ลมหวาน ป่าหนาว

9.2

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.

  42 ตอน
  8 วิจารณ์
  70.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) ลูกพระพิฆเนศวร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

การได้นอนในอ้อมกอดของป่าสักภายในเต้นท์ที่อากาศค่อนข้างจะหนาวนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเสียจริงๆเป็นห่วงเวลาที่ไม่อยากให้กาลเวลามันเดินผ่านไปเลยกลิ่นกายหอมเฉพาะตัวของไอ้คุณหนูปากร้ายช่างติดตรึงตราใจผมไม่เคยลืมแต่แล้วเวลาแห่งความสุขก็ต้องหยุดลงเมื่อผมได้ยินเสียงของป่าสักปลุกเบาๆ

“ทุ่ง ทุ่ง ตื่นเถอะ ตีสามครึ่งแล้วกูต้องไปแล้วเดี๋ยวพี่ว้ากพวกมึงมาเห็นเข้า”

“อืม  จะกลับตอนนี้เหรอ?”

“อืมเดี๋ยวก็ตีสี่แล้วพวกมึงต้องเตรียมตัวไปรับน้องที่เขื่อนไม่ใช่เหรอ??”

“ก็ใช่อะ  แต่ขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหม กำลังสบายเลย”

“ไม่ได้  ขืนช้ามีหวังมึงโดนซ่อมแน่ๆถ้าพวกพี่ว้ากมาเจอมึงนอนอยู่กับกูแบบนี้”

พอผมนึกขึ้นได้ว่าต้องโดนพี่ว้ากซ่อมแค่นั้นแหละดีดตัวลุกขึ้นทันทีเลยครับ ใครจะไม่กลัวพี่ว้ากละ แต่ละคนหน้าโหดๆทั้งนั้นโดยเฉพาะพี่อัฐพี่รหัสนางไอซ์นั้นตัวดีเลยทีเดียวแถมได้ยินแว่วๆมาว่าจะมีพี่ปีสามมาผสมโรงอีก ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปทางด้านไอ้โอมกับไอ้ตรีไอ้เชี่ยสองตัวนั้นยังนอนคลุมโปงด้วยผ้าห่มอยู่เลย ผมเอามือไปสะกิดลำตัวของไอ้ตรีทันทีเพื่อจะปลุกให้มันตื่น

“เอ้ยยยไอ้เชี่ยตรี ตรีตื่นได้แล้วมึง”

“อ้าวพวกนี้เรียกแล้วไม่ยอมตื่น ทุ่งมึงดึงผ้าห่มมันออกสิแล้วเอาน้ำมาสาดเลย”

เสียงป่าสักบอกผมให้ดึงผ้าห่มออกจากการคลุมทั้งตัวพวกมันทั้งสองคนแต่มองดูผิวเผินแล้วเหมือนคนนอนกอดกันเลยหรือว่าไอ้เชี่ยสองคนนี้มันจะหนาวมากเลยต้องนอนกอดกัน???จากนั้นผมก็ค่อยๆดึงผ้าห่มออกจากตัวพวกมันสองคนสิ่งที่ผมเห็นคือไอ้ตรีมันนอนเอาหน้าซุกใต้คอยาวๆของไอ้เชี่ยโอมส่วนไอ้โอมก็ใช้หัวไหล่และแขนของมันให้ไอ้ตรีหนุนดูแล้วพวกมันก็เหมือนคู่รักกันดีๆนี้เอง*-*

“เอ้ยยไอ้สัสตรี ตื่นได้แล้วอย่ามัวนอนฝันหวานอยู่ได้นะมึง”

“เอ้ยยยยเอ้าเออเอ่อ ..”

เสียงไอ้ตรีอุทานออกมาด้วยความตกใจที่ผมปลุกมันโดยการดึงผ้าห่มออก

“นี้สว่างแล้วเหรอว่ะทุ่ง??”

“เปล่า จะตีสี่แล้ว พวกมึงต้องรีบไปนะเว้ยเดี๋ยวพี่ว้ากจับได้กูกับไอ้เชี่ยโอมได้ตายอย่างเขียดกันพอดี”

“เอ่อๆลุกเดี๋ยวนี้แหละ  โอม  โอม  ตื่นเถอะมึง กูจะกลับแล้ว”

“ฮือ  จะไปแล้วเหรอว่ะ??”

เสียงโอมศักดิ์พินิจตอบกลับมาด้วยอาการงัวเงียเป็นที่สุด

“ก็เอ่อสิว่ะนี้มันจะตีสี่แล้ว  ลุกเลยมึง”

“โอ้ยยยกูลุกไม่ไหวว่ะ”

“เป็นไรวะโอม”

“แขนกูอะ  น่าจะเหน็บกินแน่ๆเลย”

“อ้าวเหรอ  กูขอโทษวะ เผลอเอาแขนมึงมาหนุนแทนหมอน”

เสียงตรีภพกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสำนึกผิดที่นอนหนุนแขนของโอมทั้งคืนจนทำให้โอมถูกเหน็บกินแบบนี้

“อืมไม่เป็นไรหรอก  มันก็อุ่นดี”

เสียงไอ้โอมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นทีเดียว

“เดี๋ยวๆพวกมึงสองตัว  กูว่ามันยังไงอยู่นะเว้ย  มันไม่ใช่แค่นอนหนุนแขนกันหรอก  ไอ้ที่กูเห็นนี้มันนอนซบกันชัดๆ”

ผมถามพวกมันกลับไปทันที แล้วใช้สายตาจ้องมองดูไอ้ตรีภพเพื่อที่จะได้คำตอบที่เป็นจริงที่สุด

“อะไรของมึงวะเชี่ยทุ่ง มึงจะมาจับผิดอะไรกับกูเว้ยยยก็แค่นอนด้วยกันเฉยๆ  มันไม่มีอะไร”

เสียงตรีภพตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเขินๆอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนอย่างทุ่งธรเห็นว่าเขากับศักดิ์พนิจนั้นนอนซบกัน

“เอ่อๆไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร  รีบไปเถอะมึงกูกลัวพี่ว้ากมาเจอว่ะ”

จากนั้นป่าสักและตรีภพก็แอบออกไปจากเต้นท์ในเวลาอันรวดเร็ว ผมล้มตัวลงนอนต่อได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนกหวีดของพี่ว้าก  เอาแล้วฤดูของการรับน้องได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว

“ปรี๊ดๆๆ พี่จะนับหนึ่งถึงสาม ใครมาช้าโดนซ่อมอย่างหนัก หนึ่ง  สอง”

เสียงพี่ว้ากปีสามแน่ๆเลยออกแนวไม่ค่อยเป็นมิตรแบบนี้ผมกับไอ้เชี่ยโอมไม่รีรออะไรแล้วรีบรุดไปยังพื้นที่รวมพลทันที

“มาถึงแล้วให้เข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง แยกชายหญิงคนละแถวปฏิบัติ”

“ครับ/ค่ะ”

“หวัดดีตอนเช้ามืดครับ น้องๆปีหนึ่งที่น่ารักทุกคน  ก่อนอื่นพี่ขอแนะนำตัวเองก่อน  พี่ชื่อ อัศวิน  เรียกพี่วินเฉยๆก็ได้ครับ  จากนี้ต่อไปพี่จะทำหน้าที่ดูแลน้องๆปีหนึ่งทั้งสี่สิบคนให้ผ่านพ้นวันนี้ไปได้ด้วยความราบรื่นครับ  พี่ต้องขอโทษน้องๆด้วยที่ปลุกแต่เช้าเหตุที่ต้องปลุกแต่เช้าก็เพราะว่าวันนี้เราชาวศิลปศึกษาทุกคนมีภารกิจที่สำคัญต้องร่วมกันทำ นั้นก็คือ อันเชิญพ่อผู้ดูแลศาสตร์ของเราไปประดิษฐานบนยอดเขาหลังเขื่อนให้สำเร็จ  ซึ่งภารกิจครั้งสำคัญนี้ต้องเป็นหน้าที่ของน้องๆปีหนึ่งทั้งสี่สิบชีวิต  แต่ตอนนี้พี่ดูแล้วการแต่งกายของพวกเรานั้นไม่เหมาะสมในการทำพิธีอันทรงเกียรตินี้ พี่จะให้เวลาน้องๆไปเปลี่ยนชุดและเก็บอุปกรณ์ต่างๆสิบนาทีแล้วกลับมารวมตัวกันที่นี้อีกครั้ง ไปได้”

พอสิ้นเสียงของพี่ว้ากปีสามเท่านั้นแหละครับ พวกเราต่างก็รีบวิ่งกลับไปเปลี่ยนชุดและเก็บอุปกรณ์ต่างๆให้แล้วเสร็จ

“ไอ้ทุ่งมึงจะใส่ชุดไรวะ  ถึงจะไม่โดนพี่ๆเขาแกล้ง??”

“เอ่อนั้นสิวะโอม  กูว่าน่าจะเป็นชุดวอร์ม มึงเตรียมมาเปล่าว่ะโอม??”

“ไม่อะ  ก็กูไม่ได้เป็นนักกีฬาเหมือนมึงนี้  แต่กูว่าจะใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืด”

“อืมก็น่าจะได้ เพราะเป็นขายาวคงไม่มีปัญหาอะไรมั้ง”

จากนั้นผมกับไอ้เชี่ยโอมก็รีบเปลี่ยนชุดทันที แล้วก็เก็บเต้นท์อุปกรณ์ต่างๆไปรวมไว้ที่ใต้อาคารเรียนทันที

“อ้าวใครมาถึงแล้วก็เข้าแถวรอเพื่อนๆได้เลย  เพราะอีกแค่สองนาทีพี่จะจับเวลาแล้ว”

ผมกับไอ้โอมไม่ได้ยืนติดกันเพราะไอ้เชี่ยโอมมันสูงกว่าเพื่อนเลยได้ไปยืนหลังสุด ส่วนผมก็อยู่ตรงกลางแถวเพราะไม่เตี้ยหรือสูงจนเกินไป แต่ก็ห่างจากไอ้โอมอยู่สามสี่คนเห็นจะได้

“เอาละครับ น้องๆทุกคนทำเวลาได้ดีมากๆ พี่ขอชื่นชม แต่ก็มีบางคนที่เมื่อคืนนี้ได้ทำผิดกฎระเบียบของการอยู่ค่ายหลังจากที่เข้านอนแล้ว  พี่จะให้โอกาสน้องได้ยอมรับผิดเอง  แต่ถ้าน้องไม่ยอมรับผิดพี่ก็จะจัดการเอง”

พอสิ้นเสียงพี่ว้ากผมนี้ขนลุกทันที เอาแล้วววโดนจับได้แล้วผมรับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะก้าวขาออกไปหน้าแถว  แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของไอ้เจไดดังขึ้นเสียก่อน

“ผมเองครับ  ที่ทำผิดกฎของการเข้าค่าย”

เจได สุริยัน พูดพร้อมกับก้าวออกมาข้างหน้าอย่างกลัวๆเพราะถูกจับได้ที่ทำผิดกฎของการมาอยู่ค่าย

“ไหนน้องลองบอกมาสิว่า  เมื่อคืนนี้ได้ทำอะไรลงไป”

“คือ  คือผมแอบดื่มเหล้าตอนหลังสี่ทุ่มครับ”

“ยังไม่หมดครับ ยังมีอีกที่เป็นแนวร่วม ใครบ้างที่ไปแอบดื่มเหล้าหลังเวลาสี่ทุ่มครับ”

พอสิ้นเสียงของพี่ว้ากปีสามก็ปรากฏว่าไอ้เป๋า ก็ก้าวเท้าออกมาเป็นคนที่สองต่อจากไอ้เจได

“ดี  ดีมากๆ เป็นแค่น้องปีหนึ่ง แต่คิดจะผิดกฎข้อห้าม  พี่ควรจะทำยังไงดีกับน้องๆครับ”

“ผมพร้อมจะให้พี่ลงโทษครับ”

เสียงไอ้เจไดตอบออกไปด้วยความกล้าเลยทีเดียว ผมนี้ยืนขาสั่นครับกลัวว่าจะมีใครจับได้เรื่องที่เอาผู้ชายเข้ามานอนด้วยที่เต้นท์

“ยอมรับความผิดของตัวเองก็ดีแล้ว  งั้นพี่จะถือว่าเราเป็นลูกผู้ชายพอ พี่จะทำโทษแค่เบาะๆ โดยให้น้องเจไดและน้องเป๋า แบกขวดน้ำทั้งหมดไปให้เพื่อนๆจากนี้จนไปถึงหลังเขาที่สันเขื่อน”

“ครับ พร้อมปฏิบัติ”

จากนั้นไอ้เจไดและไอ้เป๋าพวกมันก็วิ่งออกจากแถวไปรับขวดน้ำทั้งหมดจากรุ่นพี่ที่เตรียมไว้ให้ข้างหลังแถวทันที

“เอาละครับน้องๆจากนี้ไปเราจะเดินเท้าไปยังจุดหมาย  แต่การที่เราจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ในระหว่างทางจะมีขวากหนามมากมายรอเราอยู่ พี่ก็ขอให้น้องโชคนี้ในการปฏิบัติภารกิจอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ให้สำเร็จ  ขอให้ทุกคนโชคดีครับ”

พอสิ้นเสียงของพี่ว้ากปีสามแล้วเราน้องๆปีหนึ่งก็ต้องตกตะลึงทันทีเพราะจู่ๆก็ไม่รู้ว่าประทับนับพันๆลูกมาจากไหนจุดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว

“มอบๆ มอบลง หาที่กำบังเดี๋ยวนี้”

เสียงใครก็ไม่รู้สั่งให้พวกเรามอบ ผมก็ต้องทำตามสิครับจะรออะไรละมอบลงกับพื้นหญ้าไปโดยเร็ว จากนั้นสักพักทุกอย่างก็เงียบกริบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกคนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายใต้ความมืดมิดแต่แล้วจู่ๆก็มีมวลน้ำมหาศาลมาจากไหนก็ไม่รู้เทลงใส่พวกเราอย่างกับฟ้ารั่ว

“ว้ายยยยกรี๊ดดดดดดดดน้ำอะไรเนี้ย  ต๊ายแล้วถูกหน้าถูกผมของปูนิ่มหมดเลยว้ายยยยยยเหม็นก็เหม็นแหวะกรี๊ดดดดดดดดด”

เสียงร้องโอดครวญของสาวร่างบิ๊กไซส์ดังขึ้นทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่าน้ำนั้นช่างมีกลิ่นอันแสนสุดจะทนได้

“ห้ามส่งเสียงใดๆออกมา  ให้น้องๆคลานต่ำไปข้างหน้าเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ”

จากนั้นพวกเราปีหนึ่งก็คลานต่ำไปข้างหน้าโดยทันที แต่ผมก็ยังแอบมองไปด้านหลังแถว ผมต้องตกใจเป็นที่สุดเพราะไอ้เจไดและไอ้เป๋านั้นทั้งแบกน้ำทั้งคลานต่ำตามหลังเพื่อนๆมาอย่างยากลำบาก  ตายแล้วงานนี้ถ้าผมถูกจับได้ไม่อยากคิดสภาพเลย  พอคลานต่ำมาได้สักพักก็มาเจอทางลอดเข้าซุ้มมืดๆพวกเราปีหนึ่งทุกคนต่างก็ไม่กล้าจะปิปากพูดอะไรกันสักคำ มีเพียงอย่างเดียวที่ทำได้คือรอฟังคำสั่งเท่านั้นเอง

“เอาละน้องๆทุกคน จากนี้ไปพี่จะให้พวกเราลอดซุ้มอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไป ถ้าใครลอดผ่านไปได้ก็จะได้พบกับหนทางในการไปเชิญพ่อแห่งศาสตร์ของเราชาวศิลป์ แต่ถ้าน้องๆเลือกผิดช่องทางน้องๆก็จะไม่ได้เจอใครเลย นอกจากความว่างเปล่าและเดียวดายหรืออาจจะเจอสัตว์ร้ายแห่งขุนเขามาทำร้าย  ไหนใครพร้อมแล้วให้คลานต่ำออกมาก่อนเพื่อนเลย”

งานนี้ไอ้โอมได้ใจเพื่อนๆไปเต็มๆครับเพราะว่ามันนำหน้าเพื่อนทั้งหมดไปเลยทันทีแต่ผมก็ดีใจได้ไม่ถึงวินาที เพราะมันเสือกลากผมไปด้วยนั้นเอง

“เอ้ยยทำไมมันมืดจังวะเชี่ยโอม”

“มึงอย่าพูดมากสิเว้ย คลานๆตามกูมาเถอะ  เอ่อมึงอย่าห่างกูนะเว้ยไอ้ทุ่ง  เดี๋ยวเป็นไรขึ้นมาผัวมึงได้เอากูตายแน่”

“ไอ้สัส ไอ้เหี้ย เวลานี้มันใช่เวลามาเล่นเหรอวะ”

“อิอิก็มันจริงนี้น่า เดี๋ยวไอ้คุณหนูหมอหมามันได้ฆ่ากูตายแน่ๆถ้าไม่ดูแลมึง”

“คลานๆไปเถอะมึงพูดมากน่ารำคาญวะ”

จากนั้นไอ้โอมก็พาผมไปโผล่ออกที่ทุ่งแจ้งเป็นลานกว้างๆที่ไหนสักแห่งมันช่างน่ากลัวและวังเวงเสียจริงๆมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิดและว่างเปล่าแถมยังมีกลิ่นธูปลอยมาอีก โอ้ยยหายอยู่อีกอย่างคือเสียงหมาหอน

“ไอ้เชี่ยโอม  มึงพากูมาที่ไหนวะเนี้ย???ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ว่ะ”

“กูก็ไม่รู้วะมึง  ก็ในซุ้มที่ลอดมามันมืดกูก็มั่วๆมา ทำไมบรรยากาศมันเหมือนป่าช้าจังวะไอ้ทุ่ง”

“เจริญละมึง  แล้วจะทำไงต่อดีว่ะ?? โอ้ยยยพ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกช้างด้วย”

“พุธโท ธัมโม สังโฆ”

ในระหว่างที่ผมกับไอ้โอมกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น  จู่ๆก็มีเสียงแหลมเล็กของปูนิ่มดังแหวกผ่านอากาศมายังโสตประสาทหูทันที

“ว้ายยยยโอมจริงด้วย  โอมขา  รอปูนิ่มด้วยค่ะ  ปูนิ่มกลั๊วกลัวค่ะ มืดก็มืดเหม็นก็เหม็น”

จากนั้นสาวร่างใหญ่ก็รีบวิ่งมาเกาะแขนของโอมศักดิ์พินิจทันที

“อ้าวไอซ์ แกก็มาทางนี้เหมือนกันเหรอวะ ดีๆวะแกมากันหลายๆคนจะได้ไม่กลัว”

ผมทักไอซ์ไปทันทีที่เห็นว่าไอซ์เดินมากับปูนิ่มที่ตรงมาหาผมกับไอ้โอม

“ก็ข้างในมันมืดวะแก  ฉันก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากร่างของปูนิ่ม เลยต้องตามนางออกมานะสิ  ทำไมมันดูน่ากลัวจังวะแก”

“พวกเราอย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย รีบหาทางไปให้ถึงพระพิฆเนศวรจำลองเถอะ เพราะว่าดูๆไปแล้วที่นี้มันมีกลิ่นแปลกๆลอยมาตลอดเลยวะ”

เสียงโอมร้องทักมาทันทีหลังจากที่พวกเราสี่คนได้พูดคุยกันแล้ว

“แล้วเราจะไปทางไหนดีละค่ะโอมขา ปูนิ่มกลัวจังเลย มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด”

“เราว่ามันน่าจะมีแผนที่หรืออะไรเป็นไกด์นำทางเรานะ รุ่นพี่เขาคงไม่โหดขนาดให้เราหาทางไปเองหรอก”

“เอ่อก็น่าจะจริงนะ  งั้นก็ช่วยๆกันดูสิว่าตรงไหนพอจะมีอะไรเป็นที่ผิดสังเกตบ้าง”

เสียงไอซ์สนับสนุนความคิดของโอมศักดิ์พินิจทันที

“แต่จะมองเห็นเหรอว่ะมืดขนาดนี้ ไฟฉายก็ไม่มี เทียนไขก็ไม่มี”

ผมออกความคิดเห็นไปหลังจากที่ใช้สายตาเพ่งมองพื้นอยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากความมืด

“มึงก็ค่อยๆสังเกตสิวะทุ่ง  ค่อยๆมองไปทีละนิดมันคงน่าจะพอเห็นอยู่หรอก”

 หลังจากนั้นเราทั้งสี่ก็ปูพรมหาแผนที่ทันที แต่หาไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของปูนิ่มบอกมาว่าเจออะไรบางอย่างเข้าแล้ว

“ทุกคนปูนิ่มว่าปูนิ่มเจอแล้วละ”

จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆเดินไปหาปูนิ่มทันทีเพื่อจะไปดูสิ่งที่ปูนิ่มเจอว่าเป็นอะไรกันแน่

“ไหนปูนิ่มเอามาดูสิ  ว่ามันคืออะไร?”

เสียงไอ้โอมถามปูนิ่มออกไปพร้อมกับยื่นมือไปจับเอาของบางสิ่งจากมือปูนิ่ม

“นี้ๆนะ มะ มะ มันคือ  กระดูกคนนี้หว่า”

“อ้ายยยยยกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด”

วงแตก ต่างคนต่างวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทางทันที หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือโอมศักดิ์พินิจแล้วสาวร่างใหญ่อย่างปูนิ่มไม่รู้ว่าวิ่งไปทางไหน ส่วนทุ่งธรก็หายไปกับความมืดเหลือไว้แต่โอมกับไอซ์ซึ่งทั้งสองตกใจกลัวกระดูกจนทำให้เผลอกอดกันกลมเลยที่เดียว

“เอ้ยยยเราขอโทษนะไอซ์ ไม่ได้ตั้งใจกอดมันตกใจกลัวนะ”

พอได้สติโอมรีบปล่อยวงแขนออกจากไอซ์ทันที แต่ไอซ์ยังคงซบหน้าเข้ากับอกใหญ่ๆของโอมศักดิ์พินิจอยู่เหมือนเดิม

“เรากลัว  อย่าทิ้งเราไปไหนนะโอม ไอซ์กลัว”

“เอ่อ เออ คือว่า  เราว่ามันน่าจะเป็นกระดูกปลอมนะไอซ์ ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”

เสียงของโอมศักดิ์พินิจปลอบใจไอซ์ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายยังมีอาการตื่นกลัวอยู่ไม่น้อย

“แหม่ แหม่ๆ นางไอซ์ ได้ทีกอดโอมของฉันแนบชิดเลยนะยะ”

อยู่ๆเสียงของสาวร่างใหญ่อย่างปูนิ่มก็ดังขึ้นมาทันที จนทำให้ไอซ์ต้องผละออกจากอกของโอมไปโดยฉับพลัน

“โอมขา ปูนิ่มก็กลัวเหมือนกันนะค่ะ  มาๆให้ปูนิ่มอยู่ข้างๆด้วยนะค่ะ”

“ไอ้ทุ่งแกอยู่วะ  ส่งเสียงหน่อยสิไอ้ทุ่ง”

“โอมกูอยู่ทางนี้  กูก้าวขาไม่ออกวะมึง  มาช่วยพยุงกูด้วย”

ทุ่งธรส่งเสียงร้องบอกโอมให้มาช่วยอยู่อีกมุมด้านหนึ่งหลังจากที่ตกใจกับสิ่งที่เจอมาเมื่อสักครู่นั้นเอง

“เออเราว่าไปหาทุ่งกันทางนั้นเถอะ”

โอมศักดิ์พินิจ ออกปากชวนสองสาวที่นั่งติดเขาแจอยู่ในตอนนี้

หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็มานั่งรวมตัวกันเพื่อเรียกสติกลับคืนมา นั่งได้ไม่นานก็เห็นเพื่อนๆอีกหลายคนตามออกมายังลานกว้างแห่งนี้

“อ้าวไอ้แก้ว ไอ้เปิ้ล มาทางนี้เหมือนกันเหรอวะ”

“ฉันก็มั่วๆมาวะแก  แต่กว่าจะมาทางนี้ได้เล่นเอาพวกฉันเละไปทั้งตัวเลย”

“เอ้ยยยพวกแกไปโดนไรมาวะทำไมหน้าตาเสื้อผ้าถึงได้มีแต่สีเต็มไปหมด”

“ก็ไอ้แก้วนะสิมันพาฉันมุดไปโผล่ตรงซุ้มละเลงสี เลยถูกพี่ๆปีสองปีสามโอยเฉพาะพี่ชนแดนสุดหล่อและพี่อัฐป่าเถื่อนรุมยำพวกฉันมาแบบนี้”

“55555 โอ้ยยพวกแกนี้จริงๆ แต่ดูๆไปก็สวยดีวะ  แต่สวยในความมืดนะเว้ยยยยย”

หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนๆต่างก็ทยอยกันออกมาที่ลานกว้างที่พวกเรามาถึงก่อนทุกคนแต่กว่าจะออกมาครบทั้งสี่สิบคนก็เล่นเอาถึงเช้าพระอาทิตย์ส่องแสงแล้ว เพราะแต่ละด่านแต่ละฐานนั้นโหดใช่ย่อยโชคดีจริงๆที่ผมกับไอ้โอมมาถูกทางถึงแม้ว่าจะเจอแค่โครงกระดูกก็ตาม

“เป็นไงกันบ้างครับน้องๆยังสบายดีกันอยู่ไหม??”

เสียงพี่อัฐพี่รหัสของไอซ์ถามมายังน้องๆปีหนึ่งที่นั่งรวมตัวกันอยู่ลานกว้าง

“ครับ/ค่ะ”

“พี่อัฐคนนี้ดีใจมากๆเลย ที่ได้เห็นหน้าน้องๆครบทั้งสี่สิบคน เอาละต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลาสำคัญของเราชาวศิลป์ เพราะได้เวลาอันเชิญรูปปั้นจำลององค์พระพิฆเนศวรไปประดิษฐานบนยอดเขาที่สันเขื่อนกันแล้ว  พี่ขออาสาสมัครหกคน เพื่อที่จะทำหน้าที่แบกพระเกี้ยวองค์พ่อของเราไปข้างบน คนที่จะทำหน้าที่นี้จะต้องมีความสูงใกล้เคียงกันและต้องมีความอดทนสูง เพราะว่าเราจะไม่ให้องค์พ่อได้รับความเสียหายและจะไม่มีการวางองค์พ่อของเราในระหว่างทางน้องๆจะต้องช่วยกันพาองค์พ่อไปประดิษฐานบนยอดเขาในการยกพระเกี้ยวเพียงแค่ครั้งเดียว และที่สำคัญพี่จะให้เวลาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ถ้าน้องๆปีหนึ่งไม่สามารถทำได้ พี่ก็ต้องขอบอกว่าเสียใจด้วย เราไม่สามารถจะรับน้องๆที่ไม่มีความรักความสามัคคีเข้าร่วมเป็นน้องรหัสของพี่ๆได้ เอาละทุกคนคงจะเข้าใจกติกากันแล้วพี่จะให้เวลาน้องได้หารือกันสักสิบนาทีหลังจากนั้นก็ส่งตัวแทนมาอันเชิญพระเกี้ยวได้เลย  อ่อมีอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลย จะต้องมีคนวิ่งนำหน้าขบวนเพื่อไปดูต้นทางว่าในการวิ่งเชิญองค์พ่อขึ้นเขานั้นมีขวากหนามอุปสรรค์อะไรหรือไม่และอีกคนจะต้องเป็นคนที่อยู่หลังขบวนเพื่อจะได้บอกว่าตัวองค์พ่อของเราเอียงหรือจะหลุดจากพระเกี้ยวหรือไม่ ถ้าทราบแล้วแยกได้”

พอสิ้นเสียงของพี่อัฐพวกเราปีหนึ่งก็รีบเข้าแถวเพื่อหาค่าเฉลี่ยความสูงให้ได้ใกล้เคียงกันที่สุด ซึ่งผมกับไอ้โอมไม่ได้แน่ๆเพราะสูงกว่าเพื่อนๆในเอกจะเป็นอุปสรรค์ในการอันเชิญองค์พ่อขึ้นพระเกี้ยว แต่ไม่นานเราก็ได้คนแบกพระเกี้ยวครบทั้งหกคน ส่วนคนวิ่งนำและวิ่งตามท้ายขบวนยังไม่ได้

“กูว่านะเว้ยในเอกเราที่เหมาะในการวิ่งนำขบวนมากที่สุด คงไม่มีใครเกินไอ้ทุ่ง  เพราะมันเป็นนักกีฬาต้องแข็งแรงกว่าทุกๆคนอยู่แล้ว”

เสียงไอ้เจไดออกความคิดเห็นทันทีเมื่อได้คนแบกพระเกี้ยวครบแล้ว

“ส่วนคนวิ่งท้ายขบวนจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไอ้เดือนมหาลัยสุดหล่อของเรา เพราะในเอกมันตัวสูงที่สุดเหมาะอย่างยิ่ง”

“เอ่อใช่ๆงั้นเอาตามนี้เลย ปะพร้อมแล้วไปอันเชิญองค์พ่อของพวกเราได้แล้ว”

เสียงไอ้เป๋าบอกกับทุกๆคนทันทีเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วจากนั้นพิธีอันเชิญพระพิฆเนศวรขึ้นพระเกี้ยวไปประดิษฐานบนยอดเขาที่สันเขื่อนก็เริ่มต้นขึ้นโดยความสามัคคีของพวกเราชาวศิลปศึกษาทุกๆคนเด็กๆปีหนึ่งทั้งหมดร่วมใจกันวิ่งขึ้นเขาไปยังที่ประดิษฐานขององค์พระพิฆเนศวรถึงแม้ว่าระยะทางจะไกลและลำบากแต่ก็ไม่มีใครบ่นออกมาสักคำทุกคนต่างทำด้วยใจที่ศรัทธาและสามัคคีเวลาผ่านไปเกือบๆหนึ่งชั่วโมงองค์พระพิฆเนศวรจำลองก็ได้มาประดิษฐานบนที่ประทับซึ่งเป็นลานหินกว้างบรรยากาศช่างแสนสวยงามจริงๆมองลงไปด้านล่างเห็นน้ำในเขื่อนสีฟ้าใสและแมกไม้เขียวขจีทำให้ร่มรื่นเป็นอย่างมาก ได้มาสูดอากาศที่โล่งโปรงสบายแบบนี้ทำให้ทุกๆคนหายเหนื่อยกันเลยทีเดียวหลังจากเสร็จพิธีแล้วพี่ว้ากก็ให้น้องๆปีหนึ่งได้นั่งพักรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเป็นกันเอง

“เอ้อน้ำส้มคั้นเย็นๆครับน้องทุ่ง”

อยู่ๆพี่แดนชัยก็ยื่นขวดน้ำส้มคั้นมาให้ผมที่นั่งทานข้าวอยู่กับไอ้โอมและเพื่อนๆ

“ขอบคุณมากๆครับพี่แดน  แล้วพี่แดนทานข้าวเช้ายังครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวพี่ดูความเรียบร้อยให้พวกเราก่อน  พี่นะสบายอยู่แล้วกินตอนไหนก็ได้”

“อ่อครับ งั้นไม่เกรงใจนะครับ กำลังอยากกินอะไรที่สดชื่นอยู่พอดีเลย”

จากนั้นผมก็กระดกขวดน้ำส้มเข้าปากทันที แต่ยังไม่ทันได้กินอิ่มอยู่ๆไอ้เปรตโอมก็คว้าขวนน้ำส้มคั้นที่แสนอร่อยของผมไปจากมือทันที

“เอ้ยยย อะไรของมึงวะไอ้เชี่ยโอม  กูแดกอยู่ไม่เห็นเหรอ??”

“อ้าวก็กูสะอึกวะ  พอดีกำลังอยากได้น้ำสักขวดอยู่เลย”

“ไอ้ห่านี้  แย่งกูแดกตลอดเลยนะมึง”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า งั้นที่เหลือในขวดกูไม่คืนนะเว้ย”

“เอ่อเอาที่มึงสบายใจเถอะ  เบาๆกูไม่แย่งคืนหรอก”

“ไอ้โอมนี้ก็จริงๆเลยนะมึง  จะแดกห่าอะไรก็เหลือมาดของเดือนมหาลัยไว้บ้าง  กูเห็นแล้วอายแทน เดี๋ยวเขาจะหาว่ากูไม่สอน”

“โอ้ยยยพี่แดน ตอนนี้ใครจะว่ายังไงผมไม่สนหรอก คนกำลังหิวไม่ต้องมีมงมีมาดหรอก”

“แล้วนี้ทุกคนรู้กันหรือยัง ว่าหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว พี่ๆเขาจะปล่อยให้พวกเราได้เล่นน้ำกันที่ท้ายเขื่อน”

อยู่ๆพี่ชนแดนก็พูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งลงข้างๆพวกเรา

“จริงหรือพี่  ดีจังเลยครับจะได้เล่นน้ำให้หายร้อน”

“อืมจริงสิ  พี่จะโกหกทุ่งไปทำไม เอ่อแต่ก่อนที่จะไปเล่นน้ำเขายังเหลือพิธีสุดท้ายในการรับน้องอยู่น่ะ”

“ยังมีอีกเหรอพี่ แค่นี้พวกผมก็จะตายอยู่แล้ว”

“ไม่ต้องห่วงหรอก อันนี้สร้างความรักความสามัคคีระหว่างพี่รหัสกับน้องรหัสด้วยกันเอง”

“คือยังไงครับพี่แดน”

เสียงของโอมศักดิ์พินิจแทรกขึ้นมาหลังจากที่เขานั่งทานข้าวไปด้วยฟังการพูดคุยระหว่างทุ่งธรกับชนแดนไปพลาง

“ก็หลังจากที่พวกเราทานข้าวเช้าเสร็จก็จะมีพิธีผูกข้อไม้ข้อมือต้อนรับน้องเข้าสู่ภาคศิลป์อย่างเต็มตัวหลังจากนั้นพี่รหัสของแต่ละคนก็จะมอบเสื้อให้กับน้องรหัสตัวเองซึ่งเสื้อพี่รหัสกับน้องรหัสจะต้องเหมือนกัน”

“อืมดีจังเลยครับพี่แดน ทุ่งไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“พวกพี่ๆเขาปิดเป็นความลับนะครับ ถ้าน้องคนไหนยังไม่ได้เสื้อจากพี่รหัสถือว่ายังไม่ผ่านการต้อนรับเข้าสู่ภาคศิลป์อย่างเต็มตัวเพราะฉะนั้นต้องทำให้ได้เสื้อจากพี่รหัสของตัวเองให้ได้นะ”

“โอ้ยยยแล้วแบบนี้ทุ่งจะได้เสื้อจากพี่แดนไหมละครับ”

“สำหรับน้องทุ่ง ไม่ต้องทำอะไรพี่ก็ให้อยู่แล้วครับ”

“อะฮึ้ม คือว่าพี่แดนจะพูดจะจาอะไรเกรงใจผมบ้างสิครับพี่”

เสียงของโอมศักดิ์พินิจดักขึ้นมาทันทีหลังจากที่ชนแดนเดินเกมรุกให้ความสนใจกับน้องรหัสตัวเองอย่างออกนอกหน้า

“ทำไมวะ  เองมีปัญหาอะไรหรือเปล่าไอ้โอม”

“ก็เปล่ามีหรอกพี่ คือไอ้น้องทุ่งของพี่น่ะมันมีเจ้าของแล้วก็แค่นั้นเอง”

“ใครวะ???”

ชนแดนรีบถามออกไปทันทีด้วยความอยากรู้ปนน้ำเสียงประหม่า

“ก็ คนที่ได้ตำแหน่งขวัญใจมหาชนปีนี้ไง”

“จริงเหรอว่ะ”

“โอ้ยยยยยพี่แดน  อย่าไปฟังไอ้โอมมันมากครับ  ไอ้นี้มันก็แกล้งผมเล่นเฉยๆละครับ”

ผมรีบตอบพี่รหัสไปทันที ใครจะกล้าละครับก็ในเมื่อป่าสักก็ไม่เคยเอ๋ยขอผมเป็นแฟนสักที นอกจากทำเป็นหมาหยอกไก่ไปเรื่อย

“เอ้ยยยไม่เป็นไร คนน่ารักก็ต้องมีคนมาสนใจมากเป็นธรรมดา ถ้ายังไม่ได้เป็นแฟนกันพี่ก็ถือว่าทุกคนมีสิทธิ”

“โห้เล่นบอกกันตรงๆอย่างนี้เลยเหรอวะพี่???”

เสียงไอ้โอมอุทานออกมาหลังจากได้ฟังคำพูดตรงๆของอีกฝ่าย

“ก็ตามนั้น ทานข้าวให้อร่อยนะ เดี๋ยวเจอกันตอนทำพิธีผูกแขนครับน้องทุ่ง”

จากนั้นพี่ชนแดนก็ลุกเดินไปดูความเรียบร้อยของน้องๆปีหนึ่งต่อทันที

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จพวกเราก็ได้เข้าพิธีผูกแขนต่อหน้าองค์พระพิฆเนศวรจำลองที่ลานกว้างบนเขาที่สันเขื่อนซึ่งมันเป็นพิธีที่ได้รับความซาบซึ้งและความผูกพันของเลือดครูศิลปะจากพี่สู่น้อง ในช่วงผูกแขนต้อนรับน้องสู้ภาคศิลป์อย่างเป็นทางการนั้นพี่รหัสบางคนก็ได้ให้เสื้อจากใจพี่ต้อนรับน้อง ผมก็ได้เสื้อจากพี่ชนแดนเหมือนกันแต่ก็มีน้องๆอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เสื้อจากพี่รหัสเนื่องจากว่าทำตัวไม่เหมาะสมหรือยังไม่เป็นที่พอใจของรุ่นพี่ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีไอ้เชี่ยโอมด้วย เพราะพี่รหัสของไอ้โอมเป็นผู้หญิง ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไอ้โอมมันเป็นเดือนมหาวิทยาลัยเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวๆทั่วทั้งมหาวิทยาลัยตอนนี้ไอ้โอมเลยทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากว่าต้องทำให้พี่รหัสนั้นพออกพอใจเสียก่อนถึงจะได้รับเสื้อจากใจพี่สู่น้อง

“โอม  แล้วพี่เขาให้มึงทำไรบ้างวะถึงจะยอมให้เสื้อมึงอะ”

ผมถามเพื่อนออกไปหลังจากมานั่งพักใต้ร่มไม้รับบรรยากาศเย็นๆสบายๆมองดูวิวสามร้อยหกสิบองศาของเขื่อน แต่หน้าไอ้เชี่ยโอมนี้บอกบุญไม่รับจริงๆเลย

“กูก็ต้องเป็นเบ้พี่รหัสนะสิวะ ไม่รู้จะอะไรกับกูนักหนา”

“อ้าวจริงเหรอ  อย่างนี้ตอนลงเขามึงก็จะไม่ได้ไปเล่นน้ำกับพวกกูสิ”

“ก็เอ่อสิวะ  อดสนุกเลยวะมึง”

“เอาน่า มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคิดไว้ก็ได้”

ในระหว่างที่ผมกับไอ้โอมกำลังนั่งคุยกันอยู่นั้นพี่รหัสของไอ้โอมก็เดินมาพอดี

“อ้าวน้องโอมค่ะ พี่เดินหาจนทั่วหลบพี่มาอยู่นี้เอง”

“อ่อพี่กุ้งมีไรหรือครับ พอดีโอมมานั่งคุยกับเพื่อนอยู่ครับ”

“ก็ไม่มีไรมากหรอกจ๊ะคือพวกพี่จะลงเขากันแล้ว เลยอยากให้น้องโอมช่วยไปถือของให้หน่อยนะค่ะ”

“อ่อได้ครับ เดี๋ยวผมตามไปครับ”

“งั้นพี่รอตรงทางลงเขานะจ๊ะ”

“ครับพี่”

จากนั้นพี่รหัสของไอ้โอมก็เดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนที่รอจะลงจากเขาทันที เท่าที่ดูกลุ่มของพี่รหัสไอ้โอมก็จะมีแต่ผู้หญิงสามสี่คนแต่ละคนก็เปรี้ยวเอาการอยู่ไม่น้อย

“เอาน่าโอม สู้ๆกูเชื่อในความหล่อของมึงจะสามารถพามึงผ่านไปได้ในวันนี้ ไปเถอะเดี๋ยวพี่เขารอนาน”

“อ้าวหนุ่มๆมานั่งคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้ ทุกคนเขาเตรียมตัวลงเขาไปเล่นน้ำกันแล้วนะ”

เสียงของไอซ์นั้นเองที่ดังมาทักผมกับไอ้โอม

“ก็กำลังจะไปแหละแก  พอดีไอ้เดือนมหาลัยมันนอยด์ที่ยังไม่ได้เสื้อจากพี่รหัสเลยต้องมาปลอบใจมันสักหน่อย”

“อ้าวจริงเหรอโอม  แล้วโอมไปทำอะไรให้พี่รหัสไม่พอใจละถึงยังไม่ได้เสื้อ”

“เราก็ไม่รู้เหมือนกันวะไอซ์ แต่ที่รู้ตอนนี้เราต้องรีบไปแล้วพี่รหัสรอเราอยู่ไปก่อนนะแล้วเจอกันที่ท้ายเขื่อน”

“สู้ๆนะโอม  ไอซ์เป็นกำลังใจให้”

“อืม”

จากนั้นโอกก็รีบเดินตามพี่รหัสลงเขาไปทันที

“แหม่ๆนางไอซ์ออกหน้าออกตาเชียวนะแก  จะทำให้อะไรก็ให้มันน้อยๆหน่อย”

“อะไรของแกวะคุณนายทุ่ง  เกิดบ้าอะไรขึ้นมาทำมาเป็นห่วงก้าง  หรือว่าแกจะเก็บไอ้โอมไว้กินเองยะ”

“โอ้ยยยอีบ้า  แกใช้สมองซีกในคิด”

“อิอิฉันจะไปรู้กับแกเหรอ เห็นพักหลังนี้สนิทกับโอมมากเลยนี้”

“ที่ฉันกะไอ้โอมสนิทกันก็เพราะว่ามีเพื่อนกลุ่มเดียวกันเว้ย  แกนี้คิดอกุศลจริงๆ  ใครจะไปชอบลงวะไอ้โอมมันแดกเหล้าเก่งจะตาย”

“แต่ฉันว่าผู้ชายที่กินเหล้ามีเสน่ห์ดีวะแก”

“จร้าแม่คุณ แม่นางเมรี”

“ไอ้บ้าฉ้นชอบคนกินเหล้า  ไม่ได้ชอบกินเหล้าเอง”

“มันก็เหมือนๆกันนั้นแหละแก”

ในระหว่างที่ผมกับไอซ์กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นอยู่ๆพี่ชนแดนกับพี่อัฐก็เดินมาหาพวกเราทันที

“น้องทุ่งกับน้องไอซ์ไม่ลงเขาตอนนี้เหรอครับ เดี๋ยวสายกว่านี้แดดจะร้อนนะ”

พี่ชนแดนพี่รหัสสุดโอปป้าของผมนั้นเองที่เป็นคนเอ่ยคำถามออกมา

“อ่อกำลังจะไปแล้วครับพี่”

“งั้นก็ดีเลยลงเขาพร้อมกันนี้แหละ  มีอะไรพี่ๆจะได้ช่วยดูแลได้”

“แหม่ ไอ้แดนมึงจะไม่ดูแลน้องเขาดีเกินไปหน่อยเหรอวะ”

“ไอ้ห่ากูก็ดูแลเป็นปกติแบบนี้กับทุกคนแหละ”

“เคๆดูแลเหมือนกันทุกคน แต่ทำไมสายตาของมึงเวลามองน้องทุ่งต้องมีแววส่อประกายแบบนั้นด้วยวะ55555”

“ไอ้อัฐไอ้ห่าเดี๋ยวเถอะมึง  พูดตรงๆต่อหน้าน้องเขาแบบนี้ได้ไงวะ”

“เอาละค่ะพี่ๆขาไอซ์ว่าเราเดินทางกันดีกว่านะค่ะ  เดี๋ยวแดดแรงกว่านี้ น้องทุ่งของพี่ๆจะเป็นลมได้นะค่ะ”

“โอเคครับ ไปก็ไปจร้าน้องไอซ์ของพี่อัฐ”

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินลงเขามายังท้ายเขื่อนเพื่อจะพักผ่อนเล่นน้ำตามอัธยาศัยซึ่งพี่ๆจะปล่อยให้เล่นน้ำได้ถึงบ่ายสองโมงแล้วจากนั้นก็จะกลับมหาวิทยาลัยถือว่าเป็นเสร็จสิ้นภารกิจในการออกค่ายและรับน้องของพวกเราชาวศิลปศึกษาประจำปีนี้นั้นเอง

“ทุ่ง ฉันอย่างลองไปพายเรือดูวะแก”

ไอซ์ชี้มือให้ผมดูเรือหาปลาของชาวบ้านที่จอดเทียบท่าไว้ใกล้ๆฝั่ง

“เขาจะให้เราพายเหรอวะ  แล้วแกพายเรือเป็นเหรอ??ไอซ์”

“ก็ไม่เห็นจะยากนี้แก เราแค่พายอยู่แถวๆท้ายเขื่อนเองฉันว่าลองไปขอเขาพายดูไหม”

ก่อนที่ผมกับไอซ์จะไปเดินไปยังเรือหาปลาของชาวบ้านที่มาจอดไว้ที่ท่านั้นก็มีเสียงของอาสาสมัครดังขึ้นเสียก่อน

“ถ้าน้องไอซ์ของพี่อยากจะพายเรือ เดี๋ยวพี่อัฐคนนี้จะจัดการให้เองครับ ทุกคนยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวมาครับ”

“พูดอย่างหล่อเลยนะมึงไอ้อัฐจะไปก็รีบไปเถอะ มัวแต่เก๊กมาดอยู่ได้กูรำคาญเว้ยยย”

“โอเคครับคุณเพื่อนเดี๋ยวจะจัดให้เดี๋ยวนี้แหละ”

จากนั้นพี่อัฐก็เดินไปเจรจากับเจ้าของเรือพายหาปลาทันที ไม่นานพี่แกก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มสยามอันเป็นเอกลักษณ์ของแกนั้นเอง

“โอเคครับทุกคน  เราสามารถไปลองพายเรือกันได้ แต่มีข้อแม้อยู่ว่า เรือมันลำเล็กไม่สามารถจะบรรทุกคนได้ถึงสี่คน เจ้าของเขาใจดีให้ยืมสองลำเลย”

“งั้นมึงกับน้องไอซ์ก็พายอีกลำแล้วกัน  ส่วนกูกับน้องทุ่งก็จะพายอีกลำ”

“ได้เลยครับคุณเพื่อน  เอาไงเอาตามกัน”

“ไปกันเถอะครับน้องทุ่ง”

“ครับ”

จากนั้นพวกเราก็ได้ลองพายเรือหาปลาดู ซึ่งเรือหาปลาที่นี้ก็จะลำเล็กๆมีไม้พายที่ทำจากไม้ส่วนตัวเรือก็ทำจากไม้เช่นกันมิน่าละเพราะเรือลำเล็กแบบนี้เองถึงไม่สามารถรับน้ำหนักคนได้เยอะ ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่แดนก็พายกันออกมาท้ายเขื่อนเพื่อชมวิวและวิถีชีวิตของชาวประมงน้ำจืดที่นี้

“เป็นไงบ้างครับน้องทุ่ง  ได้มานั่งพายเรือเล่นแบบนี้”

“ก็ดีครับพี่  สนุกดีตอนแรกนึกว่าจะพายยากเสียอีก”

“ครับ พี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันว่าเราจะพายวนกันอยู่แค่ตรงท้ายเขื่อน”

“ขอบคุณนะครับพี่แดนสำหรับเสื้อ สวยมากๆครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ตั้งใจทำให้ทุ่งเลยนะสกรีนเองกับมือ”

“โห้ พี่รหัสทุ่งนี้เก่งสุดยอดเลย แถมยังหล่ออีกต่างหาก”

“จริงเหรอ  ได้ยินแบบนี้มันดีต่อใจจัง  น้องทุ่งชมพี่ต่อหน้าแบบนี้ก็เขินแย่สิครับ”

“อ้าวทุ่งพูดจริงๆพี่แดนเล่นดนตรีก็ได้ร้องเพลงก็เพราะเรื่องวาดภาพก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร แถมยังเคยเป็นถึงเดือนมหาลัยอีก”

“แต่ทุ่งจะเชื่อไหม  ถึงพี่จะรอบด้านแบบนี้แต่พี่ก็ไม่เคยมีแฟนนะ”

“ฮาอะไรน่ะ??  หล่อๆอย่างพี่แดนทำไมสาวๆถึงปล่อยให้รอดมาได้ละครับ”

“โอ้ยยน้องทุ่งก็พูดเกินไป ที่พี่โสดก็เพราะว่าพี่ยังไม่เจอคนที่ใช่....แต่ต่อจากนี้ไปพี่คิดว่าคงจะไม่โสดแล้วละ”

“นั้นแน่ เจอกันที่ใช่แล้วสิครับ”

“ก็ประมาณนั้นละครับ  แล้วน้องทุ่งอยากรู้ไหมละ ว่าคนที่ใช่ของพี่เป็นใคร”

ชนแดนถามทุ่งธรออกไปพร้อมกับสายตาที่สื่อความหมายอย่างลึกซึ้งมายังทุ่งธรทันที

“แล้วสาวสวยที่ไหนกันน้อที่จะเป็นผู้โชคดี ได้พี่รหัสสุดโอปป้าของทุ่งเป็นแฟน”

“น้องทุ่งครับ  ถ้าพี่จะพูดอะไรออกไปน้องทุ่งอย่าตกใจนะ แล้วก็ช่วยฟังพี่ให้จบก่อน”

ในระหว่างที่พี่แดนกำลังจะบอกอะไรกับผมอยู่นั้นจู่ๆก็มีเรือสปีดโบ๊ทขับตรงยังพวกเราอย่างเร็ว

“เอ้ยยพี่แดนทำไมเรือลำนั้นถึงขับตรงมาที่เราละพี่”

“เอ่อจริงด้วยสิ แถมยังมาเร็วอีกต่างหากทำไงดี ทุ่งๆช่วยพี่พายเรือหลบก่อนนะ”

แต่ยังไม่ทันได้พายออกไปไกลเลยเรือสปีดโบ๊ทคันงานก็พุ่งตรงมาที่เรือพวกเราทันทีแล้วก็หักเลี้ยวในระยะประชิดทำให้ท้ายเรือสปีดโบ๊ทคันนั้นเฉียดเรือพายไปนิดเดียวแต่เนื่องจากความเร็วและแรงจึงทำให้เกิดคลื่นตามมาส่งผลให้เรือที่เราพายอยู่นั้นโคลงเคลงและในที่สุดก็ต้านคลื่นลูกใหญ่ยักษ์ไม่ไหวจึงพลิกคว่ำลงไป ตูม  เสียงคนตกน้ำพร้อมกับเรือพลิกคว่ำทันที

“เอ้ยยยยโอ้ยยยยยย”

“น้องทุ่ง  เป็นไรไหมครับ”

“เปล่าครับ ทุ่งสบายมาก”

“แล้วไอ้เรือสปีดโบ๊ทลำนั้นมันเป็นใครกันวะ ทำไมขับไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย ทำให้คนอื่นเขาเสียหายรู้ไหม”

เสียงพี่ชนแดนบ่นออกมาที่ต้องลอยคออยู่ในน้ำแบบนั้น

ขณะที่เราลอยคออยู่กลางน้ำนั้นเองเรือสปีดโบ๊ทเจ้ากรรมลำนั้นก็วกกลับมาหาพวกเราทันที ผมเพิ่งจะสังเกตคนขับเขาใส่เสื้อลายดอกสีฟ้าขาวพร้อมกับสวมแว่นตาสีดำ พอดูชัดๆแล้วผมต้องตกใจอย่างมาก

“ป่าสัก”

“ส่งมือมาสิทุ่ง  อ้าวกูบอกให้มึงส่งมือมา จะได้กลับขึ้นฝั่ง”

เสียงป่าสักดังและน่าเกรงขามเอามากๆทำให้ผมตื่นกลัวเป็นที่สุด

ผมค่อยๆยื่นมือไปให้ป่าสักดึงขึ้นสปีดโบ๊ทคันงามทันที

“แล้วพี่แดนละป่าสัก”

“ก็ให้พี่เขาเล่นน้ำอยู่ตรงนี้แหละเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเอง”

“โทษนะพี่ พอดีผมรีบขับไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง  พอดีรีบมารับคน  คน ของ ผม ใครก็ห้ามยุ่ง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา