Stony รักไม่ยาก
เขียนโดย WAFFLE_W
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) พระอาทิตย์สีชมพู
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“ว่าไงสิน” เพชรงามกรอกเสียงลงไปหลังจากกดรับโทรศัพท์
“เย็นนี้ไปดูหนังกันไหมครับ” หญิงสาวละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือข้างหนึ่งค้นเอกสารใต้ลิ้นชักโต๊ะ
“คิดยังไงถึงชวนเนี่ย”
“คิดถึงไงครับ” ตอบกลับมาเสียงหวาน “ไปนะครับ”
“กี่โมงล่ะ”
หลังจากนัดเวลาและสถานที่เสร็จแล้วเด็กหนุ่มก็วางสายไป ก่อนจะต่อสายหาใครอีกคน
มานะเดินสามขุมเข้าไปหาสินบดีที่ยืนอยู่หน้าโรงหนังในห้างใหญ่
“ไหน มีอะไรจะให้” ก่อนเลิกงานเด็กหนุ่มคนนี้โทรไปหาเขาบอกให้มาหาที่นี่เพราะมีบางอย่างจะให้ เขาก็เลยยอมเฉียดเวลามาก่อนจะต้องกลับไปทำงานต่อ
สินบดีล้วงบัตรชมภาพยนตร์สองใบมายื่นให้ มานะส่ายหน้าหวือ
“ตอนนี้พี่ไม่มีอารมณ์มาดูหนังหรอกไอ้น้อง เสียเวลาทำมาหากิน” ตบไหล่อย่างขอบใจที่อุตส่าห์อยากเลี้ยงหนังเขา “ไปก่อนนะ”
“ผมไม่ได้จะมาดูหนังกับพี่หรอกนะ”
“แล้วบอกให้มาทำไมไม่ทราบ”มานะทำหน้าฉงน สินบดียัดบัตรทั้งสองใบใส่มือมานะ
“ผมให้พี่กับอาไดมอนด์คนละใบ เดี๋ยวอาผมก็คงมาแล้วแหละ จะกลับหรือจะอยู่ก็แล้วแต่นะ ผมไปละ” ว่าจบก็เดินล้วงกระเป๋าหน้าระรื่นจากไป
มานะก้มมองบัตรในมือด้วยสีหน้าคิดหนัก มองเห็นทางให้เลือกสองทางระหว่างเงินกับผู้หญิง ความคิดกำลังถกเถียงกันเอง กว่าจะหาเงินได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะและโอกาสที่จะได้นั่งดูหนังกับเพชรงามก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ในที่สุดมานะก็ตัดสินใจสอดบัตรเข้าช่องตาข่ายที่เป้ด้านหลัง แล้วเดินดุ่มออกไป
การเงินไม่ค่อยดีความรักที่มีคงต้องพับเก็บไว้ก่อน
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นบอกเหตุ ชายหนุ่มที่เดินออกจากห้างมาแล้วเรียบร้อยล้วงขึ้นมากดรับพลางเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์
“อาโม่ วันนี้ลื้อไม่ต้องทำงานนะ อั๊วต้องไปส่งอาหมวยหาหมอ” เสียงพูดไทยสำเนียงจีนของเจ้าของโรงงานผลิตภัณฑ์เซรามิกบอก
“จริงหรือเถ้าแก่” เขาชะงักเท้าอยู่กับที่
“เออ แต่พรุ่งนี้ลื้อต้องทำให้ได้สองเท่าเลยนะ”
“ครับๆ” จะกี่เท่าก็ยอมทั้งนั้นแหละ มานะกลับหลังวิ่งเข้าไปในห้างอีกครั้ง เขามองไปที่หน้าโรงหนังเห็นหญิงสาวใบหน้าคุ้นตายืนชะเง้อชะแง้หาใครสักคน มือข้างหนึ่งจับโทรศัพท์แนบหนู เธอมองมาที่เขาก่อนจะรีบหันไปอีกทางแล้วทำท่าจะก้าวหนีไป
มานะเข้าไปขวางหน้าเพชรงามเอาไว้ เธอสบตาเขาแวบหนึ่งแล้วก้มกดโทรศัพท์แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ชายหนุ่มดึงบัตรในกระเป๋ามายื่นให้ใบหนึ่ง
“หลานท่านประธานฝากมา” ว่าพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วสินไปไหน” ถามเสียงเรียบ รับบัตรมาอย่างกระมิดกระเมี้ยน
“กลับบ้านแล้วมั้ง”
“หมายความว่าไง...”
“ไปดูหนังกันเถอะ” ว่าจบก็คว้าข้อมือเธอเดินไปยื่นบัตรให้พนักงาน เพชรงามที่สติยังไม่เข้าที่เข้าทางยอมให้เขาลากจูงไปง่ายๆ รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปนั่งบนเก้าอี้หน้าจอใหญ่แล้ว เธอผุดลุกขึ้นยืนทว่าก็โดนมือชายหนุ่มรั้งให้กลับไปนั่งอย่างเดิม เมื่อโฆษณาตัวสุดท้ายจบมานะก็ถอดหมวกออกวางไว้บนตักแล้วเลื่อนมือไปประสานกับมือเรียวไว้ โชคดีที่ตรงนั้นค่อนข้างมืดจึงทำให้ไม่มีใครเห็นว่าใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีแดงเรื่อเพียงใด
สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของคนทั้งสองคือภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายปล่อยมือออกจากกัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกที่มากขึ้นเช่นกัน ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงกลางเรื่องมานะซบศีรษะลงกับไหล่ของเพชรงาม เธอกระดิกไหล่เป็นเชิงไล่ ทว่าเขาก็ยังซุกไปมาอย่างได้ที่
“มาดูหนังก็ดูไปสิ ทำไมต้องมาสวีทกันด้วย” เสียงแหลมเล็กของคนที่นั่งถัดไปสองที่ดังขึ้นเบาๆ “แม่ หนูอิจฉาพี่เค้า”
คนที่โดนอิจฉาหัวเราะคิกคักกับคำพูดนั้น พวกเขามีอะไรให้น่าอิจฉาหรือ การได้สวีทกันแบบนี้อาจมีแค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้ ทั้งคู่เงียบเสียงลงเพราะเผลอสบตากันโดยบังเอิญ มานะฉีกยิ้มกว้างให้ด้วยใบหน้าที่เห็นชัดว่าเต็มไปด้วยความสุข เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่ที่เห็นเธอระบายยิ้มมาให้ด้วย แม้จะมีแค่แสงสว่างจางๆ จากหน้าจอใหญ่ที่ส่องกระทบมา หากทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันมากจนเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
มานะและเพชรงามเดินออกจากโรงหนังราวสองทุ่มกว่า
“ปล่อยได้แล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงกระเส่า พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา
“หิวจัง ไปหาอะไรกินดีกว่า” เขากระชับมือไว้แน่นกว่าเดิมแล้วเดินจูงหญิงสาวมาหยุดที่ร้านโจ๊กตรงหน้าห้าง ถึงยอมปล่อยมือเธอ ดันไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก ส่วนตัวเขาก็ไปนั่งอีกฝั่ง “เฮียโจ๊กหมูสอง”
ทั้งสองเงียบกันไปพักหนึ่ง ระหว่างคนทั้งสองไม่มีใครส่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงระงมของลูกค้าโต๊ะอื่น เสียงโวกเวกของเจ้าของร้านที่กำลังตักและปรุงโจ๊กมือเป็นระวิง และเสียงบรรยากาศยามค่ำคืนของรถราที่ผ่านไปมาบนถนน
ไม่นานโจ๊กที่สั่งก็มาวางอยู่บนโต๊ะ
“หนังสนุกดีนะครับ” มานะเอ่ยขึ้นขณะคนโจ๊กร้อนๆ ในชามที่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาเตะจมูก
“ดูด้วยเหรอ” เพชรงามรู้สึกว่าเขาเอาแต่มองเธอตลอดแถมตอนท้ายเรื่องยังแอบหลับด้วย
“ดูนิดหนึ่ง ตอนฉากจูบ” คำตอบพร้อมแววตาพราวระยับที่ส่งมาทำเอาหญิงสาวหลุบตาหนีแทบไม่ทัน เธอตักโจ๊กขึ้นมาเป่าก่อนจะนำเข้าปากลิ้มรสชาติ มานะหัวเราะออกมาน้อยๆ “อร่อยไหมครับ”
“อืม” ตอบรับพลางตักขึ้นมาอีกช้อน
“รู้สึกดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อนเลยนะเนี่ย” ตักโจ๊กเข้าปากคำโต “ผมต้องหาอะไรมาตอบแทนหลานท่านประธานงามๆ ซะแล้ว”
“นี่เป็นแผนของนายงั้นสิ”
“ไม่ใช่ เราสองคนก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกันแหละครับ ท่านประธานเวลายิ้มแล้วน่ารักขึ้นเป็นกองเลย”ว่าพร้อมจ้องเธอราวจะซึมซับเอาไว้ทุกท่วงท่าการกระทำ
“กินไปเลย” ดุแก้เขิน ก้มหน้าทานของตัวเองต่อด้วยหัวใจตุ๊มๆ ต๊อมๆ
“เวลาเขินก็น่ารัก”
เลิกพูดแบบนี้สักที เพชรงามตะโกนในใจ แค่นี้ความรู้สึกมันก็ล้นหัวใจแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก
หลังจากทานโจ๊กจนอิ่มหนำกันแล้ว มานะชวนท่านประทานของเขาไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารตามทางเดินฟุตบาท โดยอาศัยแสงไฟจากวัดวาอารามและสถานที่สำคัญที่อยู่ในละแวกนี้เป็นแสงสว่างส่องทาง นานๆ ทีบนถนนสายนี้จะมีรถราวิ่งผ่าน ลมอ่อนๆ พัดโชยมาต้องผิวกายให้ความรู้สึกดีเหลือแสน
“ท่านประธานครับ” มานะเป็นคนเปิดบทสนทนา
“หือ” หญิงสาวครางรับเบาๆ ขณะชื่นชมกับบรรยากาศยามค่ำคืนรอบตัว ลมก็เย็น ไฟก็สวย แดดก็ไม่มี แถมยังเงียบสงบกว่าตอนกลางวันตั้งเยอะ
“ผมขอทิ้งความเป็นเจ้านายกับลูกน้องเอาไว้แล้วเรามาเป็นเพื่อนกันแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ”บางทีสิ่งที่สังคมเอามากั้นแบ่งระหว่างคนสองคนมันก็น่ารำคาญ
“อือ” เธอแปลกใจเล็กน้อยกับคำขอของเขาหากก็ยอมให้เพราะมันคงทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้น นานแล้วที่เธออยากคุยกับใครสักคนอย่างเท่าเทียมกันในฐานะเพื่อน
“เล่นเกมเธอถามฉันตอบกันไหม” มานะเสนอความคิด ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย ในเวลานี้เขาจะคิดว่าโลกทั้งใบมีเพียงเขาและเธอแค่สองคนเท่านั้น ส่วนเรื่องราวสิ่งอื่นใดขอโยนไว้ในถังขยะก่อน
“ยังไง” เธอขมวดคิ้วมองคนที่เดินข้างๆ เป็นเชิงถาม
“เธออายุเท่าไร” มานะเริ่มก่อน ชี้ไปที่หญิงสาว “นี่ก็ต้องตอบว่าฉันอายุ... เท่าไหร่ก็บอกไป สลับกันถามตอบ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเล่น” หญิงสาวว่านิ่งๆ ปกติเธอไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว
“ถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็บอกว่าผ่าน” เขายังคงอธิบายกติกาต่อ “ตอบข้อแรกมาสิ หรือจะผ่าน”
เพชรงามลังเลชั่วครู่ก่อนตอบไปว่า “ฉันอายุ26”
ฟังดูแล้วก็คงไม่ได้ล้วงลับอะไรมากนัก เธอเองก็อาจจะได้รู้จักเขามากขึ้น
“อื้อ ตาเธอถามอ่ะ”
“เธออายุเท่าไร” หญิงสาวลอกคำตอบของเขามา ถ้าให้เดาเธอว่าเขาก็คงอายุเท่าๆ เธอ
“ฉันอายุ 28” เขาตอบ “เธอว่าฉันหล่อไหม”
“ฉันว่าไม่” เธอเบ้ปากให้กับคำถามที่คนจะถามได้ต้องมีความมั่นใจในตัวเองมากถึงมากที่สุด “ทำไมเธอถึงชอบใส่หมวก”
“ฉันว่ามันเท่ดี ใส่แล้วรู้สึกมั่นใจขึ้น เหมือนมีบางสิ่งคอยคุ้มกะลาหัวอยู่” เขาถอดหมวกออกแล้วลูบเส้นผมสั้นๆของตัวเองก่อนจะสวมหมวกกลับด้านแบบเดิม “เธอว่าตัวเองสวยไหม”
เพชรงามอึ้งกับคำถามของเขา
“ฉันคิดว่าสวย” ตอบไปตามความเป็นจริงอย่างมั่นใจ เธอแว่วได้ยินเขาหัวเราะหึใส่ “เธอเป็นคนแบบไหน”
“ฉันเป็นคนหน้าตาดี นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่รักเด็ก ไม่ชอบหมา แต่รักใครรักจริง” ประโยคสุดท้ายเขาแกล้งแกว่งมือมาโดนมือหญิงสาว เป็นเหตุให้เพชรงามต้องค้อนขวับใส่ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุด”
เป็นอีกครั้งที่เธอชะงักกับคำถามของเขา “ผ่าน สิ่งที่เศร้าที่สุดในชีวิตของเธอคืออะไร”
ชายหนุ่มหลุบตาต่ำแล้วเงียบไปชั่วขณะราวกับกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่าง “แม่”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเศร้าสร้อยจนคนฟังสัมผัสได้ นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นทิ้งเขาไปเขาก็คิดมาตลอดว่าเธอได้ตายไปจากใจของเขาแล้ว เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคิดผิดมาตลอด “เธอมีความสุขมากไหมเวลาได้อยู่กับแม่”
“ผ่าน” หญิงสาวเลี่ยงที่จะตอบ ปล่อยให้ความเงียบเหงาเข้ามาปกคลุมชั่วครู่ ความรู้สึกที่เก็บไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจค่อยๆ ลอยขึ้นมา เพชรงามคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้า เธอเกิดมาพร้อมกับที่แม่จากไป ความจริงเธอเป็นลูกหลงตอนที่พ่อแม่อายุค่อนข้างมากแล้ว และตอนที่แม่ตั้งท้องเธอสุขภาพท่านก็ไม่ค่อยดีนัก “ดาวสวยดีนะ”
หญิงสาวหยุดเดินแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าหวังจะช่วยเยียวยาบรรยากาศที่ดูครึ้มลง
“ครับ” มานะสลัดเรื่องไร้สาระออกไป เขาหยุดเดินมองไปยังดวงดาวสุกสกาวที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดทั่วท้องฟ้าทมิฬ ธรรมชาติสวยงามเสมอ โดยเฉพาะธรรมชาติของมนุษย์ สวยธรรมชาติ น่ารักธรรมชาติ นิสัยและท่าทางธรรมชาติ ไร้ซึ่งเครื่องปรุงแต่งใดๆ สิ่งเหล่านี้มันสวยงามจับใจยิ่ง หากความเป็นธรรมชาติในปัจจุบันนี้เริ่มเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากผู้คนส่วนมากมักคิดว่าของที่เป็นธรรมชาตินั้นดูธรรมดาไม่น่าดึงดูดใจ จึงต้องหาสิ่งแปลกปลอมมากมายมาชโลมเคลือบร่างกายและจิตใจเอาไว้
หญิงสาวหันมาจ้องชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมองดวงดาว แสงไฟอ่อนๆ กระทบใบหน้าเข้มคม ส่งผลให้เขาดูน่ามองมิใช่เล่น ไม่เชิงว่าดึงดูด แต่มันน่ามองจนอดไม่ได้ ผิวหน้านั้นมิได้เกลี้ยงเกลาขาวใส ยังมีร่องรอยให้เห็นรูขุมขน รอยกระฝ้า และสิวเม็ดเล็กๆ เธอว่ามันคือความงดงามของใบหน้าผู้ชายที่แท้จริง มิใช่ใบหน้านวลเนียนขาววอกของชายหนุ่มยุคไฮเทคที่ดูล้ำหน้ายิ่งกว่าหญิงสาว ดวงตาคมวาว สันจมูกโด่ง ริมฝีปากงามได้รูป เธอเพิ่งสังเกตว่าหมวกบนหัวของมานะช่วยทำให้เขาดูเท่ขึ้นมาจริงๆ ด้วย ยิ่งมีรอยยิ้มบางๆ ที่ประกายความสุขอยู่เต็มใบหน้าเช่นนี้...
“จ้องผมทำไม ซึมซับความหล่ออยู่ล่ะสิ”เขาหันมามองเธอก่อนจะยกยิ้มสูงขึ้นกว่าเดิมทำเอาคนแอบมองหลบสายตาแทบไม่ทัน
“เหอะ” แค่นเสียงพ่นลมออกจากปากอย่างหมั่นไส้ เผลอแกว่งแขวนทำให้มือไปโดนมือเขา ก่อนจะรวบมือขึ้นกอดอกแล้วออกเดินนำหน้าเขาไป
มานะยิ้มกว้าง เร่งฝีเท้าเข้าไปประชิดแผ่นหลังสง่าของร่างบาง เขาจิ้มนิ้วลงไปบนไหล่เธอรัวๆ “เธอๆ”
“อะไร” ว่าเสียงห้วนพลางปัดมือเขาออก
“เราชอบเธอ” เพชรงามชะงักฝีเท้าหยุดกึกอย่างกะทันหัน ส่งผลให้คนที่เดินตามหลังมาชนเข้าอย่างจังก่อนจะเด้งออกไป “หยุดทำไมครับ”
“ว่าไงนะ” ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างขึ้นนิดๆ ยามหันมาจ้องชายหนุ่ม
มานะขยับเข้าใกล้เธอก้าวหนึ่ง “ผมชอบท่านประธาน ชอบจริงๆ นะ สักวันผมจะทำให้ท่านประธานชอบผมให้ได้ เตรียมตัวไว้เหอะ”
เขาว่าอย่างมุ่งมั่นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แสนจริงใจ
“ไม่มีทาง” คนปากแข็งเย้ย หันกลับมาเดินต่อเพื่อซ่อนความเก้อเขิน
“มันต้องมีสักทางแหละ” เดินมาอยู่ข้างๆ “บอกแล้วไง ‘คนนี้พี่จอง’”
เพชรงามต่อสายหาการ์ดส่วนตัว ไม่นานนักรถเก๋งสีดำคันกะทัดรัดก็มาชะลอจอดตรงริมบาทวิถีที่มีสองหนุ่มสาวยืนหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจากลา ไม่สนสายตาของการ์ดหนุ่มที่คอยสอดส่องจับผิดถึงความลึกซึ้งบางอย่างของคนทั้งสอง รุตแปลกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะลดตัวมาเดินเล่นข้างถนนกับคนส่งของ งานนี้พระอาทิตย์คงได้ส่องแสงออกมาเป็นสีชมพูหวานแหววเป็นแน่
มันคงดูสวยงาม แต่ไม่มีวันเกิดขึ้น!
มานะเดินกระโดดโหยงเหยงมายืนหน้าโต๊ะทำงานของการ์ดประธานบริษัท เขาตื่นสุขจนคนที่นั่งทำงานอยู่ต้องเงยหน้าไปมอง
“ท่านประธานอยู่ไหมพี่” คนที่เคี้ยวหมากฝรั่งหยุบหยับยักคิ้วถาม
“อยู่ มีไร” ตอบและถามกลับเสียงห้วน แววตาแสดงออกถึงความสงสัยบางอย่างที่เคลือบแคลงคาใจ
“ฝากไอ้นี่ให้ท่านประธานด้วย” เขาล้วงอมยิ้มออกมาวางไว้ที่โต๊ะ
“ปัญญาอ่อน” รุตจับก้านอมยิ้มมาหมุนดูแล้วแค่นหัวเราะเยาะ “ถ้าฉันโดนเล่นงานเพราะไอ้อมยิ้มเด็กๆ นี่ใครจะรับผิดชอบ”
“ผม” ยืดอกออกตัวรับ
“เหอะ น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะ” แค่นหัวเราะเยาะใส่อย่างดูถูก “นี่ไอ้โม่ ถามไรหน่อยสิ ทำไมพักนี้แกอยู่กับเจ้านายฉันบ่อยจังวะ”
“พรหมลิขิตมั้งพี่”เป่าหมากฝรั่งในปากเล่นปุบปับ
“พรหมลิขิตผิดที่ผิดทางน่ะสิโว้ย” รุตแค่นเสียงใส่ “แล้ววันนั้นทำไมแกไปอยู่ร้านขายผ้ากับเธอได้ คนอย่างเจ้านายฉันไม่มีทางเกิดอารมณ์หญิงหวานแหววเดินเข้าไปเลือกผ้าแน่”
“ก็บอกแล้วว่าเป็นพรหมลิขิต” มานะยืนยันคำตอบเดิม และเหมือนคำพูดกวนๆ ที่แฝงความจริงจังของเขาจะไปยั่วโมโหคนฟังเข้า
“ตอบดีๆ จะตายไหม บอกมาว่าแกคิดจะทำอะไร แล้วเรื่องเมื่อคืนนั่นอีก”
“ขี้เกียจตอบ ไปถามเจ้านายพี่เอาเองสิ” ว่าจบก็ล้มตัวนอนเหยียดตามความยาวของโซฟา
“ถ้าฉันกล้าฉันก็ถามไปแล้วสิ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ” คาดคั้นด้วยน้ำเสียงและสายตา
“บางความรู้สึก บางเรื่องราว คนนอกก็ไม่เข้าใจหรอกและไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย” มานะว่าเสียงนุ่มทุ้มเนิบช้า แววตามองขึ้นไปข้างบน อารมณ์เหมือนพระเอกหนังกำลังเอ่ยประโยคเปลี่ยนโลก ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา “เท่ป่ะล่ะ ไปละ” เป่าหมากฝรั่งออกมาเป็นลูกโป่งใบใหญ่ส่งท้ายแล้วเดินจากไป
“ไอ้โม่!” ตะโกนตามหลังอย่างหัวเสีย
เจ้าของร่างระหงเยื้องกายออกมาจากห้องทำงาน พร้อมกับที่ชายหนุ่มหน้าห้องผุดลุกขึ้นมา รุตลังเลอยู่นานเมื่อยืนอยู่ในลิฟต์กับเจ้านาย และแล้วเขาก็ยื่นอมยิ้มไปให้เธอ
เพชรงามมองอมยิ้มอันเล็กน่ารักตรงหน้าอย่าฉงน
“ไอ้โม่... ฝากให้ครับ” คำตอบนั้นช่วยให้รอยยิ้มแต้มลงบนหน้าเธอ แต่คนที่ก้มหน้างุดเพราะกลัวโดนเล่นงานไม่ทันได้เห็นมัน “ให้ผมเอาไปทิ้งเลยไหมครับ”
หญิงสาวจับคว้ามันมาไว้ และเมื่อเจอสายตาแปลกใจระคนงุนงงของลูกน้องที่มองมาเธอจึงหาคำมาแก้ตัว “ทิ้งก็เสียดาย”
รู้ว่านั่นมันสร้างเป็นเหตุผลที่ดูฟังไม่ขึ้นเลย หญิงสาวจึงขึงตาใส่เขาจนการ์ดหนุ่มต้องรีบหลบสายตา ข้อดีของการเป็นคนนิ่งขรึมคือแค่ทำเป็นดุนิดหน่อยคนอื่นก็หวาดเกรงกันแล้ว
ทันทีที่เข้ามาในบ้านลิงสองคนก็เข้ามากอดเอวเพชรงาม หญิงสาวลูบหัวพลางขยี้ผมหลานชาย ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกอดทั้งสองไว้ในอ้อมแขน กระหน่ำหอมเข้าให้โทษฐานที่ทำให้เธอคิดถึงหนัก
“คิดถึงอาไดมอนด์ที่สุดในโลกเลยครับ”
“อยากเล่นกับอาทุกวันเลย”
“อาไดมอนด์ก็คิดถึงพิกเลทกับทิกเกอร์ที่สุดในสามโลกเลยนะครับ คืนนี้นอนด้วยกัน” เธอฉีกยิ้มให้เด็กๆ
“ไม่ได้” เสียงขรึมดุดังขึ้นจากคนที่เป็นพ่อของเด็กทั้งสอง ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา “ลูกก็ต้องอยู่กับพ่อสิ”
เพชรงามหันไปมองสายตาเขม็งดุของพี่ชายด้วยรอยยิ้มที่เจื่อนลง มองเลยไปที่บิดา เขาพยักหน้าให้เธอเบาๆ หญิงสาวจึงหันมาเล่นกับหลานต่อ “เราไปเล่นวิ่งไล่จับที่สนามกันดีกว่า”
“ขี่หลัง” พิกเลทเรียกร้อง
“ขี่ด้วย” ทิกเกอร์ว่าตาม
เพชรงามย่อตัวให้คนหนึ่งขี่หลังแล้วอุ้มอีกคนไว้ข้างหน้าก่อนจะวิ่งปราดพากันไปล้มลงบนสนามหญ้านุ่มๆ
“ดูสิ ลูกผมเพิ่งมาเหนื่อยๆ พาไปเล่นอีกแล้ว ตอนเด็กไม่มีใครเล่นด้วยหรือไง” ฐานิชกระแทกกระทั้นน้องสาวให้พ่อฟัง
“เพราะพวกแกนั่นแหละ” สิงห์ภพตอกกลับ
“พ่อก็เข้าข้างมันตลอด” ว่าเสียงหงุดหงิดแล้วเดินออกประตูไป
“ก็มันจริงนี่เว้ย” ชายชราตะโกนบอก “แล้วนั่นแกจะไปไหน”
“ไปหาความสุขใส่ตัว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ