หงอี้ฝาน จอมมารข้ามภพ
8.0
เขียนโดย Mepale
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.47 น.
6 บท
0 วิจารณ์
8,152 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 04 ความแล้งแค้นของผู้กล้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ04 ความแล้งแค้นของผู้กล้า
………………………………..
ยามนึกถึงคราที่นางยังเป็นผู้กล้า ยามนั้นสุขสบายเหลือคณามิต้องมาลำบากลำบนเฉกเช่นนี้ นับตั้งแต่ถูกวางยาพิษจนตาย มาเกิดยังโลกใหม่เวลานี้นางอายุแปดขวบปี เกิดในครอบครัวยากจน ผู้เป็นบิดามารดามิเหลียวแล สนใจแต่บุตรชายคนเล็ก หากย้อนไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่นางอายุห้าขวบปี ตอนนั้นนางจำต้องไปตรวจวัดพลังอะไรสักอย่างที่คนบนแผ่นดินปฐพีลืมเลือนกล่าวถึง คราที่ไปวัดพลัง พวกลูกผู้มีอันจะกินในแคว้นโจวมองมาที่นางด้วยแววตาเหยียดหยามและรังเกียจ นางผิดนักหรือที่เกิดมายากจน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเวรกรรมแต่อดีตชาติ ที่นางตัดสินใจสังหารจอมมาร ทั้งๆที่จริงแล้วจอมมารผู้นั้นมีชีวิตอยู่เพื่อยุติสงคราม
การตรวจวัดพลังยุทธเป็นการวัดเพื่อดูแนวโน้มในอนาคต ว่าคนผู้นั้นจะฝึกไปได้ถึงขั้นใดและวัดพลังปราณ ระหว่างที่ข้ารอวัดพลังอยู่นั้น ก็สบเข้ากับเด็กสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้ม ขณะที่เด็กสาวกำลังก้าวเดินขึ้นไปวัดพลังสีหน้าของเด็กสาว เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ราวกับว่าเรื่องการวัดพลังเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็กสาว อาภรณ์เนื้อดีเช่นนั้นหากให้นางเดาคงเป็นลูกชนชั้นสูง มือเล็กของเด็กสาววางลงบนลูกแก้ววัดพลัง ผลที่ออกมาคือไม่ปรากฏแสงสีใดๆ นั่นหมายความว่านางไร้พลัง ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ต่างมองเด็กสาวด้วยแววตาดูถูกดูแคลน แต่เด็กสาวหาได้สนใจไม่ เด็กคนนั้นก้าวเดินออกจากสถานที่ตรวจวัดพลังด้วยท่าทีมิทุกข์ร้อนใดๆ
ผู้คนยังคงส่งสายตาดูถูกดูแคลนให้แก่เด็กคนนั้น แต่ปราณสีทมิฬที่นางมองเห็นเล่า คนอื่นมองมิเห็นรึ
' เด็กคนนั้นซ่อนพลังทำไมกันนะ '
นางมิใคร่จะเข้าใจพวกชนชั้นสูงเท่าใดนัก การตรวจวัดยังคงดำเนินต่อไป ชนชั้นสูงจะได้นับการตรวจวัดก่อน ตอนนี้จึงเหลือเพียงชนชั้นสามัญ นางวัดพลังยุทธก็ทราบว่าตนสามารถไปได้ถึงระดับใด และก็ทราบว่าตนมีพลังปราณหายาก แม้นางมีพลังแต่ก็ไร้ซึ่งอาจารย์ ดังนั้นจึงมิได้ฝึกบรือฝีมือ ทำเพียงเดินลมปราณตามที่ผู้เฒ่าคุมสถานที่ตรวจวัดพลังยุทธชี้แนะเท่านั้น ผิวพรรณของนางจึงมิได้หยาบกร้านเช่นผิวของคนยากจนคนอื่น
จวบจนปัจจุบันเวลานี้มารดาของนาง กำลังจะขายนางให้กับเจ้าของหอคณิกาหอโคมแดงอันเลื่องลือ แห่งแคว้นโจว นาง ‘ไป๋หลันฮวา’ มิคิดเสียใจเพราะไป๋หลันฮวาผู้นี้เสียใจจนชาชินเสียแล้ว ไป๋หลันฮวาก้าวเดินขึ้นรถม้าโดยมิหันกลับไปอาลัยอาวรผู้เป็นบิดามารดาและน้องชาย ‘ อาลัยอาวรแล้วอย่างไร นับต่อแต่นี้ไปข้ามิใช่คนในครอบครัวนี้แล้ว หากวันหน้าพวกเขาจนตอกก็อย่าหวังมาพึ่งข้าเลย ‘
นั่งรถม้าได้มินานก็เข้าสู่ตัวเมือง รถม้ามุ่งตรงไปหยุดด้านหลังหอโคมแดง ไป๋หลันฮวาก้าวลงรถม้าพร้อมด้วยเด็กสาวคนอื่นๆ พวกนางจะต้องเข้าตรวจร่างกายเป็นอันดับแรก หากเด็กสาวนางใดมีตำหนิหรือแผลเป็นพวกนางจะถูกคัดออกให้กายเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเหล่าเด็กสาวที่จะเป็นคณิกาในอนาคต เด็กสาวหลายคนที่ถูกขายบางคนยังคงสะอื่นไห้หาบิดามารดา ไป๋หลันฮวามองเด็กสาวที่ร้องไห้ด้วยแววตาว่างเปล่า
กาลเวลาผ่านไปไหวเหมือนโกหก ไป๋หลันฮวาต้องฝึกการดนตรี เขียนพู่กัน ร้องรำขับทำนอง เรียนหมากรุก และแต่งกลอน พวกเขาต่างสอนพวกนางอย่างเข้มงวด ไป๋หลันฮวามักจะได้คำรับชื่นชมจากอาจารย์ผู้ฝึกสอน กระนั้นนางก็ได้กินอิ่มนอนหลับ มากกว่าตอนที่ได้อยู่กับบิดามารดา ไป๋หลันฮวายังคงมีความคิดที่จะหนีจากสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากมิช้ามิเร็วนางคงจะถูกแม่เหล่าขายออกไปเป็นอนุของผู้มีอันจะกินเป็นแน่ ไป๋หลันฮวามิอยากที่จะเป็นอนุภรรยาผู้ใดทั้งนั้น ยามนี้นางจึงสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ ความไว้ใจ ‘ ให้แก่แม่เหล่า
ไป๋หลันฮวาตระเตรียมแผนและลู่ทางต่างๆในการหนี เป็นระยะเวลาแรมปี คราที่นางอายุสิบสองหนาวในที่สุดนางก็หนีจากหอโคมแดง ชีวิตอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ แม้แต่ยามหลับนางยังมิอาจหลับได้อย่างสนิท เงินทองที่ติดตัวมาเริ่มร่อยหรอลงทุกที สถานที่ที่ปลอดภัยกับนางมีเพียงหมู่บ้านใกล้แดนว้างเท่านั้นอีกไม่กี่วันนางก็จะเดินทางไปถึง ไป๋หลันฮวาก้าวเดินออกมาจากห้องพักภายในโรงเตี๊ยม จำต้องชะงักฝีเท้าลงรีบหลบเข้าห้องพักตนทันทีเมื่อสบเข้ากับบุรุษชุดดำร่างกายกำยำหลายคน ในมือของบุรุษชุดดำถือกระดาษคนละแผ่น ไป๋หลันฮวามิเดาก็ทราบว่า กระดาษเหล่านั้นเป็นภาพวาดนางครึ่งตัว มือเรียวรีบเก็บของใส่หอผ้าโดยพลัน เนื่องจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมชั้นเดียว นางจึงปีนออกจากหน้าต่างได้มิยากนัก
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมมาได้พบคอกสัตว์อสูรคล้ายม้าที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมจึงตวัดกายขึ้นสัตว์อสูร ควบออกไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นว่าสัตว์อสูรแสนเชื่องตนนั้นโดนขโมยจึงเอ่ยเสียงดัง " ช่วยด้วยมีโจรขโมยสัตว์อสูร! "
เหล่าบุรุษชุดดำได้ยินดังนั้นจึงรีบมาด้านหลังโรงเตี๊ยม เนื่องจากพวกเขามีพลังยุทธ หากจะใช้สายตามองระยะไกลจึงมิยากนักที่จะทราบว่า โจรที่ควบม้าไปเป็นผู้ใด เหล่าบุรุษชุดดำจึงเร่งรุดใช้วิชาตัวเบาตามไป๋หลันฮวาไปอย่างรวดเร็ว นางผิดใบหน้าหันไปมองก็พบว่าเหล่าบุรุษชุดดำตามมาติดๆ ในใจร้อนรนเหลือคณาพยายามตั้งสติหาทางหนีทีไล่ ฉับพลันภาพในแผนที่ที่ตนเคยศึกษาก็ลอยเข้ามาในหัว หากตัดผ่านป่านี้ไปจะพบกับแม่น้ำกั้นระหว่างป่าอีกด้าน มีเพียงเชือกขึงกับแผ่นไม้และสามารถใช้ม้าในการข้ามสะพาน ไป๋หลันฮวาเร่งสัตว์อสูรให้วิ่งเร็วขึ้น
สะพานไม้ที่นางจะข้ามนะ
คราที่นางมาถึงสะพานก็เร่งสัตว์อสูรให้วิ่งพ้นสะพานไปถึงอีกด้านได้สำเร็จ มือเรียวหยิบกริซเงินในห่อผ้าออกมาพอดีกับที่เหล่าบุรุษชุดดำเตรียมจะข้ามมาอีกฝั่ง มือเรียวเล็กใช้กริซตัดเชือกบนสะพานอีกข้างอย่าร้อนรน บุรุษเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ " ขาดสักทีสิว่ะ "
ไป๋หลันฮวาสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย มือเรียวอาศัยพลังยุทธอันน้อยนิด เนื่องจากมิค่อยจะได้ฝึกจึงมีเพียงน้อยนิด เสริมการตัดเชือกเร็วขึ้น เชือกขาดไปในที่สุดบุรุษชุดดำหลายคนหล่นลงไปในแม่น้ำด้านล่าง มีเพียงผู้เดียวที่ไหวตัวทัน ข้ามมาอีกฝั่งได้สำเร็จเข้าล็อคตัวนางจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว นางได้แต่โอดครวญในใจเนื่องด้วยนางหนีมาไกลพอสมควร กับมาถูกจับได้ไป๋หลันฮวาได้แต่ร่ำไห้ในใจ กริซที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อถูกพลังยุทธของบุรุษชุดดำซัดหลุดออกจากแขนเสื้อนาง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
" หยุดการกระทำของเจ้าซะ หากยังมิอยากตายก็ทำตัวดีๆ " ร่างกำยำนำเชือกที่ห้อยอยู่เอวด้านขวามัดร่างแบบบางของนางเอาไว้ ส่วนสัตว์อสูรที่นางขโมยมามิสามารถช่วยอันใดนางได้ เพราะมันเป็นสัตว์อสูรที่เชื่องกับมนุษย์ ร่างกำยำผูกปลายเชือกอีกด้านไว้กับข้อมือตน ช้อนร่างบางตวัดกายขึ้นนั่งบนสัตว์อสูร
" ปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอร้อง " ไป๋หลันฮวาเอ่ยอ้อนวอน พลางสะอื้นไห้กระนั้นน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา ก็มิเป็นผลให้บุรุษผู้นี้ที่ปิดหน้าปิดตาใจอ่อน เขายังคงเงียบต่อไป ' ทำเช่นไรดี ร้องไห้ก็แล้ว อ้อนวอนก็แล้วบุรุษผู้นี้เย็นชานัก '
เดินทางได้มินานพระอาทิตย์ก็ตกดิน บุรุษชุดดำมิได้เอ่ยอันใดกับนาง เพียงผูกปลายเชือกอีกด้านไว้กับต้นไม้ ก่อนจะออกไปหาฝืนเพื่อก่อไฟ ไป๋หลันฮวาพยายามจะหาของมีคมเพื่อตัดเชือก จนแล้วจนรอดก็หามิเจอกระทั้งบุรุษชุดดำกลับมา เขาเห็นท่าทีมีพิรุธของนางแต่มิได้เอ่ยถามพลางเดินไปก่อไฟพร้อมกับย่างไก่ป่าที่ตนจับได้ขณะไปหาฝืน กินไก่ย่างโชยเข้าจมูกไป๋หลันฮวา ทำได้เพียงลอบกลืนน้ำลาย กระเพาะเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงประท้วง บุรุษชุดดำได้ยินดังนั้นจำต้องกลั้นขำในลำคอ แสร้งส่ายหน้าอย่างระอาพลางนำไก่ย่างที่สุกแล้วยื่นให้นาง ไป๋หลันฮวาสบโอกาศหาทางรอดจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอีกครา
" ท่านมัดข้าไว้เช่นนี้จะกินได้อย่างไรเจ้าคะ " นางสบสายตาออดอ้อนนำมารยาหญิงห้าร้อยเล่มเกวียนที่เคยร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ บุรุษชุดดำยอมโอนอ่อนแกะเชือกที่มัดกายนางเอาไว้ออก ไม่ทันได้ระวังมือเรียวที่ถือหินก้อนหนึ่งไว้นานแล้วจึงฟาดเข้าที่ท้ายทอยบุรุษชุดดำ ร่างกำยำทรุดลงกับพื้น หากนางมิแม้นยำพอโอกาศในการฟาดให้ตรงจุดจะเป็นไปได้ยาก ไป๋หลันฮวาคว้าไก่ย่างพร้อมด้วยห่อผ้ามาก่อนจะตวัดกายขึ้นสัตว์อสูรควบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว " เฮ้อ...ในที่สุดก็รอดเสียที "
ผ่านไปสามวัน ในที่สุดไป๋หลันฮวาก็มาถึงหมู่บ้านที่ใกล้กับแดนว้าง ระหว่างทางนางได้พบพ่อค้า จึงแลกสัตว์อสูรกับข้าวสารอาหารแห้ง เนื่องด้วยในชนบทห่างไกลผู้คน มักจะเอาของที่ตนมีมาแลกเปลี่ยนกัน มิได้ใช้เงินเท่าใดนัก กระนั้นกว่าจะถึงหมู่บ้านข้าวสารอาหารแห้งก็ร่อยหรอลงมิน้อย ไป๋หลันฮวาใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้านก็สบเข้ากับบุรุษอาภรณ์ดำปิดบังหน้าตา ก็รีบหลบซ่อนในป่าข้างๆหมู่บ้าน หากนางเข้าไปในหมู่บ้านคงมิแคล้วถูกบุรุษผู้นี้จับได้อีก ไป๋หลันฮวาตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในป่าลึกเรื่อยๆ เพื่อหาทางเข้าหมู่บ้านอีกทาง เดินมาได้สักพักก็หยุดฝีเท้าลงกายทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ภาพสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบไปคือหิมะค่อยๆโปรยลงมาและอากาศเย็นที่พัดผ่านร่างบางไปตามแรงลม
' หิวจัง......ทำไมชาตินี้ฉันถึงลำบากแบบนี้นะ ' หากนางได้พบกับจอมมารอีกครั้งจะต้องขอโทษและชดใช้ความผิดที่กระทำต่อจอมมารให้จงได้ แม้จะกลายเป็นคนรับใช้ของจอมมารก็ตาม...........
.
.
.
" ข้าบอกให้เจ้ารอ ไฉนจึงมิรอ " หนานกงหลิวเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครึม หงอี้ฝานนั่งพับเพียบตัวรีบรับหน้าเรือนรักษาฟังคำตำหนิของบุรุษผมขาว โดยมิโต้แย้งอันใด นางยังจำได้ดีเมื่อตอนเด็กหากไปโต้แย้งคงมิแคล้วถูกพลังยุทธซัดเป็นแน่ หนานกงหลิวเหวินยังคงเอ่ยต่อว่าต่อขานหงอี้ฝานมิหยุดปาก กระทั้งหงเซียนออกมาจากเรือนรักษา หนานกงหลิวเหวินจึงหยุดเอ่ย หงอี้ฝานเห็นดังนั้นจึงดันกายลุกขึ้นไปยืนเกาะแขนมารดาทันที พลางเอ่ยออดอ้อน
" ท่านเจ้าคะ อาเหวินต่อว่าข้า " นางส่งสายตาเยาะเย้ยหนานกงหลิวเหวิน เพราะคิดว่ามารดาจะต่อว่าบุรุษวัยเยาว์ผมขาวตรงหน้า หงเซียนยกนิ้วอีกด้านดีดหน้าผากผู้เป็นบุตรสาว
" โอ๊ย! ท่านแม่ดีดหน้าผากข้าทำไมเจ้าคะ " หงอี้ฝานแสร้งลูบหน้าผากปอยๆ ความจริงแล้วนางมิได้เจ็บอันใดมาก
" เด็กน้อยภารกิจนี้แม่ให้เจ้าไปกับองค์รัชทายาท แต่เจ้ากับไปผู้เดียวซึ่งมันอันตรายมาก แม่รู้ว่าเจ้าเก่งแต่ความเก่งกาจและความมั่นใจของเจ้าอาจทำให้เจ้าตายได้ " หงเซียนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางรู้ว่าเด็กน้อยของนางเก่งกาจเหนือผู้ใด แต่ก็มิอยากให้เด็กน้อยของตน หลงใหลในความเก่งกาจของตนมากเกินไป เพราะบนแผ่นดินปฐพีลืมเลือนยังมีคนเก่งกาจกว่าเด็กน้อยของนางมากนัก หงอี้ฝานรับฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นมารดาจบ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน
" อาการอิสตรีผู้นั้นเป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ "
" เจ้าเกลียดอิสตรีมิใช่รึ ไฉนจึงถามเหล่าฝานฝาน " หนานกงหลิวเหวินเอ่ยเสียงล้อเลียน
" เรื่องของข้า " ว่าพลางหันหน้าไปถามมารดาต่อ " นางเป็นเช่นไรเจ้าคะ "
" นางเพียงร่างกายอ่อนแอ ซูบผอมเช่นนั้นคงอดอาหารมาหลายวัน เนื้อผ้าและการแต่งกายก็ดีมิน้อย ทำไมในห่อผ้ามิมีเงินกันนะ " หงอี้ฝานได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยเรื่องเงิน ก็ส่ายศีรษะไปมาทันทีไฉนมารดาของนางจึงคิดหาแต่เงินนัก ส่วนหนานกงหลิวเหวินเมื่อมิมีอันใดทำแล้ว จึงขอตัวกลับเรือนพักของตน สองสตรีต่างวัยทำเพียงพยักหน้าเป็นเชิงตอบแทนการเอ่ยกับเขา
" ให้ข้าวิเคราะห์ให้ไหมเจ้าคะ " มารดาพยักหน้าให้หงอี้ฝานวิเคราะห์ออกมา " หากมิเป็นพวกคุณหนูหนีบิดามารดาออกจากบ้าน อาจจะเป็นเด็กที่จะกลายเป็นคณิกาในอนาคตเจ้าค่ะ พวกคุณหนูคงมิหน้าโง่ทิ้งความสุขสบายออกมาจากบ้านหรอกเจ้าค่ะ อย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า "
หงเซียนคิดตามที่หงอี้ฝานเอ่ย พร้อมกับสรุปบางอย่างได้ในใจ " ถือว่าช่วยคนยากไร้แล้วกัน หากนางตื่นขึ้นมาแล้วมิมีความเจียมตนก็ไล่ลงหุบเขาได้เลย เด็กน้อยเจ้ามิอยากเฝ้าอิสตรีใช่รึไม่ "
" ท่านแม่รู้ใจข้ายิ่งนัก " หงอี้ฝานยิ้มเจือนๆ เมื่อมารดารู้ทัน หงเซียนมองเด็กน้อยของตนด้วยแววตาอ่อนโยน
" เดี๋ยวแม่จะให้เจ้าและองค์ชายเฝ้าด้วยกัน " ว่าจบก็เดินจากหน้าเรือนไปยังทิศทางเรือนพักของหนานกงหลิวเหวิน โดยมิฟังคำคัดค้านใดๆของผู้เป็นบุตรสาว
" ง่ะ....ท่านแม่ใจร้ายยิ่งนัก "
---------------<จบตอนที่ 4 >-------------------
ขอบคุณภาพจาก https://cde.peru.com/ima/0/0/9/0/1/901087/924x530/puenteeswachaca.jpg
บุรุษชุดดำเป็นใครหนอ
จอมมารไม่ได้มีบุคลิกเย็นชาอย่างเดียวนะคะ ยังคงมีความฟรุ้งฟริ้ง
ตอนหน้าผู้กล้าและจอมมารจะได้เจอกันแล้วเน้อ
มัจเคยบอกไปแล้วนะคะ ช่วงนี้มัจใกล้สอบแล้ว จึงลงได้น้อย ส่วนไรท์เรื่อง Injury project นางวุ่นอยู่กับการทำแลปส่งอาจารย์และเตรียมพรีเซนต์ จึงมิว่างแต่งนะจ๊ะ
แล้วพบกันใหม่จร้า
มัจฉานุ ❤❤❤
………………………………..
ยามนึกถึงคราที่นางยังเป็นผู้กล้า ยามนั้นสุขสบายเหลือคณามิต้องมาลำบากลำบนเฉกเช่นนี้ นับตั้งแต่ถูกวางยาพิษจนตาย มาเกิดยังโลกใหม่เวลานี้นางอายุแปดขวบปี เกิดในครอบครัวยากจน ผู้เป็นบิดามารดามิเหลียวแล สนใจแต่บุตรชายคนเล็ก หากย้อนไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่นางอายุห้าขวบปี ตอนนั้นนางจำต้องไปตรวจวัดพลังอะไรสักอย่างที่คนบนแผ่นดินปฐพีลืมเลือนกล่าวถึง คราที่ไปวัดพลัง พวกลูกผู้มีอันจะกินในแคว้นโจวมองมาที่นางด้วยแววตาเหยียดหยามและรังเกียจ นางผิดนักหรือที่เกิดมายากจน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเวรกรรมแต่อดีตชาติ ที่นางตัดสินใจสังหารจอมมาร ทั้งๆที่จริงแล้วจอมมารผู้นั้นมีชีวิตอยู่เพื่อยุติสงคราม
การตรวจวัดพลังยุทธเป็นการวัดเพื่อดูแนวโน้มในอนาคต ว่าคนผู้นั้นจะฝึกไปได้ถึงขั้นใดและวัดพลังปราณ ระหว่างที่ข้ารอวัดพลังอยู่นั้น ก็สบเข้ากับเด็กสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้ม ขณะที่เด็กสาวกำลังก้าวเดินขึ้นไปวัดพลังสีหน้าของเด็กสาว เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ราวกับว่าเรื่องการวัดพลังเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็กสาว อาภรณ์เนื้อดีเช่นนั้นหากให้นางเดาคงเป็นลูกชนชั้นสูง มือเล็กของเด็กสาววางลงบนลูกแก้ววัดพลัง ผลที่ออกมาคือไม่ปรากฏแสงสีใดๆ นั่นหมายความว่านางไร้พลัง ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ต่างมองเด็กสาวด้วยแววตาดูถูกดูแคลน แต่เด็กสาวหาได้สนใจไม่ เด็กคนนั้นก้าวเดินออกจากสถานที่ตรวจวัดพลังด้วยท่าทีมิทุกข์ร้อนใดๆ
ผู้คนยังคงส่งสายตาดูถูกดูแคลนให้แก่เด็กคนนั้น แต่ปราณสีทมิฬที่นางมองเห็นเล่า คนอื่นมองมิเห็นรึ
' เด็กคนนั้นซ่อนพลังทำไมกันนะ '
นางมิใคร่จะเข้าใจพวกชนชั้นสูงเท่าใดนัก การตรวจวัดยังคงดำเนินต่อไป ชนชั้นสูงจะได้นับการตรวจวัดก่อน ตอนนี้จึงเหลือเพียงชนชั้นสามัญ นางวัดพลังยุทธก็ทราบว่าตนสามารถไปได้ถึงระดับใด และก็ทราบว่าตนมีพลังปราณหายาก แม้นางมีพลังแต่ก็ไร้ซึ่งอาจารย์ ดังนั้นจึงมิได้ฝึกบรือฝีมือ ทำเพียงเดินลมปราณตามที่ผู้เฒ่าคุมสถานที่ตรวจวัดพลังยุทธชี้แนะเท่านั้น ผิวพรรณของนางจึงมิได้หยาบกร้านเช่นผิวของคนยากจนคนอื่น
จวบจนปัจจุบันเวลานี้มารดาของนาง กำลังจะขายนางให้กับเจ้าของหอคณิกาหอโคมแดงอันเลื่องลือ แห่งแคว้นโจว นาง ‘ไป๋หลันฮวา’ มิคิดเสียใจเพราะไป๋หลันฮวาผู้นี้เสียใจจนชาชินเสียแล้ว ไป๋หลันฮวาก้าวเดินขึ้นรถม้าโดยมิหันกลับไปอาลัยอาวรผู้เป็นบิดามารดาและน้องชาย ‘ อาลัยอาวรแล้วอย่างไร นับต่อแต่นี้ไปข้ามิใช่คนในครอบครัวนี้แล้ว หากวันหน้าพวกเขาจนตอกก็อย่าหวังมาพึ่งข้าเลย ‘
นั่งรถม้าได้มินานก็เข้าสู่ตัวเมือง รถม้ามุ่งตรงไปหยุดด้านหลังหอโคมแดง ไป๋หลันฮวาก้าวลงรถม้าพร้อมด้วยเด็กสาวคนอื่นๆ พวกนางจะต้องเข้าตรวจร่างกายเป็นอันดับแรก หากเด็กสาวนางใดมีตำหนิหรือแผลเป็นพวกนางจะถูกคัดออกให้กายเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเหล่าเด็กสาวที่จะเป็นคณิกาในอนาคต เด็กสาวหลายคนที่ถูกขายบางคนยังคงสะอื่นไห้หาบิดามารดา ไป๋หลันฮวามองเด็กสาวที่ร้องไห้ด้วยแววตาว่างเปล่า
กาลเวลาผ่านไปไหวเหมือนโกหก ไป๋หลันฮวาต้องฝึกการดนตรี เขียนพู่กัน ร้องรำขับทำนอง เรียนหมากรุก และแต่งกลอน พวกเขาต่างสอนพวกนางอย่างเข้มงวด ไป๋หลันฮวามักจะได้คำรับชื่นชมจากอาจารย์ผู้ฝึกสอน กระนั้นนางก็ได้กินอิ่มนอนหลับ มากกว่าตอนที่ได้อยู่กับบิดามารดา ไป๋หลันฮวายังคงมีความคิดที่จะหนีจากสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากมิช้ามิเร็วนางคงจะถูกแม่เหล่าขายออกไปเป็นอนุของผู้มีอันจะกินเป็นแน่ ไป๋หลันฮวามิอยากที่จะเป็นอนุภรรยาผู้ใดทั้งนั้น ยามนี้นางจึงสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ ความไว้ใจ ‘ ให้แก่แม่เหล่า
ไป๋หลันฮวาตระเตรียมแผนและลู่ทางต่างๆในการหนี เป็นระยะเวลาแรมปี คราที่นางอายุสิบสองหนาวในที่สุดนางก็หนีจากหอโคมแดง ชีวิตอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ แม้แต่ยามหลับนางยังมิอาจหลับได้อย่างสนิท เงินทองที่ติดตัวมาเริ่มร่อยหรอลงทุกที สถานที่ที่ปลอดภัยกับนางมีเพียงหมู่บ้านใกล้แดนว้างเท่านั้นอีกไม่กี่วันนางก็จะเดินทางไปถึง ไป๋หลันฮวาก้าวเดินออกมาจากห้องพักภายในโรงเตี๊ยม จำต้องชะงักฝีเท้าลงรีบหลบเข้าห้องพักตนทันทีเมื่อสบเข้ากับบุรุษชุดดำร่างกายกำยำหลายคน ในมือของบุรุษชุดดำถือกระดาษคนละแผ่น ไป๋หลันฮวามิเดาก็ทราบว่า กระดาษเหล่านั้นเป็นภาพวาดนางครึ่งตัว มือเรียวรีบเก็บของใส่หอผ้าโดยพลัน เนื่องจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมชั้นเดียว นางจึงปีนออกจากหน้าต่างได้มิยากนัก
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมมาได้พบคอกสัตว์อสูรคล้ายม้าที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมจึงตวัดกายขึ้นสัตว์อสูร ควบออกไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นว่าสัตว์อสูรแสนเชื่องตนนั้นโดนขโมยจึงเอ่ยเสียงดัง " ช่วยด้วยมีโจรขโมยสัตว์อสูร! "
เหล่าบุรุษชุดดำได้ยินดังนั้นจึงรีบมาด้านหลังโรงเตี๊ยม เนื่องจากพวกเขามีพลังยุทธ หากจะใช้สายตามองระยะไกลจึงมิยากนักที่จะทราบว่า โจรที่ควบม้าไปเป็นผู้ใด เหล่าบุรุษชุดดำจึงเร่งรุดใช้วิชาตัวเบาตามไป๋หลันฮวาไปอย่างรวดเร็ว นางผิดใบหน้าหันไปมองก็พบว่าเหล่าบุรุษชุดดำตามมาติดๆ ในใจร้อนรนเหลือคณาพยายามตั้งสติหาทางหนีทีไล่ ฉับพลันภาพในแผนที่ที่ตนเคยศึกษาก็ลอยเข้ามาในหัว หากตัดผ่านป่านี้ไปจะพบกับแม่น้ำกั้นระหว่างป่าอีกด้าน มีเพียงเชือกขึงกับแผ่นไม้และสามารถใช้ม้าในการข้ามสะพาน ไป๋หลันฮวาเร่งสัตว์อสูรให้วิ่งเร็วขึ้น
สะพานไม้ที่นางจะข้ามนะ
คราที่นางมาถึงสะพานก็เร่งสัตว์อสูรให้วิ่งพ้นสะพานไปถึงอีกด้านได้สำเร็จ มือเรียวหยิบกริซเงินในห่อผ้าออกมาพอดีกับที่เหล่าบุรุษชุดดำเตรียมจะข้ามมาอีกฝั่ง มือเรียวเล็กใช้กริซตัดเชือกบนสะพานอีกข้างอย่าร้อนรน บุรุษเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ " ขาดสักทีสิว่ะ "
ไป๋หลันฮวาสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย มือเรียวอาศัยพลังยุทธอันน้อยนิด เนื่องจากมิค่อยจะได้ฝึกจึงมีเพียงน้อยนิด เสริมการตัดเชือกเร็วขึ้น เชือกขาดไปในที่สุดบุรุษชุดดำหลายคนหล่นลงไปในแม่น้ำด้านล่าง มีเพียงผู้เดียวที่ไหวตัวทัน ข้ามมาอีกฝั่งได้สำเร็จเข้าล็อคตัวนางจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว นางได้แต่โอดครวญในใจเนื่องด้วยนางหนีมาไกลพอสมควร กับมาถูกจับได้ไป๋หลันฮวาได้แต่ร่ำไห้ในใจ กริซที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อถูกพลังยุทธของบุรุษชุดดำซัดหลุดออกจากแขนเสื้อนาง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
" หยุดการกระทำของเจ้าซะ หากยังมิอยากตายก็ทำตัวดีๆ " ร่างกำยำนำเชือกที่ห้อยอยู่เอวด้านขวามัดร่างแบบบางของนางเอาไว้ ส่วนสัตว์อสูรที่นางขโมยมามิสามารถช่วยอันใดนางได้ เพราะมันเป็นสัตว์อสูรที่เชื่องกับมนุษย์ ร่างกำยำผูกปลายเชือกอีกด้านไว้กับข้อมือตน ช้อนร่างบางตวัดกายขึ้นนั่งบนสัตว์อสูร
" ปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอร้อง " ไป๋หลันฮวาเอ่ยอ้อนวอน พลางสะอื้นไห้กระนั้นน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา ก็มิเป็นผลให้บุรุษผู้นี้ที่ปิดหน้าปิดตาใจอ่อน เขายังคงเงียบต่อไป ' ทำเช่นไรดี ร้องไห้ก็แล้ว อ้อนวอนก็แล้วบุรุษผู้นี้เย็นชานัก '
เดินทางได้มินานพระอาทิตย์ก็ตกดิน บุรุษชุดดำมิได้เอ่ยอันใดกับนาง เพียงผูกปลายเชือกอีกด้านไว้กับต้นไม้ ก่อนจะออกไปหาฝืนเพื่อก่อไฟ ไป๋หลันฮวาพยายามจะหาของมีคมเพื่อตัดเชือก จนแล้วจนรอดก็หามิเจอกระทั้งบุรุษชุดดำกลับมา เขาเห็นท่าทีมีพิรุธของนางแต่มิได้เอ่ยถามพลางเดินไปก่อไฟพร้อมกับย่างไก่ป่าที่ตนจับได้ขณะไปหาฝืน กินไก่ย่างโชยเข้าจมูกไป๋หลันฮวา ทำได้เพียงลอบกลืนน้ำลาย กระเพาะเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงประท้วง บุรุษชุดดำได้ยินดังนั้นจำต้องกลั้นขำในลำคอ แสร้งส่ายหน้าอย่างระอาพลางนำไก่ย่างที่สุกแล้วยื่นให้นาง ไป๋หลันฮวาสบโอกาศหาทางรอดจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอีกครา
" ท่านมัดข้าไว้เช่นนี้จะกินได้อย่างไรเจ้าคะ " นางสบสายตาออดอ้อนนำมารยาหญิงห้าร้อยเล่มเกวียนที่เคยร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ บุรุษชุดดำยอมโอนอ่อนแกะเชือกที่มัดกายนางเอาไว้ออก ไม่ทันได้ระวังมือเรียวที่ถือหินก้อนหนึ่งไว้นานแล้วจึงฟาดเข้าที่ท้ายทอยบุรุษชุดดำ ร่างกำยำทรุดลงกับพื้น หากนางมิแม้นยำพอโอกาศในการฟาดให้ตรงจุดจะเป็นไปได้ยาก ไป๋หลันฮวาคว้าไก่ย่างพร้อมด้วยห่อผ้ามาก่อนจะตวัดกายขึ้นสัตว์อสูรควบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว " เฮ้อ...ในที่สุดก็รอดเสียที "
ผ่านไปสามวัน ในที่สุดไป๋หลันฮวาก็มาถึงหมู่บ้านที่ใกล้กับแดนว้าง ระหว่างทางนางได้พบพ่อค้า จึงแลกสัตว์อสูรกับข้าวสารอาหารแห้ง เนื่องด้วยในชนบทห่างไกลผู้คน มักจะเอาของที่ตนมีมาแลกเปลี่ยนกัน มิได้ใช้เงินเท่าใดนัก กระนั้นกว่าจะถึงหมู่บ้านข้าวสารอาหารแห้งก็ร่อยหรอลงมิน้อย ไป๋หลันฮวาใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้านก็สบเข้ากับบุรุษอาภรณ์ดำปิดบังหน้าตา ก็รีบหลบซ่อนในป่าข้างๆหมู่บ้าน หากนางเข้าไปในหมู่บ้านคงมิแคล้วถูกบุรุษผู้นี้จับได้อีก ไป๋หลันฮวาตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในป่าลึกเรื่อยๆ เพื่อหาทางเข้าหมู่บ้านอีกทาง เดินมาได้สักพักก็หยุดฝีเท้าลงกายทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ภาพสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบไปคือหิมะค่อยๆโปรยลงมาและอากาศเย็นที่พัดผ่านร่างบางไปตามแรงลม
' หิวจัง......ทำไมชาตินี้ฉันถึงลำบากแบบนี้นะ ' หากนางได้พบกับจอมมารอีกครั้งจะต้องขอโทษและชดใช้ความผิดที่กระทำต่อจอมมารให้จงได้ แม้จะกลายเป็นคนรับใช้ของจอมมารก็ตาม...........
.
.
.
" ข้าบอกให้เจ้ารอ ไฉนจึงมิรอ " หนานกงหลิวเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครึม หงอี้ฝานนั่งพับเพียบตัวรีบรับหน้าเรือนรักษาฟังคำตำหนิของบุรุษผมขาว โดยมิโต้แย้งอันใด นางยังจำได้ดีเมื่อตอนเด็กหากไปโต้แย้งคงมิแคล้วถูกพลังยุทธซัดเป็นแน่ หนานกงหลิวเหวินยังคงเอ่ยต่อว่าต่อขานหงอี้ฝานมิหยุดปาก กระทั้งหงเซียนออกมาจากเรือนรักษา หนานกงหลิวเหวินจึงหยุดเอ่ย หงอี้ฝานเห็นดังนั้นจึงดันกายลุกขึ้นไปยืนเกาะแขนมารดาทันที พลางเอ่ยออดอ้อน
" ท่านเจ้าคะ อาเหวินต่อว่าข้า " นางส่งสายตาเยาะเย้ยหนานกงหลิวเหวิน เพราะคิดว่ามารดาจะต่อว่าบุรุษวัยเยาว์ผมขาวตรงหน้า หงเซียนยกนิ้วอีกด้านดีดหน้าผากผู้เป็นบุตรสาว
" โอ๊ย! ท่านแม่ดีดหน้าผากข้าทำไมเจ้าคะ " หงอี้ฝานแสร้งลูบหน้าผากปอยๆ ความจริงแล้วนางมิได้เจ็บอันใดมาก
" เด็กน้อยภารกิจนี้แม่ให้เจ้าไปกับองค์รัชทายาท แต่เจ้ากับไปผู้เดียวซึ่งมันอันตรายมาก แม่รู้ว่าเจ้าเก่งแต่ความเก่งกาจและความมั่นใจของเจ้าอาจทำให้เจ้าตายได้ " หงเซียนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางรู้ว่าเด็กน้อยของนางเก่งกาจเหนือผู้ใด แต่ก็มิอยากให้เด็กน้อยของตน หลงใหลในความเก่งกาจของตนมากเกินไป เพราะบนแผ่นดินปฐพีลืมเลือนยังมีคนเก่งกาจกว่าเด็กน้อยของนางมากนัก หงอี้ฝานรับฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นมารดาจบ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน
" อาการอิสตรีผู้นั้นเป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ "
" เจ้าเกลียดอิสตรีมิใช่รึ ไฉนจึงถามเหล่าฝานฝาน " หนานกงหลิวเหวินเอ่ยเสียงล้อเลียน
" เรื่องของข้า " ว่าพลางหันหน้าไปถามมารดาต่อ " นางเป็นเช่นไรเจ้าคะ "
" นางเพียงร่างกายอ่อนแอ ซูบผอมเช่นนั้นคงอดอาหารมาหลายวัน เนื้อผ้าและการแต่งกายก็ดีมิน้อย ทำไมในห่อผ้ามิมีเงินกันนะ " หงอี้ฝานได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยเรื่องเงิน ก็ส่ายศีรษะไปมาทันทีไฉนมารดาของนางจึงคิดหาแต่เงินนัก ส่วนหนานกงหลิวเหวินเมื่อมิมีอันใดทำแล้ว จึงขอตัวกลับเรือนพักของตน สองสตรีต่างวัยทำเพียงพยักหน้าเป็นเชิงตอบแทนการเอ่ยกับเขา
" ให้ข้าวิเคราะห์ให้ไหมเจ้าคะ " มารดาพยักหน้าให้หงอี้ฝานวิเคราะห์ออกมา " หากมิเป็นพวกคุณหนูหนีบิดามารดาออกจากบ้าน อาจจะเป็นเด็กที่จะกลายเป็นคณิกาในอนาคตเจ้าค่ะ พวกคุณหนูคงมิหน้าโง่ทิ้งความสุขสบายออกมาจากบ้านหรอกเจ้าค่ะ อย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า "
หงเซียนคิดตามที่หงอี้ฝานเอ่ย พร้อมกับสรุปบางอย่างได้ในใจ " ถือว่าช่วยคนยากไร้แล้วกัน หากนางตื่นขึ้นมาแล้วมิมีความเจียมตนก็ไล่ลงหุบเขาได้เลย เด็กน้อยเจ้ามิอยากเฝ้าอิสตรีใช่รึไม่ "
" ท่านแม่รู้ใจข้ายิ่งนัก " หงอี้ฝานยิ้มเจือนๆ เมื่อมารดารู้ทัน หงเซียนมองเด็กน้อยของตนด้วยแววตาอ่อนโยน
" เดี๋ยวแม่จะให้เจ้าและองค์ชายเฝ้าด้วยกัน " ว่าจบก็เดินจากหน้าเรือนไปยังทิศทางเรือนพักของหนานกงหลิวเหวิน โดยมิฟังคำคัดค้านใดๆของผู้เป็นบุตรสาว
" ง่ะ....ท่านแม่ใจร้ายยิ่งนัก "
---------------<จบตอนที่ 4 >-------------------
ขอบคุณภาพจาก https://cde.peru.com/ima/0/0/9/0/1/901087/924x530/puenteeswachaca.jpg
บุรุษชุดดำเป็นใครหนอ
จอมมารไม่ได้มีบุคลิกเย็นชาอย่างเดียวนะคะ ยังคงมีความฟรุ้งฟริ้ง
ตอนหน้าผู้กล้าและจอมมารจะได้เจอกันแล้วเน้อ
มัจเคยบอกไปแล้วนะคะ ช่วงนี้มัจใกล้สอบแล้ว จึงลงได้น้อย ส่วนไรท์เรื่อง Injury project นางวุ่นอยู่กับการทำแลปส่งอาจารย์และเตรียมพรีเซนต์ จึงมิว่างแต่งนะจ๊ะ
แล้วพบกันใหม่จร้า
มัจฉานุ ❤❤❤
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ