Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.58K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ในวันที่เราต้องจาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                เพชรงามขยับตัวตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด ด้วยความไม่คุ้นที่คุ้นทางทำให้หล่อนหลับได้ไม่เต็มตานัก แม้จะยังมีอาการงัวเงียเพลียล้าแต่เธอก็เลือกที่จะไปล้างหน้าล้างตาแทนที่จะนอนต่อ หญิงสาวในชุดตัวเดิมกับเมื่อวานลงไปเลือกดูเสื้อผ้าถูกๆ จากในตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก เธอเลือกมาสองชุดที่พอจะใส่ได้ซึ่งราคาทั้งหมดนั้นถูกกว่าเสื้อตัวเดียวที่เคยซื้อตามปกติเสียอีก เพชรงามกลับขึ้นมาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงผ้าบางก่อนจะลงไปนั่งทานน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ที่ร้านด้านหน้าแฟลต

                เธอฉีกปาท่องโก๋จิ้มน้ำเต้าหู้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยอย่างกระหายหิว เมื่อวานนั้นไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลยนอกเสียจากน้ำเปล่า หญิงสาวทอดตามองคนในร้านซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นผู้มีอายุที่มานั่งเกาะกลุ่มเสวนากัน บรรยากาศสดชื่นยามเช้ากับผู้คนที่มีใบหน้าแจ่มใสทำให้ใจคนมองฉ่ำชื่นไปด้วย ภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมคือรอยยิ้มสดใสของคนที่กระตือรือร้นกับการเรียนรู้โลกใบใหม่ เสียงพูดคุยของโต๊ะข้างๆ ทำให้หญิงสาวต้องหันไปมอง คุณปู่คนหนึ่งกำลังชี้ให้หลานชายตัวน้อยดูนกกระจอกที่ส่งเสียงจิ๊บจ๊าบบินเล่นอยู่ตามเส้นเสาไฟ

                เห็นแบบนั้นก็พลอยคิดถึงชายชราผู้เป็นดวงใจของเธอ เพชรงามล้วงเอาโทรศัพท์ที่หย่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมากดเปิดเครื่อง เห็นมิสคอลอยู่เกือบห้าสิบสายจากหลายเบอร์โทร หากเธอก็เลือกที่จะโทรกลับเพียงเบอร์เดียว... ซึ่งเป็นเบอร์ที่โทรเข้ามามากที่สุด ไม่นานปลายสายก็กดรับ

                “ไดมอนด์ ลูกอยู่ไหน” น้ำเสียงห้าวพร่าว่าด้วยความห่วงใย

                “อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงนะ หนูปลอดภัยดี”

                “ไม่ให้ห่วงได้ยังไงล่ะลูกทั้งคนเชียว พ่อขอโทษนะลูก เป็นความผิดของพ่อเองที่บังคับและยัดเยียดความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ให้ลูก โดยไม่ได้คำนึงถึงจิตใจลูกที่ต้องโดนครหานินทามาตลอด พ่อพยายามให้ความรักที่มากเกินพอดีเพราะคิดว่ามันจะทดแทนสิ่งที่ลูกสูญเสียได้”

“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ พ่อไม่ผิดเลยสักนิด จริงๆ นะ”ลูกสาวคุณสิงห์ภพคลี่ยิ้มขมขื่น เธอไม่เคยโกรธหรือโทษพ่อเลย เพราะมีพ่อเธอถึงมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างที่พ่อมอบให้ เธอคิดถึงอ้อมกอดที่อุ่นที่สุดในโลกของพ่อเหลือเกิน

 “แล้วทำไมถึงคิดทิ้งตำแหน่งที่พ่อหมายมั่นปั้นมือให้ล่ะ มันใช่ทางออกที่ดีหรือ”

                “หนูขอโทษตอนนั้นหนูโมโหไปหน่อย แต่หนูก็ไม่เหมาะกับตำแหน่งใหญ่แบบนั้นจริงๆ นะคะ ทุกคนต่างก็ผิดหวังเพราะหนู”

                “ไม่จริงเลยลูก ทุกสิ่งอย่างมันมีอุปสรรคเสมอ ลูกเพียงแต่คาดการณ์ไว้ไม่ถึง ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่จงกลับไปแก้ไขกลับไปรับผิดชอบสิ่งเหล่านั้นเสีย”

                “หนูไม่ได้หนีปัญหานะคะ หนูแค่จะแก้ปัญหาในวิธีของหนู”

                “แล้วบริษัทเล่า พนักงานตั้งมากมายใครจะเป็นเสาหลักดูแลพวกเค้า”

                “พวกพี่ๆ ไงคะ มีกันตั้งเยอะแยะ”

                “บ่ายนี้พ่อจะกลับแล้วนะ หวังว่าคงเจอเราที่บ้าน”

                “อ้าว พ่อรีบกลับทำไมยังไม่ครบกำหนดเลยนี่”

                “กลับไปหาเรานั่นแหละ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจัดการได้ พ่อเชื่อใจลูกสาวคนนี้นะ หนูจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม จะทำให้ทุกคนยอมรับในตัวหนูอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ให้โอกาสหนูอีกสักครั้งนะคะ”

                “แน่ใจเหรอไดมอนด์”

                “ชัวร์ค่ะ”

                “แต่ลูกต้องกลับบ้านนะ”

                “หนูอยากอยู่แบบนี้สักพักค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะหนูไม่ยอมให้ตัวเองลำบากหรืออดตายแน่” เธอรู้ว่าบิดาเป็นห่วงแต่เธอก็ดูแลตัวเองได้แล้ว “พ่อรู้ไหมที่นี่น้ำเต้าหู้อร่อยมากเลย บรรยากาศก็ดี๊ดี มีลมพัดเย็นๆ มีเสียงนกร้อง มีกลิ่นกาแฟขนมปังหอมๆ หนูอยากให้พ่อนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจัง”

                “นั่นอยู่ที่ไหนกันลูก”

                “ในกรุงเทพฯ นี่แหละ แล้วตอนนี้พ่อทำอะไรอยู่คะ”

                “พ่อเดินจงกรมอยู่น่ะแต่ตอนนี้ก็แค่เดินเล่นเฉยๆ แล้วล่ะ บรรยากาศที่นี่ก็ดีมากเลยนะ เย็นสบายผ่อนคลายอารมณ์ อยากให้ไดมอนด์มาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

                “เริ่มสายแล้ว พ่อทานข้าวเช้าได้แล้วนะ อย่าเดินมากล่ะคนแก่กระดูกบาง”

                “อ้าวลูกนี้ไหงอยู่ๆ มาว่าพ่อได้ล่ะเนี่ย” หัวเราะอารมณ์ดี “ถ้ามีอะไรก็โทรหาพ่อได้ทันทีนะลูก”

                “ค่ะ หนูไม่ทำให้เสียชื่อลูกสาวคุณสิงห์ภพแน่” ให้คำมั่นอย่างหนักแน่นหวังให้คนชราเบาใจลง “งั้นแค่นี้นะคะ”

                เพชรงามยกโทรศัพท์ลง พยายามปลอบตัวเองซ้ำๆ ว่า ทำได้อยู่แล้วน่า!

 

 

ร่างสูงนั่งเงียบอยู่หลังรถเก๋งคันงามข้างตัวเขาคือหญิงผู้มีศักดิ์เป็นป้า หล่อนมารับเขาไปทำหนังสือเดินทางแต่เช้า พอเสร็จธุระก็จะพาไปพบคุณยาย มานะขยับตัวเล็กน้อยอย่างอัดอึดกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่โดนบังคับให้ใส่ จากเสื้อกันหนาวกางเกงยีนสีซีดขาดๆ รุ่ยๆ กลายเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงยีนสีเข้มยี่ห้อดี แต่อีกอย่างที่น่าเจ็บใจยิ่งคือการโดนสั่งห้ามสวมหมวกเด็ดขาด เขายกมือขึ้นสาวผมตัวเองที่ยาวลงมาปรกหน้าให้กลับขึ้นไป

                “ตัดผมได้แล้วนะลูก” สิตาหันมาบอกหลานชายหลังจากทนมองท่าทางยุกยิกอยู่นาน

                “ป้ามีลูกหรือเปล่าฮะ” มานะขอยอมรับตามตรงว่าเขารู้สึกอัดอัดใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของป้าคนนี้ไม่น้อย คงเป็นเพราะที่ผ่านมาถูกปล่อยปละละเลยมาตลอด พอมีคนมีมาคอยบอกให้ทำนั่นนี่ซึ่งขัดกับความเป็นตัวเองจึงรู้สึกไม่ชอบเท่าไร

                “มีจ้า สามคน”

                ไม่นานพาหนะคันหรูก็เคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณบ้านไม้ที่สวยงามจนถ้าเดินผ่านคงต้องหยุดมอง ตัวบ้านไม่ใหญ่มากแต่บริเวณรอบๆ มีความขลังของความเก่าแก่แผ่กระจายออกมา สงสัยเป็นผู้ดีเก่า

                สิตาพามานะเดินเข้าไปภายในบ้านซึ่งมีหญิงชราพร้อมด้วยหนุ่มสาวอีกสามคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกอึมครึมเข้าเกาะกุมมานะทันที เขาเดินเก้ๆ กังๆ ตามไปนั่งโซฟาข้างสิตา กวาดตามองผู้คนรอบๆ ซึ่งจ้องมองมายังเขาเป็นตาเดียวก่อนจะยกมือไหว้หญิงชรา

                “นี่เองหรือ ลูกชายยายสกาว” หล่อนว่าเสียงยานคางช้าๆ ดวงตาสีอ่อนไม่มีความรู้สึกใดๆ เพียงแต่พิจดูหลานชายไม่ละ ก่อนจะเอ่ยคำพูดต่อไปที่ทำให้มานะต้องข่มใจเอาไว้ “คงไม่ต่างจากพ่อมัน”

                ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กมีมารยาทมานะคงโต้ตอบไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ติดเหล้างอมแงมเหมือนพ่อ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบคุณยายเสียแล้ว พยายามไม่มองหน้าใครโดยเสสายตาไปมองรูปถ่ายบุคคลซึ่งคาดว่าคงจะเป็นบรรพบุรุษของแม่

                “ดูสิครับ คุณยายพูดก็ทำเป็นไม่สนใจ”ชายคนที่เป็นพี่ใหญ่สุดว่าขึ้น

                “ไม่มีความเป็นผู้ดีของน้าสกาวอยู่เลย สงสัยได้เชื้อกุ๊ยของพ่อมาเต็มๆ” ชายคนที่สองว่าขึ้นบ้าง คราวนี้เรียกให้แขกผู้มาใหม่ตวัดสายตามองแรงใส่

                “พ่อไม่ได้สอนให้เป็นผู้ดีครับ บอกแค่ว่าเป็นคนดีก็พอแล้ว”

                “ดูสิคะคุณยาย มันกล้าว่าพวกเราต่อหน้าคุณยายด้วยค่ะ” น้องคนเล็กเอ่ยฟ้องคุณยายเสียงแหลม

                “ก็พวกเราไปว่าเค้าก่อนนี่” สิตาปรามลูกๆ

                “คุณแม่เข้าข้างมัน...” สาวน้อยตั้งหลักโวยวาย

                “พอแล้วน่า” ผู้เป็นประมุขของบ้านชักเสียง “ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าหลานของฉันต่อหน้าฉัน”

                มานะแค่นยิ้มออกมา แล้วเขาไม่ใช่หลานของคุณนายด้วยหรือไร หึ เกิดเป็นไอ้โม่นี่ดีจริงไปที่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้องการ ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องมานั่งเสนอหน้าให้คนเหยียดหยามอยู่ที่นี่ด้วย

                “รู้ไว้ด้วยนะว่าคนที่ทำให้ลูกสาวฉันใกล้ตายแบบนี้ก็คือเธอ เธอทำให้สกาวต้องตรอมใจเพราะความรักที่มีให้เธอ” หญิงชราว่าอย่างเกลียดชัง

                “ไม่ใช่เพราะคุณพรากเราสองคนแม่ลูกออกจากกันหรือครับ” มานะถามกลับนิ่งๆ เขาผิดตรงไหนที่โดนทิ้งมาตลอด ผิดตรงไหนที่ไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องราวใดๆ ของคนเป็นแม่

                “แก! แกกล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้ ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ออกไป อย่ากลับมาให้ฉันเจออีก” หล่อนลุกขึ้นชี้นิ้วไปที่เด็กเลวอย่างกล้ำโกรธด้วยนิ้วอันสั่นเทา จนหลานรักทั้งสามต้องกรูเข้ามาช่วยกันประคอง

                “ครับ สวัสดีครับ” มานะลุกขึ้นยกมือไหว้ลวกๆ แล้วหันหลังเดินจากไป

                “โม่ๆๆ” สิตาเรียกหวังรั้งหลานไว้ เธอลุกขึ้นเตรียมเดินตามไป

                “ยายสิตา อย่าตามมันไปนะ” ผู้เป็นแม่ออกคำสั่งเสียงแข็ง

                “สิตาอยากทำเพื่อน้อง ถ้าโม่เกิดเปลี่ยนใจไม่ไปพบแม่ ยายสกาวจะนอนตายตาหลับได้อย่างไรคะ” ว่าจบเธอก็สะบัดตัวเดินตามหลานชายไป ปล่อยให้คนแก่เจ็บใจอยู่กับความไม่ได้ดั่งใจ

                “โม่ๆ รอป้าก่อนสิ” สิตากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปขวางหน้าหลานชายไว้ “ป้าขอโทษแทนคุณยายด้วยนะ โม่ยังไม่เปลี่ยนใจที่จะไปหาแม่ใช่ไหม”

                “ครับ”รับคำสั้นๆ

                “จริงๆ นะ โม่ต้องห้ามทิ้งแม่เชียว” หล่อนกำชับแกมขอร้อง “งั้นเดี๋ยวป้าให้คนขับรถไปส่ง นายมีไปส่งหลานฉันด้วย”

                “ขอบคุณครับ” มานะยกมือไหว้แล้วเดินไปขึ้นรถอย่างเซ็งๆ

 

                เกือบสองทุ่มแล้วตอนที่มานะมายืนเคาะประตูห้องหญิงสาว ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมร่างของเจ้าของห้อง ทั้งสองสบตากันด้วย ราวเวทมนตร์สะกดให้บังเกิดความรู้สึกดีๆ แก่หัวใจของคนทั้งสอง จากเรื่องราวที่ผ่านมาทำให้ต้นไม้สองต้นเหี่ยวเฉาเศร้าซึมแต่เวลานี้เหมือนได้รับน้ำและแสงแดดที่ช่วยเยียวยาให้กลับมาเปล่งปลั่งดังเดิม

                “หมวกหายไปไหน” เพชรงามเอ่ยขึ้นก่อนตอนหลบสายตาหวานเยิ้มนั่น

                “อยู่ที่โรงบาล อดเท่เลยอ่ะ” บอกแกมบ่น ยกมือปัดผมตัวเองอย่างเก้อๆ ของที่อยู่กับเราทุกวันพอมันหายไปแล้วประหลาดอย่างไรชอบกล

                “ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นนะ” เธอว่าเรียบเฉยแต่มีแววหยอกล้อในแววตา

                “อ้าว ซะงั้น” มานะทำท่ากัดลิ้นเซ็งๆ แล้วเดินตามเจ้าของห้องเข้าไปข้างใน ล้มตัวนั่งใกล้ๆ เธอซึ่งมีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กตั้งคั่นกลางอยู่ บนโต๊ะมีกระดาษที่ขีดเขียนบางอย่างอยู่สองสามแผ่น “ทำอะไรอยู่ครับ”

                “วางแผนจับโจร” เธอตอบสั้นๆ แม้ไม่ต้องขยายความมากก็เข้าใจกันดี หญิงสาวเงยหน้ามองพัดลมสภาพใกล้ขายทิ้งให้ซาเล้งครางเสียงอิดออดยามใบพัดหมุนส่งความเย็นใส่ตัว

                “เครียดอ่ะ” ชายหนุ่มเบ้ปากโคลงศีรษะ ใช้มือพื้นเอนตัวไปข้างหลังพร้อมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

                “คนอย่างนายเครียดเป็นด้วยหรือ” เห็นวันๆ เอาแต่ยิ้มร่าทำตัวบ้าไปทั่ว ว่าไม่ทันขาดคำเขาก็กลับมาฉีกยิ้มแบบเดิม กระนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความกลัดกลุ้มใจที่เขาซ่อนไว้ คนที่ต้องยิ้มรับไว้ทุกสถานการณ์แบบนี้น่าสงสารนะ

                “ไม่เครียดก็ได้เดี๋ยวหน้าแก่เหมือนใครบางคน”

                หญิงสาวค้อนขวับให้ทันควัน หน็อย กล้าว่าเธอหน้าแก่เชียวเรอะหมอนี่

                “ล้อเล่นน่า ไม่เอาไม่โกรธเดี๋ยวหน้าแก่” ว่าอย่างขบขันอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนจะค่อยๆ ลดเสียงหัวเราะลงเพราะสีหน้ายำเกรงของอีกฝ่าย “กินข้าวยังครับ”

                “อือ” พยักหน้าตอบห้วนๆ “นายไปไหนมาทั้งวัน”

                “คิดถึงอ่ะดิ” คนหลงตัวเองยักคิ้วหลิ่วตาชวนให้หมั่นไส้

                “ถามเฉยๆ ไม่ตอบก็ได้นะ” รำคาญท่าทางแบบนี้ของเขาเหลือเกิน

                “ไปทำงานมาครับ”

                “งานอะไร” เขาเพิ่งโดนไล่ออกจากบริษัทเมื่อวานเอง หางานใหม่ได้เร็วเพียงนี้เชียวหรือ

                “จิปาถะ ตั้งแต่สากกระบือยันเรือรบ เกิดเป็นคนหล่อก็ต้องสู้ชีวิตแบบนี้แหละครับ” คนหาเช้ากินค่ำอย่างเขาต้องทำทุกงานที่ได้เงิน พอให้ตำข้าวสารกรอกหม้อไปวันๆ ก็ยังดี

                เพชรงามส่ายหน้ากับคำตอบที่ไม่วายแสดงความหลงตัวเองออกมาอีกจนได้ “แล้วนี่ไม่กลับไปดูแลพ่อหรือไง ดึกแล้ว”

                “ตั้งท่าไล่ตลอดเลย คนอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวว่าจะเหงาเลยมาอยู่เป็นเพื่อน” ทำสีหน้าและน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ

                “ไม่เหงาเลยสักนิด” คนปากแข็งเผลอยกยิ้มมุมปากอย่างปลื้มใจกับความหวังดีของผู้ชายขี้งอน “ฉันอยู่คนเดียวสบาย”

                “ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจ” หญิงสาวรู้สึกใจหวิวอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดแปลกๆ ที่ดูจริงจังของมานะ หรือเขาจะงอนแล้วจริงๆ ต่อไปอาจไม่มาหาเธออีกก็ได้ ขณะที่กำลังนึกหาคำยื้อที่ไม่ทำให้เสียฟอร์มอยู่ ชายหนุ่มก็ชิงพูดออกมาเสียก่อนว่า “หลังจากวันพรุ่งนี้ผมคงไม่อยู่สักเดือนหนึ่งนะ”

                “นายจะไปไหน คือ... ความจริงบางครั้งฉันก็เหงานะ” หญิงสาวพยายามแก้ต่างให้คำพูดก่อนหน้านี้ของตน

                มานะทำหน้าลำบากใจก่อนขยับตัวเข้าใกล้เพชรงาม ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ บอกช้าบอกเร็วยังไงวันนี้ก็ต้องบอกอยู่ดี เขาไม่เคยรู้สึกลำบากใจเท่านี้มาก่อน นึกอยากระเบิดตัวเองให้แหลกเป็นจุณเสียให้รู้แล้วรู้รอด “คือแม่ผมไม่สบายหนัก ป้าบอกว่าอยู่ได้อีกแค่เดือนเดียว แล้วแม่ก็อยากเจอผมก่อนเธอจะจากไป”

                คนฟังพยักหน้าเงียบๆ พยายามทำความเข้าใจ

                “ตอนนี้แม่รักษาตัวอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ไกลเนอะ” เขายิ้มแหยๆ กับประโยคหลังด้วยไม่อยากให้บรรยากาศอึดอัดเกินควร ลอบมองสีหน้าอึ้งๆ ของหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้สึกผิดแต่ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็ยิ้มอ่อนๆ ส่งให้“ผมขอโทษที่อยู่ดูแลท่านประธานไม่ได้ ผมไม่รู้... มันยากไปหมดทุกทางเลย”

                “เราคงไม่ได้เจอกันอีก ฉันเข้าใจนาย” แต่ที่ไม่เข้าใจคือความรู้สึกของตัวเอง เธอคงผิดบาปมากที่มีความคิดอยากรั้งไว้ให้เขาอยู่ตรงนี้ อะไรที่คิดว่ามันคงดีขึ้นบ้างแต่แล้วมันก็เป็นได้แค่ความคิด ทำไมความผิดหวังต้องเข้ามาหาเธอในเวลาเดียวกันด้วย เธอรู้สึกราวกับวิ่งหกล้มติดต่อกันหลายๆ ครั้ง แล้วเกิดแผลใหม่บนแผลเดิมที่ยังสดแสบมีเลือดไหลไม่หยุด เป็นครั้งแรกที่เธอมองอะไรเป็นสีเทาหม่นไปหมดประหนึ่งมีหมอกควันแห่งความเวิ้งว้างปกคลุมไปทั่วตัว

                “ท่านประธานครับ” แววตาคมกล้าสบประสานแววตาเย็นชา “ไม่รู้จะพูดยังไง ต้องใช้คำว่าอะไร แต่ตลอดเวลาที่ผมเจอท่านประธาน ผมก็รู้สึกอยากเข้าไปใกล้ อยากมองหน้านานๆ มันเป็นความสุขเพียงไม่กี่อย่างของผมเลยนะ เชื่อไหมตอนนี้ใจผมเต้นแรงมาก ท่านประธานเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกรักจริงๆ...” เขาหยุดพูดแล้วแค่นหัวเราะราวจะเยาะตัวเอง

                “จะโกรธจะเกลียดผมก็ได้นะ แค่ที่ผ่านมาเราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้ใกล้ชิดกัน มันก็คุ้มค่ามากแล้วกับคนอย่างผม” ว่าจบก็ก้มหน้าลง เมื่อคืนเขาคิดไม่ตกเรื่องนี้อยู่นานว่าจะสารภาพดีไหม ทั้งยังรู้สึกผิดท่วมท้นที่ต้องทิ้งเธอไว้กับความลำบาก เพชรงามกำลังจะเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ซึ่งเขาก็มีส่วนร่วมทำให้เกิดปัญหานี้ด้วย แล้วอยู่ๆ เขากลับปล่อยมือแล้วทิ้งเธอไว้กับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เขาจะไม่แปลกใจเลยหากเธอจะโกรธเกลียดเขาไปตลอดชีวิต

                อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้บอกสิ่งที่อยากบอกไปแล้ว... มันพอแล้ว

                ขณะนั้นที่นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น มืออุ่นนุ่มของหญิงสาวก็เอื้อมมาวางทาบมือเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ มานะเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับรอยยิ้มอบอุ่นจริงใจบนใบหน้าแสนงดงาม เธอขยับปากพูดเสียงเบาด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน

“ขอบคุณที่รู้สึกเหมือนกันนะ”

                โลกทั้งใบหยุดหมุนทว่าหัวใจกลับเต้นอย่างรุนแรง

                “จริงเหรอ” มานะถามเพื่อต้องการย้ำกับตัวเอง ดวงตาเขาเยิ้มราวล่องลอยไปไหนสักแห่ง สีแก้มแดงเรื่อ

                “อือ” เพชรงามยิ้มเขินๆ

                มานะกระเด้งตัวขึ้นมากระโดดเหยงๆ พร้อมป่าวประกาศเสียงดังด้วยความดีอกดีใจ “ท่านประธานชอบไอ้โม่ ท่านประธานชอบไอ้โม่ ท่านประธานชอบไอ้โม่”

                อดีตท่านประธานรีบลุกไปตีแขนคนที่ทำท่าเหมือนเด็กๆ ให้เหยุดการกระทำนั้น “เงียบนะ หยุดเดี๋ยวนี้”

                “เย้ ดีใจที่สุดเลย” มานะคว้าตัวคนข้างๆ มาสวมกอดอย่างแนบแน่น แต่โดนอีกฝ่ายผลักไหล่ออก

                “อย่าลามปาม”

                “แค่กอดก็ไม่ได้เหรอ”

                “ไม่ได้”

                “แต่ท่านประธานชอบผมนะ”

                “หยุดย้ำสักทีได้ไหม เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจเลิกชอบซะ”

                “ก็ได้ๆ ไม่พูดแล้วคร้าบ” ยื่นหน้าทะเล้นเข้าใกล้แต่ก็โดนผลักออกมาอีกจนได้ แต่มีหรือที่คนเจ้าเล่ห์จะยอมทิ้งเล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ ร่างสูงหมุนตัวเข้าไปสวมกอดร่างบางจากทางด้านหลัง ล็อกเธอไว้เสียจนอยู่หมัด แน่จริงก็ดิ้นให้หลุดสิ

                “ไอ้โม่บ้า ปล่อยฉันนะ” เพชรงามขัดขืน ดิ้นขลุกขลักพยายามตะกุยตะกายออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งให้ได้

                “แม่สิงโตเจ้าป่า จำไว้นะว่าพรานโม่คนนี้จะจับเธอให้ยอมศิโรราบต่อฉันให้ได้” กระซิบข้างหูอย่างหมายหมั้น

                “อย่าดีแต่ปากแล้วกัน” คนถูกขนานนามว่าสิงโตเจ้าป่ายอมหยุดดิ้นแต่โดยดี

                “อย่างอื่นก็ดีครับ แต่ที่ดีที่สุดก็คงเป็นปาก อยากพิสูจน์ไหม” มานะคลายวงแขนออก เลื่อนมือไปจับไหล่เพชรงามให้หันมาเผชิญหน้ากัน ดวงตาทั้งสองคู่สื่อถึงกันอย่างลึกซึ้ง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างที่ทำให้หัวใจหญิงสาวเต้นระรัว

                เขาใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของเธอไว้ ดวงตาคมพราวระยับละมาจับจ้องที่ริมฝีปากแดงเรื่อแบบธรรมชาติ ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้ทีละนิดๆ จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่รวยรินของเธอ และแล้วริมฝีปากของเขาก็เฉียดผ่านริมฝีปากของเธอไปอย่างน่าเสียดายเพราะหญิงสาวผลักอกเขาออกไปก่อน

                “โธ่ นิดเดียวก็ไม่ได้อ่ะ” ทำท่ากระเง้ากระงอด“ผู้หญิงอะไรหวงตัวชะมัด”

                “อย่าฉวยโอกาสแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”ว่าเสียงห้วนแข็ง ใบหน้าแสดงความไม่ไว้ใจชัดเจน หมอนี่ทำบ้าอะไรกันหากหล่อนหัวใจวายขึ้นมาจะทำอย่างไร

                “ทำไมต้องโกรธด้วยเนี่ย แค่ล้อเล่นเองน่า”

                “นายเห็นว่าจูบเป็นแค่เรื่องล้อเล่นงั้นเหรอ”

                “ก็... มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเสียหายอะไรนี่” ตอบเสียงแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ท่านประธานไม่เคยจูบกับใครเลยเหรอ”

                “ไม่ ฉันจะเก็บไว้ให้คนที่ใช่เท่านั้น”

                “ก็ผมนี่ไง คนที่ใช่” รีบโมเมเข้าตัวเอง

                “ใครบอก”

                “มโนเอง” ยืดอกรับอย่างภาคภูมิใจ

                 หญิงสาวฟาดมือไปที่ต้นแขนของคนชอบคิดเองมโนเองด้วยความหมั่นไส้

                “เจ็บนะ” ชายหนุ่มทำหน้าเหยปากเบี้ยวเกินอาการเจ็บจริงขณะลูบต้นแขนตัวเอง และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะฟาดซ้ำลงมาอีก เขาจึงคว้าเอวบางเอาไว้ให้เข้ามาแนบชิดติดตัว

                “ไอ้บ้าโม่!”หญิงไทยผู้รักนวลสงวนตัวตีอกชกไหล่ร่างหนาที่พอสัมผัสแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแรงจากกล้ามเนื้อใต้ผิวผ้า

                “คนบ้า”...อะไรน่ารักจังมานะล้อเลียนคำพูดหญิงสาวกลับ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ กับแรงต่อยตีเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นของหญิงสาว ต่อให้ชกจนอกช้ำมันก็คุ้มค่ากับการได้ใกล้ชิดเธอแบบนี้

                “ไอ้บ้า นายว่าฉันเหรอ”

                “เปล่านะครับ ผมจะกล้าว่าว่าที่แฟนได้ยังไง เอ๊ะ หรือเป็นแล้วนะ” น้ำเสียงและสายตามันเจ้าเล่ห์สิ้นดี

                เพชรงามฟาดค้อนประหลับประเหลือกไปให้ผู้ชายที่มีผลต่อความรู้สึกของเธอ แค่เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงแต่เขาทำให้เธอสัมผัสกับความรู้สึกทั้งดีใจ เสียใจ ผิดหวัง อ้างว้าง ตื่นเต้น อึ้ง มีความสุข เก้อเขิน

                “ช่วงที่ผมไม่อยู่ท่านประธานต้องรักษาสติไว้ให้ดีๆ นะครับ ห้ามใจง่าย ต้องรักนวลสงวนตัวให้มากๆ” มานะกำชับห้ามแบบคนขี้หวง

                “ไม่ต้องมาสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอก” กระแทกเสียงตอบ “ฝากกำลังใจให้แม่นายด้วยนะ”

                “จะให้บอกว่าจากใครล่ะครับ”

                “เพื่อ...”

                “ลูกสะใภ้ล่ะกัน เนอะ” ว่าเสียงอ่อยพร้อมโน้มใบหน้าลงไปใกล้หญิงสาวอีกครั้ง ทว่าถูกมือเรียวผลักหน้าออกไปเสียก่อนอย่างไร้ซึ่งความปรานี

                “ลูกสะใภ้บ้าอะไร” ...ต้องว่าที่ลูกสะใภ้สิถึงจะถูกยังไม่ได้แต่งงานเสียหน่อย

                “งั้นเป็นลูกเขยก็ได้คะคุณพี่” ว่าจีบปากจีบคอพร้อมท่าทางสริตสะดิ้งน่าหมั่นไส้

                “ไอ้โม่บ้า”

                “ถึงผมจะบ้าแต่ผมก็น่ารักนะ”

                “ตรงไหน”

                “ก็ลองรักสิครับจะได้รู้ว่าผมน่ารักตรงไหน”

                ชายหนุ่มเอียงหน้าไปมาให้อีกคนหาความน่ารักในตัวเขา คนทั้งสองจ้องหน้ากันไปมาก่อนจะพากันหลุดขำอย่างเก้อเขิน เวลาที่เรารู้สึกดีกับใคร แม้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้มีความสุขได้มากโขแล้ว

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา