Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) เข้าไปเล่นกับไฟ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
                ตลอดวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ยันตะวันลับไปมานะต้องอยู่จัดการสะสางเรื่องราวต่างๆ กับป้าสิตา แม้ใจจะบินไปไหนต่อไหนแล้วก็ตาม ป้าพาเขาไปจัดการเรื่องเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง พาไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ที่นั่น ทั้งยังบังคับให้เขาตัดผมแต่ก็ไม่สำเร็จ ป้าบอกว่าตอนที่เขาไม่อยู่จะจ้างพยาบาลพิเศษให้ดูแลพ่อ
                “โม่อยากได้อะไรอีกไหม” ป้าสิตาถามหลังจากชำระเงินค่าข้าวของเครื่องใช้เสร็จ มานะส่ายหน้าพลางมองของที่พะรุงพะรังเต็มมือแล้วกลอกตาหน่ายๆ ความจริงข้าวของพวกนี้ป้าเป็นคนเลือกเองเกือบทั้งหมด ไม่รู้จะให้เขามาด้วยทำไม
                พอกลับมาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว ทันทีที่ก้นถึงพื้นชายหนุ่มก็รีบกุลีกุจอรื้อข้าวของมาจัดใส่กระเป๋า และแน่นอนว่ามันไม่เป็นระเบียบเลยสักนิด
                “จัดดีๆ สิโม่” เสียงแหลมเฉียบบอก
                “อ้าว ป้ายังไม่กลับอีกหรือครับ” เมื่อครู่ตอนมาส่งเขาเสร็จเธอก็กลับรถออกไปแล้วนี่
                “พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมคืนของให้น่ะ” เธอว่าพร้อมยื่นกล่องกระดาษลังใหญ่มาให้ มานะรับมันมาอุ้มไว้ไม่ได้อยากรู้นักว่าข้างในมีอะไรอยู่เพราะจิตใจกำลังกระวนกระวายอยากเจอใครบางคน“ความจริงมันมีเยอะกว่านี้นะ แต่อันก่อนๆ คุณยายเผาทิ้งไปแล้ว ป้าเก็บไว้ให้ได้แค่นี้แหละ”
                “ป้ากลับเถอะฮะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว สำหรับวันนี้ขอบคุณมากนะครับ”
                “จ้ะ งั้นป้าไปล่ะ เราเองก็รีบนอนแต่หัววันเลยนะ เดี๋ยวสักหกโมงเช้าป้ามารับ” ว่าจบเธอก็เดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม
                มานะหันมาเก็บของที่ต้องการลงกระเป๋าต่ออย่างรีบเร่ง ไม่นานกระเป๋าเดินทางใบใหญ่กับกระเป๋าเป้อีกใบก็นอนกองกันอยู่ข้างโซฟา ชายหนุ่มวิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกมาหากก็โดนเบรกไว้ด้วยเสียงเรียกจากคนบนเตียง
                “แกจะรีบไปไหนนักหนาไอ้โม่” บุญมีที่มองอากัปกิริยาเหมือนหนูติดจั่นของลูกชายอยู่นานถามขึ้น ถ้ามันหายตัวได้ก็คงทำไปแล้วละมัง
                “ไปหาแฟน” ตอบเองเขินเองแล้วเดินมาหาพ่อ
                “เหอะไอ้นี่...” ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ใช่นังหนูที่แกพามาวันนั้นหรือเปล่าวะ”
                “ใช่ เป็นไงพ่อผ่านไหม” มานะมองพ่อของเขาด้วยความดีใจ ที่เวลานี้พ่อเขาเปลี่ยนไปราวคนละคนกับที่ผ่านมา ดูมีสติ คุยด้วยได้แบบไม่ต้องเกรง
                “ก็พอใช้ได้”
                “นั่นแน่ะ ใช้ได้ดีเลยล่ะ” มานะเยินยออย่างออกนอกหน้า “ไปก่อนนะพ่อ”
                “แล้วกล่องนั่นมันอะไรวะ ไม่เปิดดูหน่อยเหรอ” บุญมีเสสายตาไปมองกล่องกระดาษที่สิตาส่งให้มานะ
                “พ่ออยากรู้เหรอ” บุญมีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างมีมาด ศีรษะเกือบผงกตกจากลำคอแล้วกับคำพูดต่อมาของลูกชาย“ไปเปิดเองดิ”
                “ไอ้โม่ ไอ้ลูกหมา” ส่งสายตาค้อนไปให้อย่างเจ็บใจกับความกวนบาทาของลูกชาย
                “ก็ได้ๆ เดี๋ยวเปิดให้” สุดท้ายเรื่องของเพชรงามก็ถูกพับเก็บไว้ก่อน ชายหนุ่มเดินไปอุ้มกล่องกระดาษมาวางบนเตียงคนไข้ที่หยัดตัวลุกขึ้นมา มือแกร่งเปิดฝากล่องออก ชะโงกหน้าเข้าดูของข้างในพลางหยิบมันออกมาให้พ่อดูด้วย มันคือซองจดหมายปึกใหญ่หลายปึก มีของบ้างเล็กๆ น้อยๆ จำพวกหุ่นยนต์ เครื่องเล่นเกม เสื้อผ้าเด็กผู้ชาย และดีวีดีการ์ตูน ยังมีห่อคุกกี้ขึ้นราด้วย มานะชะงักกึกตอนอ่านหน้าซองจดหมายซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ... อ่านไม่ออก
                “สงสัยเป็นของแม่” ว่าพลางเงยหน้ามองพ่อ ดวงตาอ่อนล้านั้นมีฉายแววอ่อนโยนทันที
                “อ่านสิ อ่านให้ฉันฟังด้วย” บุญมีหยิบหุ่นยนต์ตัวน้อยซึ่งเขาไม่เคยซื้อให้ลูกเล่นเลยมาจับไว้
                มานะฉีกซองจดหมายและคลี่แผ่นกระดาษข้างในออก
“ถึงโม่ลูกรัก หวังว่าลูกคงได้รับหุ่นยนต์แล้วนะ ชอบไหมเอ่ย? แล้วคุกกี้นั้นอร่อยไหม? แม่ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ แม่รอโม่อยู่นะจ๊ะลูกรัก ช่วงนี้เรียนเป็นยังไงบ้างคนเก่ง เรียนหนักไหม ยากหรือเปล่า เพื่อนกับคุณครูเป็นอย่างไรบ้าง แม่คงถามมากเกินไปแล้วสินะ ตอนนี้แม่มาช่วยป้าลูน่าขายเบเกอรี่ ที่บ้านอากาศเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่เริ่มหนาวแล้วล่ะ อยากกอดลูกจังคงอุ่นน่าดูเชียว วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหลังแม่จะเขียนไปใหม่ ดูแลตัวเองและดูแลพ่อด้วย รักโม่เสมอ ...แม่”
                แค่แผ่นแรกก็ทำเอาพ่อลูกทั้งสองน้ำตาคลอไปตามๆ กัน หลังจากอ่านจบมานะก็พ่นลมหายใจออกมา หวังจะคลายความรู้สึกบางอย่างที่เข้ามาจุกอยู่ในอกจนหนักอึ้ง หากรู้สักนิดว่าเธอรักเขาเพียงนี้เขาจะไม่เกลียดชังเธอเลย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกสารเลวเกลียดแม่ได้ลงคอ
                “อ่านต่อสิ” น้ำเสียงกระเส่าของคนเป็นพ่อบอก
                “ทำใจก่อนพ่อ” มานะยกมือทุบอกแล้วเงยหน้ากระพริบตาให้น้ำใสๆ กับความรู้สึกมากมายไหลลงเก็บไว้ให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงเริ่มอ่านแผ่นต่อๆ ไป
                เวลาล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่ม มานะหยุดอ่านแล้วบอกให้ผู้เป็นพ่อนอนพักได้แล้ว ทีแรกบุญมีทำท่าไม่ยอมก็พอดีมีหมอเดินเข้ามาเช็กดู เขาจึงยอมนอนแต่โดยดีตามคำสั่งของหมอ มานะเดินไปปิดไฟหอบจดหมายมานั่งอ่านต่อบนเก้าอี้หน้าห้อง ความเงียบ ความเหงา และความเศร้าปนสุขเกาะกินหัวใจจนเหน็บชาไปทุกอณู กว่าจะอ่านจบทุกฉบับก็กินเวลาไปถึงตีหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มเก็บข้าวของลงกล่องอย่างเดิมแล้วเดินเอาไปวางไว้ในห้อง ฉวยกุญแจมอเตอร์ไซค์พ่อมาหากในใจก็ยังลังเลอยู่ว่าไปเวลานี้มันจะเป็นการรบกวนเธอหรือเปล่า
                คนที่ยอมรับว่าตัวเองด้านพอยืนเคาะประตูห้องห้องหนึ่ง นานทีเดียวกว่าแสงไฟในห้องจะสาดส่องเล็ดลอดช่องประตูออกมา พร้อมกับที่ประตูค่อยๆ แง้มเปิดขึ้น ตาคมมองนิ่งไปยังผู้อยู่หลังประตูที่ไม่มีอาการงัวเงียจากการนอนหลับอยู่เลย ดวงตาเรียวสวยของเธอเบิกกว้างเล็กน้อยตอนเจอเขาก่อนจะเปลี่ยนเป็นปกติดังเดิมอย่างรวดเร็ว
                “มีอะไร มาทำไมดึกดื่น...” คำพูดของเพชรงามยังออกมาไม่หมดแต่เธอก็ต้องชะงักมันไว้เมื่อร่างสูงถาโถมตัวเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
                “แป๊บหนึ่งนะ”
                “อะไร” น้ำเสียงสั่นๆ เป็นผลมาจากหัวใจที่หวั่นไหว
                “ขออยู่แบบนี้แป๊บหนึ่งนะ” คนว่าใช้คางเกยไหล่หญิงสาวไว้ เขาเคยได้ยินมาว่าการกอดจะทำให้เราสัมผัสได้ว่าคนคนนั้นรู้สึกอย่างไรกับเรา ซึ่งหัวใจที่เต้นตุบตับรัวเร็วไม่ต่างจากของเขาก็คงบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร และอีกอย่างการกอดจะช่วยส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ผ่านให้อีกฝ่ายขณะเดียวกันก็ได้ตักตวงเอาความรู้สึกดีๆ มาเก็บไว้
                ท่อนแขนเรียวที่วางทิ้งข้างลำตัวค่อยๆ ยกขึ้นโอบเอวร่างสูงเพื่อกอดตอบบ้าง เธอรอเขามาทั้งวันเฝ้าคอยว่าเมื่อไหร่จะโผล่หัวมาเสียที ตอนไม่อยากเจอก็มาให้เห็นดีแท้พออยากเจอกลับหายไปไม่มีวี่แววแม้แต่เงา กระนั้นเธอก็ยังเฝ้ารอคอยเขาอยู่จนถึงนาทีนี้
                “พอแล้วมั้ง” เสียงใสว่าขึ้นเมื่อเวลาล่วงผ่านมาเนิ่นนาน ทั้งคู่ค่อยๆ ผละออกจากกัน “นายไม่เตรียมตัวเดินทางเหรอ จะไปกี่โมง”
                “ป้าบอกจะมารับหกโมง”
                เพชรงามก้มดูนาฬิกาข้อมือ “ตีสองแล้ว กลับไปเลยนะ”
                “โธ่ จะไล่อะไรนักหนาเนี่ย ถ้าอยากไปก็ไปเองแหละ” ว่าเสียงงอแงพลางทำปากบู้
                “กลับไปพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้” เธอเว้นวรรคไปนิดก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังฉีกยิ้มกว้าง “ฉันเป็นห่วง”
                “อย่ายิ้มแบบนี้สิครับ” มานะทำท่าบิดตัวไปมา เพชรงามหุบยิ้มแล้วตีหน้าขรึมดุ
                “จะกลับไม่กลับ”
                “โอเค กลับก็ได้ คนใจร้าย” ว่าอย่างแสนงอน ก่อนจะคว้ามือหญิงสาวมากุมไว้ บอกอ้อนๆ ด้วยคำว่า “รอผมนะ”
                “เออ”
                “ขอเพราะกว่านี้”
                “อือ”
                “ตอบเป็นประโยค”
                “กลับไปได้แล้ว” น้ำเสียงขึงขังพลางดึงมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมนั้น
                “เฮ้ย” อุทานอย่างขัดใจ “ผมยังพูดคำลาไม่หมดเลยนะ”
                “จะลาอะไรนักหนา จะไปดาวอังคารหรือไง”มานะเบ้ปาก
                “อย่าลืมคิดถึงพี่โม่คนนี้นะ ผมเองก็คงจะคิดถึงท่านประธานมากแน่ ดูแลตัวเองด้วย ผมรู้ว่าท่านประธานเก่งแต่ก็ต้องรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง อะไรที่ไม่ไหวก็อย่าฝืน อย่าไปเครียดตลอดเวลา อ้อ อย่าเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนนะ อย่าให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัว ถ้าเป็นไปได้อย่ายิ้มให้ใครเชียว... เอ่อลืมไป ปกติก็ไม่เคยยิ้มอยู่แล้วนี่นา” เขายิ้มทะเล้นเรียกค้อนวงงามจากคนหน้าตาย “สุดท้ายล่ะ ตั้งใจฟังนะ”
                มานะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบเบาๆ ข้างหู ไม่วายฉวยโอกาสหอมแก้มนวลของหญิงสาวแล้ววิ่งแจ้นไปทันที
                เพชรงามยืนนิ่งยกมือลูบข้างแก้มที่เห่อร้อนของตนไว้ คำพูดของเขายังวนเวียนในโสตประสาทก้องไปก้องมา เธอมองตามร่างสูงนั้นไปจนลับสายตา “โชคดีนะ”
 
แสงแรกของเช้าอีกวันสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงสะดุ้งโหยงทันที เธอเม้มปากแน่นแล้วมองไปที่ประตู ภาวนาในใจให้เขาเปลี่ยนใจกลับมา เพชรงามเดินไปเปิดประตูด้วยหัวใจที่เต้นระริก ใบหน้าคุ้นตาของชายที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น
                “เจ้านาย” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมา ข้างตัวมีกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่
                “รุต” เพชรงามมองการ์ดหนุ่มที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แม้จะผิดหวังที่ไม่ใช่เขาคนนั้นแต่เธอก็ดีใจที่เห็นชายหนุ่มผู้เป็นเสมือนเงาของเธออีกครั้ง “นายมาได้ยังไง”
                “ไอ้โม่โทรไปบอกเมื่อคืนว่าเจ้านายอยู่ที่นี่ แล้วมันอยู่ไหนล่ะครับ” เขาชะเง้อหน้าเข้าไปสอดส่องข้างในห้อง
                “ไม่อยู่หรอก” เธอบอกเสียงเศร้า
“อ้าว ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ”
“แล้วทำไมต้องอยู่ด้วยกัน” ถามเสียงดุ “นายจะมาเป็นภาระฉันทำไมเนี่ย”
“พูดแบบนี้ผมเสียใจนะ ผมน่ะกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยครับตอนไม่มีเจ้านายอยู่ด้วย ถ้าผมไม่ได้เจอเจ้านายอีกสักสองสามวันผมต้องขาดใจตายแน่ๆ เลยครับ...”
เพชรงามส่ายหน้าเอือมระอากับการพล่ามเพ้อเกินจริงของการ์ดหนุ่ม เธอดันประตูหมายจะปิดมันเสีย แต่รุตกระแทกตัวรั้งไว้ก่อน
“คนอะไรใจร้ายจัง ไม่ชวนเข้าห้องไม่พอยังจะปิดประตูใส่อีก” คนใจร้ายส่งค้อนไปทุบกระบาลหนักๆ แล้วเดินเข้ามาข้างในห้อง
                หญิงสาวเดินทิ้งเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วตามเข้าไป สายตาสำรวจห้องเล็กแคบด้วยความหดหู่ มองหญิงสาวด้วยความสงสารก่อนจะล้มตัวนั่งข้างเธอ
                “นายไม่ควรมาที่นี่ นายควรอยู่คอยดูแลพ่อแทนฉัน” ว่าด้วยน้ำเสียงทอดอาลัย แววตาเธออ่อนลงอย่างโศกศัลย์
                “คนคอยดูแลคุณท่านมีเยอะแยะครับ แต่เจ้านายไม่มีใครเลย” หนุ่มส่งกระเป๋าใบหนึ่งให้เธอ “ผมเอาเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นมาให้ด้วย แล้วท่านประธานมีแผนจับคนร้ายหรือยังครับ ไอ้รุตคันไม้คันมือแย่แล้ว”
                “ก็คิดๆ ไว้บ้างแล้ว”
                “ว่าแล้วก็เจ็บใจไอ้พวกแซนไทม์จริงๆ เจ็บใจไอ้โม่ด้วย โยนขี้ให้คนอื่นแล้วหายหัวไปไหนของมัน” ว่าใส่อารมณ์อย่างไม่พอใจไอ้ตัวต้นเหตุ
                “โม่ไม่ได้บอกนายเหรอว่าจะไปไหน”
                “ไม่เห็นมันบอกอะไรเลย บอกแค่ว่าดูแลหัวใจของมันดีๆ” ประโยคหลังเขาจ้องเพชรงามด้วยสายตาจับผิด ไม่อยากคิดเลยว่าระหว่างที่เขาไม่มีบทบาทจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
                “มองหน้าฉันแบบนั้นมีปัญหาอะไร” หญิงสาวทนเก็บความเก้อเขินเอาไว้ แสดงออกเพียงความเคร่งขรึม
                “เปล๊า”
                “แล้วนายจะไปอยู่ที่ไหน” เธอถามเปลี่ยนเรื่อง
                “ก่อนขึ้นมาผมถามอาม่าข้างล่างแกบอกว่าเหลือห้องพักอยู่ห้องหนึ่ง แต่อยู่ชั้นสามโน่น” น้ำเสียงเสียดายที่ไม่ได้อยู่ปกป้องเธอใกล้ๆ
                เพชรงามยิ้มอ่อนๆ ให้เขา “ขอบใจนะ”
                “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ที่นั่นก็ไม่มีความสุขเท่าอยู่กับเจ้านายหรอก” ยิ้มแฉ่งหัวใจพองโตกับรอยยิ้มตรงๆ ที่เธอให้เขาเป็นครั้งแรก ก่อนจะเอ่ยปากฟ้อง “เจ้านายรู้ไหม คุณแจ็คย้ายผมไปเป็นเด็กส่งของด้วย”
                หญิงสาวทำหน้าแปลกใจ รู้สึกไม่พอใจกับการที่พี่ชายย้ายการ์ดของเธอซึ่งมีความสามารถเก่งกาจไม่น้อยไปทำงานแบบนั้น หากก็เอ่ยติดตลกออกมาเพื่อให้เขาและเธอเองสบายใจ “หน้านายดูไม่น่าไว้ใจมั้ง”
                “ฮึ่ย เพราะไอ้โม่นั่นแหละ”
                “เลิกโทษหมอนั่นสักที” เธอเถียงพลันเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ชอบให้ใครมาว่าของของตัวเอง รุตจำต้องเงียบไปเพราะสังเกตได้ว่ายามเอ่ยถึงอดีตเด็กส่งของสีหน้าของเจ้านายคล้ายจะเศร้าลง
 
                หลังจากที่รุตนำของไปจัดเก็บที่ห้องเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินลงไปซื้อข้าวมันไก่เพราะทนเสียงท้องร้องของตัวเองไม่ไหว จากนั้นก็หิ้วมันมาทานที่ห้องเพชรงาม
               “เจ้านายผมซื้อข้าวมันไก่มาให้” เขาชูกล่องข้าวให้หญิงสาวที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างใส่กระดาษบนเตียงดู เธอพยักหน้าก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งบนโต๊ะข้างการ์ดหนุ่ม รุตหยิบกระดาษที่เพชรงามวางไปกลางโต๊ะขึ้นดู ในนั้นเขียนข้อความเป็นข้อในสามคอลัมน์ซึ่งแบ่งเป็นสาเหตุ ผลที่เกิด และวิธีแก้ไข มีปากกาสีแดงโยงเส้นไปมาระหว่างข้อความทั้งสามคอลัมน์ บางข้อกากบาททับไป บางข้อดอกจันเอาไว้ “เราจะเริ่มจากตรงไหนหรือครับ”
               คนที่กำลังดึงหนังยางรัดกล่องข้าวออกชะงักมือแล้วคว้ากระดาษมาวางแผ่บนโต๊ะ ใช้นิ้วชี้ตามยามอธิบายให้ผู้ร่วมกระบวนการฟัง
               “ตอนแรกฉันคิดว่าน่าจะมีหลักฐานอะไรบ้างที่จะบ่งบอกว่าสินค้าของแซนด์ไทม์ก๊อบปี้ของเฟรนซี แต่ถ้าลองทำได้ขนาดนี้คงทำลายหลักฐานพวกนั้นทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ก็ปลอมแปลงเป็นของตัวเองซะ กาข้อนี้ทิ้งไป ข้อสองถ้าเราจะหาพนักงานมายืนยันว่านี่เป็นสินค้าของเราจริงๆ ฝ่ายนั้นก็ต้องหาตัวแทนมาได้เหมือนกัน ตัดข้อนี้ออก ส่วนข้อสามคือการหาหนอนบ่อนไส้จากพวกเรา แต่คงยากเพราะฉันบอกจะไม่เข้าบริษัทอีกจนกว่าจะหาความจริงได้ ส่วนนายก็ออกมาแล้ว”
               “ผมขอโทษ ไม่รู้ว่าเจ้านายมีแผนแบบนี้นี่” คนพูดยิ้มแหยๆ
               “ช่างเหอะ ยังไงเราก็ลักลอบหรือหามือคนที่ไว้ไจได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ก็ได้” ว่าอย่างคนมองโลกในแง่ดี “และวิธีสุดท้าย คือทำให้หมอนั่นยอมสารภาพผิดออกมาให้ได้”
               ทันทีที่ว่าจบรุตก็ระเบิดเสียงหัวเราะราวกับสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องตลกขบขำ “มันได้กำไรมหาศาลขนาดนั้น คงจะยอมสารภาพง่ายๆ หรอกครับ ถ้าเป็นผมนะฆ่าให้ตายผมก็ไม่พูดออกมาเด็ดขาด”
               มือเรียวหยิบแตงกวาแว่นยัดใส่ปากลูกน้องอย่างหมั่นไส้
               “ก็มันจริงนี่นา” รุตว่าเบาๆ ก่อนจะตักข้าวคำโตใส่ปาก
               “ไปคุยกับไอ้หมอนั่นตรงๆ เลยไหมล่ะ ถ้าคิดในแง่ดีเค้าอาจจะได้แบบนาฬิกาจากทีมออกแบบ แล้วทีมออกแบบนั่นอาจจะมีใครมาขโมยงานของเราไป ถ้าเราบอกเค้า เค้าก็อาจจะลองไปสอบถามลูกน้องแล้วสาวเรื่องให้เรา สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบตรงที่ฝ่ายนั้นคืนแบบให้เรา”
               “มุกใช่ไหม” รุตอ้าปากหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังกว่าครั้งแรกเสียอีก “เจ้านายเป็นคนโลกสวยตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย โอ๊ย ขำ ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างที่เจ้านายพูด คงพลิกล็อคน่าดู”
               “ไม่ลองก็ไม่รู้น่า” กระแทกเสียงแล้วตักข้าว ก้มหน้าทานโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
               เราต้องรีบเข้าไปตอนที่ไฟมันยังลุก ถึงจะเจ็บมากหน่อยตอนล้วงเข้าไปในกองไฟก็ดีกว่าปล่อยให้เปลวไฟมันแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดจนไม่เหลืออะไรที่ต้องการ
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา