะไรของมึง
Om pheang : ก็เห็นโพสขอบคุณกูในเฟซ
Tee Hua Sao : ใครบอกมึงว่ากูขอบคุณมึง
Om pheang : ก็กูบอกมึงอยู่นี้ไง
Tee Hua Sao : กูขอบคุณคนอื่น ไม่ใช่มึง อย่าหลงตัวเอง
Tee Hua Sao : สติ๊กเกอร์โมโห
Om pheang : ให้มันจริงเถอะ
Om pheang : โกหกไม่ดีนะเว้ยยยยมันบาป
Tee Hua Sao : บาปอะไร กูพูดความจริง
Om pheang : บาปสิ โกหกผัวตัวเอง มันบาปหนักรู้ไหม
Om pheang : รูปดอกไม้
Tee Hua Sao : สัส
Om pheang : มึงสอบเสร็จแล้วใช่ไหม?
Tee Hua Sao : ทำไม
Om pheang : กูอยากดูหนังวะ
Tee Hua Sao : อ้าว ใครมัดขามึงไว้วะ
Om pheang : กูได้บัตรฟรีมา มึงไปดูกะกูนะ
Om pheang : รูปตั๋วหนังสองที่นั่ง หมายเลข 14,15
Om pheang : พอดีกูรับจ๊อบเอาไว้ ไปรับมึงไม่ได้เจอกันที่หน้า
โรงหนังเลยนะเวลา 21.00 น.
Tee Hua Sao : อ้าวมึงมีงานแล้วทำไมต้องชวนดูหนังด้วยวะ
Tee Hua Sao : มึงก็ ทำงานให้เสร็จสิ
Om pheang : งานเสร็จทัน ตามนั้นเครนะมึง
จากนั้นไลน์ผมก็เงียบไป สงสัยมันคงยุ่งกับงานจริงๆผมควรจะดีใจมั้ยที่ไอ้โอมชวนไปดูหนัง ถึงจะเป็นบัตรฟรี???แต่ก็ช่างเถอะคิดมากไปก็ปวดหัว ก็ดีเหมือนกันที่จะได้ไปดูหนังแก้เบื่อไหนๆก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วไปดูหนังก็ไม่เลว คิดได้แบบนี้อาบน้ำแต่งตัวไปรอมันที่ห้างดีกว่าไปเดินดูอะไรเล่นๆรอเวลา จากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ขับมอไซค์คู่ใจของผมตรงไปห้างในเมืองทันที ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหนหรอกครับ เป็นของพ่อไอ้คุณหนูไฮโซป่าสักนั้นเองเห็นไหมครับว่ามันรวยขนาดไหนกิจการต่างๆในเมืองขอนแก่นส่วนมากแล้วก็เป็นของครอบครัวของไอ้เชี่ยคุณหนูป่าสักไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูๆ ภัตตาคารห้าดาว ห้างใจกลางเมืองหรือแม้แต่ที่ดินมากมายก็เป็นของตระกูลบุญนิสากุลทั้งนั้น ผมขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มแล้วเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงแวะร้านหนังสือดีกว่าหาอะไรไปอ่านแก้เซ็งคงจะเข้าท่า
“อ้าวตีญ่า มาซื้อหนังสือเหรอ?”
เสียงคุ้นๆหู ทักผมขึ้นมาหลังจากที่ผมเดินดูหนังสือได้ไม่นาน
“สวัสดีครับพี่เชอรี่ นี้พี่ก็มาซื้อหนังสือเหมือนกันเหรอครับ”
“เปล่าหรอกจ๊ะพอดีพี่มาทานอาหารกับเพื่อนๆนะ เลยแวะมาดูหนังสือสักหน่อย เอ่อแล้วนี้ลูกตีญ่าของคุณแม่มาคนเดียวเหรอค่ะ”
“โอ้ยยยเจ้ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกตีญ่า ผมไม่ชอบ อายเขา”
“เครๆๆล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้ ว่าแต่แกมาคนเดียวหรือไงยะ แล้วเพื่อนซี้เธอหายไปไหน”
“แล้วเจ้ เห็นผมมากะใครละ ก็มาคนเดียวสิ ส่วนไอ้ทุ่งมันไปบ้านแฟน”
“ว้ายยยตายแล้ววว นี้ทุ่งธรมีแฟนแล้วเหรอ???”
พอเจ๊เชอรี่ได้ยินว่าทุ่งธรมีแฟนแล้วก็เล่นเอาตกใจเป็นการใหญ่รีบเอามือมาทาบอกแทบไม่ทัน
“แล้วนี้แฟนของทุ่งเป็นใครอะ เจ้รู้จักไหม???บอกมาๆ”
“เอ่อมัน ก็ต้องมีของมันบ้างสิเจ้ แหม่คนเราก็ต้องมีบ้างใช่ปะ?”
“สรุปว่าแฟนของน้องทุ่งเป็นใครยะ บอกเจ้มาเลยนะ”
“เจ้ ถ้าอยากรู้เจ้ก็ไปถามมันเอาเองแล้วกัน ขืนผมพูดไปเดี๋ยวก็โดนไอ้ทุ่งมันเตะปากให้พอดีสิ”
“บอกแค่นี้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเจ้ไปถามเองชิ พวกแกนี้ไวไฟนะยะ ขนาดฉัน
อยู่มาจนป่านนี้ยังไม่มีใครแล”
“อ้าวเจ้ก็พวกผมมันวัยใส ไม่ใช่วัยแรกแยมฝ่าโลงอย่างเจ้อะ”
“ว้ายยยไอ้ตรี แกนี้ปากคอเลาะร้ายมากเลยนะ ฉันไม่คุยกะแกแล้วไปก่อนดีกว่าเพื่อนๆรออยู่”
“โชคดีนะเจ้ เอาไว้เจอกันที่สนามนะ”
“เครบ่าย เอ่อตรีแกอย่าเผลอลากผู้ไปกินในห้องน้ำห้างนะ”
“โอ้ยยยเจ้ ก็เกินไปน่ะ”
พอพี่เชอรี่เดินออกจากร้านหนังสือผมก็ดูเวลาทันทีเพราะกลัวว่าจะเลยเวลานัดกับไอ้โอม
“อืม อีกสิบห้านาทีจะถึงสามทุ่ม เดินไปรอเลยแล้วกัน”
จากนั้นผมก็เดินออกจากร้านหนังสือตรงไปยังชั้นสี่ของห้างสรรพสินค้าเพื่อที่จะไปรอดูหนัง มาถึงโรงหนังคนก็เริ่มมากันเยอะแล้วส่วนมากก็จะมีแต่นักศึกษาที่สอบเสร็จแล้วบางคนก็มาเป็นกลุ่มบางคนก็มากับแฟน แต่ก็มีส่วนน้อยที่มาคนเดียว ตอนนี้ผมได้แต่ยืนรอไอ้คนนัดอยู่ห่างๆถัดจากทางเข้าโรงหนังไปสักห้าเมตร
“เอ้านี้มันสามทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่มาอีกนะ”
ผมบ่นกับตนเองเพราะว่าได้เวลาหนังฉายแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของไอ้คนนัดเลย ผมตัดสินใจส่งไลน์ไปหาโอมทันที
Tee Hua Sao : โอม มึงถึงยังวะ
Tee Hua Sao : กูถึงแล้วนะ
เงียบไม่มีการตอบกลับ หรืออ่านไลน์เลยแม้แต่น้อยหรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมันวะ พอนึกได้อย่างนั้นผมรีบโทรหามันทันที
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ไอ้โอมปิดเครื่อง หรือมันยังทำงานไม่เสร็จ ผมก็คงคิดได้แค่นี้จริงๆเพราะมันบอกว่าทำงานเสร็จแล้วจะมา จากนั้นเวลาก็ผ่านมาสิบห้านาทีก็ยังไม่เห็นวี่แววของไอ้โอมโผล่หัวมาเลย หรือแม้แต่ไลน์ก็ไม่ทักกลับมา ผมตัดสินใจนั่งรอมันต่ออีกสักสิบห้านาทีก่อนแล้วค่อยส่งไลน์ไปอีกครั้งเพราะบางทีมันกำลังเดินทางอยู่ก็ได้เพราะทุกวันนี้ในตัวเมืองขอนแก่นรถติดเหมือนในกรุงเทพเลย
Tee Hua Sao : โอมนี้มันสามทุ่มครึ่งแล้วนะ
Tee Hua Sao : มึงอยู่ไหน??????
ผมพิมพ์ไลน์ไปได้แค่นั้นจู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมแห่งความน้อยใจมันก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย ทำไมความรู้สึกแบบนี้ทำไมมันถึงต้องเกิดขึ้นกับผม แหงนหน้ามองเพดานห้างสิน้ำตาถึงจะได้ไม่ไหลออกมา ผมบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเดินหันหลังให้กับโรงหนังทันที เดินมาได้สักพักสายตาอันพร่ามัวของผมก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงๆร่างนั้น ร่างสูงที่มันทำให้ผมร้องไห้นี้นั้นมันไอ้โอมนี้ ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังผมก็จำมันได้แล้วมันกำลังเดินไปไหน ทำไมมันถึงได้มากับผู้หญิงไหนมันบอกว่ามีงานแล้วมันทำงานเสร็จแล้วหรือ??แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคำถามมากมายเข้ามาในหัวสมองของผมทันที?? ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก หน้าผมชาไปหมดขาก็ก้าวไม่ออกจะเดินต่อก็ไปไม่ไหวเหมือนว่ากำลังในตัวมันได้หายไปหมดสิ้นทำไมอ่อนแรงได้เพียงนี้ นี้หรือคนที่นัดให้ผมมารอ แต่มันกลับมากับคนอื่นถ้าไม่ว่างก็น่าจะบอกผมสักคำ ไลน์ไปก็ไม่อ่านไม่ตอบ โทรไปก็ปิดเครื่อง ผมสังเกตว่าตอนที่เห็นหลังไอ้โอมกับผู้หญิงคนนั้นเดินมามันเป็นทางที่เดินออกมาจากโรงหนังด้านข้างนี้ แสดงว่ามันมาดูหนังกับสาวสวยคนนั้น แล้วมันจะมานัดผมทำไม????มันทำแบบนี้กับผมทำไม มันมีหัวใจหรือเปล่า......ผมไม่รู้ตัวว่าขับรถมอไซค์ออกมาจากห้างตั้งแต่ตอนไหนมารู้สึกตัวอีกทีก็พาร่างกายที่อ่อนล้ากับหัวใจที่ช้ำๆมาหยุดที่หน้าร้านเหล้าแล้วผมตัดสินใจซื้อเบียร์กระป๋องมาเป็นโหลคืนนี้จะเอาให้มันเมาไปเลยพอได้เบียร์แล้วผมตรงไปยังที่ ที่ผมคุ้นเคยสะพานไม้ สะพานไม้ที่ไม่เคยทอดทิ้งใคร ผมค่อยๆนั่งลงมองดูดวงจันทร์บนสะพานไม้แสงจันทร์ตกกระทบกับสายน้ำช่างดูสวยงามอะไรปานนั้น ตรงข้ามกับจิตใจของผมนักตอนนี้มันช่างทรมานเสียจริงๆยิ่งคิดยิ่งดื่มผมไม่รู้ว่าดื่มเบียร์ไปกี่กระป๋องแล้ว แต่ตอนนี้รู้สึกได้ว่าร่างกายเหมือนๆจะทรงตัวไม่อยู่เอาเสียเลย ทามกลางความเงียบสงบของสะพานไม้จู่ๆโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมาทันที ไอ้เชี่ยโอมโทรมา มันจะโทรมาทำไมก็ในเมื่อมันอยู่กับสาวสวยคนนั้นแล้ว สาวสวยคนที่เหมาะสมกับมันทุกอย่างไม่ว่าหน้าตาก็ดูสวยสมกับไอ้โอมเอามากๆ มันจะมาตอแยผมอีกทำไม คิดได้แบบนั้นผมก็กดตัดสายมันทิ้งไป ตัดไฟเสียแต่ต้นลมยิ่งเห็นมันโทรมาก็ยิ่งเจ็บเข้าไปในทรวงมากขึ้นอีก ดื่มครับ ยกเบียร์ขึ้นดื่มสิจะรออะไรอยู่ละ ให้รสชาติขมๆของเบียร์มันดับความช้ำในใจเถอะ
“พอได้แล้วมั้ง”
จู่ๆก็มีมือใครที่ไหนไม่รู้มาแย่งเอาขวดเบียร์ออกจากมือผมไปเสียดื้อๆทำให้ผมต้องรีบหันหน้าไปไปทางต้นเสียงนั้นทันที
“ทำไม มึงไม่รอดูหนังกับกู”
โอมศักดิ์พินิจพูดจบก็ยกเบียร์ในกระป๋องที่แย่งเอามาจากตรีภพขึ้นดื่มทันทีพร้อมกับนั่งลงข้างๆที่ราวสะพานไม้ใกล้ๆกับตรีภพ
“สัส แย่งกูแดรก”
“ทำไมไม่รอกู”
ไอ้เชี่ยโอม มึงยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอผมนึกในใจแต่ไม่พูดออกไปได้แต่ยกเบียร์กระป๋องใหม่ขึ้นมาดื่มให้มันสาแก่ใจ
“กูขอโทษ ที่ไปช้า พอดีติดธุระนิดหน่อย”
“กูไม่อยากดูละครน้ำเนาวะ ไปเล่นที่อื่นเถอะมึง”
“ตรี กูรู้ว่าทำให้มึงโกรธ แต่กูติดธุระจำเป็นจริงๆ”
“ช่างแม่งมันเถอะ มึงจะมาสนใจอะไรกับคนอย่างกู”
“ตรี กูรู้ว่ามึงไม่พอใจ แต่มึงฟังกูก่อนได้ไหม”
“มึงจะมาล้อเล่นอะไรกับกูอีกวะโอม แค่นี้มึงยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
“ตรี มึงอย่าใช้อารมณ์สิวะ กูรู้ว่าผิดนัดกับมึง แต่มึงฟังกูก่อนได้ไหม”
“หึ ว่ามามึงอยากจะเล่าอะไรก็เล่ามา เอาที่มึงสบายใจเลยโอม กูไม่มีสิทธิอะไรในตัวมึงอยู่แล้วว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิตรี มึงฟังกูนะตรี”
จากนั้นโอมก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆกับตรีทันที เขายื่นมือออกไปจับใบหน้าเข้มๆของตรีภพให้หันมาทางเขาอย่างช้าๆถึงแม้ว่าจะมีการเกร็งฝืนของอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม
“ตรี มึงมองตากูนะ ว่าเรื่องต่อไปนี้กูจะพูดความจริงให้มึงฟัง”
ผมจ้องตาของไอ้โอมกลับทันทีอยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างมันจะโกหกอะไรผมอีก
“คือว่ากูไปดูหนังกับลูกสาวของเพื่อนแม่ เลยมาดูหนังกับมึงไม่ทัน”
“อืม กูเห็นแล้วว่า”
“นี้มึงเห็นเหรอ แล้วทำไมไม่เข้าไปทักกูวะ”
“กูเห็นมึงเดินออกมาจากโรงหนังกับผู้หญิงคนนั้น”
“เอ้ยไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจนะเว้ย เขาเป็นลูกเพื่อนแม่กู พอดีเขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ”
“แล้วไง มึงเลยอาสาพาไปดูหนัง?”
“เปล่า พอดีแม่เขาไปธุระกับแม่กูเลยเอาเขามาฝากให้กูช่วยดูแลเขาก่อน”
“อืมก็ดีแล้ว มึงจะมาสนใจกูทำไมวะ กลับไปดูแลสาวสวยคนนั้นเถอะ”
“ตรี มึงอย่าพูดแบบนี้สิวะ กูขอโทษที่ทำให้มึงรอเก้อ”
“มึงแม่ง ก็น่าจะบอกกูสักคำ มึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ”
“คือกูไม่รู้จะบอกมึงยังไง กูคิดว่ารอบหนังมันจะทันกันพอดี แต่แมร่งหนังมันเสือกช้า”
“มึงเลยสับรางไม่ทัน?”
“เปล่ากูไม่ได้สับราง แค่กูไม่สามารถปฏิเสธได้”
“อืม กูเข้าใจแล้วกูมันก็แค่เพื่อนมึง จะสำคัญสู้ใครได้วะ”
“เอ้ยตรี ไม่ใช่อย่างนั้นนะมึง”
จากนั้นตรีภพก็ลุกขึ้นยืนทันที แต่ด้วยความที่ร่างกายรับเอาแอลกอฮอล์เข้าไปมากจึงทำให้ร่างของเขาเซไปข้างหน้า กำลังจะตกลงไปในแม่น้ำใต้สะพานแต่มือของโอมก็คว้าเอาไว้ได้ทัน โอมดึงร่างของตรีเข้ามาแนบชิดไว้กับอกกว้างๆได้ทันพอดี
“อุ๊บ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เออ เอ่อ กูไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
“ตรี มึงเข้าใจกูไหม?”
“เอ่อปล่อยกูได้แล้ว กูไม่เป็นไรแล้ว”
“ไม่ มึงจะหนีกู ตอบมาก่อนว่าเข้าใจกูหรือยัง”
“กูจะหนีมึงทำไมวะ”
“อ้าวก็มึงโกรธกู มึงยังไม่เข้าใจกู”
“กูไม่ได้โกรธมึงไอ้โอม แค่กูเข้าใจว่ามึงกับกูก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน”
“ตรี ถ้ามึงเห็นกูเป็นแค่เพื่อน ทำไมตอนนี้มึงถึงไม่กล้ามองหน้ากู”
“อะไรของมึงวะไอ้โอม ปล่อยกู กูจะกลับหอแล้ว”
“กูไม่ปล่อย จนกว่ามึงจะยอมมองหน้ากู หรือมึงไม่กล้า”
ศักดิ์พินิจได้ทีก็รีบท้าตรีภพ เพราะรู้ว่านิสัยอย่างตรีภพนั้นใครก็อย่าได้คิดมาท้าดวล
“ได้แค่มองหน้าเอง กูไม่เห็นจะต้องกลัวมึงเลย”
ผมค่อยๆจ้องหน้าไอ้คนตัวสูงรูปหน้าเรียวๆดวงตาที่มีแววของความขี้เล่นของโอมส่งมายังผมทันที เราจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักพักโอมก็ค่อยๆโน้มใบหน้าเรียวๆของเขาเข้ามาใกล้กับปากของผม โอมใช้ปากของเขาจูบลงอย่างหนักหน่วงและรุนแรงเพื่อเปิดปากของผมแล้วจากนั้นก็ใช้ลิ้น
ครวญหาความหอมหวานมาดูดดื่ม เราต่างก็แลกลิ้มซึ่งกันและกันทามกลางบรรยากาศใต้แสงจันทร์บนสะพานไม้แห่งนั้นเนินนานแสนนานจากอารมณ์ที่น้อยใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นแรงปรารถนาในกายของกันและกัน
“กี่โมงแล้ววะโอม”
ผมตื่นมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ภายใต้ห้องนอนของโอมศักดิ์พินิจคงไม่ต้องบอกว่าเมื่อคืนนี้เราจบลงแบบไหนนะครับเอาเป็นว่าเข้าตำราวัวเคยค้าม้าเคยขี่ก็แล้วกัน
“ไม่รู้ คงเช้าอยู่มั้งมึงจะรีบตื่นไปไหน นอนต่อก่อนเถอะ”
“บ้าแล้วมึง แสงแดดส่องมาแยงตาแล้วเช้าบ้านมึงสิ”
“โอ้ยยนี้มันวันหยุดนะเว้ยตรี ก็ตื่นสายๆหน่อยก็ได้อีกอย่างกูยังเพลียอยู่เลย”
พอสิ้นเสียงพูดโอมก็คว้าตัวผมให้กลับไปนอนต่อภายใต้ผ้าห่อผืนเดียวกับโอมทันที ร่างของเราทั้งสองเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่
“เมื่อคืนเล่นกูสะเหนื่อยเลย ขอนอนต่ออีกนิดนะมึง”
“อะไรกันของมึง ใครเล่นมึงกูเห็นมีแต่มึงนั้นแหละใส่เกียร์สี่เร่งเอา เร่งเอา”
“หึหึพูดแบบนี้ อยากต่ออีกสักรอบเหรอวะตรี”
“เอ้ยยไอ้บ้าโอม พอแล้วกูไม่ไหวแล้วมึง เมื่อคืนก็สองรอบแล้ว”
“อ้าวมึงปลุกกูเองนะเว้ยตรี ช่วยไม่ได้ตอนนี้น้องชายกูมันตื่นมาเคารพธงชาติแล้ววะ มึงต้องรับผิดชอบ”
“ไม่นะเว้ยยยยยยไอ้โอมมมมมมปล่อยกู มึงอย่าทำแบบนี้สิวะ กูไม่ไหวแล้วกูเหนื่อย”
ศักดิ์พินิจพลิกตัวขึ้นมาแล้วจับขาของตรีภพแยกออกจากกันโดยทันที ตอนนี้ตรีภพนอนอยู่ในท่านอนหงายขาถ่างออกโดยอัตโนมัติ มือใหญ่ของศักดิ์พินิจจับมังกรน้อยพร้อมพ่นพิษอยู่ตลอดเวลาเข้าถ้ำทันที
“อ๊อยยสส์ ซี้ดส์ โอมมม มึงเบาๆหน่อย อูยย์”
“กูจะเบาๆนะตรี ทนอีกนิดเดียวก็ได้เสียวแล้วมึงอ๊อยยยยส์”
“โอ้ววววซี้ดส์”
ตรีภพครางเบาๆด้วยความเสียวซ่านปนความเจ็บเมื่อแท่งแกนกลางลำใหญ่ยักษ์ของศักดิ์พินิจแทงพรวดเข้าทางประตูหลังจนมิดลำในคราวเดียว
กึก!!!!!!!!!
“อ๊อยยยยส์ โอ้ววววว ซี้ดดสส์ สุดๆเลยมึง”
“อ้ายยยอ๊อยยยยส์โอ้ววววซี้ดดดดส์”
ศักดิ์พินิจแช่แท่งทองคำไว้ไม่ให้ขยับ ตรีภพได้จังหวะก็ค่อยๆแอ่นสะโพกให้รับเข้ากับแท่งทองคำยักษ์นั้นทันที สะโพกของศักดิ์พินิจก็ส่ายร่อนเป็นจังหวะพร้อมกับโยกขยับไปมา พายุเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้คงจะมีอานุภาพรุนแรงที่จะถล่มเมืองทั้งเมืองได้ภายในพริบตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ