หงอี้ฝาน จอมมารข้ามภพ
8.0
เขียนโดย Mepale
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.47 น.
6 บท
0 วิจารณ์
8,176 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) 01 บทนอก เรื่องราวของสกุลหง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ01 บทนอก เรื่องราวของสกุลหง
......................................
ว่าด้วยเรื่องสกุลหง นอกจากจะเป็นเจ้าของสำนักหุบเขาเลือนเร้นแล้ว สกุลหงเป็นสกุลของราชวงศ์ผู้ปกครองแคว้นฉีในดินแดนหมื่นทิวานับตั้งแต่อดีตกาลถึงปัจจุบัน ฮ่องเต้แคว้นฉีนั้นจะอภิเษกสมรสและมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ทำให้อำนาจทุกอย่างตกมาอยู่ในมือของฮ่องเต้ มิได้กระจายอำนาจเผื่อแผ่ขุนนาง ราชวงศ์จึงมั่นคงกว่าแคว้นอื่นที่ฮ่องเต้รับสนมเข้าวัง มิได้วุ่นวายหรือคอยแกร่งแย่งอำนาจ
หากมีบุตรธิดาก็จะส่งไปที่สำนักหุบเขาเลือนเร้นเพื่อเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป โดยมีสกุลจิ้นเป็นคู่สมรสและอยู่ในฐานะรองเจ้าสำนัก คอยทำหน้าที่ดูแลบุตรธิดา แต่หากรุ่นใดมีโอรสสองพระองค์พร้อมด้วยธิดาอีกหนึ่ง นั่นหมายความว่า โอรสองค์เล็กจะต้องไปเป็นเจ้าสำนักในอนาคต ส่วนเรื่องคู่ครองก็ให้ผู้เป็นโอรสเป็นคนตัดสินใจ
ส่วนธิดาจะอยู่ในฐานะรองเจ้าสำนักและสมรสกับบุตรชายสกุลจิ้นตามเดิม แคว้นฉีอันเกรียงไกรนั้นผู้คนหรือแม้กระทั้งฮ่องเต้แต่ล่ะแคว้นล้วนเกรงใจอยู่หลายส่วน เนื่องด้วยราชวงศ์หงมีความสามารถหลากหลายด้าน นอกจากกำลังทหารและกองทัพอันเข้มแข็งแล้ว ยังมีด้านวิทยาการทางการแพทย์ที่ล้ำหน้ากว่าแคว้นอื่นใด มีผู้คนมากมายต่างอยากร่ำเรียนแต่น้อยนักที่แคว้นฉีจะรับผู้อื่นมาฝึกสอน
มาจะกล่าวบทไปถึงเรื่องๆหนึ่ง ว่าด้วยสกุลหงในรุ่นปัจจุบัน ฮองเฮาทรงพระครรภ์บุตรถึงเจ็ดครั้งด้วยกัน ครรภ์แรกทรงคลอดออกมาเป็นบุตรชายนาม หงฮุ่ยเจิน (ทรัพย์แห่งปัญญา) ครรภ์ที่สองเป็นบุตรชายเช่นกันนาม หงมี่จือ (บุรุษผู้ลึกลับ) ครรถ์ที่สาม สี่ และห้าล้วนแล้วแต่เป็นบุตรสาว นาม หงหลวนเหยา หงเจี๋ยจี หงเซียน ตามลำดับ ครรภ์ที่หกบุตรชายนาม หงเทียนฉิน ครรภ์สุดท้ายคือ หงจิ่นลี่ (พลังอำนาจอันแข็งแกร่ง)
บุตรคนสุดท้ายหรือคนที่เจ็ดในองค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีนั้น มิค่อยอยู่กับล่องกับรอยเท่าใดนัก ตำแหน่งเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้นจึงตกเป็นของหงเซียนไปโดยปริยาย หากจะถามถึงบัลลังก์คนมิแค้วตกเป็นของ หงฮุ่ยเจินผู้เป็นพี่ชายคนโต หงจิ่นลี่ในคราที่สำเร็จวิชามีพลังยุทธแกร่งกล้าแล้ว ก็ออกเดินทางจากสำนักหุบเขาเลือนเร้น ท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินปฐพีลืมเลือน ขณะเดินทางกลับแคว้นฉี จำต้องผ่านแคว้นโจวจึงเที่ยวในแคว้นนี้สักระยะ
ระหว่างเดินตลาดหงจิ่นลี่ก็สบเข้ากับดรุณีน้อยนางหนึ่ง นางผู้มีใบหน้างดงามเหนืออิสตรีทั้งปวงแม้แพรพรรณจะปกปิดใบหน้างาม ไว้กึ่งหนึ่งแต่ดวงตาใสกระจ่างเป็นประกายฉายแววแห่งความสุข ตลอดเวลา ทำให้หงจิ่นลี่ที่มิเคยเหลือบแลสตรีมองนางอยู่นาน ซึ่งเขามาทราบภายหลังว่านางมีนามว่า ' จวินเหมยฟาง '
หงจิ่นลี่มิเพียงสนใจใบหน้างาม แต่เขาอยากรู้จักทุกอย่างที่เป็นนางให้มากขึ้น จึงอยู่คอยเฝ้าสังเกตและหาทางใกล้ชิดหญิงสาวอยู่เป็นแรมเดือนแรมปี กระทั่งหญิงสาวเริ่มมีใจให้เขา เช่นเดียวกับเขาที่มีใจให้นาง ทั้งสองเปลี่ยนจากความรักที่หอมหวานเป็นความรักที่วูบวาบเร้าร้อนและลึกซึ้งไปในที่สุด หงจิ่นลี่ตัดสินเดินทางกลับแคว้นฉีเพื่อจัดขบวนสินสอดทองหมั้น มาตบแต่งจวินเหมยฟาง กระทั่งผ่านไปได้สองเดือน อาการแพ้ท้องของจวินเหมยฟางก็เริ่มขึ้น บิดาผู้เป็นแม่ทัพทราบเข้าโกรธบุตรสาวมิใช่น้อย ถามบุตรสาวก็มิตอบว่าผู้ใดกระทำ ก็ได้แต่อ่อนใจ ขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้เนื่องด้วยตนสร้างผลงานทางชายที่ติดกับดินแดนอื่นมาช้านาน
จวินเหมยฟางมิอยากตบแต่งกับเสนาบดีจวินเหมยฟางมิอยากตบแต่งกับเสนาบดีฝ่ายขวา สกุลหลิงเท่าใดนัก เพราะนางมิได้รักเสนาบดีผู้นี้ กระนั้นนางก็ได้แต่จำยอมเนื่องด้วยเป็นสมรสพระราชทาน หลังตบแต่งเป็นฮูหยินใหญ่สกุลหลิงแล้ว เสนาบดีผู้นั้นกับนางก็มีสัมพันธ์เพียงคืนเข้าหอ จากนั้นก็มิมีอีกเลย ทำให้การตั้งครรภ์ของนางมิได้เป็นที่สงสัยของผู้ใดในจวน
ทางด้านหงจิ่นลี่เมื่อทราบข่าวว่าสตรีที่ตนรักแต่งให้กับผู้อื่นไปแล้ว เขาก็มิอาจทำอันใดได้ เขาทำได้เพียงกังวลเนื่องด้วยเขามิเพียงมีพลังยุทธ แต่เขาเชี่ยวชาญวิชาแพทย์พอๆกับหงเซียนผู้เป็นพี่สาว จึงรับรู้ก่อนจากมาว่าสตรีในดวงใจกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งเด็กในท้องคงมิแค้วว่าเป็นบุตรของตน หงจิ่นลี่ตัดสินใจเดินทางกลับ สำนักหุบเขาเลือนเร้นเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับหงเซียนผู้เป็นพี่สาว
" ข้าควรทำเช่นไรดี " ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและกังวลใจ หงเซียนกอบกุมมือผู้เป็นน้องชายพลางว่า
" เจ้ายังเด็กนักลี่ลี่ นางตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็มิอาจแย่งชิงนางกลับมาได้ ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆเท่านั้น " หงเซียนมองผู้เป็นน้องชายด้วยแววตาปลอบโยน นางมิอยากเอ่ยอันใดรุนแรงกับน้องเล็กผู้นี้ การให้กำลังใจและคลายความกังวลจะดีที่สุดสำหรับตอนนี้
ผ่านพ้นสิบเดือนเด็กน้อยนามหลิงซีหลินก็ถือกำเนิด เนื่องด้วยจิตวิญญาณเป็นจอมมารมาก่อน พร้อมด้วยปราณพิเศษทั้งสองที่ติดกายมา ทำให้ร่างกายของจวินเหมยฟางอ่อนแอ ยามที่เด็กน้อยนามหลิงซีหลินได้สี่ขวบย่างเข้าห้าขวบ มารดาก็สิ้นใจอย่างสงบ หงจิ่นลี่ในยามนั้นทุกข์ใจมิใช่น้อยเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของหญิงคนรัก จึงเร้นกายเก็บตัวในแดนว้างมิพบผู้ใดนับแต่นั้นมา
........
(หงเซียน)
ยามที่ข้าเก็บสมุนไพรเสร็จสรรพ ก็ออกมาจากพุ่มไม้ นัยตาสบเข้ากับเด็กน้อยวัยห้าขวบปี เด็กน้อยมีใบหน้าคล้ายน้องเล็กของนางเจ็ดส่วน ข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่าน้องเล็กงามยิ่งกว่าอิสตรีเสียอีก อีกสามส่วนคล้ายใครอีกคน หากข้าคิดมิผิดเด็กคนนี้อาจจะเป็นบุตรของน้องเล็ก ข้าแย้มยิ้มให้เด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่เด็กน้อยกับมองมาด้วยแววตาระแวง อายุเท่านี้ก็รู้จักระแวงแล้วรึ
"เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร ไฉนจึงอยู่เพียงลำพัง" ข้าเอื้อนเอ่ยถามออกไป เด็กน้อยยังคงมองมาด้วยแววตาระแวงเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยตอบข้าด้วยน่ำเสียงราบเรียบ
"ข้าถูกปล่อยป่า" ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ข้าจึงแย้มยิ้มให้เด็กน้อยผู้นี้ด้วยแววตาสงสารละคนเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
"เด็กน้อย เจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่" เอ่ยอย่างใจดีกับเด็กน้อย แต่คำตอบที่ข้าได้รับมาแทยอยากจับเด็กน้อยมาอบรมยิ่งนัก
"ไม่!" เด็กน้อยเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะเอ่ยอย่างหวาดระแวงต่อ "สตรีนั้นมากเล่ห์เพทุบาย ข้ามิไว้ใจ"
ข้าส่ายหัวให้กับความเชื่อผิดๆของเด็กน้อย พลางส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ พร้อมด้วยหาทางหรือหาคำพูดให้เด็กน้อยกลับไปด้วย "งั้นให้ข้าทำอย่างไร เด็กน้อยเช่นเจ้าจะไปกับข้า"
"ทำอย่างไรข้าก็ไม่ไป" เด็กน้อยยังคงปฏิเสธพร้อมๆกับกอดอกเชิดหน้า ทำท่าทางเช่นนี้น่ารักเสียจริง ข้ามองด้วยแววตาเอ็นดูขบขันเด็กน้อยคนนี้
"ข้าชอบเจ้า เด็กน้อยสนใจเป็นบุตรสาวข้าหรือไม่"
คราแรกเด็กน้อยคิดจะปฏิเสธ เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตกลง นับแต่นั้นมาข้าก็รับนางเป็นศิษย์พร้อมๆกับมอบชื่อใหม่ เพราะข้ารู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นสายเลือดของคนสกุลหง นามใหม่ของนางนามว่า 'หงอี้ฝาน'
---------<จบตอนที่ 1 บทนอก>-----------
แม้จะเป็นบทนอกก็เกี่ยวเนื้อเรื่องหลักนะคะ ทุกคนคงรู้แล้วเนาะว่าน้องฝานของเราแท้จริงเป็นลูกใคร ซึ่งน้องเราจะรู้อีกทีในอนาคตจร้า
บทนอกจะมาตอนที่ไรท์คิดเนื้อเรื่องหลักไม่จบนะคะ
ช่วงนี้ไรท์จะสอบแล้ว การอัพจึงน้อยหรือช้าต้องขออภัยคนอ่านจร้า
แล้วพบกันใหม่
มัจฉานุ ❤❤❤
......................................
ว่าด้วยเรื่องสกุลหง นอกจากจะเป็นเจ้าของสำนักหุบเขาเลือนเร้นแล้ว สกุลหงเป็นสกุลของราชวงศ์ผู้ปกครองแคว้นฉีในดินแดนหมื่นทิวานับตั้งแต่อดีตกาลถึงปัจจุบัน ฮ่องเต้แคว้นฉีนั้นจะอภิเษกสมรสและมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ทำให้อำนาจทุกอย่างตกมาอยู่ในมือของฮ่องเต้ มิได้กระจายอำนาจเผื่อแผ่ขุนนาง ราชวงศ์จึงมั่นคงกว่าแคว้นอื่นที่ฮ่องเต้รับสนมเข้าวัง มิได้วุ่นวายหรือคอยแกร่งแย่งอำนาจ
หากมีบุตรธิดาก็จะส่งไปที่สำนักหุบเขาเลือนเร้นเพื่อเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป โดยมีสกุลจิ้นเป็นคู่สมรสและอยู่ในฐานะรองเจ้าสำนัก คอยทำหน้าที่ดูแลบุตรธิดา แต่หากรุ่นใดมีโอรสสองพระองค์พร้อมด้วยธิดาอีกหนึ่ง นั่นหมายความว่า โอรสองค์เล็กจะต้องไปเป็นเจ้าสำนักในอนาคต ส่วนเรื่องคู่ครองก็ให้ผู้เป็นโอรสเป็นคนตัดสินใจ
ส่วนธิดาจะอยู่ในฐานะรองเจ้าสำนักและสมรสกับบุตรชายสกุลจิ้นตามเดิม แคว้นฉีอันเกรียงไกรนั้นผู้คนหรือแม้กระทั้งฮ่องเต้แต่ล่ะแคว้นล้วนเกรงใจอยู่หลายส่วน เนื่องด้วยราชวงศ์หงมีความสามารถหลากหลายด้าน นอกจากกำลังทหารและกองทัพอันเข้มแข็งแล้ว ยังมีด้านวิทยาการทางการแพทย์ที่ล้ำหน้ากว่าแคว้นอื่นใด มีผู้คนมากมายต่างอยากร่ำเรียนแต่น้อยนักที่แคว้นฉีจะรับผู้อื่นมาฝึกสอน
มาจะกล่าวบทไปถึงเรื่องๆหนึ่ง ว่าด้วยสกุลหงในรุ่นปัจจุบัน ฮองเฮาทรงพระครรภ์บุตรถึงเจ็ดครั้งด้วยกัน ครรภ์แรกทรงคลอดออกมาเป็นบุตรชายนาม หงฮุ่ยเจิน (ทรัพย์แห่งปัญญา) ครรภ์ที่สองเป็นบุตรชายเช่นกันนาม หงมี่จือ (บุรุษผู้ลึกลับ) ครรถ์ที่สาม สี่ และห้าล้วนแล้วแต่เป็นบุตรสาว นาม หงหลวนเหยา หงเจี๋ยจี หงเซียน ตามลำดับ ครรภ์ที่หกบุตรชายนาม หงเทียนฉิน ครรภ์สุดท้ายคือ หงจิ่นลี่ (พลังอำนาจอันแข็งแกร่ง)
บุตรคนสุดท้ายหรือคนที่เจ็ดในองค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีนั้น มิค่อยอยู่กับล่องกับรอยเท่าใดนัก ตำแหน่งเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้นจึงตกเป็นของหงเซียนไปโดยปริยาย หากจะถามถึงบัลลังก์คนมิแค้วตกเป็นของ หงฮุ่ยเจินผู้เป็นพี่ชายคนโต หงจิ่นลี่ในคราที่สำเร็จวิชามีพลังยุทธแกร่งกล้าแล้ว ก็ออกเดินทางจากสำนักหุบเขาเลือนเร้น ท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินปฐพีลืมเลือน ขณะเดินทางกลับแคว้นฉี จำต้องผ่านแคว้นโจวจึงเที่ยวในแคว้นนี้สักระยะ
ระหว่างเดินตลาดหงจิ่นลี่ก็สบเข้ากับดรุณีน้อยนางหนึ่ง นางผู้มีใบหน้างดงามเหนืออิสตรีทั้งปวงแม้แพรพรรณจะปกปิดใบหน้างาม ไว้กึ่งหนึ่งแต่ดวงตาใสกระจ่างเป็นประกายฉายแววแห่งความสุข ตลอดเวลา ทำให้หงจิ่นลี่ที่มิเคยเหลือบแลสตรีมองนางอยู่นาน ซึ่งเขามาทราบภายหลังว่านางมีนามว่า ' จวินเหมยฟาง '
หงจิ่นลี่มิเพียงสนใจใบหน้างาม แต่เขาอยากรู้จักทุกอย่างที่เป็นนางให้มากขึ้น จึงอยู่คอยเฝ้าสังเกตและหาทางใกล้ชิดหญิงสาวอยู่เป็นแรมเดือนแรมปี กระทั่งหญิงสาวเริ่มมีใจให้เขา เช่นเดียวกับเขาที่มีใจให้นาง ทั้งสองเปลี่ยนจากความรักที่หอมหวานเป็นความรักที่วูบวาบเร้าร้อนและลึกซึ้งไปในที่สุด หงจิ่นลี่ตัดสินเดินทางกลับแคว้นฉีเพื่อจัดขบวนสินสอดทองหมั้น มาตบแต่งจวินเหมยฟาง กระทั่งผ่านไปได้สองเดือน อาการแพ้ท้องของจวินเหมยฟางก็เริ่มขึ้น บิดาผู้เป็นแม่ทัพทราบเข้าโกรธบุตรสาวมิใช่น้อย ถามบุตรสาวก็มิตอบว่าผู้ใดกระทำ ก็ได้แต่อ่อนใจ ขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้เนื่องด้วยตนสร้างผลงานทางชายที่ติดกับดินแดนอื่นมาช้านาน
จวินเหมยฟางมิอยากตบแต่งกับเสนาบดีจวินเหมยฟางมิอยากตบแต่งกับเสนาบดีฝ่ายขวา สกุลหลิงเท่าใดนัก เพราะนางมิได้รักเสนาบดีผู้นี้ กระนั้นนางก็ได้แต่จำยอมเนื่องด้วยเป็นสมรสพระราชทาน หลังตบแต่งเป็นฮูหยินใหญ่สกุลหลิงแล้ว เสนาบดีผู้นั้นกับนางก็มีสัมพันธ์เพียงคืนเข้าหอ จากนั้นก็มิมีอีกเลย ทำให้การตั้งครรภ์ของนางมิได้เป็นที่สงสัยของผู้ใดในจวน
ทางด้านหงจิ่นลี่เมื่อทราบข่าวว่าสตรีที่ตนรักแต่งให้กับผู้อื่นไปแล้ว เขาก็มิอาจทำอันใดได้ เขาทำได้เพียงกังวลเนื่องด้วยเขามิเพียงมีพลังยุทธ แต่เขาเชี่ยวชาญวิชาแพทย์พอๆกับหงเซียนผู้เป็นพี่สาว จึงรับรู้ก่อนจากมาว่าสตรีในดวงใจกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งเด็กในท้องคงมิแค้วว่าเป็นบุตรของตน หงจิ่นลี่ตัดสินใจเดินทางกลับ สำนักหุบเขาเลือนเร้นเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับหงเซียนผู้เป็นพี่สาว
" ข้าควรทำเช่นไรดี " ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและกังวลใจ หงเซียนกอบกุมมือผู้เป็นน้องชายพลางว่า
" เจ้ายังเด็กนักลี่ลี่ นางตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็มิอาจแย่งชิงนางกลับมาได้ ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆเท่านั้น " หงเซียนมองผู้เป็นน้องชายด้วยแววตาปลอบโยน นางมิอยากเอ่ยอันใดรุนแรงกับน้องเล็กผู้นี้ การให้กำลังใจและคลายความกังวลจะดีที่สุดสำหรับตอนนี้
ผ่านพ้นสิบเดือนเด็กน้อยนามหลิงซีหลินก็ถือกำเนิด เนื่องด้วยจิตวิญญาณเป็นจอมมารมาก่อน พร้อมด้วยปราณพิเศษทั้งสองที่ติดกายมา ทำให้ร่างกายของจวินเหมยฟางอ่อนแอ ยามที่เด็กน้อยนามหลิงซีหลินได้สี่ขวบย่างเข้าห้าขวบ มารดาก็สิ้นใจอย่างสงบ หงจิ่นลี่ในยามนั้นทุกข์ใจมิใช่น้อยเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของหญิงคนรัก จึงเร้นกายเก็บตัวในแดนว้างมิพบผู้ใดนับแต่นั้นมา
........
(หงเซียน)
ยามที่ข้าเก็บสมุนไพรเสร็จสรรพ ก็ออกมาจากพุ่มไม้ นัยตาสบเข้ากับเด็กน้อยวัยห้าขวบปี เด็กน้อยมีใบหน้าคล้ายน้องเล็กของนางเจ็ดส่วน ข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่าน้องเล็กงามยิ่งกว่าอิสตรีเสียอีก อีกสามส่วนคล้ายใครอีกคน หากข้าคิดมิผิดเด็กคนนี้อาจจะเป็นบุตรของน้องเล็ก ข้าแย้มยิ้มให้เด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่เด็กน้อยกับมองมาด้วยแววตาระแวง อายุเท่านี้ก็รู้จักระแวงแล้วรึ
"เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร ไฉนจึงอยู่เพียงลำพัง" ข้าเอื้อนเอ่ยถามออกไป เด็กน้อยยังคงมองมาด้วยแววตาระแวงเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยตอบข้าด้วยน่ำเสียงราบเรียบ
"ข้าถูกปล่อยป่า" ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ข้าจึงแย้มยิ้มให้เด็กน้อยผู้นี้ด้วยแววตาสงสารละคนเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
"เด็กน้อย เจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่" เอ่ยอย่างใจดีกับเด็กน้อย แต่คำตอบที่ข้าได้รับมาแทยอยากจับเด็กน้อยมาอบรมยิ่งนัก
"ไม่!" เด็กน้อยเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะเอ่ยอย่างหวาดระแวงต่อ "สตรีนั้นมากเล่ห์เพทุบาย ข้ามิไว้ใจ"
ข้าส่ายหัวให้กับความเชื่อผิดๆของเด็กน้อย พลางส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ พร้อมด้วยหาทางหรือหาคำพูดให้เด็กน้อยกลับไปด้วย "งั้นให้ข้าทำอย่างไร เด็กน้อยเช่นเจ้าจะไปกับข้า"
"ทำอย่างไรข้าก็ไม่ไป" เด็กน้อยยังคงปฏิเสธพร้อมๆกับกอดอกเชิดหน้า ทำท่าทางเช่นนี้น่ารักเสียจริง ข้ามองด้วยแววตาเอ็นดูขบขันเด็กน้อยคนนี้
"ข้าชอบเจ้า เด็กน้อยสนใจเป็นบุตรสาวข้าหรือไม่"
คราแรกเด็กน้อยคิดจะปฏิเสธ เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตกลง นับแต่นั้นมาข้าก็รับนางเป็นศิษย์พร้อมๆกับมอบชื่อใหม่ เพราะข้ารู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นสายเลือดของคนสกุลหง นามใหม่ของนางนามว่า 'หงอี้ฝาน'
---------<จบตอนที่ 1 บทนอก>-----------
แม้จะเป็นบทนอกก็เกี่ยวเนื้อเรื่องหลักนะคะ ทุกคนคงรู้แล้วเนาะว่าน้องฝานของเราแท้จริงเป็นลูกใคร ซึ่งน้องเราจะรู้อีกทีในอนาคตจร้า
บทนอกจะมาตอนที่ไรท์คิดเนื้อเรื่องหลักไม่จบนะคะ
ช่วงนี้ไรท์จะสอบแล้ว การอัพจึงน้อยหรือช้าต้องขออภัยคนอ่านจร้า
แล้วพบกันใหม่
มัจฉานุ ❤❤❤
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ