Stony รักไม่ยาก
เขียนโดย WAFFLE_W
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) มัน นุ่ม มาก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัทเฟรนซี ผู้บริหารและพนักงานระดับสูงนั่งประจำที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาเริ่มประชุมท่านประท่านที่นั่งอยู่หัวโต๊ะใหญ่ก็เอ่ยเปิดประชุมสั้นๆ ตามมารยาท แล้วพยักหน้าให้การ์ดที่พ่วงตำแหน่งเลขาฯ รุตรับคำสั่งโดยการไปยืนที่แท่นพรีเซนต์งานก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แลดูเป็นการเป็นงาน
“สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมมีไอเดียมานำเสนอให้ท่านทราบครับ” เขาเกริ่นนำ ชี้นิ้วไปที่หน้าจอโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าห้อง จังหวะนั้นภาพและข้อความจากโปรแกรมนำเสนอก็ปรากฏขึ้นมา
“ที่พวกท่านเห็นอยู่นี่คือสินค้าตัวใหม่ของเราครับ มันจะออกมาในคอเลคชั่นที่มีชื่อว่า Fruity Frenzy เป็นนาฬิกาข้อมือที่เน้นความสดใส ให้ความรู้สึกแช่มชื่น สิ่งแปลกใหม่ที่เราเพิ่มเข้าไปคือกลิ่นที่มาจากผลไม้ประจำตัวของนาฬิกานั้นๆ ครับ...”
รุตพูดแนะนำไปเรื่อยๆ อย่างละเอียดและครบถ้วนกระบวนควาแล้วจึงเดินมานั่งประจำตำแหน่งเดิม “ใครมีข้อสงสัยหรือเปล่าครับ”
สุริยายกมือขึ้นทันทีก่อนที่รุตจะพูดจบประโยคเสียด้วย “ผมอยากทราบราคา”
“ราคายังอยู่ในมาตรฐานเดิมค่ะ ฉันอยากให้มันเป็นของที่เข้าถึงได้ทุกระดับ” เพชรงามเอ่ยตอบอย่างสุขุม งานชิ้นแรกเธออยากให้มันเป็นของขวัญสำหรับทุกคน
“แต่ฟังก์ชันมันเยอะ ควรเพิ่มเรทราคาขึ้นมาสักครึ่งจากราคากลาง ขายของแบบไม่มีราคาก็เจ๊งน่ะสิ” ศิลาแย้งอย่างมีเหตุผล
เพชรงามมองหน้าคนถามเรียบเฉยราวเป็นคนห่างไกลแล้วกวาดตามองไปทั่วห้องประชุม
“ฉันอยากให้สินค้าตัวนี้เป็นตัวแทนของเฟรนซีที่จะคืนความสุขให้แก่ผู้บริโภค เราไม่ได้ผลิตขายเพื่อหวังกำไรเป็นหลัก แต่มันคือสิ่งดีๆ ที่เราตั้งใจมอบให้พวกเขา ทุกคนลองคิดกลับกันสิคะ ถ้าเราคงราคาเท่าเดิมแต่มีลูกเล่นต่างๆ ให้พวกเขาได้เห็นถึงประโยชน์และความแปลกใหม่ก็น่าจะเป็นที่สนใจและต้องการอยู่ไม่น้อยนะคะ” เธอหวังใช้ของแถมในการดึงดูดความสนใจจากลูกค้า ตอนนี้เธอยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์มากพอที่จะสร้างสิ่งใหม่ จึงเริ่มจากการต่อยอดของเดิมที่มีอยู่ก่อน เอาลวดลายความเป็นเฟรนซีแบบดั้งเดิมมาเพิ่มเติมความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ลงไป
“ผมเห็นด้วยกับท่านประธานนะครับ” หัวหน้าฝ่ายการตลาดเอ่ยขึ้นพร้อมเจือรอยยิ้มน้อยๆ ทั่วใบหน้า “กลวิธีนี้น่าจะใช้ได้ดีกับบ้านเราเพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็นิยมชมชอบของถูกและดีอยู่แล้วนะครับ”
“แล้วถ้าผู้บริโภคไม่หันมาให้ความสนใจล่ะครับ ถ้ายอดขายยังอยู่คงเดิมหรืออาจต่ำกว่าเดิม แต่รายจ่ายของเรามากกว่าเดิม เราต้องสูญเสียงบประมาณไปกับความคิดเล่นๆ มันคุ้มเหรอครับ” ฐานิชถามเสียงเค้นอย่างกดดัน พยายามต้อนน้องสาวให้จนมุม
“ถ้าเป็นเช่นนั้น...” เพชรงามเว้นวรรคไปนิด “...เราก็จะทำต่อไปค่ะ เพราะนี่คือการคืนความสุขให้ผู้บริโภค ผลกำไรมันก็แค่ผลพลอยได้”
“แต่การทำธุรกิจมันก็ต้องหวังผลกำไร ถ้าทำแล้วเจ๊งจะทำมันไปทำไมล่ะครับ” สุริยาโวยวายอย่างสุภาพ
“ไม่จำเป็นเสมอไปที่กำไรมันต้องเป็นเงิน...”
“ธุรกิจไม่ใช่แหล่งธรรมะนะครับ ธุรกิจมันคือผลกำไรที่เป็นเงิน อ้อ ท่านประธานคงจะยังเด็กเกินไปสินะ” สุริยาขัดขึ้นน้ำเสียงตึงเข้ม ประโยคสุดท้ายเบาเสียงลงแล้วหันมามองเพชรงามด้วยสายตาดูถูก
“งั้นเรามาตัดสินกันด้วยความเห็นของทุกคนกันเถอะค่ะ”
และแล้วที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบกับการออกจำหน่ายนาฬิกาตัวนี้
“วันนี้เลิกประชุมได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เพชรงามลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้มหัวให้ทุกคนแล้วเดินออกไปจากห้องประชุม คนอื่นๆ ก็เช่นกันที่พากันทยอยออกไปจากห้องประชุม ยกเว้นก็เพียงสี่หนุ่มตระกูลมงคลชัยกุล
“โธ่เว้ย!” สุริยายกมือตบโต๊ะอย่างหงุดหงิดเมื่อคนอื่นออกไปกันหมดแล้ว “เจ็บใจยายไดมอนด์จริงๆ คิดว่าได้นั่งเก้าอี้ใหญ่โตแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ”
“ความคิดปัญญาอ่อน มีอย่างที่ไหนทำนาฬิกามีกลิ่น พ่อมันสิ” ศิลาร่วมด้วย
“พ่อมันก็พ่อเรานะพี่” ฐานิชแย้งพี่ชาย
“สักวันเหอะฉันจะเอาคืนยายไดมอนด์ให้สาสมกับทุกอย่างที่มันทำไว้กับพวกเรา” พี่ใหญ่ว่าอย่างมุ่งมั่น ทุกคนนิ่งคิดว่าจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร
“นึกออกแล้ว” อยู่ๆ ฐานิชก็โพล่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่นิ่งคิดคิ้วขมวดกันอยู่นาน
“อะไร” ทุกคนถามพร้อมกันอย่างใคร่รู้
“ฉันมีโอกาสเหมาะเจาะที่เราจะลงมือสั่งสอนนังคนอวดเก่งนั่นแล้ว” เขาว่าเมื่อนึกถึงคำพูดตื่นเต้นดีใจของลูกชายตอนทานอาหารเช้าว่าอีกหนึ่งเดือนจะถึงวันเกิดของพวกตน ถ้าเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายคงไม่มีใครสงสัยอะไร
“แล้วเราจะทำอะไร” ศิลาเอ่ยถาม
“ก็ช่วยกันคิดสิ” น้องชายตอบ แล้วทุกคนก็เข้ามาสุมหัวกันวางแผนอย่างคร่ำเคร่งและคิดหนัก แลดูจริงจังกว่าตอนทำงานเสียอีก สุดท้ายพวกเขาก็ได้แผนการมาครอบครองสำเร็จ ทุกคนยิ้มชั่วร้ายอย่างสะใจเมื่อนึกจินตนาการไปถึงผลลัพธ์ของแผนการ
“จะดีหรือพี่” วิเชียรแย้งขึ้นมาเบาๆ
“ดีที่สุด” สุริยาตอบให้
สองหนุ่มแมสเซ็นเจอร์เดินถือกล่องกระดาษลังใหญ่ไปตามทางเพื่อนำไปส่งที่แผนกบริการและประชาสัมพันธ์
“ไอ้โม่” ประสิทธิ์โพล่งชื่อเพื่อนออกมาหลังจากทนอัดอั้นอยู่นาน
“มีไร” เจ้าของชื่อที่กำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจหยุดร้องแล้วหันมาถาม
“ถ้าคนที่เพื่อนชอบไปชอบแก แกจะทำยังไง”
“ถ้าฉันชอบ ฉันก็เอา” ตอบอย่างไม่ต้องคิด
“แล้วแกชอบลูกพีชไหม”
“ไม่ได้ชอบ คนนั้นแกชอบไม่ใช่เหรอ”
“ตอนที่ฉันได้เบอร์ลูกพีชจากแก ฉันก็โทรไปคุยกับเค้า แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าชอบแกว่ะ” ประสิทธิ์เล่าไปก็เจ็บไป
“จริง?” มานะถามโดยที่รู้คำตอบแน่ชัดอยู่แล้ว สีหน้ามิได้แสดงความตกใจหรือสงสัยแม้แต่น้อย “กูสาบานว่ายังไม่ได้อ่อยเลยนะ”
“กูเกลียดมึง” ว่าไปตามความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง นึกอิจฉามันไม่น้อยที่อยู่เฉยๆ เธอก็รัก
“โทษทีนะเพื่อน เรื่องแบบนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ” มานะว่าอย่างมีมาดพลางไหวไหล่
“น่าถีบจังอ่ะ” ประสิทธิ์กระแทกไหล่ไปโดนเพื่อนข้างๆ
“กูผิดไรครับ?” ชนไหล่กลับจนประสิทธิ์แทบกระเด็น
“มึงมันขี้อ่อย” เพิ่มแรงในการกระแทกมากขึ้น
“ก็บอกว่าคนนี้กูยังไม่ได้อ่อย” เด้งตัวไปชนเพื่อนอย่างไม่ยอมแพ้
ทั้งสองเล่นกระแทกกันไปมาและเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จังหวะนั้นเองที่มานะโดนกระแทกจนเซถลาไปชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เขาปล่อยกล่องหนักๆ ที่ถืออยู่หล่นตุบลงบนพื้น แล้วรวบตัวคนที่เขาชนเข้ามาไว้ในอ้อมแขนหากก็ทนแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้จึงลงไปนอนทับกันอยู่บนพื้นอย่างสวยงาม ร่างกายของชายหญิงกระทบกันชวนให้มานะรู้สึกแปลกๆ เกิดความโหวงเหวงพิกลในหัวใจ เมื่อแผ่นอกแข็งแกร่งของเขาสัมผัสโดนของนุ่มนิ่มจากอกของคนข้างล่าง เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าของสิ่งนั้นมันเป็นอย่างไร
“ฉิบหาย/ตายห่า” ประสิทธิ์และรุตร้องสบถออกมาแทบจะพร้อมกันกับภาพเบื้องหน้า มันชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเสียจริง
“ออกไป!” เพชรงามตะคอกพลางดันตัวมานะให้ลุกขึ้น หากชายหนุ่มก็ไม่กระดิกแม้แต่เปลือกตา วงแขนที่รัดตัวเธอไว้ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยหรือคลายลงเลย เพชรงามจึงค่อยๆ ขยับแขนออกมาแล้วตบไปที่ใบหน้าเหวอๆ ฉาดใหญ่เพื่อเรียกสติ มานะกลับออกมาจากจินตนาการของตนเองทันทีแล้วรีบถลันลุกขึ้น รุตพุ่งพรวดเข้าไปช่วยพยุงเจ้านายให้ลุกขึ้น เมื่อตั้งตัวได้แล้วเธอก็สะบัดมือเขาออกอย่างแรงด้วยสีหน้าโกรธจัด
“ฉันจะหักเงินเดือนพวกนายครึ่งหนึ่ง” หญิงสาวว่าเสียงเข้ม ก่อนจะออกแรงผลักตัวคนที่เป็นต้นเหตุให้เธอล้มผึงลงไปจนเขากระเด็นไปกระแทกเพื่อนแมสเซ็นเจอร์ด้วยกันแล้วหงายหลังลงไปนอนแผ่กลางพื้น จากนั้นเพชรงามก็เดินลงส้นปึงปังจากไปทันที โดยมีการ์ดรีบเดินประกบหลัง โดยไม่วายหันมามองหน้ามานะแล้วายกมือทำท่าปาดคอส่งให้
“หายนะแล้วไอ้โม่” ประสิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรงขนลุกขนพองพลางดันตัวเองลุกขึ้น
มานะขยับลุกขึ้นตาม หัวใจยังคงเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ความคิดเดียวที่เขามีในตอนนี้คือมันนุ่มมาก
ประสิทธิ์หันมามองหน้าเพื่อนอย่างกังวลแลฉงนไปด้วย “โดนหักเงินเดือนทำไมต้องทำหน้าหื่นด้วยวะ”
มะพร้าวเผาลูกสวยที่วางอยู่บนตักของหญิงสาวผู้มีใบหน้าขรึมเป็นนิจถูกตักเข้าปาก วุ้นมะพร้าวรสหวานเย็นฉ่ำและเนื้อมะพร้าวนุ่มลื่น รสชาติและกลิ่นของมันช่วยให้ผู้รับประทานรู้สึกสดชื่นไปด้วย เพชรงามนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งทำจากไม้หวายเนื้อดีตรงข้างหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างของบ้าน บานหน้าต่างเปิดออกพาลมเย็นพัดโชยมา ส่งผลให้เส้นผมยาวสลวยพลิ้วไสวไปมาน้อยๆ ในบริเวณที่เธอนั่งอยู่นี้สามารถมองเห็นสวนหย่อมขนาดเล็กของบิดาได้อย่างชัดเจน
แสงแดดยามเย็นตกกระทบต้นไม้ดอกไม้ได้มุมสวยงาม ตามต้นไม้ใหญ่มักมีกาฝากมาเกาะอาศัยอยู่ เช่น ต้นลูกหว้าที่มีอายุเกือบ 30 ปี ถูกชายผ้าสีดาใบใหญ่สีเขียวทึบมาเกาะรอบลำต้น ต้นพญาสัตบรรณมีเอื้องสายน้ำผึ้งสีขาวอมม่วงอ่อนๆ เกาะพัน ต้นไม้ที่ดูโดดเด่นออกมาจากแมกไม้อื่นในมุมนี้คือต้นตันหยงซึ่งขณะนี้กำลังออกดอกสีเหลืองเป็นช่อทั้งต้น นอกจากนี้ในสวนยังมีต้นลำดวน นางแย้ม พิกุล พวงชมพู และหางนกยูงไทย ที่ผู้เป็นบิดาขยันสรรหาคำโตมาปลูก
ท่านประธานถอนหายใจออกมากับความคิดที่ไม่เป็นเรื่องของตัวเอง เธอกำลังนึกถึงคนที่เข้ามาป้วนเปี้ยนกับเธอมากที่สุดในเวลานี้ ความจริงเธอก็ไม่อยากคิดเรื่องนี้ในมันรกสมองหรอก เพียงแต่ความรู้สึกเมื่อครู่มันยังตามมาหลอกหลอนอยู่ ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้เธอยังไม่เคยใกล้ชิดชายใดในระยะประชิดสัมผัสเนื้อหนังกันเลย อย่าว่าแต่ถูกเนื้อต้องตัวเลยแค่จับมือเธอก็ยังไม่เคย ยกเว้นก็แต่บิดาของเธอคนเดียวเท่านั้น ว่าแล้วก็เจ็บใจ ไอ้บ้านั่น!
“คุณหนูคะ เรียกหาจันทร์หรือคะ” สาวใช้ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเพชรงาม เดินมานั่งพับเพียบข้างเจ้านาย
“จันทร์นวดไหล่ให้หน่อยสิ” เอ่ยบอกด้วยเสียงนุ่มนวล เธอรู้สึกปวดไหล่ตั้งแต่เช้าก่อนเข้าประชุมแล้ว พอล้มไปเมื่อครู่อีกก็เพิ่มอาการปวดหลังเข้ามาร่วมด้วย
“ได้เลยค่ะ” สาวใช้ที่ควบตำแหน่งสาวนวดมือดีลุกขึ้นไปยืนด้านหลังเจ้านายแล้วบรรจงนวดอย่างเบามือ เพชรงามตักวุ้นมะพร้าวทานอย่างหลงใหลในความหวานชื่นของมัน
“คุณหนูทำงานเหนื่อยไหมคะ”
“ก็เหนื่อยนะแต่สนุกดี” น้ำเสียงเธอดูผ่อนคลายไม่มีมาดมีท่าน่าเกรงขามอย่างตอนอยู่ที่บริษัทเลย “เมื่อกี้ทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมมาช้าจัง บอกให้จ้อนไปตามตั้งนานแล้ว”
“อ่านบทละครในหนังสือพิมพ์อยู่ค่ะ กลัวมันขาดตอนเลยขออ่านให้จบก่อน” ยอมรับพลางหัวเราะกลบเกลื่อน
“เธอนี่ติดละครชะมัด”
“ก็มันสนุกนี่คะ แต่จันทร์ก็เลือกดูแต่เรื่องที่ชอบจริงๆ เท่านั้นล่ะค่ะ” เธอบอก นึกถึงเรื่องราวที่ยังอินอยู่ในหัวใจจึงเอ่ยถามว่า “คุณหนูเชื่อไหมคะว่าถ้าเราบังเอิญเจอใครบ่อยๆ นั่นมันคือพรหมลิขิต”
“ไม่เชื่อ” ตอบอย่างไม่ลังเล สำหรับเธอการที่เราได้เจอใครสักคนมันไม่ใช่ความบังเอิญหรือพรหมลิขิต ทว่ามันคือกรรมลิขิตที่กำหนดให้เราต้องชดใช้เวรกรรมที่เคยทำระหว่างกัน กรรมหมดก็คงต้องจาก
“แล้วคนที่เขารักและได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน คุณหนูคิดว่ามันคือพรหมลิขิตไหมคะ?” สาวใช้ยังคงเอ่ยถามต่อ
คนถูกถามนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะตอบอย่างมั่นคงว่า “ไม่รู้สิ”
“มันแปลกนะคะที่คนสองคนได้มารักกันท่ามกลางคนนับหมื่นนับล้าน จากที่ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนคนนี้เข้ามาในชีวิต พอเห็นเขาครั้งแรกก็บอกได้เลยว่าชีวิตนี้ฉันเกิดมาเพื่อเธอ จันทร์อยากมีโมเมนต์แบบนี้บ้างจัง สาวใช้แสนซนกับไฮโซใจดี” เธอว่าอย่างเพ้อฝัน
“ดูละครให้มันน้อยๆ หน่อยนะ” เจ้านายสาวแนะนำ ก่อนจะว่าต่ออย่างใส่อารมณ์ “เรื่องแบบนั้นมันก็มีแค่ในละครเท่านั้นแหละ ทุกวันนี้ใครๆ ก็รักตัวเองมากกว่าจะรักคนอื่น เจ้าชายข้ามมิติมาหาสาวน้อยน่าสงสารหรือชายหนุ่มอันธพาลกับหญิงสาวแสนดีน่ะโละทิ้งแล้วโยนมันไปไกลๆ เลย น้ำเน่าสิ้นดี”
“ก็คุณหนูไม่เคยมีความรักนี่คะ คนไม่มีความรักก็มักจะมองอะไรในแง่ลบ” ...หรือเรียกง่ายๆ ว่าขวางโลก จันทร์ เว้นประโยคหลังเอาไว้กลัวจะโดนตีเข้า “คุณหนูลองหาความรักดูสิคะ”
“ไร้สาระน่า” ว่ากระชากเสียงเข้ม “ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้”
“ค่ะ ไม่พูดก็ได้... ว้าย เสียงอะไรคะคุณหนู”
สองสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงคล้ายของหล่นตุบแว่วมากับเสียงโวกเวกคล้ายคนทะเลาะวิวาทกัน เพชรงามวางมะพร้าวเผาของโปรดไว้บนโต๊ะก่อนจะผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วออกเดินตามเสียงนั้นไปด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีประดังเข้ามาในอกบอกเหตุร้าย เธอเดินมาหยุดที่ห้องต้นเหตุบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องของพี่ชายคนที่สามกับภรรยาโดยมีจันทร์เดินตามหลังมา
“ทำไมคุณต้องไปแอบกินกับนางนั่นด้วย! ไอ้คนไม่รู้จักพอ!” เสียงว่านั้นแตกพร่ามีเสียงสะอึกสะอื้นดังผสมด้วย
“ก็เธอมันน่าเบื่อ! ปล่อยฉัน!”
“คุณทำแบบนี้กับรีไม่ได้นะ”
“เธออย่ามาอวดดีกับฉัน” เสียงตบฉาดใหญ่ดังออกมา
คนข้างนอกเริ่มใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยกลัวจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น เพชรงามหมุนลูกบิดประตูอย่างร้อนใจ ทว่ามันถูกล็อคไว้จากข้างใน
“จันทร์ไปเอากุญแจมา”
“จะดีหรือคะ เรื่องของครอบครัว...”
“ไปเอามา เร็ว”
จันทร์วิ่งลงไปชั้นล่างก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นบันไดมา สอดกุญแจเข้าไปไขลูกบิดออก
“หยุด!” เพชรงามสั่งเสียงเข้มเมื่อภาพที่เธอเห็นหลังประตูเปิดออกคือฐานิชกำลังง้างมือข้างหนึ่งขึ้น เบื้องหน้าของเขาคือภรรยาสาวที่มีรอยช้ำบนใบหน้าและน้ำตานองอยู่ราวน้ำป่าไหลหลาก เพชรงามย่างสามขุมเข้าไปคั่นกลางระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้
“หลบไป!” ฐานิชตะคอกใส่หน้าน้องสาวเสียงลั่น สีหน้าเขาแดงคล้ำดำเขียวดูน่าหวาดกลัว
“พี่ไม่มีสิทธิ์ทำกับพี่รีแบบนี้นะ” เธอว่าเสียงแข็งกร้าว
“เสือก”
“ทำไมพี่ทำตัวแบบนี้ นี่เมียพี่นะ แม่ของลูกพี่นะ ไปทำร้ายเค้าได้ยังไง” น้องสาวว่าอย่างไม่มีเกรงกลัว
“ยุ่งอะไรวะ” ว่าพร้อมผลักไหล่น้องสาวอย่างแรง
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ แต่ทนพฤติกรรมหน้าตัวเมียไม่ไหว ตัวเองผิดแล้วยังจะทำร้ายคนอื่นอีก ทำตัวแบบนี้คิดว่าสมควรหรือ” ว่าอย่างมีโทสะ เธอพอจะจับประเด็นของเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันได้จากการแอบฟังเมื่อครู่
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ฐานิชเข้ามากระชากคอเสื้อน้องสาวราวหมาบ้าที่อยากล่าเนื้อ จันทร์กรีดร้องเสียงแหลมอย่างตกใจกลัวว่าเพชรงามจะถูกทำร้าย สองพี่น้องจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ยีนบางอย่างบนใบหน้าที่คล้ายกันไม่ได้ทำให้ฐานิชโอนอ่อนหรือเอ็นดูน้องสาวได้เลย ไฟแห่งความโกรธเกลียดกำลังลุกมอดไหม้ในใจของเขา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ