หงอี้ฝาน จอมมารข้ามภพ
8.0
เขียนโดย Mepale
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.47 น.
6 บท
0 วิจารณ์
8,153 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 02 การขูดรีดเงินจากจักรพรรดิ์น้ำแข็ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ02 การขูดรีดเงินจากจักรพรรดิ์น้ำแข็ง
.................................
อันตัวข้านั้นได้ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาคนใหม่ นาม หงเซียน มาแล้วหลายวัน อิสตรีผู้มีรัศมีเปรียบดั่งพระเจ้า ได้มอบชื่อใหม่ให้แก่ข้า นามนั้นคือ หงอี้ฝาน จึงได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้วท่านแม่หงเซียน เป็นเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้น สำนักนี้อยู่ใกล้ักลับแดนว้าง ที่ข้าถูกปล่อยป่านั่นแหละ หากมิได้ท่านแม่หงเซียนป่านนี้ข้าคงต้องหาอาหารเอง ตลอดหลายวันมานี้ ท่านแม่สอนเกี่ยวกับสมุนไพร การปรุงยาและการฝึกพลังยุทธพลังปราณ
นับว่าการเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าสำนัก ถือเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย และเรื่องดีอีกเรื่องของสำนักหุบเขาเลือนเร้น สามารถสร้างกำไรเข้าสำนักได้ปีล่ะ ประมาณหนึ่งแสนตำลึงทอง พวกเจ้าคงงงล่ะสิ ว่าท่านแม่หงเซียนสร้างอย่างอะไร ผู้คนต่างเรียกท่านแม่หงเซียนว่า หมอเทวดา สำหรับชาวบ้านสามัญท่านแม่จะรักษาให้แบบฟรีๆ แต่ถ้าเป็นผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ท่านแม่จะขูดเลือด... เอ้ย! จะเก็บท่านล่ะ หนึ่งร้อยตำลึงทอง จะเรียกเก็บมากขึ้นหากผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บสาหัส
พูดง่ายๆว่ามารดาบุญธรรมของข้า เค็ม เอ้ย! ใจกว้างดั่งมหาสมุทร อ้อ...ข้าลืมบอกใช่หรือไม่ ที่สำนักหุบเขาเลือนเร้น ยังมีบุรุษรูปงามแต่งามน้อยกว่าข้าอยู่ผู้หนึ่ง เขาคือรองเจ้าสำนักนาม 'จิ้นฝู' นับว่าเป็นอาหารตาชั้นเลิศ แต่ก็ต้องยกบุรุษผู้นี้ให้กับท่านแม่หงเซียน เพราะข้าสังเกตเห็นแววตาอันเร้าร้อน ของท่านแม่หงเซียนที่มีต่อรองเจ้าสำนัก เป็นเช่นนี้ทุกคราที่ท่านพบรองเจ้าสำนัก อีกไม่นานข้าคงได้พ่อบุญธรรมอย่างแน่นอน เผลอๆอาจจะได้น้องมาเพิ่ม
ขณะที่ข้ากำลังเก็บสมุนไพรในป่าแดนว้าง และขบคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาอยู่สำนักหุบเขาเลือนเร้น เท้าเล็กที่ก้าวเดินไปก็สะดุดเข้ากับบางอย่าง จนล้มหน้าทิ่มพื้น หากข้าเสียโฉมไอ้ที่ทำให้ข้าสะดุดล้ม มันต้องมิตายดี ข้าดันกายลุกขึ้น
พลางเลิกคิ้วเรียวดุจใบหลิว มองสิ่งที่ตนสะดุด ก็สบเข้ากับเด็กชายผมสีขาวราวปุยเมฆ กำลังนอนอยู่ด้วยใบหน้าซีดเซียว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าขมวดคิ้วหมุนคือ บาดแผลฉกรรจ์ บริเวณกลางลำตัวของเด็กชาย และเลือดเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ
ข้าตัดสินใจจะช่วยดีหรือปล่อยให้เด็กชายผู้นี้ตายดี แต่สัญชาติญาณได้บอกว่า ควรช่วยเด็กชายคนนี้ ข้ายัดร่างเด็กชายเข้าไปในมิติ ก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับสำนักหุบเขาเลือนเร้น หากจะถามว่าทำไมข้ามิรักษาเด็กชายตั้งแต่อยู่ในป่า อุปกรณ์ไม่พร้อมและข้าไม่อยากเสี่ยง เนื่องจากร่ำเรียนการรักษาแค่ไม่กี่วัน จะไปทดลองรักษาหากเด็กชายนี่ตาย คนที่ซวยคือข้า ยิ่งเนื้อผ้าที่เด็กชายสวมมิธรรมดา พอถึงสำนักข้าก็ตรงเข้าไปหาท่านแม่หงเซียนโดยพลัน
"ท่านแม่เจ้าคะ!" ว่าจบข้าก็ค่อยๆนำร่างไร้สติของเด็กชายออกมาจากมิติ โดยมีท่านแม่ช่วยอีกแรง ท่านแม่ควบคุมพลังปราณยกร่างเด็กชายวางบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะเริ่มลงมือรักษา ส่วนข้าก็เป็นผู้ช่วยและศึกษาวิธีการรักษาไปด้วย เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น ผิวกายของเด็กชายที่ซีดก็เริ่มขึ้นสีบ้างแล้ว ท่านแม่จึงเอ่ยกับข้าด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา เรื่องอันใดกันที่ท่านแม่ปรีดา
"ฝานเอ๋อร์ของแม่ นับว่าครานี้เราจะมีเงินมีทองเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว" ท่านแม่ว่าพลางยกมืองามๆขึ้นลูบศีรษะเด็กหน้าขวบเช่นข้า
หงอี้ฝานใยจะมิรู้ว่า ผู้เป็นมารดาคิดสิ่งใดอยู่ การขูดรีด...แค่กๆๆ มหกรรมเก็บค่ารักษาของท่านแม่หงเซียนกำลังจะเริ่มขึ้น "ฝานเอ๋อร์ เฝ้าเด็กน้อยนี้เอาไว้ล่ะ หากฟื้นก็มาตามแม่"
ท่านแม่หงเซียนยิ้มอย่างใจดี พลางก้าวเดินออกจากห้องพักสำหรับผู้ป่วย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความใจกว้างของท่านแม่หงเซียน "ข้ามิรู้หรอกนะ ว่าเด็กหัวขาวเช่นเจ้าเป็นผู้ใด หากแต่บิดาของเจ้าคงเสียทองไปหลายหีบ"
ผ่านไปสองชั่วยาม ระหว่างที่ข้ากำลังอ่านตำราแพทย์ ก็รับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่ข้า มือเรียวงามผุดผ่องจำต้อง วางตำราแพทย์ลง พลางจ้องหน้าอีกฝ่าย "ข้ารู้ว่าข้างดงาม มิต้องจ้องหน้าขนาดนั้นก็ได้"
"ใครมองเจ้ากัน เจ้าเป็นใครที่นี้ที่ไหน" เด็กชายหัวขาวยังคงจ้องใบหน้างามของข้าต่อไป ด้วยแววตาเย็นชา เมื่อข้าพิจารณาเด็กน้อยผู้นี้และแอบให้คะแนนในใจ 9 เต็ม 10 นับว่าหากเด็กชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่คงหล่อเหลามิใช่น้อยๆ เสียทีติดเย็นชาไปนิด ข้าเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
"ข้าเป็นบุตรสาวเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้น ที่นี้คือหุบเขาเลือนเร้น เจ้านอนไปเถอะเด็กผมหงอก เดี๋ยวข้าไปตามอาจารย์" เอ่ยจบข้าก็ก้าวออกจากห้องพักผู้ป่วยไปตามท่านแม่หงเซียน
เดินได้ไม่ทันไรก็สบเข้ากับร่างระหงของท่านแม่ กำลังยืนคุยกับบุรุษผมขาว ผู้มีใบหน้าเย็นชาและปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ถามจริงนี้พวกท่านคุยกันหรืออะไรกันแน่ ข้าตัดสินใจมิรบกวนคนทั้งสอง และพอเดาออกว่าบุรุษผู้นั้น คงเป็นบิดาของเด็กผมหงอก ข้ากลับมายังห้องพักผู้ป่วย เด็กชายผมหงอกยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเคย ข้านั้นเป็นคนใจดีจึงเอ่ยบอกเด็กชาย
"เจ้าเด็กผมหงอก..." ข้าเอ่ยยังมิทันครบประโยคดีไอ้เด็กนี้ก็เอ่ยขัดเสียงก่อน
"ใครเด็กผมหงอก ข้า หนานกงหลิวเหวิน สามัญชนเช่นเจ้าอย่าริอาจเอ่ยไร้มารยาท" เด็กชายเอ่ยเสียงติดเย็นชาออกมาพอสมควร และทำท่าทีดุจผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก
"เจ้าเด็กผมหงอกๆๆๆๆๆๆๆ" น่าหมั่นไส้เสียจริง เอ่ยล่อเลียนมันซะเลย
"หุบปาก เด็กไร้มารยาท!" เด็กชายตะคอกเสียงใด แล้วอย่างไรมิสนใจหรอกหนา ข้ายังคงล้อเลียนเด็กชายให้เขาโกรธหน้าดำหน้าแดงต่อไป
"เจ้าเด็กผมหงอกๆ" แถมด้วยการแลบลิ้นปริ้นตา
.
.
.
ด้านหนึ่งกำลังล้อเลียนเด็กชายอย่างสนุกสนาน อีกด้านกำลังเจรจาต่อรอกันด้วยความเคร่งเครียด หงเซียนในอาภรณ์สีม่วงอ่อนตัวโปรด แม้ใบหน้างามจะแย้มยิ้ม แต่ไปไม่ถึงดวงตา
หลังจากที่นางส่งจดหมายไปไม่ถึงสองเค่อ บุรุษผมขาวดุจปุยเมฆ นัยตาสีน้ำเงินเหลือบดำ ก็ปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งครึม พร้อมกับปล่อยพลังปราณออกมากดดัน แต่กระนั้นก็หงเซียนก็มิได้รับผลกระทบใดๆ นางยังคงไว้ซึ่งริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้ม และยืนอย่างมั่นคง
"จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นเจ้า ต้องการเท่าไหร่" บุรุษผมขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
"ขอบพระทัยที่ชมเพคะ องค์จักรพรรดิ์ หม่อมฉันมิต้องการอันใดมาก แค่ หนึ่งแสนตำลึงทอง กับ หินฝึกพลังยุทธระดับสีม่วงร้อยหีบ แพรพรรณพร้อมเครื่องประดับชั้นดีอีกสิบหีบเนื่องจากหม่อมฉันมีบุตรสาว และป่าแห่งนี้ไร้ซึ่งแพรพรรณ หม่อมฉันจึงขอเพคะ แค่นี้ขนพระชงฆ์ขององค์จักรพรรดิ์ คงมิร่วงหรอกใช่ไหมเพคะ"
หากจักรพรรดิ์น้ำแข็งเช่นเขาเอ่ยออกมาได้คงเอ่ยออกมาแล้ว ทำได้เพียงต่อว่าหมอเทวดาในใจ 'นี่มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ'
"องค์จักรพรรดิ์คงมิเบี้ยวหม่อมฉันนะเพคะ" หงเซียนทักท้วงอีกครา
"เงินหนึ่งแสนตำลึงทอง กับหินฝึกพลังยุทธระดับสีม่วงสองหีบ แพรพรรณหนึ่งหีบ" บุรุษผมขาวยังคงคิดต่อรอง หงเซียนแทบจะฉีกยิ้มออกมา
"ฝ่าบาทคงมิอยากให้วังน้ำแข็งของตนล่มสลายหรอกนะเพคะ" หงเซียนเอ่ยเสียงหวานอย่างใจเย็น
"เจ้ากล้าขู่ข้ารึ เพียงแค่ข้าสะบัดมือ สำนักเจ้าก็มิเหลือซาก" บุรุษผมขาวเอ่ยเสียงเย็นปล่อยพลังปราณออกมากดดันอีกละลอก
"ฝ่าบาทก็ลองทำดูสิเพคะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน รีบๆจ่ายมาได้แล้ว ข้ายังมีธุระต่อ มิได้ว่างมาเสวนากับท่าน" ประโยคหลังเริ่มไร้ซึ่งคำราชาศัพท์ เพราะนางเริ่มหน่ายบุรุษตรงหน้าเต็มทน
ก่อนจะปล่อยพลังปราณที่เหนือชั้นกว่าออกมากดดัน ในอดีตชาติก่อนจะมาเป็นหงเซียน นางเคยเป็นอาเจ็ใหญ่หัวหน้าแก๊งมาเฟียมาก่อน และต้องตามทวงหนี้พวกคุณหญิงคุณนายแทบทุกวัน จึงเริ่มหมดความอดทนกับบุรุษช่างต่อรองผู้นี้เต็มทน 'บนโลกใบนี้มิมีบุรุษใดได้ดั่งใจเท่าจิ้นฝูแล้วสินะ'
บุรุษผมขาวแทบทรุดลงกับพื้น เมื่อถูกแรงกดดันที่เหนือกว่า จำต้องสั่งเงาที่ติดตามมาคุ้มกัน ให้ไปเตรียมเงินหนึ่งแสนตำลึงทอง พร้อมด้วยหินฝึกพลังยุทธสีม่วงร้อยหีบ แพรพรรณและเครื่องประดับอีกสิบสองหีบ หงเซียนยืนมองจักรพรรดิ์น้ำแข็งสั่งลูกน้องด้วยความพึงพอใจ พลางเอ่ยดักทางของพวกหัวหมอเอาไว้เพื่อป้งกันการโดนโกง
"ทุกชิ้นต้องเป็นของแท้เท่านั้น หากชิ้นใดเป็นของปลอม...ท่านคงรู้สินะว่าผลมันจะเป็นอย่างไร" แม้เสียงที่เปร่งออกมาจะหวาน แต่คนที่ได้กลับขนลุกขนชัน
ีรอได้ไม่นานค่ารักษาจำนวนมหาศาล ก็ถูกส่งเข้ามาในสำนัก เหล่าข้ารับใช้หรือที่หงเซียนเรียกว่าลูกน้อย ทุกคนล้วนมีพลังยุทธระดับสีดำ ต่างออกมาขนค่ารักษาเข้าไปไว้ในคลังเก็บสมบัติโดยมีจิ้นฝูเป็นผู้คุมงานระหว่างการขนหีบค่ารักษา
แม้จักรพรรดิ์น้ำแข็งจะรู้สึกเสียดายหินฝึกพลังยุทธ สุดแสนจะล้ำค่าสักเพียงใด แต่ชีวิตบุตรชายย่อมสำคัญกว่า เมื่อเสร็จสิ้นการรับค่ารักษา หงเซียนก็เอ่ยออกมาอีกหนึ่งประโยค ยิ่งทำให้จักรพรรดิ์น้ำแข็งได้แต่โอดครวญในใจ
"บุตรของท่านยังมิหายดี จำต้องพักรักษากายที่นี้ ดังนั้นท่านควรจ่ายค่าดูแลที่พักและอาหารอีก ห้าร้อยตำลังทอง"
"เจ้ามันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!"
---------------<จบตอนที่ 2>------------
ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากน้องหนูจอมมารเติบโตขึ้นไปจะนิสัยเหมือนหงเซียนรึเปล่า แม้นางจะเคี้ยวเรื่องค่ารักษากับผู้มีอันจะกิน แต่นางไม่เค็มกับคนในสำนักแน่นอนจร้า
แล้วพบกันใหม่
มัจฉานุ ❤❤❤❤❤
.................................
อันตัวข้านั้นได้ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาคนใหม่ นาม หงเซียน มาแล้วหลายวัน อิสตรีผู้มีรัศมีเปรียบดั่งพระเจ้า ได้มอบชื่อใหม่ให้แก่ข้า นามนั้นคือ หงอี้ฝาน จึงได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้วท่านแม่หงเซียน เป็นเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้น สำนักนี้อยู่ใกล้ักลับแดนว้าง ที่ข้าถูกปล่อยป่านั่นแหละ หากมิได้ท่านแม่หงเซียนป่านนี้ข้าคงต้องหาอาหารเอง ตลอดหลายวันมานี้ ท่านแม่สอนเกี่ยวกับสมุนไพร การปรุงยาและการฝึกพลังยุทธพลังปราณ
นับว่าการเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าสำนัก ถือเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย และเรื่องดีอีกเรื่องของสำนักหุบเขาเลือนเร้น สามารถสร้างกำไรเข้าสำนักได้ปีล่ะ ประมาณหนึ่งแสนตำลึงทอง พวกเจ้าคงงงล่ะสิ ว่าท่านแม่หงเซียนสร้างอย่างอะไร ผู้คนต่างเรียกท่านแม่หงเซียนว่า หมอเทวดา สำหรับชาวบ้านสามัญท่านแม่จะรักษาให้แบบฟรีๆ แต่ถ้าเป็นผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ท่านแม่จะขูดเลือด... เอ้ย! จะเก็บท่านล่ะ หนึ่งร้อยตำลึงทอง จะเรียกเก็บมากขึ้นหากผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บสาหัส
พูดง่ายๆว่ามารดาบุญธรรมของข้า เค็ม เอ้ย! ใจกว้างดั่งมหาสมุทร อ้อ...ข้าลืมบอกใช่หรือไม่ ที่สำนักหุบเขาเลือนเร้น ยังมีบุรุษรูปงามแต่งามน้อยกว่าข้าอยู่ผู้หนึ่ง เขาคือรองเจ้าสำนักนาม 'จิ้นฝู' นับว่าเป็นอาหารตาชั้นเลิศ แต่ก็ต้องยกบุรุษผู้นี้ให้กับท่านแม่หงเซียน เพราะข้าสังเกตเห็นแววตาอันเร้าร้อน ของท่านแม่หงเซียนที่มีต่อรองเจ้าสำนัก เป็นเช่นนี้ทุกคราที่ท่านพบรองเจ้าสำนัก อีกไม่นานข้าคงได้พ่อบุญธรรมอย่างแน่นอน เผลอๆอาจจะได้น้องมาเพิ่ม
ขณะที่ข้ากำลังเก็บสมุนไพรในป่าแดนว้าง และขบคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาอยู่สำนักหุบเขาเลือนเร้น เท้าเล็กที่ก้าวเดินไปก็สะดุดเข้ากับบางอย่าง จนล้มหน้าทิ่มพื้น หากข้าเสียโฉมไอ้ที่ทำให้ข้าสะดุดล้ม มันต้องมิตายดี ข้าดันกายลุกขึ้น
พลางเลิกคิ้วเรียวดุจใบหลิว มองสิ่งที่ตนสะดุด ก็สบเข้ากับเด็กชายผมสีขาวราวปุยเมฆ กำลังนอนอยู่ด้วยใบหน้าซีดเซียว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าขมวดคิ้วหมุนคือ บาดแผลฉกรรจ์ บริเวณกลางลำตัวของเด็กชาย และเลือดเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ
ข้าตัดสินใจจะช่วยดีหรือปล่อยให้เด็กชายผู้นี้ตายดี แต่สัญชาติญาณได้บอกว่า ควรช่วยเด็กชายคนนี้ ข้ายัดร่างเด็กชายเข้าไปในมิติ ก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับสำนักหุบเขาเลือนเร้น หากจะถามว่าทำไมข้ามิรักษาเด็กชายตั้งแต่อยู่ในป่า อุปกรณ์ไม่พร้อมและข้าไม่อยากเสี่ยง เนื่องจากร่ำเรียนการรักษาแค่ไม่กี่วัน จะไปทดลองรักษาหากเด็กชายนี่ตาย คนที่ซวยคือข้า ยิ่งเนื้อผ้าที่เด็กชายสวมมิธรรมดา พอถึงสำนักข้าก็ตรงเข้าไปหาท่านแม่หงเซียนโดยพลัน
"ท่านแม่เจ้าคะ!" ว่าจบข้าก็ค่อยๆนำร่างไร้สติของเด็กชายออกมาจากมิติ โดยมีท่านแม่ช่วยอีกแรง ท่านแม่ควบคุมพลังปราณยกร่างเด็กชายวางบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะเริ่มลงมือรักษา ส่วนข้าก็เป็นผู้ช่วยและศึกษาวิธีการรักษาไปด้วย เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น ผิวกายของเด็กชายที่ซีดก็เริ่มขึ้นสีบ้างแล้ว ท่านแม่จึงเอ่ยกับข้าด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา เรื่องอันใดกันที่ท่านแม่ปรีดา
"ฝานเอ๋อร์ของแม่ นับว่าครานี้เราจะมีเงินมีทองเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว" ท่านแม่ว่าพลางยกมืองามๆขึ้นลูบศีรษะเด็กหน้าขวบเช่นข้า
หงอี้ฝานใยจะมิรู้ว่า ผู้เป็นมารดาคิดสิ่งใดอยู่ การขูดรีด...แค่กๆๆ มหกรรมเก็บค่ารักษาของท่านแม่หงเซียนกำลังจะเริ่มขึ้น "ฝานเอ๋อร์ เฝ้าเด็กน้อยนี้เอาไว้ล่ะ หากฟื้นก็มาตามแม่"
ท่านแม่หงเซียนยิ้มอย่างใจดี พลางก้าวเดินออกจากห้องพักสำหรับผู้ป่วย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความใจกว้างของท่านแม่หงเซียน "ข้ามิรู้หรอกนะ ว่าเด็กหัวขาวเช่นเจ้าเป็นผู้ใด หากแต่บิดาของเจ้าคงเสียทองไปหลายหีบ"
ผ่านไปสองชั่วยาม ระหว่างที่ข้ากำลังอ่านตำราแพทย์ ก็รับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่ข้า มือเรียวงามผุดผ่องจำต้อง วางตำราแพทย์ลง พลางจ้องหน้าอีกฝ่าย "ข้ารู้ว่าข้างดงาม มิต้องจ้องหน้าขนาดนั้นก็ได้"
"ใครมองเจ้ากัน เจ้าเป็นใครที่นี้ที่ไหน" เด็กชายหัวขาวยังคงจ้องใบหน้างามของข้าต่อไป ด้วยแววตาเย็นชา เมื่อข้าพิจารณาเด็กน้อยผู้นี้และแอบให้คะแนนในใจ 9 เต็ม 10 นับว่าหากเด็กชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่คงหล่อเหลามิใช่น้อยๆ เสียทีติดเย็นชาไปนิด ข้าเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
"ข้าเป็นบุตรสาวเจ้าสำนักหุบเขาเลือนเร้น ที่นี้คือหุบเขาเลือนเร้น เจ้านอนไปเถอะเด็กผมหงอก เดี๋ยวข้าไปตามอาจารย์" เอ่ยจบข้าก็ก้าวออกจากห้องพักผู้ป่วยไปตามท่านแม่หงเซียน
เดินได้ไม่ทันไรก็สบเข้ากับร่างระหงของท่านแม่ กำลังยืนคุยกับบุรุษผมขาว ผู้มีใบหน้าเย็นชาและปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ถามจริงนี้พวกท่านคุยกันหรืออะไรกันแน่ ข้าตัดสินใจมิรบกวนคนทั้งสอง และพอเดาออกว่าบุรุษผู้นั้น คงเป็นบิดาของเด็กผมหงอก ข้ากลับมายังห้องพักผู้ป่วย เด็กชายผมหงอกยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเคย ข้านั้นเป็นคนใจดีจึงเอ่ยบอกเด็กชาย
"เจ้าเด็กผมหงอก..." ข้าเอ่ยยังมิทันครบประโยคดีไอ้เด็กนี้ก็เอ่ยขัดเสียงก่อน
"ใครเด็กผมหงอก ข้า หนานกงหลิวเหวิน สามัญชนเช่นเจ้าอย่าริอาจเอ่ยไร้มารยาท" เด็กชายเอ่ยเสียงติดเย็นชาออกมาพอสมควร และทำท่าทีดุจผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก
"เจ้าเด็กผมหงอกๆๆๆๆๆๆๆ" น่าหมั่นไส้เสียจริง เอ่ยล่อเลียนมันซะเลย
"หุบปาก เด็กไร้มารยาท!" เด็กชายตะคอกเสียงใด แล้วอย่างไรมิสนใจหรอกหนา ข้ายังคงล้อเลียนเด็กชายให้เขาโกรธหน้าดำหน้าแดงต่อไป
"เจ้าเด็กผมหงอกๆ" แถมด้วยการแลบลิ้นปริ้นตา
.
.
.
ด้านหนึ่งกำลังล้อเลียนเด็กชายอย่างสนุกสนาน อีกด้านกำลังเจรจาต่อรอกันด้วยความเคร่งเครียด หงเซียนในอาภรณ์สีม่วงอ่อนตัวโปรด แม้ใบหน้างามจะแย้มยิ้ม แต่ไปไม่ถึงดวงตา
หลังจากที่นางส่งจดหมายไปไม่ถึงสองเค่อ บุรุษผมขาวดุจปุยเมฆ นัยตาสีน้ำเงินเหลือบดำ ก็ปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งครึม พร้อมกับปล่อยพลังปราณออกมากดดัน แต่กระนั้นก็หงเซียนก็มิได้รับผลกระทบใดๆ นางยังคงไว้ซึ่งริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้ม และยืนอย่างมั่นคง
"จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นเจ้า ต้องการเท่าไหร่" บุรุษผมขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
"ขอบพระทัยที่ชมเพคะ องค์จักรพรรดิ์ หม่อมฉันมิต้องการอันใดมาก แค่ หนึ่งแสนตำลึงทอง กับ หินฝึกพลังยุทธระดับสีม่วงร้อยหีบ แพรพรรณพร้อมเครื่องประดับชั้นดีอีกสิบหีบเนื่องจากหม่อมฉันมีบุตรสาว และป่าแห่งนี้ไร้ซึ่งแพรพรรณ หม่อมฉันจึงขอเพคะ แค่นี้ขนพระชงฆ์ขององค์จักรพรรดิ์ คงมิร่วงหรอกใช่ไหมเพคะ"
หากจักรพรรดิ์น้ำแข็งเช่นเขาเอ่ยออกมาได้คงเอ่ยออกมาแล้ว ทำได้เพียงต่อว่าหมอเทวดาในใจ 'นี่มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ'
"องค์จักรพรรดิ์คงมิเบี้ยวหม่อมฉันนะเพคะ" หงเซียนทักท้วงอีกครา
"เงินหนึ่งแสนตำลึงทอง กับหินฝึกพลังยุทธระดับสีม่วงสองหีบ แพรพรรณหนึ่งหีบ" บุรุษผมขาวยังคงคิดต่อรอง หงเซียนแทบจะฉีกยิ้มออกมา
"ฝ่าบาทคงมิอยากให้วังน้ำแข็งของตนล่มสลายหรอกนะเพคะ" หงเซียนเอ่ยเสียงหวานอย่างใจเย็น
"เจ้ากล้าขู่ข้ารึ เพียงแค่ข้าสะบัดมือ สำนักเจ้าก็มิเหลือซาก" บุรุษผมขาวเอ่ยเสียงเย็นปล่อยพลังปราณออกมากดดันอีกละลอก
"ฝ่าบาทก็ลองทำดูสิเพคะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน รีบๆจ่ายมาได้แล้ว ข้ายังมีธุระต่อ มิได้ว่างมาเสวนากับท่าน" ประโยคหลังเริ่มไร้ซึ่งคำราชาศัพท์ เพราะนางเริ่มหน่ายบุรุษตรงหน้าเต็มทน
ก่อนจะปล่อยพลังปราณที่เหนือชั้นกว่าออกมากดดัน ในอดีตชาติก่อนจะมาเป็นหงเซียน นางเคยเป็นอาเจ็ใหญ่หัวหน้าแก๊งมาเฟียมาก่อน และต้องตามทวงหนี้พวกคุณหญิงคุณนายแทบทุกวัน จึงเริ่มหมดความอดทนกับบุรุษช่างต่อรองผู้นี้เต็มทน 'บนโลกใบนี้มิมีบุรุษใดได้ดั่งใจเท่าจิ้นฝูแล้วสินะ'
บุรุษผมขาวแทบทรุดลงกับพื้น เมื่อถูกแรงกดดันที่เหนือกว่า จำต้องสั่งเงาที่ติดตามมาคุ้มกัน ให้ไปเตรียมเงินหนึ่งแสนตำลึงทอง พร้อมด้วยหินฝึกพลังยุทธสีม่วงร้อยหีบ แพรพรรณและเครื่องประดับอีกสิบสองหีบ หงเซียนยืนมองจักรพรรดิ์น้ำแข็งสั่งลูกน้องด้วยความพึงพอใจ พลางเอ่ยดักทางของพวกหัวหมอเอาไว้เพื่อป้งกันการโดนโกง
"ทุกชิ้นต้องเป็นของแท้เท่านั้น หากชิ้นใดเป็นของปลอม...ท่านคงรู้สินะว่าผลมันจะเป็นอย่างไร" แม้เสียงที่เปร่งออกมาจะหวาน แต่คนที่ได้กลับขนลุกขนชัน
ีรอได้ไม่นานค่ารักษาจำนวนมหาศาล ก็ถูกส่งเข้ามาในสำนัก เหล่าข้ารับใช้หรือที่หงเซียนเรียกว่าลูกน้อย ทุกคนล้วนมีพลังยุทธระดับสีดำ ต่างออกมาขนค่ารักษาเข้าไปไว้ในคลังเก็บสมบัติโดยมีจิ้นฝูเป็นผู้คุมงานระหว่างการขนหีบค่ารักษา
แม้จักรพรรดิ์น้ำแข็งจะรู้สึกเสียดายหินฝึกพลังยุทธ สุดแสนจะล้ำค่าสักเพียงใด แต่ชีวิตบุตรชายย่อมสำคัญกว่า เมื่อเสร็จสิ้นการรับค่ารักษา หงเซียนก็เอ่ยออกมาอีกหนึ่งประโยค ยิ่งทำให้จักรพรรดิ์น้ำแข็งได้แต่โอดครวญในใจ
"บุตรของท่านยังมิหายดี จำต้องพักรักษากายที่นี้ ดังนั้นท่านควรจ่ายค่าดูแลที่พักและอาหารอีก ห้าร้อยตำลังทอง"
"เจ้ามันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!"
---------------<จบตอนที่ 2>------------
ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากน้องหนูจอมมารเติบโตขึ้นไปจะนิสัยเหมือนหงเซียนรึเปล่า แม้นางจะเคี้ยวเรื่องค่ารักษากับผู้มีอันจะกิน แต่นางไม่เค็มกับคนในสำนักแน่นอนจร้า
แล้วพบกันใหม่
มัจฉานุ ❤❤❤❤❤
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ