Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ความจริง ความฝัน ต่างกันแค่ไหน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
               เส้นดินสอถูกลากไปมาบนกระดาษวาดรูปสีขาว มือเรียวบรรจงตวัดลายวาดหางเครื่องบินให้สวยได้รูปรับกับตัวเครื่อง ก่อนจะแรเงาสร้างปุยเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า หญิงสาววางดินสอลง อารมณ์ศิลปินชะงักไปกลางคันเมื่อโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียงกรีดเสียงร้องขึ้นมาไม่หยุดหย่อน เจ้าของเครื่องทนไม่ไหวลุกขึ้นไปกดรับ
                “อาไดมอนด์ ลงมาเปิดประตูบ้านให้หน่อย” เสียงทุ้มแตกพร่าดังออกมา
                “มีอะไร มาทำไมตั้งสี่ทุ่มกว่าแล้ว” ทั้งที่ถามออกไปแบบนั้นทว่าเธอก็รีบสาวเท้าลงไปตามทางที่มืดสลัวทันที 
                “คืนนี้ขอนอนด้วยนะ” ตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆและราวกับเขาจะรู้ใจของอีกฝ่ายจึงชิงดักไปว่า “อย่าเพิ่งถามครับ”
                “ไม่ไปเปิดให้ดีไหมเนี่ย” หญิงสาวในชุดนอนสีฟ้าความยาวเกือบถึงเข่าเบ้ปาก อาศัยแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์นำไปเป็นแสงส่องทาง ฟังน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของหลานชายแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เธอหยุดยืนที่หน้าประตูรั้วเหล็กช่องเล็ก “สิน”
                เด็กหนุ่มในชุดมัธยมปลายชายเสื้อหลุดลุ่ยพร้อมรองเท้าแตะที่ยืนพิงประตูอยู่ขยับออกพลางใช้มือปาดแก้ม และทันทีที่ประตูเปิดออก ไร้ป้อมปราการใดๆ ขวางกั้น เขาก็โถมตัวเข้ากอดอาสาว แววตาของเพชรงามอ่อนลง เธอยกมือขึ้นลูบหลังหลานชายที่ตัวสูงกว่าไม่มากนักอย่างปลอบประโลม
 
                “อ่ะ กินซะ” เพชรงามวางชามบะหมี่ต้มลงบนโต๊ะอาหารในครัวหน้าหลานชาย ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม
                “น่ากินจัง” คนหน้าหงอยแย้มยิ้มแหยๆ ออกมา
                “น่ากินตรงไหนเนี่ย” ก้มมองบะหมี่ต้มธรรมดาหน้าตาจืดชืดที่เธอเพียงแค่แกะซองใส่ชามเติมนำร้อน
                “ใช่ ไม่เห็นน่ากินเลย” สินบดีวิจารณ์ตามความจริง
                “อ้าว ไม่น่ากินก็ไม่ต้องกิน” เพชรงามเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมานิดหน่อย
                “ชมก็ว่าพูดตรงๆ ก็ด่า ทำอะไรก็ผิดไปหมด” บ่นกับตัวเอง คว้าชามบะหมี่เข้าหาหาตัวก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปาก
                “มีอะไรจะเล่าไหม” ยกแขนขึ้นมาเท้าคางกับโต๊ะ มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาพินิจกดดัน
                “ไม่มี” สินบดีชะงักไปนิดหนึ่งก่อนก้มหน้ากินต่อ ทิ้งความเงียบเอาไว้คู่ความมืดยามราตรีของเบื้องนอกพักใหญ่ เพชรงามอ้าปากหาวด้วยความง่วง เธอลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำจากเยือกใส่แก้วและกระดกขึ้นดื่ม
                “ความฝันมันสำคัญไหมครับอา” อยู่ๆ สินบดีก็เอ่ยขึ้นมาผ่านความเงียบงัน เขาวางตะเกียบไว้บนชามตามเดิม มองไปที่คนกำลังกินน้ำอยู่ เธอพยักหน้าหงึก “แล้วทำไมผู้ใหญ่ชอบเห็นความฝันของเด็กเป็นเรื่องเล่นๆ ล่ะครับ”
                เพชรงามวางแก้วน้ำลงยืนกอดอกพิงหลังกับตู้เย็น “เพราะบางความฝันมันก็เป็นได้แค่ฝัน เขาคงอยากให้เรามีชีวิตที่ดีและสุขสบาย ไม่ต้องลำบากอดอยากไส้แห้ง” เธอตอบก่อนเว้นวรรคถาม “ทะเลาะกับพ่อแม่มาเหรอ”
                “วันนี้อยู่ๆ พ่อกับแม่ก็ถามว่าจบ ม.6 จะเรียนอะไรต่อ” หลุบตาต่ำแล้วเล่าต่อ “ผมบอกจะเรียนวิศวะคอม ผมอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ อย่างเขียนโปรแกรมของตัวเองให้คนอื่นใช้ แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม บอกว่าต้องเรียนบริหารเท่านั้น เรียนจบมาก็ช่วยงานธุรกิจของครอบครัว แต่นี่มันชีวิตผมนะ ผมอยากเลือกทางเดินเอง”
                “พวกเขาเป็นห่วงแหละ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกล้มแล้วจะยืนดูได้เฉยๆ หรอกนะ เขาต้องทำทุกวิธีทางให้ลูกเดินได้ดีและเดินอย่างถูกต้อง”
                “ผมไม่กลัวล้มหรอก ผมกลัวไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำมากกว่า ถ้าเจ็บเพราะตัวเองผมจะไม่เสียใจเลย” เขาว่าอย่างมุ่งมั่น เพชรงามยิ้มออกมาเบาๆ นอกจากเล่นเกมกับดูบอลแล้ว เธอก็เพิ่งเห็นหลานชายจริงจังกับความฝันนี่แหละ อุดมการณ์คงยิ่งใหญ่จริงๆ
                “ทำให้พวกเขามั่นใจและเห็นค่าในสิ่งที่เราอยากทำสิ พิสูจน์ให้เห็นว่าเรารักมันแค่ไหน” เธอเงียบก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ท้าทาย “หาเงินส่งตัวเองเรียนเลย”
                สินบดีแทบอยากเอาหัวโขกโต๊ะ ทุกวันนี้ยังแบมือขอเงินพ่อแม่เช้าเย็นอยู่เลย “พูดเป็นเล่น ค่าเทอมไม่ใช่ถูกๆ นะครับ”
                “พูดจริง ความฝันมันไม่ได้มาง่ายๆ หรอกนะ” ในเมื่อเธอไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ เธอก็อยากให้หลานชายได้ทำตามความฝันของตัวเอง แม้ในใจจะแอบเห็นด้วยกับพ่อแม่ของเขาก็ตามทีที่อยากให้มาช่วยงานบริษัท แต่ยังไงเธอก็เชื่อว่าสินบดีไม่มีทางทิ้งครอบครัวหรอก ความจริงกับความฝันใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ จับปลาสองมือเจ๋งออกจะตาย
                “คิดแล้วกลุ้มจังแฮะ” ยกมือหยีหัวตัวเองแก้เซ็ง
                “อย่าเพิ่งท้อล่ะ” เพชรงามยกมือป้องปากหาว “แล้วนี่ทะเลาะกันหนักถึงขั้นออกจากบ้านเลยเหรอ”
                สินบดีหยิบคำตอบมาวางบนโต๊ะ มันคือโทรศัพท์รุ่นนิยมที่หน้าจอสัมผัสแตกร้าว
                “เสียดายเนอะ” หญิงสาวเดินมาอบไหล่หลานชาย “ไปนอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน เดี๋ยวตื่นสายเอา”
                “พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ไปโรงเรียนแต่ต้องไปเรียนพิเศษ ไปส่งด้วยนะอา” สินบดีสีหน้าเปล่งขึ้น
                “แน่ใจว่าไปเรียน”
                “ตั้งใจว่าจะไปเรียน” สองอาหลานหัวเราะคิกคัก เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “คืนนี้นอนด้วยนะ”
                “บ้า โตเป็นควายแล้ว ไปนอนห้องอื่นสิ มีว่างตั้งหลายห้อง” เพชรงามส่ายหน้า ทำท่าจะเดินออกไปแต่สินบดีเข้าไปเกาะแขนเอาไว้
                “ผมอยากนอนกับอาเหมือนตอนเด็กๆ อีกนี่ครับ” เขาวิงวอนเหมือนเด็กน้อย
                “ไม่ๆ” ว่าจบก็สะบัดแขน เดินขึ้นห้องไป
               เจ้าเด็กไม่ยอมโตเอ๊ย
 
               มานะยังคงทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อนำเงินที่ได้ไปทยอยชำระหนี้ หากมันก็แทบไม่ลดลงเลย ในเมื่อพ่อเขายังเอาแต่เมาหัวราน้ำอยู่แบบนี้ ทำงานเหนื่อยแทบเป็นแทบตายเอาไปซื้อเหล้ามันไม่คุ้มกันเลยสักนิด เขาเคยพยายามมาหลายหนทางเพื่อให้พ่อเลิกเหล้าหากก็ไม่มีวิธีไหนที่ทำสำเร็จ
                เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วที่ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าทะเล้นนั่งสัปหงกหัวตกไปหลายทีเพื่อร้อยลูกปัดท่ามกลางแสงเทียนไขลิบหรี่ที่พื้นระเบียงหน้าบ้าน ลมอ่อนๆ พัดมาเป็นคราพอให้รู้สึกเย็น เขาตั้งใจว่าจะร้อยลูกปัดในขันใบใหญ่ให้หมดก่อน
                เวลาได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ แบบนี้คนเดียวความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่าน เขานึกอยากเกิดมาเป็นคุณชายอยู่สุขสบายบนกองเงินกองทอง อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป จะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร แต่ชีวิตแบบนั้นกับชีวิตตอนนี้ของเขาช่างอยู่ห่างไกลกันเสียจริง รวยแล้วจะมีความสุขจริงหรือ? เขาไม่รู้เพราะไม่เคยรวย แต่อย่างน้อยคนรวยก็มีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่า หนทางก้าวหน้ามีมากกว่า มีเงินทอง ชื่อเสียง และเส้นสาย
                พลันความคิดของเขาก็เชื่อมโยงไปถึงเศรษฐีนีคนหนึ่ง ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วเธอไม่ได้มีความสุขเท่าที่ควรเลย ใบหน้าของท่านประธานแห่งเฟรนซีลอยมาพร้อมจังหวะหัวใจของเขาที่เต้นแปลกๆ อยู่ๆ ต่อมใต้สมองส่วนหน้าก็หลั่งสารเอนโดรฟินไปทั่งร่างกาย และแล้วมานะก็พบคำตอบที่เพิ่งถามกับตัวเองไป ไม่ต้องรวยแค่ได้รู้สึกดีกับใครสักคนก็ทำให้เรามีความสุขได้ จะว่าไปแล้วเขาเองยังไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อนเลย อาจจะมีบ้างแต่ก็แค่วูบวาบมิได้ถึงขั้นหวั่นไหวใจสั่นเช่นครั้งนี้
                ...คนนี้เองใช่ไหมที่หัวใจตามหา... คนที่เพียงเห็นหน้าก็อยากยิ้มออกมา คนที่อยากทำให้เธอยิ้มเพราะเขา ทว่ารอยยิ้มของเธอมันช่างหายากราวงมเข็มในมหาสมุทรก็ไม่ปาน
                ‘กระต่ายหมายจันทร์ หมาเห่าเครื่องบิน ดอกฟ้ากับหมาวัด เอาอันไหนดีล่ะพี่’
               เสียงเยาะเย้ยของสินบดีดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท มานะสะบัดหัวไล่คำสบประมาท ลองขึ้นไปสักตั้งตกลงมามันจะเจ็บแค่ไหนกันเชียว
                แต่ถึงเจ็บก็ช่าง แค่ได้อยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว...
 
                เพชรงามนั่งก้มหน้าสะสางงานอยู่บนโต๊ะ สักพักใหญ่ๆ แฟ้มเล่มหนาก็ถูกปิดลง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพิงคอกับพนักเก้าอี้ หลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า ราว 15 นาทีเธอจึงลืมตาขึ้นมา มือเรียวคว้าโทรศัพท์มาแต่แล้วก็วางมันลงที่เดิม ก่อนจะลุกยืนคว้าเสื้อสูทที่คลุมเก้าอี้สวมทับ หยิบแว่นตากันแดดสีดำมาสวมก่อนจะเดินเนือยๆ ออกจากห้องไปยังโต๊ะทำงานหน้าห้องมีเพียงความว่างเปล่า บอกให้รู้ว่าการ์ดของเธอยังไม่กลับมาจากการประชุมสำมะนาที่เธอให้เขาไปแทน
                หญิงสาวล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อสูททั้งสองข้าง เดินเชิดอย่างมีมาดนิดๆ ยามผ่านพนักงานที่ต่างพากันก้มหัวทำความเคารพเธอ เพชรงามเพียงแต่ยิ้มบางเบาให้พวกเขา เมื่อออกจากบริษัทมายืนอยู่ตรงฟุตบาทเธอก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องแสงอาทิตย์ที่แผดเผาเจิดจ้า มองซ้ายแลขวาก่อนจะเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย
                ฝั่งตรงข้ามบริษัทมีร้านรวงมากมายที่ขายอาหารและสินค้าเรียงรายอยู่ เพชรงามเดินเรื่อยเฉื่อยอย่างซังกะตายสำรวจดูอาหารที่ต้องการ ในเวลาเที่ยงวันกลางกว่าๆ เช่นนี้ ร้านอาหารทุกร้านแน่นเอี๊ยดไปด้วยผู้คนวัยทำงานที่ออกมารับประทานอาหารกลางวัน หญิงสาวเดินจนสุดโซนร้านอาหารแล้วกลับมาเข้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่มีผู้คนเบาบางกว่าร้านอื่นๆ
                ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารและเครื่องดื่มมาวางให้ เพชรงามนั่งเท้าคางมองแฮมเบอร์เกอร์หมูชิ้นโตกับแก้วคาร์ปูชิโน่ปั่นข้างหน้าอย่างสะอิดสะเอียน ไม่มีความอยากอาหารหลงเหลืออยู่เลย วันนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอาการของเธอก็ซึมเซาง่วงเหงาพิกล ทั้งหัวทั้งน่องพากันปวดหนึบไปหมด แถมวันนี้ยังต้องรอไปส่งคนตื่นสายจนตะวันส่องหัวไปติวอีก ซึ่งสถาบันติวเตอร์นั้นอยู่คนละทางกับบริษัท รถติดยาวผู้คนสัญจรพลุกพล่านชวนให้น่าเวียนหัว
                หญิงสาวถอดแว่นกันแดดออก มองรอบร้านที่มีคนนั่งเล่นนอนเล่นบางตาก่อนจะคว้าหมอนอิงใบเล็กที่เก้าอี้ข้างๆ มาวางไว้บนโต๊ะหน้าแล้วฟุบหน้าลงไป อากาศเย็นอ่อนๆ จากเครื่องปรับอากาศและเสียงเพลงคลอเบาๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนอนหลับนัก
                “ท่านประธานครับ ท่านประธาน” เสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยเรียกเพชรงาม พลันหัวใจหญิงสาวก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อยด้วยเธอจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ทว่าเธอก็มิได้โต้ตอบกลับไป ทำให้ชายหนุ่มเร่งเร้าเสียงเรียก “ท่านประธาน ได้ยินไหมเนี่ย”
                “อะไร” ขานตอบด้วยน้ำเสียงเชื่องซึมอย่างคนง่วงเต็มแก่
                “เป็นอะไรครับ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” คนที่ถูกหัวหน้าฝ่ายการตลาดวานให้มาซื้อแฮมเบอร์เกอร์ให้ถือโอกาสนั่งลงตรงหน้าเจ้านายใหญ่ 
                “ยุ่ง” น้ำเสียงฉุนนิดๆ
                “สงสัยเมื่อคืนเอาแต่คิดถึงผมจนไม่ได้นอนล่ะสิ” มานะว่าเข้าข้างตัวเอง เพชรงามแค่นคิดในใจว่าหมอนี่ควรหาเข็มทิศมาติดตัวสักอันเผื่อจะได้เลิกหลงตัวเอง “เมื่อคืนผมฝันเห็นท่านประธานด้วยนะ”
               แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เขาฝันว่าเธอยื่นงูตัวใหญ่มาให้ หากก็จำรายละเอียดไม่ได้นัก เวลาแค่สามชั่วโมงยังอุตส่าห์ฝันได้แสดงว่าเขาต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ
                เพชรงามแอบยิ้มในใจ ก็แค่ได้เข้าไปในฝันของเขาก็ทำให้หัวใจเธอพองโตถึงเพียงนี้ หญิงสาวนิ่งเงียบ ปล่อยให้เขาคิดว่าเธอหลับไปแล้ว
                “เฮ้ หลับแล้วเหรอ” มานะเรียกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ใส่คนตรงหน้า “ทำเป็นขรึมที่แท้ก็ขี้เซา”
                คนที่จะหลับอยู่รอมร่อแย้มเปลือกตาออกนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ ตามเสียงเพลงที่เปิดคลอในร้านอย่างอารมณ์ดี เพชรงามสลัดทุกอย่างออกจากหัวเมื่อไม่อาจฝืนสติไว้ได้ต่อ ดำดิ่งลงไปสู่ห้วงนิทราโดยพลัน
                มานะเลื่อนจานแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตเข้าหาตัวเอง ราวห้านาทีเขาจึงเดินไปรับถุงแฮมเบอร์เกอร์ที่สั่งไว้ตรงเคาน์เตอร์แล้วเดินออกไป
                เราสามารถหยุดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งตัวเองได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถหยุดรั้งให้มันอยู่รอเราได้ นั่นคือเวลา มันยังคงทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ยิ่งเราอยู่นิ่งคล้ายกับว่ามันยิ่งเดินเร็ว
                เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กว่าที่เพชรงามจะสะลืมสะลือประคองสติตื่นขึ้นมา เปลือกตาหนักค่อยๆ ลืมขึ้นศีรษะปวดหนึบยามผงกหัวขึ้นจากโต๊ะ
                แสงสว่างแยงสู่ดวงตาส่องให้เห็นจานแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดิมที่ถูกเนรมิตขึ้นใหม่ ตัวอักษรบนจานถูกเขียนขึ้นด้วยซอสสีต่างๆ คละกันไป ข้อความนั้นมีใจความว่า ‘ยิ้มเก่งแค่ไหน ถามใจตัวเองดู’ พร้อมด้วยรูปรอยยิ้ม หัวใจเกี่ยวกันสองดวง และลวดลายฉลุขรุขระต่างๆ รอบจาน มันคงจะดูสวยงามถ้าไม่ติดว่ารกมาก
                มุมปากเรียวสวยได้รูปยกขึ้นนิดๆ สายตามองหาใครบางคน หากก็ไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว หลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จเพชรงามก็มานั่งอยู่ตรงที่เดิม ลงมือจัดการแฮมเบอร์เกอร์อย่างรู้สึกได้ถึงความโอชะของมัน
 
                หลังเลิกงานเพชรงามยืนกอดอกรอการ์ดไปเอารถอยู่ที่หน้าบริษัท ดวงตาเรียวรีทอดมองไปทั่วท้องถนนเบื้องหน้าอยู่นานก่อนจะไปหยุดโฟกัสที่ชายคนหนึ่งที่เพิ่งขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดตรงลานจอดมอเตอร์ไซค์ ชายคนนั้นถอดหมวกกันน็อกออกแล้วคว้าหมวกแก๊ปในตะกร้าหน้ารถมาใส่แทน เขาสวมเสื้อแขนยาวสีเทาและกางเกงยีนส์สีซีดมีรอยขาดเป็นแนวไม่ยาวมากที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่หมวกที่ใส่กลับด้านกับเป้สะพายหลังก็ทำให้เขาดูเท่และน่ามองได้ง่ายๆ
                ท่านประธานสาวรู้ตัวว่าเผลอจ้องชายหนุ่มไปเสียนานก็ตอนที่เขาเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ก้มหัวให้นิดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มทะเล้น
                “จ้องซะตาเป็นมัน ตัวผมพรุนไปหมดแล้ว”
                หญิงสาวหลุบตาต่ำก่อนจะเสมองไปทางอื่น
                “อะไรเอ่ยแก้มแดง” มานะตั้งปริศนา ยกมือจิ้มแก้มนุ่มของคนตั้งหน้า เธอปัดมือเขาออกโดยพลันพลางขึงตาขุ่นเขียวใส่ คนหน้ากวนทำตาเชื่อมสู้ “ท่านประธานน่ะชอบทำร้ายคนอื่นด้วยสายตา รู้ตัวไหมครับ”
                สายตาที่ต่างกันสองขั้วโลกสบประสานกัน มีประกายบางอย่างที่ส่องให้เห็นถึงความอ่อนไหวและอ่อนโยนของกันและกัน หัวใจสองดวงเริ่มเต้นขึ้นในจังหวะสอดประสานพร้อมเพรียงกัน คล้ายว่าทั้งคู่ต่างรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในตัวอีกฝ่าย อยู่ในกิริยาเช่นนั้นนานแสนานและไม่มีทีท่าว่าจะละออกจากกัน
                รุตขับรถขับมาจอด เปิดประตูลงมาตรงไปหาเจ้านาย เท้าเขาชะงักกึกเมื่อเห็นแววตาที่มักแข็งกร้าวเสมอเป็นแววตาอ่อนโยนน่ามอง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกใจกว่าคือการที่เธอมอบสายตาแบบนั้นให้คนส่งของ รุตส่ายหน้าพยายามสร้างความเข้าใจใหม่ว่าตัวเองคิดมากไปเอง แล้วเดินไปใกล้คนทั้งสองมากขึ้น “เจ้านายครับ”
                เสียงของการ์ดหนุ่มเป็นตัวนำพาให้คนทั้งสองออกมาจากห้วงภวังค์สู่โลกความจริง เพชรงามกระพริบตาแล้วหันไปมองหน้าคนเรียกด้วยแววตาขรึม เดินผ่านแมสเซนเจอร์ไปขึ้นรถโดยไม่มองเขาอีก
                “ทำไมแกชอบยุ่งกับเจ้านายฉันจังวะ ไอ้โม่” รุตถามน้ำเสียงสงสัยอย่างไม่ไว้ใจ
                “คำตอบอยู่ในคำถาม” มานะตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ ทิ้งความงุนงงไว้บนใบหน้าคนถาม แล้วผละออกไปด้วยรอยยิ้มสดใส
                ‘ทำไมแกชอบยุ่งกับเจ้านายฉันจังวะ ไอ้โม่’
               
                ขณะที่ยานพาหนะกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วคงที่บนท้องถนน เพชรงามก็โพล่งถามขึ้นมาลอยๆ
               “ผู้หญิงหน้าบึ้งกับผู้หญิงยิ้มเก่งแบบไหนน่ามองกว่ากัน”
                “ถามทำไมครับ” การ์ดหนุ่มขมวดคิ้วฉับกับคำถามที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากหญิงสาวผู้นี้
                “ตอบ” เธอพูดเรียบนิ่งทว่าสั่นสะท้านไปยังสันหลังของคนฟัง
                “ถ้าบึ้งแล้วสวยก็น่ามองครับ” เขาเหลือบตามองตัวอย่างของคำตอบตรงกระจกส่องหลัง
                “ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อยได้ไหม”
                “ยิ้มเก่งครับ ชนะขาดลอย” ใครๆ ก็ชอบรอยยิ้ม จะสวยไม่สวยแค่ยิ้มออกมาก็ดีงามทั้งนั้นแหละ
                เมื่อได้รับคำตอบแล้วหญิงสาวก็ขยับปากเหยียด ก่อนจะเม้มมันแน่นพลางหลับตาลง ค่อยๆ จัดการกับความรู้สึกที่ดูรกรุงรังในความคิดและหัวใจ
 
                ขาเรียวสวยแกว่งตีน้ำใสแจ๋วเบาๆ ไปมาทำให้มันกระเพื่อมตัวเป็นคลื่นขยายไปเป็นวงกว้าง สองสามวันมานี้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนมีผึ้งบินอยู่ในหัว มันว้าวุ่นใจแปลกๆ กับการต้องเจอหน้าคนที่เคยไม่ชอบขี้หน้า และทุกครั้งเขาต้องส่งยิ้มกะเรี่ยกะราดมาอ่อยเธอทุกที แม้จะทำเป็นไม่สนใจแต่ข้างในมันก็รู้สึก เธอไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงหรือควรทำอะไรต่อไปดี ถึงไม่อยากยอมรับทว่าก็ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า เธอชอบเขาแล้วจริงๆ
                ‘...ใครที่ลูกรู้สึกดีด้วยตอนอยู่ใกล้ๆ คว้าคนนั้นไว้นะ’ แว่วเสียงบิดาลอยมาแต่ไกล คว้าไม่ได้หรอก ประธานบริษัทกับเด็กส่งของจะชอบกันได้ยังไง ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือเธอยังไม่รู้เลยว่าเขาชอบเธอจริงหรือเปล่า อาจจะแค่แกล้งเล่นเป็นหมาหยอกไก่หรือชอบอ่อยแบบนี้เป็นนิสัยถาวรก็ได้ ทำไมเธอต้องใจอ่อนใจง่ายเผลอไผลไปกับคำพูดและการกระทำของเขาด้วย
                แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอควรทำคือการตัดทุกความรู้สึกออกไป กลับไปเป็นผู้หญิงพลังน้ำแข็งแบบที่เคยได้ยินลูกน้องนินทาให้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นได้ก็ต้องหายไปได้เช่นกัน...
                หญิงสาวที่นั่งหย่อนขาลงไปในสระน้ำค่อยๆ ยกขาขึ้นมา คว้าผ้าขนหนูที่วางข้างตัวมาเช็ดจนหมาดดีแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน
 
               เสียงร้องเพลงชาติและเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนจบลง จากนั้นเสียงของผู้อำนวยการก็ดังขึ้นพร้อมกับที่นักเรียนทั้งหลายยืนก้มหน้าหลบแดดอันแผดเผายามเช้า บ้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น บ้างก็พูดคุยหยอกเย้ากันจนคุณครูที่คุมแถวต้องดุใส่ และอีกจำนวนมากที่ภาวนาให้ผู้อำนวยการรีบบ่นเสร็จไวๆ
                สินบดีที่เข้าแถวอยู่ด้านหลังสุดรุดตัวลงมาแทรกอยู่กลางแถว ใช้ไหล่แข็งสะกิดเพื่อนที่ยืนอยู่ในแถวนักเรียนหญิง
                “อะไร” อารีว่าเสียงห้วน เหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนก้มหน้าอ่านหนังสือที่ยังไม่ได้ผ่านตาสักตัวต่อ ซึ่งจะต้องสอบเก็บคะแนนในคาบแรกด้วย
                “ยังไม่เลิกขายสร้อยให้พี่โม่อีกเหรอ” เขาก้มมองไปยังถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุสร้อยร้อยลูกปัดสีสวยซึ่งวางอยู่ข้างเท้าอารี
                “คนรักกันก็ต้องช่วยกันทำมาหากินสิ”
                “มโน” แค่นเยาะใส่ “นี่คิดจริงจังเหรอ”
                “อือ คนนี้แหละพ่อของลูก”
                “พูดแบบนี้ได้ไง” น้ำเสียงเริ่มกร้าวขึ้น
                “มีปากจะพูด ใครจะทำไม” ต่อล้ออย่างไม่สนใจใคร “เอาเวลายุ่งเรื่องคนอื่นไปอ่านหนังสือดีกว่าไหม จะได้ไม่เป็นภาระของคนโต๊ะข้างๆ”
                “อ่านมาสองรอบแล้วเว้ย” สินบดีชักสีหน้าไม่ชอบใจใส่คนที่ทำให้เขาหงุดหงิดแต่เช้าแล้วเดินไปเกาะกลุ่มเพื่อนที่ด้านหลังแถว นึกหาวิธีตัดคู่แข่งหัวใจตัวฉกาจ
                “มึง วันนี้หนังใหม่เข้าอ่ะ ดูเทรลเลอร์แล้วอย่างมัน เย็นนี้ไปดูกันไหม” เพื่อนหัวเกรียนคนหนึ่งพูดขึ้น
                “เอาดิๆ เดี๋ยวกูพาแฟนไปดูด้วย” คนตัวเล็กสุดในกลุ่มรีบตอบ
                “ตลอดอ่ะ มึงนี่ติดแฟนงอมแงม ไม่เคยเห็นหัวเพื่อนเลย”
                “เป็นเด็กเป็นเล็กตัวเท่ากระเปี๊ยกหัดมีฟงมีแฟน แก่แดด” คนที่สูงที่สุดว่าใส่หน้าเพื่อนอย่างหมั่นไส้
                “อ้าว พวกมึงอิจฉาก็พูดมา”
                “จ้างให้ก็ไม่อิจฉาหรอก แค่มีเพื่อนแบบพวกมึง กูก็ไม่ต้องการใครแล้วแหละ” เด็กผมเกรียนว่ายิ้มๆ
                “กูรักมึงเพื่อน มากอดทีดิ” คนตัวสูงคว้าหัวเพื่อนไปกอดเล่นแต่อีกฝ่ายไม่ยอม จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างกัน
                “มึงล่ะไอ้สิน ไปไหม” คนตัวเล็กหันมาถามเพื่อนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา สินบดียิ้มให้เพื่อนซี้ก่อนจะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น แล้วเดินกลับไปหาอารีอีกครั้งเพื่อขอเบอร์มานะ
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา