หงอี้ฝาน จอมมารข้ามภพ

8.0

เขียนโดย Mepale

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.47 น.

  6 บท
  0 วิจารณ์
  8,271 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) 03 เก็บได้อีกแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

03 เก็บได้อีกแล้ว

…………………..

“เจ้าเด็กผมหงอก กินซะ” ข้าวางถาดอาหารฝีมือคนในสำนักลงบนโต๊ะรับสำรับ ภายในห้องพักผู้ป่วย

“เปิ่นหวางมิได้ผมหงอก เด็กไร้มารยาทเช่นเจ้าหัดสำรวมเสียบ้าง” เจ้าเด็กผมหงอกกอดอกเชิดหน้าขึ้น อย่างถือตนทำตัวราวกับผู้ใหญ่ก็มิปาน

“แก่แดดยิ่งนัก” ว่าพลางเตรียมก้าวเท้าออกจากห้อง

“เจ้าว่าอย่างใดนะ! เด็กไร้มารยาท” หนานกงหลิวเหวินเอ่ยตะตอกเสียงดัง

“เฮ้อ….เอ่ยเบาๆมิเป็นรึไง แล้วใครกันชื่อเด็กไร้มารยาท เรียกให้ถูกด้วยเจ้าเด็กผมหงอก” ข้าถอนหายใจแรงๆใส่เจ้าเด็กนี่ ด้วยความเบื่อหน่าย

“หึ! นามมิเอ่ยแล้วเปิ่นหวางจะเรียกถูกได้อย่างไร อีกอย่างเปิ่นหวาง หนานกงหลิวเหวิน มิใช่เด็กผมหงอก” ไอ้เด็กนี่กอดอกพลางส่งรอยยิ้มกวนๆมาให้ข้า

“หงอี้ฝานคือนามของข้า จำไว้เจ้าเด็กเหวิน” ชื่อยาวเกินข้าจะเรียกเช่นนี้แหละ

“เจ้ายังคงไร้มารยาท” เอาเถิดๆ ข้ามิอยากเทลาะกับเด็กอวดภูมิสักเท่าไรนัก ฉะนั้นข้าจะยอมถอยให้แล้วกัน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเอ่ยด้วยความอยากแกล้งคน

“เจ้าคงถูกทิ้งเสียแล้วล่ะเด็กเหวิน” แสร้งทำสีหน้าหม่นหมองจะเป็นการดี อืม ข้าพยายามทำสีหน้าให้ดูเศร้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เด็กเหวินมีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“มะ…ไม่จริงใช่ไหม….” เด็กเหวินเอ่ยเสียแผ่ว ข้ายกนิ้วให้กับตนเองในใจ การหลอกล่อผู้คนในฐานะมารยังคงดีไม่เปลี่ยน แต่ข้าก็มิเคยหลอกล่อผู้ใดหรอกหนา นี่นับว่าเป็นครั้งแรก

“มันคือความจริง เจ้าโดนบิดาทิ้งเสียแล้ว ป่านนี้พี่น้องของเจ้าคงประจบประแจงบิดา จนได้ตำแหน่งว่าที่รัชทายาทไปเสียแล้วล่ะ เด็กเหวิน” ข้ายังคงเอ่ยต่อพร้อมกับลอบมองสีหน้าของเด็กเหวิน เขามีสีหน้าแข็งค้าง มิได้หมองหม่นเช่นกาลก่อน พร้อมกับจ้องมองข้าด้วยแววตาวาวโรจน์

“หงอี้งฝาน!!” เด็กเหวินตะคอกเสียงดัง

“โอ๊ะ จำชื่อข้าได้ด้วย” ข้าเอ่ยด้วยใบหน้าภูมิอกภูมิใจ แต่เด็กเหวินยังคงจ้องมองข้าด้วยสายตาราวกับจะฆ่าข้าให้ได้ อย่างไรอย่างนั้น

“เสด็จพ่อของเปิ่นหวาง มีโอรสเพียงผู้เดียว นั่นก็คือเปิ่นหวางเอง” เด็กเหวินเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ส่วนข้าน่ะรึมีแววตกใจเพียงแค่เล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ แผนแกล้งคนของข้าพังเสียแล้ว เผ่นดีกว่า

“งะ….งั้นรึ…เออถ้างั้น….เจ้าก็ทานข้าวเถอะ ขอตัว” ข้าเตรียมเผ่นแต่ก้าวเท้ามิออก อ๊ะ! แย่ล่ะสิ ข้าลืมได้อย่างไรท่านแม่หงเซียนพึ่งจะเอ่ยกับข้ามาว่า ตระกูลหนานกงผู้ปกครองแดนศรเหมันต์ มีวิชาที่เรียกว่า ‘ตรึงเงา’ วิชานี้สามารถเรียนตั้งแต่ห้าขวบปี วิชาตรึงเงาของเด็กวัยแค่นี้ชั่วพริบตาเท่านั้น หากแต่หนานกงหลิวเหวินนั้นเป็นอัจฉริยะ ดังที่ท่านแม่ได้บอกกล่าว……ซวยจริงๆ บัดซบที่สุด

“เจ้าจะไปไหนมิทราบ เปิ่นหวางคงต้องสั่งสอนเด็กไร้มารยาทและลวงหลอกเช่นเจ้าซะ จะได้มิต้องไปโกหกผู้ใดอีก” เจ้าเด็กเหวินลุกขึ้นจากเตียงเมื่อใดมิทราบ ตรงมาที่ข้าก่อนจะฟาดพลังยุทธเข้ากลางหลังข้าเต็มๆ ร่างอันแบบบางกระเด็นออกจากห้องพักผู้ป่วย อย่างมิทันได้ตั้งตัว กระแทกกับต้นไม้บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

พลัก! โครม!

ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาภายในกาย นี่ข้าประมาทอีกแล้วรึ กับผู้กล้าคราวนั้นก็ประมาท มาครานี้ข้าก็รับพลังเด็กนั่นเข้าเต็มๆ นี่ข้าต้องตายอีกแล้วใช่หรือไม่ เปลือกตาค่อยๆปิดลง ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นคือ ท่านแม่หงเซียนวิ่งเข้ามาหาข้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ข้ายังมิได้ตอบแทนต้องตายเสียแล้ว ขอโทษท่านด้วย………

หงเซียนได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทางด้านทิศตะวันตกของสำนัก จึงรีบวิ่งมานัยตาสีน้ำตาลเหลือบทองสบเข้ากับร่างเล็กที่ใกล้หมดสติเต็มประดา ก่อนจะหันไปมองอีกทางก็พบว่าเรือนพักผู้ป่วยบริเวณประตูพังมิเป็นท่า และสบเข้ากับหนานกงหลิวเหวินที่มองหงอี้ฝานด้วยแววตาเย็นชา หงเซียนเริ่มจะมองเหตุการณ์ออก หงเซียนตรงเข้าไปหาเด็กสาวก่อนจะใช้พลังยุทธ์สีทองระดับสูงร่วมกับพลังธาตุไม้ห่อหุ้มร่างเด็กสาว จิ้นฝูที่ตามมาด้วยรีบช้อนตัวเด็กสาวขึ้นอุ้มตรงไปยังเรือนรักษาทันที

หงเซียนจ้องมองเด็กชายผมขาวด้วยใบหน้าเคร่งครึมก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “หม่อมฉันคิดว่าเราต้องคุยกันสักหน่อยนะเพคะ องค์รัชทายาท”

“หากเด็กไร้มารยาทผู้นั้นมิคิดโกหกเปิ่นหวาง ก็มิโดนลงโทษเช่นนี้หรอก” กอดอกพลางเชิดหน้าราวกับคนที่เหนือกว่า

“หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายเข้าใจผิดอะไรบางอย่างรึเปล่าเพคะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมๆกับแรงกดดันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมา หนานกงหลิวเหวิน พลังยุทธยังมิสูงมากนัก จึงทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น “หากฝานเอ๋อร์เป็นอันใดขึ้นมา เพราะการกระทำอันไร้ความคิดของพระองค์ เราจะได้เห็นว่าศรเหมันต์จะไร้ซึ่งผู้สืบทอดก็ครานี้แหละเพคะ”

หงเซียนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาเข้ากระดูกดำ หนานกงหลิวเหวินกระอักเลือดออกมา เป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกหวั่นเกรงผู้อื่นที่มิใช่บิดา หงเซียนก้าวเดินจากไปเพื่อรักษาบุตรบุญธรรมอันเป็นที่รักโดยพลัน พร้อมกับสั่งการเสียงแผ่ว กับเงารับใช้ของตน “สั่งสอนศรเหมันต์เพียงเล็กน้อยเป็นพอ”

เงารับใช้เร่งจากไปทำตามคำสั่งผู้เป็นนายทันที ในใจก็นึกสงสารศรเหมันต์ยิ่งนัก แต่ก็มิมากพอกับอาการของคุณหนูยามนี้ นัยตาของเงาวาวโรจน์ด้วยโทสะ แม้จะอยากสังหารรัชทายาทผู้นั้นก็มิสามารถทำได้ จำต้องสั่งสอนศรเหมันต์แทน ‘บังอาจนักที่้กล้ากระทำเช่นนี้กับคุณหนู’

ข้าค่อยๆลืมตาขึ้นกระพริบตาสองสามครั้ง เพื่อปรับสายตาให้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ที่นี่มันห้องนอนของข้า เฮ้อ....ค่อยยังชั่วนึกว่าจะตายซะแล้ว นับว่ายังดีที่ไม่ตาย ข้าพยายามขยับกายลุกขึ้นแต่ร่างกายก็เจ็บปวดรวดร้าวจนข้ามิสามารถขยับเขยือนได้ โดนพลังเข้าเต็มๆเช่นนั้นขยับได้ข้าก็มิใช่คนแล้ว เอาล่ะครานี้ข้าจะจดชื่อเจ้าเด็กผมหงอกในบัญชีหนังหมาเอาไว้ ยามที่พบเจอมันอีกคราจะสนองให้ครบต้นครบดอก เผลอๆข้าอาจจะเพิ่มให้มันแบบพิเศษเลยก็ว่าได้

แอด!

ขณะที่ข้ากำลังจดบัญชีแค้นอยู่นั้น ท่านแม่หงเซียนก็ก้าวเข้ามาพร้อมยาภายในถ้วย เพียงได้กลิ่นก็รับรู้ว่ายาที่ท่านแม่นำมามิน่าดื่มเท่าใดนัก ท่านแม่วางยาไว้โต๊ะข้างเตียง เมื่อเห็นว่าข้าตื่นอยู่จึงประครองข้าให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนัก พลางจับยากรอกปากข้า โอ้สวรรค์ท่านแม่ช่างใจร้ายยิ่งนัก รสมันมิต่างจากน้ำใบบัวบกที่ข้าเคยดื่มเมื่ออดีตชาติ เมื่อท่านแม่จับข้ากรอกยาเสร็จจึงป้อนน้ำให้ข้ากลั้วปาก จากนั้นจึงป้อนข้าวต้มที่ยังคงอุ่นอยู่ ข้าทานข้าวต้มจนหมดถ้วย ท่านแม่หงเซียนจึงเอ่ยขึ้น

" คราวหน้าคราวหลัง เจ้าอย่าไปล้อเล่นกับหนานกงหลิวเหวินอีกรู้หรือไม่ " ท่านแม่หงเซียนเอ่ยเสียงดุ ข้าทำได้เพียงพยักหน้ารับเนื่องจากยังหาเสียงตนเองมิเจอ " ดีนะที่หนานกงผู้นั้นมิได้มีพลังยุทธสูงเท่าใดนัก หากมีพลังยุทธสูงเจ้าคงมีรอดเป็นแน่แท้ฝานเอ๋อร์ของแม่" มือเรียวขาวยกขึ้นลูบศีรษะข้าอย่างอ่อนโยน พร้อมๆกับรอยยิ้มอ่อนโยนและรัศมีที่เจิดจ้าราวกับพระเจ้า ทำให้ข้าตาพร่ามัวมิน้อย ท่านแม่ยังคงกล่าวกับข้าในหลายๆเรื่อง มินานก็ออกจากเรือนพักไปทำงานต่อ

หงอี้ฝานเช่นข้ายังคงต้องนอนเป็นผักเช่นนี้อีกหลายวัน ท่านแม่ยังคงวนเวียนมาป้อนข้าวป้อนน้ำข้าทุกๆวัน บางคราท่านแม่จำต้องลงจากหุบเขาเพื่อไปตรวจอาการชาวบ้านก็เป็นอาจารย์จิ้นฝูที่ทำหน้าที่แทน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเจ้าเด็กเหวิน ยังคงวนเวียนมาด่อมๆมองๆที่เรือนข้าเป็นระยะๆ ทำให้ข้าระแวงมิใช่น้อย หรือเจ้าเด็กเหวินมันจะรู้ว่าข้าจะเอาคืนจึงหาทางสังหาร ข้าขอร้องให้ท่านแม่ตรึงกำลังคนมาคุ้มกันนอกเรือนให้แน่นหนา รอบครอบไว้ก่อนจะเป็นการดี แต่ทุกคราที่เจ้าเด็กนั้นมา เงาคนสนิทของท่านแม่มักจะรายงานเรื่องเดิมๆให้ข้าฟัง เรื่องที่ว่าคือ เจ้าเด็กเหวินถือดอกไม้มาที่สำนักทุกวัน สำนักหุบเขาเรือนเร้นอิสตรีก็มีมิมากเท่าบุรุษ ข้าจึงคิดว่าเจ้าเด็กเหวินคงนิยมตัดแขนเสื้อ ว่าแต่.....อายุเพียงห้าขวบปีเท่าๆกันกับข้า ไฉนจึงแก่แดดเร็วนัก ช่างมันเถิดมิเกี่ยวกับข้าเสียหน่อย

ยามที่ข้าหายดีก็พึ่งจะรับรู้ว่า เจ้าเด็กเหวินกราบอาจารย์เตียช่างเพื่อเป็นลูกศิษย์ อาจารย์เตียช่างนั้นมีความเชี่ยวชาญทางด้านเพลงกระบี่และสอนศิลปะการต่อสู้ให้คนในสำนัก กระนั้นอาจารย์เตียช่างก็มิได้รับผู้ใดเป็นศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาเพลงกระบี่ในตำนานหรือวิชาลับให้ผู้ใด ข้าเคยถามอาจารย์เตียช่างว่ารับเขามาเป็นศิลษย์จะดีรึ ท่านมิได้ตอบอันข้าจึงไปถามท่านแม่ และได้คำตอบที่ทำให้ข้าได้แต่ส่ายหัวอย่างหน่ายๆ ในความงกของมารดา

' ท่านแม่ให้อาจารย์เตียช่างรับศิษย์เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ '

' ฝานเอ๋อร์เจ้าคิดว่ารับมาฟรีๆรึ ครานี้จักรพรรดิ์น้ำแข็งผู้นั้นก็จ่ายให้แม่มิใช่น้อยๆ '

นับแต่นั้นมาเจ้าเด็กเหวินก็กลายเป็นศิษย์อาจารย์เตียช่าง แม้มันจะมิเคยเข้ามาหาเรื่องข้าและทุกคราที่พบเจอมองข้าด้วยแววตาเย็นชาก็ตาม นี่ข้าทำอันใดผิดกัน กระนั้นก็มิได้เข้าไปหาเรื่องแกล้งเจ้าเด็กเหวิน ข้าเน้นหลักต่างคนต่างอยู่ เพราะยังจำได้ดีคราที่ข้าแกล้งเจ้าเด็กเหวินครานั้น มันย้ำเตือนว่าอย่าได้แกล้งเจ้าเด็กนั่นอีก.........

ข้ายังคงปฏิบัติตนเช่นเดิมร่ำเรียนฝึกตำราแพทย์โอสถ ฝึกพลังปราณทั้งสองและฝึกพลังยุทธ บางคราก็เข้าแดนว้างไปเก็บสมุนไพร เพราะตัวข้านั้นมีไอมารจึงทำให้คุยกับเหล่าสรรพสัตว์ได้ โดยมิต้องทำพันธสัญญาณร่วมกับสัตว์อสูร กาลเวลาผันผ่านฤดูกาลผันแปร ย่างเข้าฤดูหนาวหิมะแรกของปีกำลังโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ข้าในวัยสิบสองหนาวกำลังยื่นมืออกมาสัมผัสหิมะที่ล่วงหล่นลงมากจากท้องฟ้าสีหม่น ข้าจำต้องทำภารกิจที่ท่านแม่หงเซียนมอบให้กับเจ้าเด็กเหวิน แม้จะมิชอบใจก็ตามที่ได้ทำงานกับเจ้าเด็กนี่ แต่ข้าโตพอที่จะแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออก ภารกิจที่ท่านแม่มอบหมายให้คือ ตามหาพืชฤดูหนาว ตามคำที่ท่านแม่เคยสั่งสอนมา พืชชนิดนี้หากรับประทานโดยตรงหรือทานสดๆพิษของมันจะแพร่กระจายเข้าสู่ระบบหลอดเลือด ลุกลามไปถึงหัวใจผู้รับประทานเข้าไปจะตายในที่สุด แต่หากปรุงสุกพิษของพืชฤดูหนาวจะสูญสลายไปเพราะมิอาจทนความร้อนได้

สรรพคุณหลังจากพิษถูกสลาย จะเสริมสร้างพลังหยางในร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เหตุที่ท่านแม่ให้ภารกิจนี้มาเนื่องจากบริเวณหมู่บ้านด้านล่างหุบเขา มักจะมีคนตายเพราะทนสภาพอากาศมิไหว หากได้รับประทานพืชชนิดนี้เข้าไปจะสามารถบรรเทาความหนาวเย็นในฤดูหนาวได้ หากจะถามว่าทางการมิช่วยรึ ข้าตอบได้เลยว่าไม่ เพราะหมู่บ้านด้านล่างหุบเขานั้นถูกทางการทอดทิ้งมาเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งหมู่บ้านแห่งนี้มีเพียงเด็กและคนแก่ ส่วนคนหนุ่มสาวเข้าเมืองเพื่อหางานทำมุ่งหวังความรุ่งเรือง มิคิดจะย้อนกลับมาอีก เด็กและคนแก่ตาดำๆเหล่านั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน ขณะที่ข้ากำลังมองหาสมุนไพรกับเจ้าเด็กเหวินอยู่นั้น เท้าก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง ทำให้ข้าล้มลงหน้าซุกกับหิมะ

" หึ! ซุ่มซ่าม " เจ้าเด็กเหวินเอ่ยตำหนิ พลางพยุงข้าให้ลุกขึ้น เดิมทีข้าคิดจะผลักเจ้าเด็กนี่ให้ล้มลงแต่มิทำดีกว่า หลังจากที่ข้าลุกขึ้นได้สำเร็จนัยตารัตติกาลก็เพ่งมองสิ่งที่ทำให้ตนต้องสะดุดล้ม

" เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นไหม " ข้าเอ่ยขอความเห็นจากเจ้าเด็กเหวิน เขามองตามที่ข้ามองพลางเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

" นางคงตายไปแล้วมั้ง รีบๆไปกันเถอะ หากมืดค่ำแม่เจ้าจะดุได้ " มือหนาเตรียมจะลากข้าออกไปจากบริเวณนี้ แต่ข้าก็เอ่ยขัดเขาเสียก่อน

" เจ้าช่างใจจืดใจดำนัก " ข้าเอ่ยจบจำต้องพลิกร่างสตรีขึ้นมาจับชีพจร แม้จะมิอยากทำก็ตาม ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ว่ามินิยมชมชอบสตรี " นางยังมีชีวิตอยู่ เร็วเข้า! รีบพานางไปพบท่านแม่หงเซียน " ข้าใช้พลังยุทธธาตุไม้ห่อหุ้มกายนางเอาไว้เป็นการรักษาเบื้องต้น

" ใยข้าต้องไปด้วย เจ้าก็พานางไปสิ " เขาเอ่ยบ่ายเบี่ยงพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ฮืม....หน้าของเขาเวลานี้ราวกับกำลังคิดแผนชั่วร้ายอยู่อย่างไรอย่างนั้น " หากเจ้าจะให้ข้าช่วย....."

" ข้าเกลียดอิสตรีเข้าใจหรือไม่หนานกงหลิวเหวินพานางไปได้แล้ว " ข้าเอ่ยตัดบทเสียงเรียบติดเย็นชาพอสมควร ให้เจ้าเด็กเหวินรับรู้ว่าข้ามิได้โกหก เขาจ้องลึกเข้ามานัยตาข้าราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะถอนสายตาออกพลางก้าวเดินตรงไปยังร่างหญิงสาวที่กำลังสลบอยู่ เขาช้อนตัวร่างนั้นขึ้นก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพาร่างนั้นกลับสำนักจึงเอ่ยขึ้นว่า

" รอข้าที่นี้ อย่าริอาจไปตามหาพืชฤดูหนาวเพียงลำพัง" ข้ามิได้ตอบอันใดทำเพียงพยักหน้าและมองส่งเขาที่ใช้วิชาตัวเบาหายลับไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็รู้สึกว่าเจ้าเด็กเหวินมิใช่คนเย็นชา ข้าคงคิดไปเองสินะ บุรุษที่ข้าปรารถนานั้นข้าจะหาเอง ส่วนเจ้าเด็กเหวินนี้ตัดออกไปจากสารบบข้าได้เลย ลืมได้อย่างไรกันเจ้าเด็กนั้นก็มิได้สนใจอิสตรีนี่นา นิยมตัดแขนเสื้อตั้งแต่ห้าขวบปี................

----------------------------<จบตอนที่ 3>--------------------------

หนูฝานฝานของเราเป็นมโนไปแล้วเน้อ ใครกันนะที่ทั้งสองมาเจอ

มัจไม่ได้ดำเนินเรื่องเร็วนะคะ หากมีรีดคนไหนคิดว่ามัจดำเนินเรื่องเร็วต้องขออภัยด้วยจร้า

เรื่องนี้จะรีไรท์อีกทีตอนเขียนจบนะ ที่หายไปนานเพราะต้องไปรับเจ้าของไอดี Mepale ที่ค่ายผู้ประกอบการนะคะ

ขอแจ้งว่าทำเนียบสาวงามมีคนแต่งนิยายหลายคนนะคะ แต่แต่งคนละเรื่องดังนั้นไม่ต้องตกใจนะคะ

แล้วพบกันใหม่

มัจฉานุ ❤❤❤❤❤

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา