Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

33) พระเอกไม่ใช่ตัวประกอบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
                สามสัปดาห์ต่อมา
                หญิงสาวผู้มีใบหน้าตอบซูบซีดเซียวนอนลืมตาสะลืมสะลือ มือเย็นซีดข้างหนึ่งของเธอถูกมือหนาของลูกชายคนโตกุมไว้ ส่วนอีกข้ามก็ถูกกุมโดยมือเล็กจิ๋วของลูกชายคนเล็ก เธอคลี่ยิ้มออกมาอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงลมหายใจรวยรินของเธอเลย
                “แม่รักลูก... ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...” เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมานะที่เรียนรู้ได้ค่อนข้างไวก็สามารถจับความหมายของมันได้บ้าง “ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ลูกทั้งสองเกิดมาเป็นลูกแม่ รักมาก...”
เสียงสุดท้ายขาดหายไปพร้อมลมหายใจ เปลือกตาปิดลงสนิท ร่างกายของสกาวแน่นิ่งเมื่อสังขารได้ดับล่วงไปแล้ว
                ทุกคนในที่นั้นต่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่กับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แม้จะเตรียมใจกันมาพอสมควรแต่เมื่อถึงเหตุการณ์จริงทุกอย่างก็พังทลายลงมาอย่างไม่อาจฝืนรั้งได้
มานะถอนมือออกมาบรรจงเช็ดน้ำตาที่ไหลรินอาบหน้ามารดาให้เหือดหายไปด้วยมืออันสั่นเทา เขารู้สึกราวมีหินก้อนใหญ่หล่นตกลงใส่หัวใจหลายร้อยหลายพันก้อน เพียงแค่เดือนเดียวแต่เขากลับรู้สึกเหมือนอยู่กับแม่มาตั้งแต่เกิด มันเป็นความผูกพันที่มียากจะอธิบายจริงๆ
 
                ลมหนาวเย็นยะเยือกปะทะผิวกายจนขนลุกซู่ มานะวางช่อดอกไม้ลงตรงหน้าหลุมศพของมารดาเพื่อเอ่ยลาเธอเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะอยู่ที่นี่ จากนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินตรงไปหาน้องชายตัวน้อยที่นั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง เขานั่งลงข้างๆ ด้วยท่วงท่าเดียวกับจัสติน
                “คิดถึงแม่อยู่เหรอ” เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแข็งๆ
                “ฮะ” ตอบพลางสูดจมูก ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีฟ้าของเด็กชายทอดมองไปยังหลุมศพของผู้เป็นแม่ สายลมพัดเอาความหนาวเหน็บมาเข้ามาถูกเนื้อตัวมากขึ้นจนรู้สึกชา มานะถอดผ้าพันคอออกแล้วใช้มันห่มตัวจัสติน
                “พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้วนะ”
                “พี่อยู่กับผมไม่ได้เหรอ” จัสตินเงยหน้ามองหน้ามานะ “ผมอยากให้พี่อยู่ด้วย”
                “ไม่ได้หรอก ฉันต้องกลับบ้าน”
                “แล้วเมื่อไรพี่จะกลับมาหาผม”
                “ถ้ามีเงินฉันจะกลับมาที่นี่อีก ฉันสัญญา” เขาวางมือวางบนหมวกไหมพรมที่จัสตินสวมไว้แล้วโยกไปมาน้อยๆ “หรือนายจะไปหาฉันที่เมืองไทยก็ได้นะ”
                “ผมจะเก็บเงินแล้วไปหาพี่ที่เมืองไทยฮะ”
                “นายทำให้ฉันคิดถึงแม่”
                “พี่ก็ทำให้ผมคิดถึงแม่”
                “โตขึ้นนายคงหล่อน่าดูเลยน้องชาย”
                “ผมอยากหล่อเหมือนพี่”
                “ใครๆ ก็คิดแบบนาย ฮ่าๆ”
                เด็กชายตัวน้อยซุกหน้าลงกับท่อนแขนหนาของพี่ชาย มานะโอบตัวจัสตินไว้ ต่างก็มองดูผู้คนที่ผลัดกันเข้าไปทำความเคารพหลุมศพมารดาด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจากกันและกัน
 
               หญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งก้มหน้าคร่ำเคร่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างทรงภูมิ การกลับคืนบัลลังก์อีกกครั้งทำให้เพชรงามตั้งใจและเข้าใจหลักการทำงานมากกว่าเดิม มองเห็นความเป็นส่วนรวมมากขึ้น จากบทเรียนที่ได้รับมันสอนเธอให้รู้ว่าการทำงานไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังผลประโยชน์หรือกำไรเป็นที่ตั้ง แต่คือการมีความสุขกับงานที่ทำ การสร้างสรรค์ผลงานออกมาในแบบที่ทำให้เราเห็นแล้วยิ้มได้และเกิดความภาคภูมิใจกับงานที่ทำ
               ฟรุตตี้เฟรนซีถูกเปลี่ยนเป็นฟรุตตี้แซนด์ไทม์อย่างเป็นทางการ เพชรงามเห็นใจธวัชที่ต้องแบกรับปัญหาเอาไว้ถ้าเรื่องขโมยไอเดียนี้ออกสู่สาธารณชนแบรนด์ของเขาอาจถูกแบนก็ได้ เธอจึงตอบแทนบุญคุณทั้งหมดของเขาโดยให้ทางแซนด์ไทม์จ่ายค่าลิขสิทธิ์และค่าเสียหายทั้งหมดคืนให้แลกกับการยกเซ็ทฟรุตตี้ให้ด้วยไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามบานปลายกลายเป็นปัญหาหนักกว่าเดิม อย่างที่บิดาของเธอบอกไว้ว่า ยังไงก็คนกันเอง ซึ่งพวกเธอก็ได้อธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้พนักงานเข้าใจและขอให้พวกเขาปิดเป็นความลับ ซึ่งทางแซนด์ไทม์เองก็ยุติการผลิตนาฬิกาเซตนี้แล้วทั้งยังลบมันออกไปจากระบบของแซนด์ไทม์เพื่อความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ตอนนี้เพชรงามและทีมดีไซน์ได้เริ่มออกแบบสินค้าใหม่กันและระยะทางของงานก็เดินมาได้สามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
               เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงของการ์ดรุต
               “คุณทันมาขอพบครับ”
               “อือ” เธอตอบรับโดยไม่เงยหน้าขึ้น
               เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับหญิงสาว ท่านประธานจรดหมึกปากกาเซ็นชื่อลงในกระดาษแผ่นสุดท้ายก่อนปิดแฟ้มลงแล้วดันไปวางรวมกันข้างๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า
               “คิดถึงจัง ไม่ได้เจอตั้งอาทิตย์หนึ่งแน่ะ” ธวัชยิ้มกว้าง ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาใช้มันสะสางงานทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง
               “คุณจะมาคิดถึงฉันทำไม งานการไม่มีให้ทำหรือ”
                “คิดถึงก็ไม่ได้ คนใจร้าย” ทำท่าแง่งอน “อะๆ คุณอาให้เรียกพี่ว่าพี่ทันนะครับ น้องไดมอนด์”
                “คุณมาที่นี่มีธุระอะไร” หญิงสาวถามต่อโดยไม่สนใจคำพูดของเขา
                “ไม่มีไรหรอกแค่มาหาเฉยๆ” ธวัชยิ้มร่า “เออ พี่ปิดบริษัทของตัวเองไปแล้วนะ”
                “ปิดทำไมคะ” เพชรงามมีสีหน้าแปลกใจไม่น้อย เพราะเธอเห็นว่าเขารักและทุ่มเทกับการทำงานนี้มาก จนไม่คิดว่าเขาจะยอมรามือทิ้งมันไปง่ายๆ
                “จับปลาสองมือมันเหนื่อย ถ้าไม่ปิดอันนี้ก็ต้องปิดแซนด์ไทม์ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”
                “น่าเสียดายนะคะ บริษัทของคุณกำลังไปได้ดีเลย”
                “สนใจมาร่วมดูแลแซนด์ไทม์ช่วยพี่ไหมล่ะ พี่จะได้มีเวลากลับไปรับงานต่อ” ธวัชยิ้มกรุ้มกริ่ม
                เพชรงามส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ก่อนจะเปิดลิ้นชักค้นหาอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่เจอ เธอจึงลุกขึ้นแล้วบอกชายหนุ่มที่ทำหน้างงๆ ว่า “สงสัยอยู่ในรถ คุณรออยู่นี่แป๊บหนึ่งนะ”
 
                ร่างสูงของใครบางคนทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่แถวพุ่มไม้หน้าบริษัทเฟรนซี ดวงตาคมปลาบสอดส่องไปยังยอดตึกสูงตระหง่านตรงหน้าอย่างลังเล ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทยมานะก็เข้าไปดูอาการพ่อเมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาก็ออกมาหาเพชรงามแต่พอไปถึงแฟลตอาม่ากลับบอกเขาว่าหญิงสาวออกไปนานแล้ว และเมื่อรู้ว่าสาเหตุที่หญิงสาวต้องย้ายออกคืออะไรความรู้สึกผิดก็ประดังเข้ามาแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความห่วงใย ไม่รู้ว่าป่านนี้หญิงสาวจะไปอยู่แห่งหนตำบลไหน ครั้นจะโทรหาเขาก็ทำโทรศัพท์หายตั้งแต่วันแรกที่ไปเมืองนอกแล้ว ซึ่งเขาจำเบอร์ใครไม่ได้เลย สุดท้ายจึงซุ่มเดาเอาว่าเธออาจจะกลับมาอยู่ที่เดิมแล้วก็ได้
                มานะรวบรวมความกล้าและความคิดถึงตลอดหนึ่งเดือนกว่าเดินเข้าไปในตัวบริษัท โอเปอเรเตอร์สองสาวคนเดิมทำหน้าอึ้งเล็กน้อยที่เห็นเขาก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความยินดี
                “พี่โม่ไม่เจอนานเลยนะ”
                “อือ ท่านประธานกลับมาหรือยัง” เขาตรงเข้าประเด็นทันที
                “กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะที่เข้าใจพี่โม่ผิด” ว่าเสียงใสพร้อมรอยยิ้มหวาน
                “จับตัวคนร้ายได้แล้วเหรอ”
                “นี่พี่โม่ยังไม่รู้หรือ ไปมุดอยู่รูไหนมาเนี่ย”ทั้งสองทำหน้าประหลาดใจ “คนร้ายโดนจับไปรับโทษเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณแจ็คน่ะ”
                มานะพยักหน้าไม่ผิดคาดเลยสักนิด “ขอขึ้นไปได้ไหม พี่มีเรื่องอยากคุยกับท่านประธานน่ะ”
                สองสาวมองกันด้วยความลำบากใจ ก่อนจะพยักหน้าให้ชายหนุ่ม
               
               เพชรงามกลับเข้าห้องมาอีกทีพร้อมม้วนกระดาษในมือ เธอเดินตรงไปหาธวัชที่ยืนดูภาพวาดบนผนังห้องอยู่
                “ฉันให้” ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาว พลางยื่นมือไปรับม้วนกระดาษจากหญิงสาวด้วยสีหน้างุนงง และเมื่อคลี่ดูจึงได้รู้ว่ามันเป็นภาพเหมือนของเขาเอง แม้จะเป็นเพียงภาพแรเงาธรรมดาแต่ก็ถือเป็นของมีค่าที่สุดชิ้นหนึ่งในชีวิตของเขาเลยทีเดียว “ฉันทำตามที่สัญญาแล้วนะ”
                “ขอบใจนะไดมอนด์ พี่ชอบมันมากๆ เลย” ธวัชฉีกยิ้มแบบที่ทำให้เพชรงามยิ้มตามได้ แววตาของเขาดูมีความสุขมากจริงๆ “ขอกอดหน่อยได้ไหม”
                หญิงสาวลังเลทว่าเมื่อสบตาที่มีประกายอ้อนวอนอยู่ในทีของเขาเธอก็พยักหน้าอนุญาต ธวัชก้าวเขามาสวมกอดหญิงสาวไว้ด้วยหวังตักตวงเอาความอบอุ่นจากตัวเธอ เพชรงามวางมือบนแผ่นหลังแกร่ง ครั้งหนึ่งเขาเคยให้อ้อมกอดเธอซุกในวันที่เธอหวาดกลัวและอ่อนแอที่สุด เธอเองก็อยากให้เขาบ้างในวันที่ชายหนุ่มต้องการมัน บางทีธวัชอาจทำให้เธอลืมใครบางคนได้... ใครบางคนที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือเปล่า
 
               มานะเดินดุ่มๆ เข้ามาสะกิดรุตที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือให้เงยหน้าขึ้นมา การ์ดรุตผงะไปเล็กน้อยตอนเห็นหน้ามานะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
                “ไอ้โม่หายหัวไปไหนมาวะ แล้วแกมาที่นี่ทำไม สร้างปัญหาแล้วหนีไปดื้อๆ เลยนะไอ้เลว” รุตจ้องมานะเขม็งอย่างโกรธเกรี้ยว ตอนลำบากล่ะหายหัวไปพอสบายก็เสนอหน้ามา แบบนี้มันไม่ใช่เพื่อนแท้
                “โทษทีพี่ แม่ผมไม่สบายผมต้องไปดูแลแม่ นี่ผมไม่ได้บอกพี่หรอกเหรอ” มานะยิ้มแหยๆ ก่อนจะปั้นหน้าขรึมแข่งกับคู่สนทนา
                “บอกอะไรล่ะ แกบอกให้ฉันไปหาเจ้านายแล้วก็วางสายไปเลย” แหวใส่พลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่าไม่เชื่อใจ “ไปดูแลแม่ถึงที่ไหนกันวะ ถึงได้ไม่โผล่หัวมาบ้างเลย”
                “สวิสฯ” ตอบทันควัน น้ำเสียงและแววตาเขาเศร้าหมองลง
                “สวิตเซอร์แลนด์? จริงอ่ะ?”
                “เป็นคนดี ไม่ชอบโกหก” มานะบอกหน้าตาย รุตเบ้ปากไม่เชื่อ
                “แม่แกเนี่ยนะอยู่สวิตเซอร์แลนด์” รุตยังซักไซ้อย่างสงสัย
                “คนไทยไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้หรือไง” ย้อนตอบกวนๆ “ขอเข้าไปหาท่านประธานหน่อยสิพี่”
                “ไม่ได้ เจ้านายฉันไม่อยากเจอแกแล้วไอ้โม่ ไอ้คนทิ้งนาย ไอ้คนทิ้งเพื่อน”
                “ไม่ได้ตั้งใจ มันจำเป็น ยูโนว?”
                “ไม่ แกไม่มีสิทธิ์มาที่นี่อีกแล้วไอ้โม่ ไม่มีธุระไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้วที่แกต้องพบเจ้านาย เรื่องของแกกับเจ้านายมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เธออยู่เหนือแกทุกอย่าง แกต่ำต้อยเกินไป”
                “ผมไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอพี่”
                “ไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีไม่พอ”
                มานะหน้าถอดสี แต่อย่างไรเขาก็ไม่ถอดใจหรอก ถ้าต้องเจ็บก็ขอเจ็บให้ถึงที่สุด
                “สิทธิ์ของแกหมดแล้วไอ้โม่ เจ้านายของฉันมีแขกอยู่ แขกคนสำคัญซะด้วย”
                “ใคร” มานะเริ่มไม่วางใจสายตากระหยิ่มยิ้มย่องของรุต
                “คนที่เข้ามาอยู่ข้างๆ ตอนเธอไม่มีใครและไม่เหลืออะไร คนที่ช่วยเหลือเธอทุกอย่าง ปกป้องเธอไว้ด้วยชีวิต”
                “แต่ผมมาก่อนนะ”
                รุตหัวเราะเยาะเย้ย “คนเป็นพระเอกน่ะถึงมาก่อนมาหลังเค้าก็ได้คู่กับนางเอก ตัวประกอบที่หมดหน้าที่แล้วอย่างแกก็ออกไปได้แล้ว”
                “พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก” มานะผลักรุตออกห่างแล้วกระโดดไปอยู่หน้าประตูก่อนจะผลักมันออก ภาพที่เห็นทำเอาเข่าแทบทรุด คนสองคนที่ยืนกอดกันผละออกทันทีเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ทั้งคู่พร้อมใจกันหันขวับไปมองผู้ที่เข้ามา รุตเดินตามเข้ามาเพ่นกบาลมานะอย่างที่เคยทำตอนมานะพุ่งพรวดเข้ามาอย่างครั้งก่อนๆ ทว่าครั้งนี้มานะกลับยืนมองหญิงสาวนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ
                เพชรงามคลี่ยิ้มบางๆ ส่งให้พร้อมเดินเข้าไปหา มานะเองก็เดินเข้าไปหาเธอเช่นกัน ทั้งสองมาพบกันที่กลางห้อง อ้อมแขนที่ผายออกของมานะวาดเข้ากอดอกตัวเองแน่น
                “งอนอ่ะ กอดคนอื่นทำไม” ถามด้วยน้ำเสียงและแววตาเจ็บปวดอย่างจริงจัง
                “ไม่มีอะไร มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ” เพชรงามเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องกลัวเขาเข้าใจผิดด้วย ไม่อยากให้เขามองเธอด้วยสายตาแบบนี้เลย
                “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้รักนวลสงวนตัว นี่คิดว่าสิ่งที่ผมบอกเป็นแค่คำพูดเล่นๆ แค่นั้นหรือไง”
                “ก็ฉันบอกว่าไม่มีอะไรไง” เสียงแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง
                “แล้วทำไมต้องกอดเค้าด้วย”
                “ก็เค้าเคยกอดฉัน...” มานะตั้งท่าจะเถียงแต่ก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกจุกกับคำพูดต่อมาของหญิงสาว “ในวันที่ฉันเคว้งคว้างที่สุด ในวันที่ฉันไม่มีนาย ในวันที่นายไปจากฉัน”
                “ผม...”
                “ฉันคิดว่าฉันอยู่ได้โดยไม่มีนาย แต่รู้ไหมฉันคิดถึงนายทุกวันเลยแทบจะทุกเวลาด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ต้องทำเป็นเฉยๆ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันอ่อนแอ บ่อยครั้งฉันอยากลืมนายไปซะ อยากให้มีใครสักคนมาแบกรับความรู้สึกที่ฉันให้นายไปแต่มันก็ไม่มีเลย ไม่มีใครที่ทำให้ฉันอยากให้ความรู้สึกนี้เหมือนนาย” คำพูดเคล้าน้ำตากัดกินเข้าไปในหัวใจของคนฟัง
                ร่างสูงดึงหญิงสาวเข้ามากอดอย่างแนบแน่น ปล่อยให้เธอซบหน้าลงกับอกแข้งแกร่งของเขา “ขอโทษนะครับ ผมเองก็คิดถึงท่านประธานแทบขาดใจ ผมคอยคิดตลอดว่าท่านประธานจะเป็นยังไงบ้าง คอยภาวนาให้ท่านประธานก้าวข้ามปัญหาไปด้วยดี ตอนที่เราอยู่ห่างกันผมก็เคยคิดจะตัดใจ ผมไม่อยากให้ท่านประธานตกต่ำเพราะผม แต่สุดท้ายผมก็ฝืนตัวเองไม่ได้ ไม่ได้เลยสักครั้ง”
                ห้องทั้งห้องเงียบสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ รุตและธวัชได้แต่มองภาพหญิงสาวชายหนุ่มกอดกันด้วยความอึ้ง ทึ่ง และประหลาดใจ พวกเขาจินตนาการไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะเห็นภาพเช่นนี้
                “ผมจะไม่ไปไหนอีกแล้วนะ” มานะเอ่ยออกมาเบาๆ ทว่ามั่นคงยามที่ผละออกจากกัน
                เพชรงามยิ้มละมุนแบบละลายใจคนมอง ดวงตาเรียวสวยมองข้ามไหล่มานะไปยังการ์ดส่วนตัวที่ยืนอ้าปากอยู่หน้าประตู
                “หุบปากด้วย” เธอสั่งเสียงเข้ม
รุตกระพริบตาปริบพร้อมหุบปากลงฉับ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ครู่ต่อมารุตก็ส่งสายตาประหลับประเหลือกไปให้มานะที่ลอบหันมายักคิ้วให้อย่างผู้ที่เหนือกว่า
                เพชรงามก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงตรงหน้า “ฉันต้องไปประชุมน่ะ ไปก่อนนะ”
                “อ้าว ผมเพิ่งกลับมานะ ยังไม่หายคิดถึงเลยครับ” คนว่าทำตาละห้อย
                “แล้วเจอกัน” ว่าจบเธอก็ตรงไปหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนทั้งสามมองเธออย่างอึ้งทึ่งอีกครั้ง เปลี่ยนโหมดได้รวดเร็วจริง
                “เห็นอะไรไหมพี่” มานะเดินเข้าไปหารุต
                “อะไร” กระชากเสียงนิดๆ ด้วยความหมั่นไส้
                “รัศมีความเป็นคุณผู้ชายในตัวผมไง” ว่าจบเขาก็หัวเราะกระตุกไหล่อย่างอารมณ์ดี แล้วเดินผ่านหน้าคนที่ไฟในตาลุกโชนไป “ไปหาลุงชาติดีกว่า”
                ณ มุมหนึ่งของห้องธวัชก้าวเดินด้วยท่าทางหงอยๆ ไหล่ห่อไปหารุต การ์ดหนุ่มยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ อย่างปลอบใจ
                “ไม่เป็นนะครับ พระเอกน่ะต่อให้กากแต่ไหนยังไงมันก็ชนะ แค่ชนะใจนางเอก โลกทั้งใบก็เป็นของมันแล้ว” คำพูดที่เหมือนจะช่วยปลอบแต่ฟังแล้วมันยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม
                “ซ้ำเติมฉันทำไม” ว่าโดยไม่มองหน้าอีกฝากแล้วเดินจากไป แค่นี้ตะปูที่ตอกลงในใจเขาก็มากจนไม่เหลือที่ว่างใดๆ แล้ว
                อกหักอย่างเป็นทางการ
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา