หงอี้ฝาน จอมมารข้ามภพ

8.0

เขียนโดย Mepale

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.47 น.

  6 บท
  0 วิจารณ์
  8,270 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) 05 พบกันอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

05 พบกันอีกครั้ง

………………………

ไป๋หลันฮวากระพริบตาปริบๆ เพื่อปรับภาพเพดานห้องให้ชัดเจน กลิ่นยาและกลิ่นเครื่องหอมที่ไม่น่าจะเข้ากันได้กับลงตัวอย่างประหลาด ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องมิได้ฉุนจมูกแต่อย่างใด สิ่งแรกที่นางถามในใจคือ ที่นี้ที่ไหน? ร่างบางค่อยๆดันกายลุกขึ้นพิงพนักเตียง มองสำรวจห้องที่ตนนอนอยู่ และสรุปเอาเองว่าคงเป็นบ้านของใครสักคน ไป๋หลันฮวาเตรียมจะลุกขึ้นจากเตียง พอดีกับที่เงาร่างทั้งสองเดินเข้ามา นางมองสำรวจผู้ที่เข้ามา คนหนึ่งเป็นเด็กสาวร่างเล็กวัยใกล้เคียงกันกับไป๋หลันฮวา ผมสีรัตติกาลยาวสลวยถึงช่วงเอว เด็กสาวรวบมวยผมครึ่งศีรษะด้วยปิ่นไม้มะเกลือรูปดอกเหมยกุ้ย (กุหลาบ)

ผิวขาวดุจหยก ดวงตาคมแลดูเหย่อหยิ่งและเย็นชา นัยตาสีดำที่แสนจะลึกล่ำ เรียบนิ่งไร้ซึ่งระรอกคลื่น ช่างเป็นนัยตาที่อ่านยากนักว่ากำลังคิดอันใดอยู่ ดวงหน้าเรียวเล็กงดงาม จมูกโด่งเป็นสันแต่มิได้มากจนเกินงามแลดูดื้อลั้นมิน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มสีอิงเถาธรรมชาติไร้ซึ่งการแต่งแต้ม นับว่าเด็กสาว..ตรงหน้านางงดงามกว่าสตรีในหอโคมแดงที่เคยพบเจอ นางรู้สึกคุ้นหน้าเด็กสาวผู้นี้เหลือเกิน

ไป๋หลันฮวาละสายตาจากเด็กสาวมาที่เด็กหนุ่มวัยเดียวกันกับนาง นัยตางามแปลกใจมิน้อยในผมสีขาวดุจหิมะของบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหากเด็กหนุ่มเติบโตขึ้นคงเป็นที่หมายของของสตรีมากมาย เมื่อมองหนึ่งเด็กสาวและหนึ่งเด็กหนุ่มพร้อมๆกัน ทั้งสองมิต่างจากตัวแทนแห่งความมืดและแสงสว่าง เด็กสาวในอาภรณ์สีดำปักลายดอกพลับพลึงสีแดงดุจตัวแทนแห่งความมืดและยมทูตก็มิปาน เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีขาวปักลิ่มเงินลายเมฆาดุจตัวแทนแห่งแสงสว่างและเทพเซียน

" มองพอรึยัง " หงอี้ฝานเอ่ยเสียงเรียบนิ่งกับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่อ่านยาก ไป๋หลันฮวาได้ยินดังนั้นจึงถอนสายตาออกมาและกล่าวขออภัยอีกฝ่าย

" ขออภัยเจ้าค่ะ และก็ขอบคุณมากนะเจ้าคะที่ท่านทั้งสองช่วยข้า " ไป๋หลันฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและพยายามเป็นมิตรให้ได้มากที่สุด เนื่องจากนางรับรู้ถึงสายตาของเด็กสาวที่มองตามมิค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก

" มิต้องมาขอบ…โอ๊ย! ข้าเจ็บนะเจ้าทำบ้าอะไร อาเหวิน " หนานกงหลิวเหวินเขกศีรษะหงอี้ฝานเป็นการเตือนเรื่องมารยาท

" เจ้าควรมีมารยาทก็มากกว่านี้นะ ฝานฝาน " หนานกงหลิวเหวินเอ่ยเสียงเข้ม หงอี้ฝานทำได้เพียงมองค้อนเด็กหนุ่มก่อนจะวางถาดสำรับลงบนโต๊ะสำหรับทานอาหาร

" กินข้าวซะจะได้พักผ่อน และอย่าคิดออกไปเดินสำรวจข้างนอกหากมิอยากตายก่อนวัยอันควร " ว่าจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว มิได้สนใจอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตามึนงง หนานกงหลิวเหวินส่ายหัวอย่างระอาในการกระทำของหงอี้ฝาน พลางเอ่ยกับเด็กสาวบนเตียงด้วยน้ำเสียงที่ติดเย็นชาเพียงเล็กน้อย

" อย่าได้ถือสานางเลย ข้าหนานกงหลิวเหวิน เจ้านามว่าอันใด "

" ข้าไป๋หลันฮวาเจ้าค่ะ ว่าแต่ที่นี้ที่ไหนเจ้าคะ " นางเอ่ยถามขณะดันกายลุกขึ้นจากเตียงมานั่งเก้าอี้สำหรับทานอาหาร หนานกงหลิวเหวินรินชาให้กับตนเองก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย

" สำนักหุบเขาเลือนเร้น "

นัยตางามเบิกโพลง นางเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักหุบเขาเลือนเร้นมามิน้อย สำนักที่เหล่าเเพทย์โอสถอยากจะเข้านักเข้าหนา แต่ก็มิอาจเข้าได้เพราะหาทางเข้ามิเจอ นางกับได้เข้ามาในสำนักหุบเขาเลือนเร้น ไป๋หลันฮวาเช่นนางไร้ที่ไปหากนางกราบอาจารย์สักคนภายในสำนักได้ก็คงดีมิน้อย ไป๋หลันฮวาเริ่มวาดแผนการในใจ นางเคยได้ยินมาหากกราบเจ้าสำนักเป็นศิษย์ได้ จะกลายเป็นแพทย์โอสถที่เก่งกาจ และถูกยกย่องจากบรรดาผู้คน ไป๋หลันฮวาตัดสินแล้วว่าจะต้องได้เป็นศิษย์เจ้าสำนัก แต่ก่อนที่นางจะวาดแผนการไปไกลกว่านั้น หนานกงหลิวเหวินก็เอ่ยขัดความคิดนางราวกับอ่านใจคนได้

“ เด็กสาวคนเมื่อครู่นี้ เป็นบุตรสาวท่านเจ้าสำนักและเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเพียงหนึ่งเดียว นางมีนามว่า หงอี้ฝาน หากนางเอ่ยคำไร้มารยาทกับเจ้าก็อย่าถือสาเลยนะ “ คำว่าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวดังก้องอยู่หัวของนาง และดับฝันเรื่องเป็นศิษย์เจ้าสำนักไปในที่สุด ไป๋หลันฮวาเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“ จริงหรือเจ้าคะ ที่นางเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวไฉนนางจึงเอ่ยวาจาร้ายกาจเยี่ยงนั้น ช่างมิเหมาะสมกับตำแหน่งของนางเลยนะเจ้าคะ “ ไป๋หลันฮวาคิดหาแนวร่วมเพื่อผลักหงอี้ฝานลงจากตำแหน่งผู้สืบทอด หนานกงหลิวเหวินจากที่ใบหน้าเย็นชาเพียงเล็กน้อย บัดนี้ความเย็นชากับเพิ่มขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครึม จนอีกฝ่ายหวาดกลัว

“อย่าได้เอ่ยคำว่ามิเหมาะสม หากเจ้ามิรู้จักนางดี ขอตัว อ้อ อย่างที่นางเอ่ยไว้เมื่อครู่ อย่าคิดออกไปเดินด้านนอกยามนี้เป็นอันขาด หากยังมิอยากตาย “ ว่าจบก็เดินด้วยท่าทางเคร่งครึมออกไป หนานกงหลิวเหวินรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำการอันใด หากอีกฝ่ายมิหยุดหรือคิดเนรคุณที่ช่วยมิให้แข็งตายจากหิมะ เขาพร้อมที่จะสังหารอีกฝ่ายตามคำของหงเซียนผู้เป็นเจ้าสำนักทันที

ไป๋หลันฮวามองตามเด็กหนุ่มด้วยแววตาหม่นหมอง และรู้สึกเสียใจมิน้อยที่คิดอะไรง่ายเกินไป หากนางจะเปลี่ยนใจเด็กหนุ่มให้เข้าข้างนางคงยากเสียแล้ว มือเรียวค่อยๆตักข้าวต้มเข้าปากด้วยความหิว ตอนนี้นางคงต้องทานเข้าไปเยอะๆ จะได้มีแรงมีกำลังที่จะทำอะไรหลายๆอย่างภายในสำนักนี้ต่อไป

ณ…เรือนจันทร์หอม ทางด้านทิศใต้ของหุบเขาเลือนเร้น หงอี้ฝานค่อยๆปล่อยผีเสื้อสีน้ำเงินเรืองแสงที่สร้างจากปราณมารสายฟ้า ออกจากมือไปเรื่อยๆ ผีเสื้อเหล่านั้นต่างบินไปยังเรือนพักของไป๋หลันฮวา เพื่อทดสอบบางอย่างที่หงอี้ฝานสงสัย ใบหน้าเรียวงามพยักหน้าสองสามที่ราวกับรับรู้อันใดบางอย่าง ก่อนจะเผยเปลือกตาขึ้น ปรากฏนัยตาสีแดงฉานดุจโลหิตที่แสนทรงเสน่ห์และเย้ายวนหากมีชายใดสบเข้าแล้วล่ะก็ คงหลงเสน่ห์ดรุณีน้อยจนมิคิดจะทำอันใด และเฝ้าเพ้อหาแต่นางเป็นแน่ นัยตาสีแดงดุจโลหิตค่อยๆหายไป แปรเปลี่ยนเป็นนัยตาสีรัตติกาลดังเดิม พลางว่า

“ เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆด้วย กลิ่นอายนั้นมิผิด “

“ เรื่องอันใดกันที่ทำให้เด็กน้อยของแม่ถึงกับสร้างผีเสื้อจากปราณมารเช่นนี้ “ หงเซียนที่พึ่งเดินเข้ามาก็พบว่าบุตรสาวกำลังปล่อยผีเสื้อสีน้ำเงินเรือนแสง จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ ข้าแค่สงสัยเจ้าค่ะ “ หงอี้ฝานเอ่ยตอบเสียงเรียบ ก่อนจะรินชาลงถ้วยให้ผู้เป็นมารดา “ ท่านแม่เจ้าคะ สตรีที่ข้าและอาเหวินพากลับมาจากป่าแดนว้าง ข้าสงสัยเรื่องพลังในกายของนางจึงตรวจสอบดูเจ้าค่ะ “

“ ผลเป็นเช่นไร “ ถามขณะยกชาขึ้นจิบ

“ นางมีพลังปราณแสงพิสุทธิ์เช่นเดียวกันกับอาจารย์จิ้นฝู แต่มิมีพลังปราณพิรุณธารา “ หงอี้ฝานเอ่ยตอบเสียงราบเรียบเจือความยินดีเล็กน้อย

“ ช่างน่ายินดีนัก จิ้นฝูหาศิษย์มานานครานี้จะมีศิษย์กับเขาเสียที เด็กน้อยของแม่นอนได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะไปบอกจิ้นฝูเสียหน่อย “ หงเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีพลางก้าวฉับๆออกจากเรือนเยว่ฟางอย่างรวดเร็ว

“ แค่บอกจริงรึเจ้าคะท่านแม่ “ หงอี้ฝานเอ่ยแซวเสียงดัง กระนั้นก็สังเกตได้ว่ามารดาตนกำลังขัดเขิน คล้อยหลังมารดาไปแล้วหงอี้ฝานเผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมากล่าวกับลูกแมวสายฟ้าเสียงมิดังเท่าใดนัก “ ผู้กล้าเอ๋ยนี้คือบทลงโทษที่เจ้าบังอาจสังหารข้า “

หากเด็กสาวที่มีจิตวิญญาณภายในเป็นผู้กล้า กราบอาจารย์จิ้นฝูเป็นศิษย์ได้สำเร็จ สิ่งที่ตามมาคือการฝึกสุดโหด โหดอย่างไรนั้นนางก็มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ก็มีกรณีตัวอย่าง เช่น หนานกงหลิวเหวิน ผู้มีพลังปราณพิรุณธารา เนื่องจากอาจารย์เตียช่าง มิมีพลังปราณพิรุณธารา อาจารย์จิ้นฝูจำต้องฝึกฝนให้แต่มิได้รับเป็นศิษย์ เพราะหนานกงหลิวเหวินกราบอาจารย์เตียช่างเป็นศิษย์เสียก่อน การฝึกครานั้นหงอี้ฝานผู้ที่ว่างเว้นจากการเก็บสมุนไพรและการคุยกับเหล่าสรรพสัตว์ จึงแอบไปดูการฝึกพลังปราณพิรุณธารา หากหนานกงหลิวเหวินฝึกมิก้าวหน้า อาจารย์จิ้นฝูก็จะให้ฝึกอยู่เช่นนั้นหลายชั่วยามมิได้พัก หรืออาจจะฝึกข้ามวันข้ามคืนก็เป็นได้ หากงีบหรือแอบหลับจะถูกอาจารย์จิ้นฝูใช้พลังยุทธจู่โจมโดยมิทันได้ตั้งตัว

นึกแล้วนางก็สุขใจยิ่งนัก มือเรียวขาวดุจหยกมันแพะเพียงสะบัดเล็กน้อย ผีเสื้อสีน้ำเงินเรืองแสงก็สลายไปชั่วพริบตา ร่างแบบบางนั่งขัดสมาธิเพื่อเดินพลังยุทธและพลังปราณพร้อมๆกัน

.

.

.

บุรุษอาภรณ์ดำค่อยๆถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ประดุจเทพแห่งสงครามที่กำศึกมานาน ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เขาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ดำเป็นอาภรณ์น้ำเงินเข้มปักดิ่นเงินลายคลื่นธารา นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้วที่เขามาเกิดเป็นบุตรชายตระกูลซ่ง นามของเขาคือ ‘ ซ่งเฟิ่นหลง ‘ นายน้อยแห่งพรรคสุริยันจันทรา เมื่อหลายวันก่อนเขาไปท่องเที่ยวยังแคว้นโจวและอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ จึงสมัครเป็นทหารรับจ้างในตลาดมืดและได้งานมาอย่างสดๆร้อนๆ นั่นคือ ตามล่าหรือจับเป็นสตรีผู้หนึ่งแห่งหอคณิกาโคมแดง

แต่เขาก็ดันพลาดยามที่ถึงชายแดนระหว่างแดนทิพย์พยัคย์และแดนศรเหมันต์ นับว่าสตรีนางนี้ฉลาดมิใช่น้อย กระนั้นเขาก็มิได้สนใจหรือคิดจะตามหานางอีก ตัดสินใจกลับพรรคสุริยันจันทราโดยพลัน สิ่งที่เขาต้องตามหาคือ ‘ ท่านจอมมาร ‘ ที่เขายอมตายเพราะต้องการพบจอมมารและอยู่เคียงข้างอีกครั้ง นับตั้งแต่อายุห้าขวบปีจนย่างเข้าสิบแปดหนาว ก็จับสัมผัสได้ว่าจอมมารถือกำเนิดบนโลกใหม่แห่งนี้ แต่เขาก็ตามหามิเจอ ราวกับมีบางสิ่งขวางกั้นเอาไว้

“ ท่านอยู่ที่ใดกัน “ ซ่งเฟิ่นหลงกำมือแน่นก่อนจะคลายมือเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครก้าวเข้ามายังเรือนพักของเขา “ มีธุระอันใดจี่ลี่ “

สตรีนามจี่ลี่ผู้สวมใส่อาภรณ์แหวกช่วงบนให้เผยอกเล็กน้อย แลดูเย้ายวนใบหน้างามงอง่ำด้วยความมิพอใจบุรุษที่ตนหลงรักเอ่ยเช่นนี้ “ พี่เฟิ่น ท่านประมุขให้ตามไปพบที่ศาลาริมสระบัวทางตะวันออกของพรรคเจ้าค่ะ “

“ เข้าใจแล้วข้าจะไปเดี๋ยวนี้ “ เอ่ยจบร่างสูงเตรียมจะก้าวเดิน แต่จำต้องชะงักฝีเท้ามือหนายกขึ้นแกะมือสตรีที่มาเกาะแขนตนออกพลางก้าวเดินต่อ คล้อยหลังซ่งเฟิ่นหลงไปแล้วหญิงสาวนามจี่ลี่มีท่าทีหงุดหงิดเหลือคณา นางเดินกระทืบเท้าด้วยท่าทีมิพอใจก้าวเดินไปอีกด้าน

ซ่งเฟิ่นหลงก้าวเดินมายังศาลาริมสระบัวก็พบผู้เป็นบิดานั่งจิบชารออยู่ก่อนแล้ว “ เป็นเช่นไรบ้างกับการไปท้องเที่ยวแดนอื่นๆ “

“ ก็ดีขอรับ “ เขาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะเข้ามานั่งบนโต๊หินอ่อนภายในศาลา

“ เจ้ามิควรปล่อยให้คู่หมั้นเดียวดายเช่นนี้ “ ผู้เป็นบิดาเอ่ยเสียงครึม

“ ท่านพ่อท่านรู้ดีว่าข้าเป็นเช่นไร หากถึงคราวแตกหักระหว่างท่านและสหายมันก็มิเกี่ยวกับข้า เพราะพวกท่านทั้งสองเป็นฝ่ายทำการหมั้นหมายโดยมิสนใจว่าข้าจะรู้สึกอันใดหรือไม่ หากท่านพ่อเรียกข้ามาติเตือนด้วยเรื่องแค่นี้ข้าขอตัว “ ซ่งเฟิ่นหลงเอ่ยประโยคหยืดยาวก่อนจะใช้วิชาตัวเบาจากไป ผู้เป็นบิดามองตามหลังบุตรชายด้วยแววตารู้สึกผิด

เขานั่นรู้ดีว่าบุตรมิได้สนใจอิสตรีใดเป็นพิเศษ เขากลัวว่าบุตรชายจะนิยมตัดแขนเสื้อ จึงทำการหมั้นมิได้บอกกล่าวใดๆ และเขาก็รู้ดีว่าการเดินทางไปท่องเที่ยวของบุตรชาย มิใช่การท่องเที่ยวแต่อย่างใด เขารับรู้ว่าบุตรชายกำลังตามหาบางสิ่ง บางสิ่งที่เขามิอาจทราบได้ว่าคืออะไร แม้จะหลอกถามบ่อยครั้งก็มิได้คำตอบ ประมุขพรรคสุริยันจันทราได้แต่ถอดถอนใจ หรือจะยุติการหมั้นหมายนี้ดี?

สิ่งที่หงอี้ฝานคาดไว้มิมีผิดเพี้ยนไปจากเดิมเท่าใดนัก ผู้กล้ากราบรองเจ้าสำนักหรือาจารย์จิ้นฝูเป็นอาจารย์ และการฝึกอันแสนหฤโหดก็ได้เริ่มขึ้น จะมิโหดได้อย่างไรอิสตรีนางนี้ที่หงอี้ฝานพึ่งจะรู้ว่านางนาม ไป๋หลันฮวา มิเคยฝึกพลังยุทธทำเพียงเดินลมปราณเท่านั้น และด้วยวัยจำต้องเร่งพัฒนาฝีมือให้ได้โดยเร็ว ไป๋หลันฮวาจำต้องฝึกแต่เช้าตรู่แทบจะทุกวันได้พักเพียงช่วงรับประทานอาหารเท่านั้น ส่วนหงอี้ฝานมิได้ไปดูนางฝึกบรือเนื่องจากมีสิ่งที่ต้องทำ หากนางอยากจะเพิ่มระดับพลังยุทธก็สามารถเพิ่มได้โดยมิต้องฝึกฝนหากคิดจะเพิ่มพยังยุทธก็จะเพิ่มขึ้นเอง หงอี้ฝานจึงมุ่งเน้นพัฒนาฝีมือการแพทย์และการปรุงยามากกว่า ระดับพลังยุทธมิได้สำคัญแต่ฝีมือการต่อสู้และเทคนิคนั้นสำคัญกว่า

หงอี้ฝานกระทำเช่นเดิมแทบทุกวัน ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเก็บสมุนไพรมาปรุงยา เอ่ยคุยเล่นกับเหล่าสรรพสัตว์ในป่าแดนว้าง ขณะนั่งริมฝั่งหย่อนเท้าลงน้ำก็สบเข้ากับบุรุษร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลสาบ มัดกล้ามพร้อมด้วยผิวสีน้ำผึ้งที่บ่งบอกว่าสุขภาพดีนั้นทำให้นางจ้องมองเขาอยู่นานมิน้อย ราวกับบุรุษผู้นั้นรับรู้ว่านางมองอยู่จึงหันกายมาทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ตรงมาหยุดยืนบนฝั่งในบริเวณที่นางนั่งอยู่ หงอี้ฝานยังมิทันได้ลุกขึ้นยืนบุรุษผู้นั้นก็คุกเข่าลงท่าอัศวิน

" ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านอีกครั้ง ท่านจอมมาร " นางแปลกใจเล็กน้อยที่บุรุษเปลือยกายท่อนบนเอ่ยเช่นนี้กับนาง เขารู้ได้อย่างไรว่านางเป็นจอมมาร หรือเขาจะเป็นปีศาจที่ตายแล้วมาเกิดใหม่บนโลกนี้เช่นเดียวกัน แต่ก็มิมีสิ่งใดมายืนยันให้แน่ชัดเพราะนางมิได้กลิ่นอายของธาตุรัตติกาลจากบุรุษผู้นี้

" เจ้าเป็นใครรึ แล้วใครกันที่เป็นจอมมาร " เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉงนสงสัย ซ่งเฟิ่นหลงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกจุกจึงเอ่ยมิออก เหตุใดท่านจอมมารจึงจำเขามิได้ ทั้งๆที่กลิ่นอายแห่งรัตติกาลรุนแรงถึงเพียงนี้ จำต้องเอ่ยแกล้งสถานการณ์

" ต้องขออภัยด้วยแม่นางข้าจำคนผิด " ว่าจบก็ดันกายลุกขึ้นยืน ทะยานด้วยวิชาตัวเบาจากไป แม้จะได้พบกันอีกครั้งและท่านจอมมารถือกำเนิดในร่างสตรี ทำให้เขารู้สึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน เพราะท่านจอมมารจำเขามิได้ บางทีพระเจ้าอาจจะลบความทรงจำของท่านจอมมารไปแล้ว แต่คราวนี้ท่านจอมมารเป็นอิสตรี ซึ่งเขาสามารถที่จะเป็นสามีของจอมมารได้โดยไร้ซึ่งคำครหาหรือคำโต้แย้งใดๆ ครานี้แหละข้าจะต้องเป็นสามีของท่านให้ได้จอมมารของข้า

-----------------------<จบตอนที่ 5 พบกันอีกครั้ง>--------------------

ในที่สุดก็รู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าบุรุษสวมหน้ากากเป็นใคร

ตอนหน้าผู้กล้าจะรู้แล้วนะว่าน้องฝานเป็นใคร

ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วลงไม่ค่อยบ่อยนะจ๊ะ

แล้วพบกันใหม่จร้าาาาา

มัจฉานุ❤❤❤

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา