Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) พวกผมมาขอขมา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               “เกิดอะไรขึ้น” วิเชียรถลาเข้ามาในห้องเอ่ยถามน้ำเสียงตึงเครียด ก่อนจะเดินเข้าไปแกะมือพี่ชายออกจากคอเสื้อน้องสาว แยกทั้งคู่ออกห่างกัน “เกิดอะไรขึ้นครับ” วิเชียรหันมาถามพี่ชาย

               ฐานิชละสายตาออกจากเพชรงามแล้วมองเลยไปที่ด้านหลังของเธอ ก่อนจะเดินไปกวาดข้าวของบนโต๊ะเครื่องแป้งตกลงมากระทบพื้นเกลื่อนกลาด บางอย่างที่เป็นขวดแก้วก็ตกแตกจนเศษแก้วกระจายไปทั่วพื้น

                “พอ! พอกันที!” นารีว่าออกมาราวระเบิดได้แตกตูมออกมา “ฉันจะไม่อยู่แล้ว ฉันจะไม่ทนอีกแล้ว”

                ว่าจบเธอก็เดินร้องไห้โฮออกไปทันที ปากก็เรียกหาลูกชายทั้งสองคนเพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอต้องการ

                เพชรงามมองหน้าวิเชียรแล้วพยักหน้าก่อนจะเดินตามนารีออกไป

                นารีโผเข้ากอดลูกทั้งสองที่กำลังเต้นท่าเป็ดน้อยอยู่ในสวนด้วยความรักและหวงแหน รอยยิ้มสนุกสนานหายไปจากใบหน้าของคนเป็นลูกพลันเมื่อได้ยินเสียงมารดาร้องไห้

                “คุณแม่ร้องไห้ทำไม” พิกเลทถามดวงตาใสแจ๋ว

                “คุณแม่อย่าร้องไห้นะ” ทิกเกอร์ว่าน้ำตาคลอ

                และแล้วทั้งสามคนแม่ลูกก็กอดกันกลมพากันร้องไห้ฮืออย่างที่ใครเห็นก็ต้องสงสารจับใจ โดยเฉพาะคนที่ผูกพันกับทั้งสามมานานหลายปีเช่นเพชรงาม

                “พิกเลท ทิกเกอร์ ไปอยู่บ้านยายกันนะลูก ไปอยู่กับแม่นะครับ” นารีบอกพร้อมเสียงสะอื้นไห้อันน่าสลด เธอลูบหัวลูกรักด้วยมือทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน

                “ไม่ได้นะคะ” เพชรงามเข้ามานั่งลงข้างแม่ลูกทั้งสาม เธอทนไม่ได้หรอกถ้าวันหนึ่งบ้านหลังนี้จะไม่มีหลานที่เป็นสีสันให้ชีวิตเธออีกแล้ว “พี่รีอย่าไปไหนนะคะ”

                “พี่ไม่ไหวแล้วค่ะน้องไดมอนด์ เขาเป็นแบบนี้หลายครั้งหลายคราเกินไปแล้ว คนมันหมดใจอยู่ไปก็เจ็บช้ำเสียเปล่า”

                “พี่ฐาอาจจะแค่หลงผิดชั่ววูบ เค้าจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพี่รีกับลูก อย่าทิ้งพี่ฐานะคะ” เธออ้อนวอนเสียงอ่อนทว่าจริงจัง

                “อยู่ไปเราก็คงต้องทะเลาะกันอีกไม่จบไม่สิ้น พี่ไม่อยากให้ลูกเห็นภาพแบบนั้น พี่สงสารลูก มันทรมานใจ”

                “หนูก็สงสารหลานค่ะ หนูอยากให้เค้ามีความสุขในครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่อยากให้ทั้งสองเป็นแบบหนู ถึงพ่อจะดูแลและเป็นให้หนูได้ทุกอย่าง แต่พ่อไม่เคยเติมคำว่าแม่ให้เต็มได้เลยในความรู้สึกหนู พี่รีคะ ให้โอกาสพี่ชายหนูอีกครั้งนะคะ”

                “พี่ขอบคุณน้องไดมอนด์มากนะคะสำหรับทุกสิ่งอย่าง ฝากขอบคุณและขอโทษคุณพ่อด้วย” เธอพูดตัดเยื่อใยอย่างไม่สนใจคำร้องขอของน้องสาวสามี “พิกเลท ทิกเกอร์ ไปอยู่บ้านคุณยายดีกว่า ที่นั่นมีของเล่นให้ลูกเล่นเยอะแยะเลยนะ”

                เด็กทั้งสองร้องไห้หนักและเสียงดังมากขึ้น

                “พิกเลท ทิกเกอร์มาหาอานะครับ” เพชรงามอ้าแขนรับหลานชายเมื่อการโน้มน้าวใจพี่สะใภ้ไม่สำเร็จ ทว่าเด็กทั้งสองยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในอ้อมแขนมารดา “ตัวแสบไปอาบน้ำกับพี่จันทร์ก่อนนะ อาบน้ำแล้วเดี๋ยวเราลงมาทานข้าวด้วยกัน”

                ทุกอย่างนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว “อีกเดือนเดียวก็ถึงวันเกิดเราแล้วไม่ใช่เหรอ อยากได้อะไรเดี๋ยวอาจะหามาให้ทุกอย่างเลยนะ ทุกอย่างเลยจริงๆ นะ” เพชรงามหันมามองนารีที่น้ำตายังนองหน้า “พี่รีอยากให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดลูกคะ คงไม่ใช่ครอบครัวที่แตกร้าวใช่ไหม แบบนั้นมันคงเจ็บปวดน่าดูเลยนะคะ”

                นารีเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดแทงใจดำเธอ สักพักใหญ่ก่อนที่เธอจะคลายและปล่อยวงแขนลง ก้มลงไปบอกลูกทั้งสอง “ไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวแม่ตามไป”

                “ไม่เอา ไม่ไป จะอยู่กับคุณแม่ ฮือ” เด็กๆ ร้องกระจองอแง

                “ถ้าไม่ไปอาจะให้ปู่จักตุ๊กแกใส่อีกนะ เอาไหม” อาสาวขู่ตาดุ พิกเลทและทิกเกอร์ลุกขึ้นทันที พี่เลี้ยงยังสาวเดินเข้ามาจูงมือแล้วพาเข้าไปในตัวบ้าน

                “หนูไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่รีต้องเจ็บมากแค่ไหนกับการกระทำของพี่ฐา” เพชรงามเอื้อมมือไปกุมมือนารีที่สั่นระริกไว้ “แต่หนูไม่อยากให้พี่กับหลานจากบ้านนี้ไปจริงๆ นะ อาจจะเห็นแก่ตัวที่หนูขอให้พี่อยู่ที่นี่ แต่หนูสัญญาว่าจะดูแลพี่กับหลานให้ดีที่สุด เชื่อใจหนูนะคะ”

                “ขอบคุณมากนะน้องไดมอนด์” นารีล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากระโปรงยาวออกมาเช็ดน้ำตา

                “เมื่อเช้าพี่รีบอกว่าทำพายมะม่วงใช่ไหมคะ หิวแล้วสิ” เพชรงามทำท่าลูบท้องที่ตึงเต่งอิ่มแปล้จากการกินมะพร้าวเผาแล้ว

                สองสาวเดินเข้ามาในห้องครัวด้วยท่าทางที่สบายใจขึ้นแล้ว ทว่าเมื่อเข้าไปข้างในเพชรงามก็ใจแผ่วลงทันทีด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว ขนมต่างๆ ที่นารีทำไว้ถูกขว้างทิ้งไว้บนพื้น จนเจ้าของอดไม่ได้ที่จะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง

                “ทำไมต้องทำแบบนี้ ฮือ พ่อแม่ฉันยังไม่เคยทำกับฉันแบบนี้เลย ความตั้งใจของฉันมันไม่มีชิ้นดีแล้ว...”

                หญิงสาวว่าค่อนพี่ชายในใจก่อนจะหันไปปลอบพี่สะใภ้ใหม่อีกรอบ “ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ”

 

                “ไปสังสรรค์มาสนุกไหมค่ะพ่อ” เสียงลูกสาวดังมาจากห้องรับแขกหรู คนเป็นพ่อชะงักฝีเท้าและหยุดผิวปากทันที ก่อนจะเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยถาม

                “เรื่องเป็นยังไงบ้าง” เพชรงามโทรไปรายงานให้เขาฟังแล้วตอนอยู่ในงานสังสรรค์รำลึกความหลัง

                “พี่รีนอนหลับอยู่บนห้อง ส่วนพี่ฐาออกไปไหนไม่รู้”

                “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเรียกมาเคลียร์แล้วกัน ส่วนเราก็ไปนอนได้แล้ว” สิงห์ภพลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู เพชรงามลุกขึ้นไปเกาะแขนบิดา ทำหน้าอ้อนวอนอย่างจริงจัง

                “พ่อคะ ไม่ว่ายังไงพ่อห้ามให้พิกเลทกับทิกเกอร์ไปไหนเด็ดขาดนะ” เธอขอร้องแกมบังคับ เธอเองก็รักหลานไม่แพ้พ่อแม่มันหรอก

                “รู้แล้วน่า นั่นหลานพ่อเชียวนะ” ว่าเสียงนุ่มทว่าให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง “เหนื่อยไหมล่ะเรา”

                “นิดหน่อยค่ะ” ตอบอย่างอ่อนเพลีย

                “ประชุมวันนี้เป็นไงบ้าง รายงานให้ฟังหน่อยสิท่านประธาน” สองพ่อลูกพากันเดินขึ้นบันไดไป ลูกสาวเอ่ยเสียงล้าตอนเล่าเรื่องงานทุกกระบวนการให้บิดาฟังอย่างละเอียด

 

                บุรุษสองนายเดินมาดมั่นตรงไปยังห้องทำงานบนชั้นสูงสุดของบริษัทเฟรนซี ในมือของทั้งสองมีพวงมาลัยดอกมะลิถืออยู่คนละพวง

                “จะดีเหรอวะไอ้โม่” เมื่อใกล้ถึงเป้าหมายประสิทธิ์ก็มีท่าทางฝ่อลง ยกพวงมาลัยขึ้นมามอง นี่จะมาขอโทษเจ้านายหรือขอขมาเจ้าแม่กันแน่

                “หรือแกจะยอมโดนหักเงินเดือน” มานะหันมาย้อน มือข้างหนึ่งยกแก้วน้ำส้มที่ได้ฟรีมาจากซุ้มหน้าบริษัทขึ้นดื่มด้วยท่วงท่าสบายๆ ทั้งที่ในใจก็กระวนกระวายไม่น้อยกับเสียงประกาศิตว่าจะโดนหักเงินเดือนเหลือครึ่งหนึ่ง แค่เงินเดือนเต็มอัตราเขาก็ไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว

                “ไม่” ตอบอย่างชัดเจน “แล้วเราจะพบท่านประธานได้ไงวะ ใช่ว่าจะเข้าออกได้ง่ายๆ นะ”

                “ฉันมีเส้น เส้นใหญ่ด้วยนะ” เด็กเส้นเดินไปหยุดที่โต๊ะทำงานหน้าห้องประธาน ทำเสียงกระแอมเบาๆ

                การ์ดหนุ่มเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมามอง “ถือน้ำส้มกับพวงมาลัยจะไปแก้บนที่ไหนวะ แล้วหัวหมูล่ะ”

                “ไม่ใช่พี่” มานะปฏิเสธก่อนจะบอกความต้องการของตน “ขอเข้าไปหาท่านประธานหน่อยสิ”

                “มีธุระอะไร”

                “มีธุระใจนิดหน่อย” ตอบกวนๆ ทั้งน้ำเสียงและหน้าตา

                “ไอ้โม่!” ทำเสียงขุ่นใส่

                “ครับพี่รุต” ขานรับหน้ารื่น

                “อย่ากวน อยู่ดีๆ อยากโดนเลือดกบปากเล่นหรือไง”

                “เอ่อ คือพวกเราจะมาขอโทษท่านประธานเรื่องเมื่อวานครับพี่” ประสิทธิ์ชิงตอบแทนด้วยความรำคาญเพื่อนที่เอาแต่กวนประสาทไม่เข้าเรื่องเสียที

                “ไม่ได้หรอก นั่นมันเรื่องส่วนตัว นี่มันเวลางาน” เขาว่าพลางสะบัดมือไล่ ว่าตามตรงสำหรับเรื่องเมื่อวานเจ้านายเขาคงไม่มีทางยกโทษหรือยอมผ่อนผันสั้นยาวได้หรอก เข้าไปตอนนี้ก็คงมีแต่จะสร้างความบาดหมางมากกว่าเดิม

                “แป๊บเดียวเองพี่” ประสิทธิ์ร้องขอ “ผมไม่อยากโดนหักเงินเดือนเดือนแรกหรอกนะ”

                “ก็พวกแกทำตัวเองไม่ใช่เรอะ เล่นอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ”

                “ความจริงพี่กับท่านประธานเดินมาผิดที่ผิดเวลากันเองต่างหาก” มานะว่า

                “มีหน้ามาโทษพวกฉันอีกเหรอ เดี๋ยวปั๊ด...”

                “ก็มันจริง...”

                “พอ ไอ้โม่จริงจังก่อนสักห้านาทีได้ไหม” ประสิทธิ์หันมาแหวใส่เพื่อน นาทีนี้เงินเดือนสำคัญที่สุด “ให้พวกผมเข้าไปหน่อยนะครับ”

                “ไม่ให้เข้า” ว่าอย่างเด็ดขาด

                “กลับเถอะไอ้สิทธิ์ เดี๋ยวค่อยมาใหม่ตอนเลิกงานก็ได้” มานะบอกเพื่อน

                “เสียใจ” รุตเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเหยียด “เดี๋ยวเจ้านายฉันต้องออกไปดูงานที่โรงงาน วันนี้คงไม่กลับเข้าบริษัทแล้ว”

                ได้ฟังเช่นนั้นมานะก็ยกน้ำส้มขึ้นดื่มอย่างอารมณ์เสียนิดๆ แล้ววางแก้วเปล่าทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานของรุต

                “งั้นพรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้” ประสิทธิ์ว่าอย่างเสียดาย

                “ไม่ได้ ยังไงก็ต้องวันนี้ เคยได้ยินไหมว่าพรุ่งนี้อาจไม่มีจริง อยากทำอะไรก็ต้องทำเลยสิ” มานะยืนหยัด

                “แกจะรีบไปตายที่ไหนล่ะ” ประสิทธิ์ค้อนให้

                “ปากเสียไอ้นี่ ชีวิตมันไม่แน่นอนเว้ย” มานะทำหน้าจริงจัง และก่อนที่เขาจะได้พล่ามรำพันออกกลางทะเล เพื่อนแมสเซ็นเจอร์ก็จับคอเสื้อเขาเตรียมลากตัวกลับไป

                ทันใดนั้นเองประตูบานใหญ่ก็เปิดออกมาพร้อมกับร่างระหงที่ทรงอำนาจของเจ้าของห้อง สีหน้าเธอดูฉงนเล็กน้อยยามมองแมสเซ็นเจอร์ตัวซวยทั้งสอง หากเพียงครู่เดียวก็ปรับให้อยู่ในโหมดสุขุมดังเดิม

                “สวัสดียามบ่ายครับท่านประธาน” มานะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อน รีบกรูดเข้ามาทักทายท่านประธานด้วยรอยยิ้ม เพชรงามมองผ่านเขาไปที่การ์ดของเธอ

                “ไปได้แล้ว”

                รุตลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเจ้านาย มานะขยับเท้าเข้ามาขวางทันทีเมื่อเพชรงามก้าวไปได้ก้าวหนึ่ง

                “ขอเวลาให้ผมสองนาทีนะครับ” ว่าเสียงอ่อนอ้อนพลางชูสองนิ้วที่เจ้าตัวคิดว่ามันน่ารัก ทว่าหญิงสาวกลับจ้องเขาเขม็งอย่างไม่พอใจ

                “ไม่ให้ หลีกไป” เธอว่าราบเรียบอย่างมีอิทธิพล

                ฉับพลันมานะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว ประสิทธิ์เข้ามานั่งข้างๆ ทั้งสองยื่นพวงมาลัยไปให้และพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอโทษครับ”

                เพชรงามทำหน้าเสียศูนย์ด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อะไรคือการเอาพวงมาลัยดอกมะลิมาให้เธอ

                “ลุกขึ้น!” สั่งเสียงเข้ม

                “ท่านประธานอย่าหักเงินเดือนผมสองคนเลยนะ เงินแค่นั้นอาจจะเป็นแค่เศษเงินของท่านประธาน แต่มันสำคัญกับพวกเรามากนะครับ มันเป็นสิ่งที่จะใช้ต่อลมหายใจของเราเลยนะครับ” มานะว่าพลางตีหน้าเศร้า

                “ท่านประธานเมตตาผมเถอะนะครับ ผมต้องหาเลี้ยงลูกเมีย เห็นแก่หน้าที่เสาหลักของครอบครัวอย่างผมเถอะนะครับ” ประสิทธิ์ว่าเสียงขึ้นจมูก คนข้างๆ หันมามองอย่างไม่รู้มาก่อนว่ามันมีลูกมีเมียแล้ว

                “ลุกขึ้นแล้วกลับไปทำงานซะ” ว่าอย่างชักมีรำคาญขึ้นมาตงิดๆ เธอรู้ดีว่าเงินมันสำคัญแต่ก็อยากดัดนิสัยคนที่กล้ามาลามปามกับเธอก่อน

                “ท่านประธาน ฮึก”

                “ท่านประธาน ฮือ”

                สองหนุ่มก้มหน้าร้องไห้วิงวอน ดวงตาแห้งสนิท

                “เออ” เพชรงามกระแทกเสียงรับอย่างเสียไม่ได้ด้วยความรำคาญเต็มที มานะผุดลุกขึ้นมายิ้มแฉ่ง

                “สัญญา” เขายื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าเธอ หญิงสาวกระตุมือนิดหนึ่งยามเผลอมองรอยยิ้มที่ดีใจเกินเหตุนั่นแล้วกำมันไว้แน่น เธอปั้นหน้าขรึมใส่จนชายหนุ่มเริ่มหุบยิ้มลงจนเหลือเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่ระบายอยู่บนริมฝีปาก สายตาของเขาที่แพรวพราวหลุบมองต่ำกว่าใบหน้าของเธอ... บริเวณหน้าอก แล้วทันใดนั้นทั้งคนมองและคนถูกมองก็หน้าแดงก่ำ

                เพชรงามรีบจ้ำอ้าวจากไปทันที มานะปล่อยลมออกจากปากตัวเองยามนึกถึงความรู้สึกเมื่อวานตอนอยู่บนตัวเธอ นับเป็นบุญอันประเสริฐของไอ้โม่เสียจริง

 

                หลังเลิกงานมานะก็มานั่งขายสร้อยอยู่ที่เดิม และยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเช่นเคย ลูกค้าหลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย บ้างก็เข้ามาซื้อของบ้างก็เข้ามาขอเบอร์ ก็แน่นอนล่ะนะพ่อค้าหล่อขนาดนี้นี่นา

                “อ้าว พี่โม่” ลูกค้าเสียงใสที่เดินเข้ามาพร้อมกลุ่มนักเรียนหญิงจำนวนหนึ่งเอ่ยทัก

                “อิง” มานะหรี่ตามองเด็กสาวผมเปียที่เดินออกจากกลุ่มมาอยู่ตรงหน้าร้าน

                “พี่โม่มาทำอะไรที่นี่คะ”

                “มาเล่นคอนเสิร์ต” ตอบกวนๆ ให้เด็กสาวยิ้มกว้างอย่างชอบใจ “ช่วยพี่ซื้อหน่อยสิ สวยๆ ทั้งนั้นเลย” เขากวาดมือไปที่สร้อยทั้งหลายบนโต๊ะวาง

                “ได้ค่ะ” เด็กสาวหันไปชักชวนให้เพื่อนๆ มาช่วยกันอุดหนุนพ่อค้าคนหล่อคนละเส้นสองเส้น จากนั้นเธอก็ถือโอกาสบอกลาเพื่อนแล้วแยกตัวอยู่ที่นี่

                “ทำไมไม่ไปกับเพื่อนล่ะ” มานะเอ่ยถามเด็กสาวที่เดินอ้อมเข้ามายืนข้างเขา เธอวางเป้นักเรียนลงก่อนตอบ

                “อึดอัด” เมื่อเห็นสายตาฉงนของชายหนุ่มเธอจึงอธิบายต่อว่า “เพื่อนที่โรงเรียนไม่ค่อยมีใครอยากคบอิงเท่าไรหรอก อิงก็ไม่อยากคบพวกไม่จริงใจเหมือนกัน แต่ไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเลยหน้าด้านแทรกเข้าไปอยู่กับพวกนั้น พี่โม่เชื่อไหมว่าตอนนี้พวกนั้นกำลังนินทาอิงอยู่”

                “แล้วทำไมถึงไม่มีใครคบล่ะ” มานะถามแทงใจดำเข้าจังๆ

                “อิงหน้าตาดีเกินมั้ง” เธอตอบอย่างไม่แคร์

                “งั้นเราก็คนประเภทเดียวกันสิ แต่พี่ยังมีเพื่อนเยอะแยะเลย”

                “เพื่อนแบบไหนล่ะ”

                “เพื่อนดีมีเยอะ” เว้นวรรคไปนิดก่อนจะต่อประโยคว่า “แต่เพื่อนเลอะเทอะมีเยอะกว่า”

                “ถ้าพี่โม่คบกับอิง อิงก็ไม่ต้องการเพื่อนแล้ว”

                “คบเป็นเพื่อน”

                อารีส่ายหน้า “แฟน”

                “กลับบ้านเลยน้อง”

                “เชอะ” ทำท่ากระเง้ากระงอน “อิงอุตส่าห์บอกแม่ให้เลื่อนกำหนดเก็บค่าเช่าพี่ไปต้นเดือนหน้า”

                “จริงเหรอ” มานะตาโต “รักเลยอ่ะ” อย่างน้อยอิงก็มีประโยชน์ในการใช้เป็นตัวประกันกับแม่ของเธอ

                “พี่โม่” อีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นที่หน้าร้าน ชายหนุ่มและเด็กสาวหันไปมองคนมาใหม่ที่เดินมาหยุดหน้าร้านด้วยท่าทางดีใจ “จำผมได้ไหมพี่”

                “หลานท่านประธาน”

                “อย่าจำแต่ผู้หญิงสิ” สินบดีว่าให้ ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนข้างๆ มานะด้วยแววตาแปลกใจ “เธอมาทำอะไรที่นี่”

                “มาเฝ้าแฟน” เธอตอบพร้อมมองมานะตาปริบๆ

                ชายหนุ่มหันซ้าย หันขวา มองหน้า มองหลัง แล้วหันมาถามเธอ “ไหนแฟน”

                “พี่โม่ง่ะ” ว่าเสียงงอแง ซ่อนอาการหน้าแตกไว้ หันไปค้อนตาใส่เพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันซึ่งกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่ แกล้งกันที่โรงเรียนยังไม่พอยังตามมาหลออกหลอนเธอถึงที่นี่อีก “พี่โม่รู้จักไอ้หมอนี้ได้ไง”

                “นั่นสิ พี่โม่รู้จักยายนี่ได้ไง”

                “ขี้เกียจเล่า ถามกันเองสิ” มานะหาวหวอดใหญ่ ก่อนจะผลักตัวสินบดีให้ออกห่างหน้าร้านเมื่อลูกค้าเข้ามา “ไม่ซื้อก็หลบสิวะ บังรัศมีร้านฉันหมด”

                เด็กมอปลายสองคนยืนเถียงกันอยู่ข้างแผงขายสร้อยลูกปัดอยู่นานจนเจ้าของร้านอดรนทนไม่ไหวลุกขึ้นสะกิดไล่ “เฮ้ยๆ เดินไปเถียงกันสี่แยกโน่นไป หนวกหู”

                “ไม่เอา อิงจะอยู่กับพี่โม่” อารีเดินมาเกาะแขนมานะไว้พลางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คู่อริ

                “ผู้หญิงอะไรลวนลามผู้ชายในที่สาธารณะ” สินบดีว่าเหยียดหยามเดินมาปัดมือเพื่อนสาวออกจากพี่ชาย

                “ยุ่งอะไรเล่า” เธอตวาดใส่

                “อยากยุ่ง” เขาตวาดกลับ

                “อย่ายุ่ง” เธอตะคอกใส่หน้า

                “จะยุ่ง...”

                “โอ้ย ไอ้เด็กพวกนี้ ไม่ขายมันล่ะ กลับดีกว่า”

                “พี่โม่อย่าเพิ่งกลับสิ”

                “เพราะพวกแกสองคนนั้นแหละ พี่ขายไม่ได้เลยเนี่ย” มานะแสร้งว่าตัดพ้อ “จะรับผิดชอบยังไงกัน”

                “รับผิดชอบอะไรพี่” สินบดีส่ายหน้า

                “ลูกค้าไม่กล้าเข้าเพราะรำคาญเสียงพวกแกนั้นแหละ ไม่งั้นป่านนี้หมดเกลี้ยงไปแล้ว” มานะทำเป็นอารมณ์ขึ้น “เอาไปขายต่อให้หมดเลย”

                “หา!” เด็กทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

                “ขอบคุณมากนะครับ” มานะยิ้มแฉ่งท่ามกลางความตึงเครียดของคนทั้งคู่ “น่า ช่วยกันเดี๋ยวก็ขายหมด เดี๋ยวพี่เก็บใส่ถุงให้ ขายหมดเมื่อไหรค่อยเอาตังค์มาให้ก็ได้”

                “พี่โม่” สินบดีอิดออด

                “งั้นเอาเบอร์พี่โม่มาสิ” อารีว่า ยิ้มเก้อๆ เมื่อสองหนุ่มหันมามองเธอด้วยสายตาตำหนิ “ก็เอาไว้ติดต่อตอนขายหมดแล้วไง”

                “ตลอดเลยนะยายลิง” สินบดีแค่นให้

                มานะรับโทรศัพท์เด็กสาวมาเมมเบอร์โทรตัวเองลงไป “ขอบคุณมากเด็กๆ ไว้จะเลี้ยงขนมนะ แล้วนี่กลับยังไงกัน”

                “ผมเอามอเตอร์ไซค์มา จอดไว้ตรงนู้น”

                “เดี๋ยวอิงโทรให้แม่มารับ”

                “โอเค งั้นช่วยกันเก็บของเร็วจะได้รีบกลับบ้าน” มานะลงมือเก็บสร้อยลูกปัดใส่ถุงพลางผิวปากไปด้วยอย่างอารมณ์ดี ส่วนเด็กสองคนก็จ้องกันราวมีกระแสไฟฟ้าเชื่อมอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองคู่

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา