Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) น้องสาวของพี่ชาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                 เพชรงามพินิจกระดาษที่มีรูปดีไซน์ของนาฬิกาแต่ละเรือนแต่ละรุ่นที่วางเกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะทำงาน นาฬิกาเหล่านี้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ถ้าจะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องไม่ให้ซ้ำกับรูปแบบเดิมแต่ต้องคงคอนเซ็ปต์ของเฟรนซีเอาไว้

                คำถามก็คือจะทำแบบไหนดี?

                หญิงสาวเงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะมองผ่านผนังห้องไปยังวิวทิวทัศน์ข้างนอก นานหลายสิบนาทีก่อนก้มมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ จากนั้นจึงกดปุ่มอินเตอร์คอมเรียกการ์ดส่วนตัวให้เข้ามา

                “มีอะไรครับเจ้านาย”

                “ไปซื้อข้าวให้หน่อย หิว” 

                “ครับ” 

         

                เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วตอนที่รถเก๋งคันเล็กสีดำมะเมื่อมเคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณโรงรถที่มีรถยนต์คันหรูหลากรุ่นหลายสีจอดอยู่แล้วห้าคัน สารถีคนขับดับเครื่อง หญิงสาวผู้เป็นนายเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปตามทางลาดปูนที่ทอดไปสู่ตัวบ้านซึ่งเป็นตึกสูงสามชั้นอายุราวสามสิบปี หากมองจากข้างนอกจะเห็นถึงความงดงามที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและโมเดิร์นเอาไว้อย่างลงตัว

ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ความมืดครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้า แสงสว่างจากดวงไฟในบ้านช่วยสาดส่องให้ทางเดินนั้นไม่มืดมิดเกินไป หญิงสาวถอดรองเท้าออกวางไว้อย่างเป็นระเบียบที่ชั้นวางรองเท้าหน้าประตูบ้าน ชั้นล่างเป็นโถงกว้าง ประดับประดาด้วยสิ่งของเครื่องใช้ที่ดูดีมีราคา หากที่เด่นเป็นสง่าก็คงจะเป็นแจกันและกระถางดอกไม้ขนาดทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง เนรมิตให้ที่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแม้ยามไม่มีใครอยู่เลยเพียงสักคน

                ใกล้กับบันไดขึ้นชั้นสองคือห้องรับประทานอาหาร เพชรงามที่หมายจะขึ้นไปพักผ่อนจำต้องหยุดชะงักเท้า แล้วเดินเข้าห้องนั้นไปตามเสียงเรียกของบิดา บนโต๊ะอาหารมีบิดาของเธอนั่นอยู่ตรงหัวโต๊ะพร้อมพี่ชายทั้งสี่ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน หญิงสาวทรุดตัวลงข้างๆ หลานชายที่อายุย่างเข้าวัยรุ่นซึ่งเป็นลูกของพี่ชายคนรอง เธอส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อแม่บ้านเอาจานมาวางตรงหน้าให้

                “ไม่ทานล่ะลูก”

                “หนูทานมาแล้วค่ะ” เพชรงามตอบสิงห์ภพ “พ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “เปล่าหรอก” นายใหญ่แห่งเฟรนซีตักแกงเขียวหวานราดข้าวแล้วตักข้าวปาก ดูเจริญอาหารดีขึ้นจากก่อนหน้านี้ จนลูกคนโตอย่างสุริยาอดเอ่ยแซวไม่ได้

                “ไม่เห็นหน้าเธอแล้วพ่อทานอะไรไม่ลง” น้องสาวคนเล็กเหลือบมองพี่ชายคนโตอย่างไม่ให้ความเคารพนัก แม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันทว่าเธอกับบรรดาพี่ชายก็ไม่ได้สนิทสนมรักใคร่กันเลยสักนิด ยิ่งกับพี่ชายคนโตที่อายุห่างกันเกือบยี่สิบปีด้วยแล้ว สุริยาวัยสี่สิบกว่าออกไปสร้างครอบครัวอยู่ข้างนอกตามลำพัง เขามีลูกสาวคนหนึ่งอายุอ่อนจากเพชรงามเพียงห้าปี

                “เธอนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะไดมอนด์ ไม่รู้หรือว่าพ่อรอทานข้าวกับลูกรักอยู่น่ะ” ศิลาพี่ชายลำดับสองกล่าวขึ้นบ้าง เขารวบช้อนวางลงบนจานก่อนจะมองหน้าเพชรงามแล้วแค่นหัวเราะ ศิลาเป็นอีกคนที่ออกไปสร้างครอบครัวอยู่ข้างนอก เขามีลูกชายหนึ่งคน มักมีปัญหากับภรรยาอยู่บ่อยๆ และวันนี้ภรรยาของเขาก็ไม่ได้นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย

                “ถ้าพ่อรักฉันแบบเธอนะ ฉันจะทำตัวให้ดีกว่านี้” ฐานิชพี่ชายคนที่สามร่วมกระแนะกระแหนด้วย เขาแต่งงานมีลูกชายฝาแฝดวัยกำลังซน พักอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอ ในบรรดาพี่ชายทุกคนฐานิชคือคนที่ได้รับความเคารพจากเพชรงามน้อยที่สุด เพราะเขาเป็นคนขี้แกล้ง ชอบแหย่เย้ายั่วโมโหเธออยู่เรื่อย เขาคือลูกสมุนตัวเปี๊ยกของสุริยาและศิลา

                “พ่อก็รักเราทุกคนนั่นแหละครับ” คงจะมีก็เพียงแต่วิเชียรพี่ชายคนที่สี่ของเพชรงามที่คอยช่วยเหลือและโอนอ่อนให้เธออยู่บ้าง วิเชียรเป็นผู้ชายอบอุ่นและยังไม่ได้แต่งงาน

                เพชรงามนั่งหน้านิ่งสะกดกลั้นอารมณ์ ปล่อยเสียงนกเสียงกาผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องพากันเกลียดเธอด้วย ขนาดเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ชอบหน้าเธอเลย เธอไปทำอะไรผิดนักหนา บางทีเธอก็อดน้อยใจไม่ได้เวลาเห็นพี่ชายทั้งสี่พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน เธอก็อยากเข้าไปร่วมวงอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องบ้าง แต่พวกเขาก็ทำเป็นไม่เห็นเธอเหมือนเธอเป็นคนนอกไม่ใช่ 'น้องสาว'

                “นี่ๆ อาไดมอนด์” สินบดีที่นั่งข้างๆ สะกิดกระซิบอาสาว ก่อนยื่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเขาให้เธอใต้โต๊ะอาหาร “อาเล่นด่านนี้ให้ผมหน่อยสิ เล่นมาหลายวันล่ะ ไม่ผ่านสักที”

                “ตอนนี้เนี่ยนะ” มันใช่เวลาหรือไอ้หลานชาย แม้จะไม่สนิทกับเหล่าพี่ชายแต่กับหลานๆ นี่เธอซี้กันมาก

                “ตอนนี้แหละ ผมอยากเล่นต่อแล้ว เอาให้ผ่านเลยนะอา” สินบดีสำทับอย่างจริงจัง

                “มีรางวัลอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ”

                “เดี๋ยวเลี้ยงไอติม”

                “โอเค” รับโทรศัพท์มากดเริ่มเกมปริศนาที่ให้เดินหาของและกุญแจเพื่อไขประตูสู่ด่านต่อไปในเขาวงกตแข่งกับเวลาหนึ่งนาที

                “แกสามตัวนี่มันเป็นอะไรหะ ชอบไปว่าน้องมันอยู่ได้ โตแล้วหัดคิดหัดพูดอะไรให้มันน่าเคารพบ้างสิ” สิงห์ภพเอ็ดตะโรใส่ลูกชาย ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มแตงโมมากัดทานล้างปาก

                “แตะไม่ได้เลยนะครับพ่อ” สุริยาเบ้ปาก

                “แกก็พูดกันดีๆ”

                “ต้องให้พวกผมพูดว่า น้องไดมอนด์ครับ วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ ให้พี่ช่วยนวดให้ไหมครับ ทานอะไรหน่อยไหมครับเดี๋ยวพี่จะประเคนให้ แบบนี้เลยเหรอ เฮ่อ มันเสแสร้งดัดจริตเกินไป ผมพูดไม่ได้หรอกครับ” ศิลาประชดประชัน ให้คนเป็นพ่อส่ายหน้าเอือมระอา

                “น้องไดมอนด์คะ” พิมพาภรรยาสุริยาเรียกน้องสาวของสามีเสียงหวาน “ครีมที่พี่เอามาให้ทดลองใช้เป็นยังไงบ้างคะ ใช้ดีไหม ลูกค้าหลายคนบอกว่าใช้ดีมากๆ เลยค่ะ พี่ว่าจะลงทุนเอาดีทางนี้ น้องไดมอนด์ว่าดีไหมคะ”

                “มาทางนี้สิครับ” สินบดีกระซิบบอก ชี้มือไปที่หน้าจอโทรศัพท์

                “ทางนี้ไปไม่ได้ ถ้าไปยังไงก็ไม่รอดแน่” เพชรงามพึมพำเสียงเบาเมื่อตัวการ์ตูนในเกมมาถึงทางแยกสองทาง ก่อนตัดสินใจเดินไปทางหนึ่งที่ดูโล่งโปร่งไม่เหมือนอีกทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามและตัวแมลงเต็มข้างทาง

                “ดูสิดู ดูมันพูดสิ” สามีพิมพาถลึงตาใส่น้องสาวตัวดี “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ดีแต่ตัดความหวังคนอื่น กลัวว่าเขาจะดีจะเด่นเกินหน้าตัวเองล่ะสิท่า ดูลูกรักคุณพ่อสิครับ”

                “แกก็อย่าใส่ใจสิตาสุ” กล่าวปัดรำราญ

                “น้องไดมอนด์แล้วคุกกี้ที่พี่เอาไปให้ตอนเช้าล่ะคะ รสชาติเป็นยังไงบ้าง ฝีมือพอจะเปิดร้านได้ไหมคะ” นารีภรรยาฐานิชถามขึ้นหมายจะอวดอ้างฝีมือเอาชนะพิมพา

                “ไม่ทันแล้ว” หนุ่มวัยสิบเจ็ดลุ้นอย่างตั้งอกตั้งใจกับเวลาที่ใกล้หมดเต็มที

                “กาก” เธอจะเก็บกุญแจได้อยู่แล้วแต่เวลาดันมาหมดซะก่อน ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคำอุทานของตัวเองทำให้ผู้ร่วมโต๊ะสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน

                พิมพายิ้มเยาะเบาๆ ให้กับใบหน้าที่เจื่อนลงของนารี

                “อย่าไปฟังมันครับที่รัก ทีหลังไม่ต้องทำอะไรไปให้มันกิน” ฐานิชปลอบใจภรรยาที่แสนรักแสนใคร่ “คิดว่าตัวเองเป็นประธานใหญ่โต แล้วจะทำอะไรไม่เกรงใจใครหน้าไหนก็ได้หรือไง คิดว่าพวกฉันอ่อนสู้แกไม่ได้ใช่ไหม”

                “ปีศาจตามเรามาแล้ว” เด็กหนุ่มว่าเสียงเบา

                “ตามฉันไม่ทันหรอก” ปีศาจร้ายมันวิ่งตามท้ายเข้ามาประชิดมากขึ้น

                “ยายไดมอนด์ มันจะเกินไปแล้วนะ” สุริยาวางกำปั้นลงบนโต๊ะ

                “พอเถอะน่า” คนอาวุโสสูงสุดห้ามไว้ก่อน “ไดมอนด์ ส่งจานช่อม่วงให้พ่อหน่อยสิ”

                ไร้การตอบสนองต่อคำสั่ง ทั้งโต๊ะเงียบและจ้องไปที่น้องสาวคนเล็กซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนมือที่ซ่อนอยู่บนตักไปหยิบจานขนมช่อม่วงที่วางอยู่ข้างๆ ให้คนเป็นพ่อ ความเฉยชายิ่งเป็นการเพิ่มโทสะของพี่ชายทั้งสามให้แรงกล้ามากขึ้น มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ

                “ยายไดมอ...!”

                “เย้!” สองอาหลานร้องขึ้นมาทำลายบรรยากาศมาคุที่ทั้งสองไม่ได้สนใจเลย เหมือนเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ในเกมออกมาสู่โลกแห่งความจริง

                “ผ่านแล้วๆ ฮู้” สินบดียิ้มกว้างพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ลุกขึ้นยืนโลดเต้นเอาโทรศัพท์ในมือไปอวดคุณปู่ “คุณปู่ดูสิ อาไดมอนด์เก่งมากเลย ได้สกอร์เต็มห้าดาวเลย” คุณปู่ยิ้มร่าอย่างเอ็นดู พร้อมกับที่เจ้าฝาแฝดสองคนกระโดดลงจากเก้าอี้มาเต้นรอบคุณปู่ตามพี่ชายด้วย

                “นี่เธอสองคนแอบเล่นโทรศัพท์กันงั้นเหรอ ไม่ได้สนใจไยดีอะไรพวกฉันเลยใช่ไหม” สุริยาโวยวายเสียงกราดเกรี้ยวยามมองใบหน้าใสซื่อของน้องสาว เขาลุกผึงเดินจากไปทันที

                “น่ารักกันจริงๆ เลยหลานปู่ ต้องให้รางวัลซะแล้ว เอ้า เต้นอีกๆ”

 

                เพชรงามล้มตัวลงไปนอนบนเตียงหนานุ่มของตัวเอง ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มนวมผืนใหญ่ที่มีกลิ่นหอมของดอกมะลิอ่อนๆ โชยมาช่วยให้นอนหลับง่ายและสบายขึ้น เธอหลับตาพริ้มยามได้สัมผัสถึงการพักผ่อนอันแสนสงบ คนเรามักจะเบื่อสถานที่เดิมๆ แต่เหตุใดบ้านจึงเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด

                งีบหลับไปได้สักพักเพชรงามก็ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างกระจกใส จัดขาตั้งสำหรับวาดรูปให้เข้าที่ก่อนจะลงมือละเลงสีน้ำลงไปบนแผ่นกระดาษซึ่งมีภาพวิวทะเลที่หญิงสาวร่างไว้แล้วเมื่อคือวาน เธอชอบลุกขึ้นมากลางดึกตอนที่ทุกคนในบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว บรรยากาศตอนกลางคืนมันสงบ ลึกล้ำ ดูเวิ้งว้าง และบางครั้งก็น่ากลัว เหมาะกับการมานั่งคิดนั่งวาดจรดจินตนาการลงไป

                เพชรงามหลงใหลการวาดรูปมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก เธอรู้สึกมีความสุขและภูมิใจเสมอหากผลงานภาพวาดของเธอเสร็จออกมาเป็นชิ้นเป็นอันและต้องเป็นภาพที่เธอพึงพอใจด้วย บางรูปเธอก็นั่งสร้างมันขึ้นมาเป็นสัปดาห์ทว่ากลับรู้สึกไม่พึงใจกับมันจึงขยำแล้วโยนทิ้งขยะ สิ่งที่มันไม่ใช่ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ทิ้งมันไปให้พ้นหูพ้นตาดีกว่า

                เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตามที่ใจต้องการแล้วเธอจึงเดินไปปิดไฟห้อง กลับมาไหว้พระที่หมอนก่อนจะเอื้อมมือไปดับแสงสว่างจากโคมไฟบนโต๊ะเล็กข้างเตียง จากนั้นจึงปล่อยตัวเองลงไปในห้วงนิทราจนถึงเวลารุ่งสาง

 

               คนส่งของทั้งสองนั่งช่วยกันแยกกระดาษสามกองออกมาเย็บเป็นชุดๆ อยู่ในห้องเก็บของซึ่งเป็นห้องประจำการของพวกเขา ภายในห้องมีกล่องสินค้าและกองกระดาษตั้งอยู่มากมาย พวกเขาพูดคุยเรื่องกีฬากันอยู่อย่างออกรสชาติ หากคนหนึ่งเผลอว่าแซะทีมของอีกคน ก็จะออกโรงถกเถียงปกป้องราวกับตัวเองเป็นผู้เล่นในทีมนั้น บางทีก็แย่งกันพูดยกย่องสรรเสริญถึงสรรพคุณของทีมตัวเอง สักพักชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งก็เปิดประตูยกกล่องพัสดุเล็กๆ เข้ามา

                “ช่วยเอาไปส่งให้บริษัทบิวตี้พลีสหน่อย แล้วนี่แผนที่” เขาวางกล่องพร้อมกระดาษแผนที่ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่อยากอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ นี่นานนัก

                มานะละมือจากงานที่ทำอยู่ ก่อนบอกเพื่อนร่วมงาน “ฉันเอาไปส่งเอง”

ประสิทธิ์พยักหน้า

                มานะลุกขึ้นบิดไล่ความเมื่อยขบ เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นสาวหน้าหวานที่มานะจำได้ว่าเป็นหนึ่งในโอเปอเรเตอร์สาว เธอยิ้มให้เขาแบบยั่วยวนใจ

                “ช่วยเอาของไปส่งที่ห้องประธานหน่อยนะคะ” หนุ่มตาคมรีบรูดไปรับถุงกระดาษใบใหญ่ติดโลโก้ของแบรนด์กระเป๋าชื่อดัง หญิงสาวใช้นิ้วก้อยเกลี่ยมือเขาเบาๆ ก่อนเดินจากไป

                “อ่อยจัง” เพื่อนร่วมงานของมานะว่าขึ้น

                “น้องชมพูนะเหรอ”

                “แกนั่นแหละไอ้โม่” คนขี้อ่อยจัดแต่งหมวกบนหัวให้เข้าที่อย่างไม่สนใจคำชมนั้น

                “ไอ้บิวตี้พลุสบิวตี้พลีสอะไรนั่น แกเอาไปส่งนะ” ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก

                “ได้ไงล่ะ ก็แกบอกเองว่าจะเอาไปส่ง แกก็ไปเองสิ” โวยวายปฏิเสธทันควัน

                “ก็ฉันจะเอาของไปให้ท่านประธาน”

                “ของท่านประธาน เดี๋ยวฉันเอาไปให้เองก็ได้ ดีเหมือนกัน ตั้งแต่ทำงานที่นี่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าท่านประธานเลย”

                “ไม่ได้ๆ” ใครจะเสนอหน้าไปหาท่านประธานไม่ได้เด็ดขาด “ต่อไปนี้ของที่ต้องส่งให้ท่านประธานฉันจะรับผิดชอบเอง แกห้ามยุ่ง”

                “ของแบบนี้ใครเร็วใครได้สิวะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นไปฉวยถุงกระดาษจากมือเพื่อนแล้ววิ่งออกไปทันที มานะสบถคำหยาบตามหลังลั่นก่อนออกวิ่งตามไปแย่ง เขาวิ่งไปประชิดตัวแล้วกระโดดขึ้นขี่หลังประสิทธิ์ กัดเข้าไปที่หัวไหล่ของหัวขโมยแล้วดึงถุงกลับคืนมา

                “โอ๊ย! ไอ้โม่! ไอ้หมาบ้า!” กุมหัวไหล่ไว้ด้วยความเจ็บปวด

                “โทษทีเพื่อน” ว่าเสียงร่าเริงก่อนจะแกว่งกระเป๋าเดินจากไป

                “แกเอากล่องนั่นไปส่งด้วย ฉันไม่ทำนะ ปวดไหล่ไปไม่ไหวแล้ว”

                มานะหันไปมอง “เออ เดี๋ยวเอาไปส่งเอง”

                ตะโกนตอบกลับก่อนจะหายเข้าไปในลิฟต์ 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา