รสสวาทเจ้าสาวป้ายแดง (สนพ.โรแมนติค)
10.0
เขียนโดย คิมปัด
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.
5 ตอน
1 วิจารณ์
8,103 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 20.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) มนต์เสน่ห์แห่งจันทรา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
มนต์เสน่ห์แห่งจันทรา
คนงานทั้งวัยรุ่นและวัยกลางคนยืนมุงดูชายฉกรรจ์ซึ่งนอนหงายอยู่บนผืนหญ้า แขนข้างหนึ่งบิดงอ คอพลิกหันไปอีกด้าน ดวงตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัว เนื้อผ้าบริเวณอกฉีกขาดหลุดรุ่ย มีเลือดสีแดงไหลนอง ส่งกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนจนคนที่เห็นถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างสลดใจ
ภัตติพงษ์ยังคงสวมชุดเดิมที่ชื้นน้ำ เขาแหวกผู้คนเข้าไปมองศพโดยมีเมลินีตามติดไม่ห่าง ดวงตาคู่โตเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ยกมือปิดปากเพื่อสะกดกลั้นอาการคลื่นเหียนไม่ให้อาเจียนออกมาตอนนี้
สภาพศพน่าจะตายตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพราะเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า
“น่าสงสารไอ้สมมันนะครับนาย ไม่รู้ว่าใครกันนะใจคอโหดเหี้ยมทำร้ายมันได้” ชายคนหนึ่ง ผมสีดอกเลา ฟันสีเหลือง ดวงตาเริ่มขุ่นมัวแต่ยังดูกระฉับกระเฉงเกินวัยได้ออกปากขึ้น ซึ่งภัตติพงษ์ก็เบือนหน้าไปมองคนพูดแล้วส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“ทำไมในไร่ของเราถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”
“นั่นสิครับ ไร่ภูผาคอยจันทร์ของเราสวยงามและสุขสงบมาโดยตลอด ทำไมถึงมีเรื่องสยองขวัญแบบนี้เกิดขึ้น” คนงานอีกหลายคนเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส ต่างก็มีความเห็นไปต่างๆนาๆ แต่ที่มีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ…สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและเคร่งเครียด
“ใครเป็นคนเจอศพพี่สมเป็นคนแรก” เจ้าของไร่หนุ่มเอ่ยถาม และก้อยก็เป็นคนยกมือรับ
“ก้อยเองค่ะ หลังจากทำความสะอาดคอกม้าเสร็จก็ว่าจะออกไปหาพ่อ” หล่อนบุ้ยใบ้ไปทางชายวัยกลางคนที่ชื่อ‘ก้อง’ซึ่งเป็นบิดาของหล่อน เป็นคนงานดูแลไร่ดาวเรืองโดยตรง “แต่พ่อไปแอบงีบหลับอยู่โคนต้นงิ้ว ก้อยเลยมาเดินเล่น ได้กลิ่นตุๆก็นึกว่ามีซากสัตว์ตาย พอหาที่มาของกลิ่นถึงรู้ว่ามาจากพงหญ้า พอแหวกดูเท่านั้นแหละค่ะ….ตกใจแทบช็อกที่เห็นมีศพนอนตายตาเหลือกอยู่ในนั้น” หล่อนปิดท้ายด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึง ลูบต้นแขนตัวเองไปมาแล้วก้าวถอยหลังไปยืนห่างๆ
“ใครกันเป็นฆาตกร” หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น มองศพที่ตายอนาถอย่างเวทนา แต่ก็มิอาจช่วยเหลืออะไรได้…ความกังวลเริ่มก่อตัวคล้ายมีเมฆหมอกมาบดบังภายในอก… ภัตติพงษ์หลับตาลงพักหนึ่งเมื่อรู้สึกปวดขมับด้านขวาขึ้นมา
ทำไมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ !
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ที่แน่ๆ พวกเราไม่เคยนึกอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย” ชายคนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก และผมก็ยังไม่อยากพูดอะไรมากด้วย เอาเป็นว่ามีใครโทรแจ้งความหรือยังครับ” ภัตติพงษ์ถาม และก้อยก็เป็นฝ่ายตอบว่า
“ก้อยแจ้งแล้วค่ะ”
“งั้นคงต้องรอตำรวจสักระยะ” ชายหนุ่มระบายลมหายใจผ่านทางจมูกยาวเหยียด เหลือบตามองคนงานแต่ละคนก็พบเห็นแต่ความวิตก…ใช่แล้ว ทุกคนคงจะคิดเหมือนเขาว่าฆาตกรที่ฆ่าสมอาจจะเป็นหนึ่งในคนงานที่นี่
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้คงทำให้หลายคนเริ่มหวาดระแวงกันเอง แล้วจะมีความสุขกับการทำงานได้อย่างไรกันเล่า
เพราะไม่อยากให้คนงานของตนเสียขวัญไปมากกว่านี้ ภัตติพงษ์จึงเอ่ยปลอบ
“ผมไม่อยากให้ทุกคนเครียดนะ การตายของพี่สมต้องรอให้ตำรวจมาสืบสวนหาตัวคนร้าย ส่วนครอบครัวของพี่สม ผมจะชดเชยให้”
“พวกผมล่ะกลัวจริงๆครับ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกจะทำยังไง” มีคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ภัตติพงษ์หนักใจกว่าเดิม จึงหันมาหาเมลินีซึ่งยืนอยู่ข้างกาย หวังจะให้หล่อนช่วยพูด
“เม…เธอเป็นนักเขียน คงถนัดเรื่องพูด เธอช่วยปลอบ… เฮ้ย !” ยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ถึงกับตาค้างเมื่อเห็นร่างบางยืนโงนเงน ดวงตาหรี่ปรือจวนเจียนจะปิดอยู่รอมร่อ เขาจึงรีบดึงข้อมือเล็กแล้วกระชากตัวหล่อนเข้ามากอดแนบอก…และวินาทีนั้นเองที่หญิงสาวตัวอ่อนวูบ ไร้สติสัมปชัญญะไปโดยปริยาย
“ว้าย !” ก้อยหวีดร้องด้วยความตระหนก “นั่นคุณเมเป็นลมไปแล้ว ใครก็ได้ไปช่วยคุณบาสประคองคุณเมหน่อยเร็ว”
“ไม่ต้อง !” เจ้าของไร่หนุ่มรีบร้องห้าม ท่าทางไม่พอใจที่จะมีคนงานผู้ชายมาช่วยอุ้มเมลินีให้ “ตัวเล็กๆแค่นี้ ผมอุ้มเองได้ เอาเป็นว่าถ้าตำรวจมาแล้วช่วยไปตามผมด้วยนะ ผมจะพาเมไปนอนพักที่กระท่อม”
“ครับ…” มีหลายคนรับคำ ชายหนุ่มจึงเริ่มเบาใจ ค่อยๆช้อนร่างระหงขึ้นอุ้มแล้วพากลับกระท่อมซึ่งตั้งห่างไกลพอสมควร
แม้แดดจะแรง ระยะทางจะไกลพอสมควร แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเลยสักนิดในการอุ้มหล่อน…ระหว่างที่เดิน ดวงตาคู่คมก็หลุบลงมองหน้าเรียวเป็นระยะ
กรอบหน้าภายใต้เรือนผมยาวสีชมพูสด ประกอบไปด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มสมส่วน ไม่ว่าจะคิ้วเรียวโก่ง ดวงตากลมหลับพริ้มให้เห็นแพขนตายาว จมูกโด่งเล็ก ปากอิ่มสีแดงระเรื่อ
และคงเป็นเพราะไอความร้อนจากแสงแดด แก้มของหล่อนจึงอมเลือดฝาดสีชมพูจางๆ
ไม่คิดเลยว่าจากเด็กหญิงตัวเล็กจะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่สวยน่ามองได้ถึงเพียงนี้
เขาพาหล่อนขึ้นกระท่อม วางร่างบางลงบนพื้นกระดาน เปิดหน้าต่างให้ลมโกรก แล้วดึงเสื้อออกจากราวแขวนตัวหนึ่ง นำไปซับน้ำจนหมาดแล้วมาเช็ดหน้าให้หล่อนอย่างอ่อนโยน
ไม่นานนัก ดวงตาคู่โตก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ทันทีที่เห็นหน้าเขาชัดเจน หล่อนก็ผวาขึ้นกอดรอบลำคอแกร่ง ร่างเล็กสั่นระริก เสียงก็สั่นไม่ต่างจากเนื้อตัวเลยทีเดียว
“คะ คุณ คุณอา คนตาย… เมื่อกี้เมเห็นคนตาย”
“ใจเย็นๆนะเม สงบจิตสงบใจก่อน พี่สมเขาคงดวงถึงฆาต ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่าไปกลัว” มือใหญ่ลูบหลังให้หล่อนอย่างปลอบโยน
“ตะ แต่…”
“ไม่ต้องกลัวน่า”
“แต่…”
“ไม่ต้องแต่” เขาปรามเสียงดุ “ไม่คิดเลยว่าเด็กนักเรียนนอกอย่างเธอจะใจเสาะขนาดนี้”
“เห็นภาพแบบนั้นเต็มตา ใครบ้างล่ะคะจะไม่รู้สึกอะไร” หล่อนเถียง อันที่จริงก็เริ่มคลายความหวาดกลัวลงไปบ้างแล้ว แต่ยังคงทำเนียนกอดคอเขาแน่นประดุจตุ๊กแกไม่ยอมปล่อย…ก็ปกติอาสุดหล่อของหล่อนคนนี้หวงเนื้อหวงตัวจะตาย นานๆทีจะมีโอกาสได้กอด เรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆกันเล่า !
“เลิกกลัวได้แล้ว”
“ก็กลัวนี่นา” หล่อนอ้อน ซุกหน้าที่อกกว้าง ขณะที่ชายหนุ่มเริ่มฉุกใจ
“นี่จะหาเรื่องแต๊ะอั๋งอาใช่ไหมเนี่ย”
“ป่าวน๊า” หล่อนปฏิเสธเสียงใส “ก็เมกลัวจริงๆนี่นา”
“คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย เมยังอ่อนต่อโลก ที่มาอยู่กับอาก็เพราะอยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นใช่ไหม งั้นก็ถือเสียว่าการที่เห็นคนโดนฆาตกรรมวันนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เมได้เจอของจริง เวลาเอาไปเขียนในนิยายจะได้สมจริงไง” ชายหนุ่มร่ายยาว แล้วปิดท้ายด้วยคำถาม “ว่าจะถามเราตั้งแต่ตอนที่เราบอกอาว่าเป็นนักเขียนแล้วล่ะ…เธอเขียนแนวไหน”
“นิยายรักค่ะ” หล่อนตอบอู้อี้เพราะหน้ายังคงซุกที่อกของเขา
“อ้อ…นิยายน้ำเน่า”
“เอ๊ะ” หล่อนตาขุ่น ผละห่างจากอกเขาแล้วเถียง “น้ำเน่าแล้วไงคะ เบื่อผู้ชายหัวใจหยาบกระด้างที่ไม่เข้าใจความอ่อนหวานของความรักที่แสนโรแมนติกจริงๆ”
“เอ้า” ชายหนุ่มยิ้มขัน “อาไม่ได้ว่านิยายรักไม่ดี แต่อาคิดว่าคงเหมือนๆกันหมด แนวพระเอกหล่อรวยใช่ไหม แล้วเรามีผลงานเป็นเล่มกี่เรื่องแล้วล่ะ หืม ?”
“ถ้าเปรียบว่าเมเป็นเด็ก ตอนนี้เมก็เพิ่งหัดเดินตั้งไข่ค่ะ สรุปคือกำลังเริ่มเขียน แต่ยังไม่มีผลงานออกเป็นเล่ม” หล่อนตอบด้วยสีหน้ายู่ยี่ไม่น้อย
“อุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอก พกใบปริญญามาให้พ่อแม่ชื่นใจ แต่กลับคิดจะทำงานเป็นคนขายฝันเหรอไง หืม ?”
“คุณอาดูถูกเมเหรอคะ” หล่อนเริ่มเสียงดังมากขึ้น “พูดเหมือนอาเขตต์เลย ทำไมทุกคนต้องดูถูกว่าถ้าเป็นนักเขียนแล้วจะเอาตัวไม่รอดด้วย” พูดพลางลุกขึ้นยืน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ได้ดูถูกเลย คนที่เป็นนักเขียนแล้วเลี้ยงตัวเองได้ก็มีให้เห็นถมเถ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีชื่อเสียง ยังไม่มีฐานแฟนคลับ แล้วคิดจะขายความฝันทั้งๆที่ไม่มีอาชีพหลักไว้รองรับ มีหวังเธอกินแกลบแน่”
“เมเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ตอนนี้เมอยากเป็นอิสระ เมขออนุญาตคุณแม่มนแล้ว ท่านบอกว่าให้เวลาเม 1 ปี หากเมยังไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน เมยินดีที่จะไปช่วยคุณพ่อข้าวดูแลบริษัท”
“แล้วทำไมเธอถึงอยากเป็นนักเขียนนัก หืม ?”
แม้หล่อนจะทำเสียงแหลมสูงใส่เหมือนไม่พอใจ ทว่าเขากลับยังมีสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบเหมือนเดิม แววตาที่ใช้มองหล่อนก็เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กดื้อๆคนหนึ่ง และนั่นก็ทำให้หล่อนนึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เพราะเมรักอิสระ ไม่อยากทำงานแข่งกับเวลา ชอบที่จะเป็นนายตัวเอง ขายความคิดความฝันไม่มีทางขาดทุน”
“แต่ก็อาจจะอดอยากจนผอมโซก็ได้นะ” เขาต่อให้อย่างหยอกเอิน แล้วเสริมต่ออีกว่า “อย่างเธอน่ะก็ไม่เคยแข่งกับเวลาอยู่แล้วล่ะ ตั้งแต่เล็กจนแตกเนื้อสาว เห็นนอนตื่นสายก้นโด่งจนไปเข้าแถวที่โรงเรียนไม่ทันเกือบจะทุกที ชีวิตเธอสบายๆชิวๆจะตาย เร่งรีบตรงไหน”
“คุณอา !” เมลินีหน้าแดงก่ำ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงผู้ชายก็ตะโกนมาแต่ไกล
“นายคร้าบนาย”
ชายหนุ่มยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนงานวิ่งกระหืดกระหอบมาในสภาพเหงื่อโซมกาย
“ตำรวจมาแล้วครับ ตอนนี้กำลังดูศพอยู่”
“อ้อ งั้นเดี๋ยวผมตามไป” ภัตติพงษ์รับคำ แล้วหันมาทำเสียงเข้มใส่หญิงสาว “อาออกไปคุยธุระกับตำรวจก่อน เสร็จเรื่องเมื่อไหร่จะมารับ อย่าดื้อ อย่าซนล่ะ อยู่แต่ในกระท่อมนะ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน ถ้าเกิดตกสระจมน้ำตายขึ้นมา อาขี้เกียจเสียใจ”
สั่งเสร็จ เขาก็ย่ำเท้าลงจากกระท่อมไปทันที ทิ้งให้หญิงสาวยืนหน้าบูด แก้มป่องอยู่ตามลำพัง…ดูเขาเถอะ ทำไมชอบทำเหมือนหล่อนเป็นเด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่เรื่อย
เมลินีทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม เห็นเสื้อเปียกๆวางกองบนพื้นก็นึกรู้ได้ในทันที…เขาคงช่วยปฐมพยาบาลให้หล่อนคืนสติกระมัง อย่างน้อยเขาก็มีใจเป็นห่วงหล่อนอยู่บ้าง
หญิงสาวยิ้มแก้มตุ่ย ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคนเดินย่ำบนใบไม้ เมื่อลุกยืนมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นใครคนหนึ่งยืนทำลับๆล่อๆอยู่โคนต้นงิ้ว
แม้จะเห็นในระยะค่อนข้างไกลพอสมควร และเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่หล่อนก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีเลยทีเดียว…เอ คนงานชายในไร่มีคนผิวขาว หน้าตาแบบนี้อยู่ด้วยหรือ
ขณะคิดอยู่นั้น ชายคนดังกล่าวก็หันหลังแล้วจ้ำพรวดเดินหนีไปอีกทางจนหายลับไปจากสายตา และหล่อนก็เลิกให้ความสนใจลงเพียงเท่านั้น
ในเมื่อหล่อนเพิ่งมาไร่ได้เป็นวันแรก ย่อมต้องยังจำหน้าตาคนงานได้ไม่หมดเป็นธรรมดา และหล่อนก็ไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้หนักสมองด้วย
ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่หล่อนจะต้องรีบคิด นั่นก็คือ…จะใช้แผนไหนในการจีบภัตติพงษ์ให้เขาหลงรักหล่อนให้ได้ภายใน 60 วัน !
ใช้เวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง กว่าภัตติพงษ์จะเคลียร์เรื่องทุกอย่างเรียบร้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตัวกลับไป ชายหนุ่มก็กลับกระท่อม ในสมองครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องการตายของคนงานที่ชื่อสม…จนกระทั่งเดินมาถึงกระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
พอย่ำเท้าขึ้นมาบนพื้นบ้าน ก็เห็นเมลินียืนยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
“อืม” เขารับคำในลำคอ
“เป็นยังไงบ้างคะ ตำรวจว่ายังไง” ถามพลางดึงตัวเขาให้ทรุดลงนั่ง แล้วนวดบ่าให้อย่างเอาใจ
“ตำรวจบอกว่าที่คอเหมือนโดนของแข็งฟาด ขาหัก ตามตัวมีรอยฟกช้ำ แต่แผลตรงอกน่าจะโดนกรีดหลังจากที่เหยื่อสิ้นใจไปแล้ว”
“หูย…ใครกันนะที่ทำเรื่องน่ากลัวขนาดนี้ได้ลงคอ” หล่อนทำท่าขนลุก แล้วเดินอ้อมมานั่งบนตักเขา พลางปลดกระดุมเสื้อออกให้ทีละเม็ด
“นั่นสิ ตอนแรกอาก็คิดว่าเรื่องที่เจอเมื่อเย็นมันน่ากลัวนะ แต่ตอนนี้อาเปลี่ยนใจแล้ว เพราะสิ่งที่อากำลังเจอนาทีนี้มันน่ากลัวมากกว่า” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองหล่อนอย่างจับผิด
“เอ๋ ?” หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขา แล้วเอียงคอเล็กน้อย ถามอย่างใสซื่อ “คุณอาหมายความว่าไงกันคะ”
“เธอทำอะไรอยู่น่ะ”
“ถามแปลกๆ ก็คุณอาใส่เสื้อผ้าชื้นๆมาตั้งนาน น่าจะเปลี่ยนได้แล้ว เมเลยจะช่วยเปลี่ยนให้ไงคะ” หล่อนเสนอพร้อมรอยยิ้มกว้าง “คุณอาพูดผิดไปหน่อยนะรู้ไหม เมไม่ได้น่ากลัว แต่เมน่ารักต่างหากล่ะ”
“จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อา ?” เขาถามทวนประโยค แล้วว๊ากลั่น “ไม่จำเป็น อาเปลี่ยนเองได้ เธอลงจากตักอาเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไมล่ะคะ แค่หลานอยากเปลี่ยนเสื้อให้อา มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยหรือไง” หญิงสาวเริ่มเสียงดังบ้าง
“อาเปลี่ยนเองได้” โหนกแก้มขาวๆเริ่มแดงระเรื่อ และปฏิกิริยานั้น หล่อนก็สังเกตเห็นเข้าพอดี
“นั่นไง เพราะคุณอาก็มองว่าเมเป็นผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่หลานใช่ไหมล่ะคะ คุณอาถึงเขิน”
“ห๊ะ ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “เขินบ้าเขินบออะไร” จากนั้นก็ผลักหล่อนออกจากตักแล้วผลุนผลันเข้าห้อง ปิดประตูตามหลังดังโครม
หญิงสาวถอนหายใจเฮือก…หากถามว่าอายไหมที่ตามจีบผู้ชายที่ไม่สนใจหล่อนเลยแบบนี้ บอกได้เลยว่าอาย…
แต่เขาคือรักแรก และหล่อนก็หวังให้เขาเป็นรักสุดท้ายด้วย
อุตส่าห์ถนอมกาย ถนอมหัวใจไว้รอเขาเพียงคนเดียว หากเจ้าบ่าวที่จะเคียงคู่หล่อนในวันแต่งงานไม่ใช่เขา หล่อนคงไม่มีวันมีความสุขไปตลอดชีวิต
หล่อนรู้ดีว่าทำตัวไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้หญิง ทว่า…ความปรารถนาในใจมันปรี่ล้น จนยากเกินจะควบคุม
หากรักแล้วไม่บอก หล่อนคงอึดอัดไปจนตาย
หากรักแล้วไม่พยายาม หล่อนคงนึกเสียใจไปตลอด
และที่สำคัญ… หล่อนไม่ได้ผิดศีลธรรม ไม่ได้ทำร้ายใคร ในเมื่อภัตติพงษ์ยังเป็นหนุ่มโสด แถมไม่ใช่สายเลือดเดียวกับหล่อน ถ้าเช่นนั้นคงไม่ผิดอะไรหากหล่อนจะเดินหน้าตื้อเขาเต็มที่
ใครจะมองยังไงก็ช่างเถอะ นี่เป็นชีวิตของหล่อน หล่อนขอลิขิตทางเดินหัวใจด้วยตัวเอง !
แม้สุดท้ายอาจจะไม่สมหวังในรัก แต่หล่อนก็จะไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง หล่อนก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
ไม่นานนัก…ภัตติพงษ์ก็เดินออกมาในชุดใหม่ เป็นเสื้อยืดสีกรมท่ากับกางเกงยีนขายาว สมแล้วที่เป็นอาของหล่อน ไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหน ก็ยังหล่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ
“ตะวันเริ่มจะตกดินแล้ว กลับบ้านกัน” เขาบอกห้วนๆ
“อย่าบอกนะคะว่าจะเดินไปจนกว่าจะถึงบ้าน เมเป็นลมกันพอดี” หล่อนทำตาเหลือกแล้วส่ายหน้า เพื่อบอกว่าหล่อนนั้น‘ไม่ไหว’จริงๆ
“เดินไปสักพัก อาผูกม้าไว้ตรงใกล้ๆนาข้าว เราจะขี่ม้ากลับกัน”
“ขี่ม้า !” คราวนี้ดวงตาของหล่อนเป็นประกายระยิบระยับเลยทีเดียว ใกล้แล้วสินะ…ใกล้ความฝันของหล่อนเข้าไปทุกทีแล้ว
การได้นั่งอิงซบอกกว้างของชายอันเป็นที่รักบนหลังม้าที่ค่อยๆเหยาะย่างท่ามกลางผืนดินที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทางทิศตะวันตกคือดวงอาทิตย์สีส้มแสดที่กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า…
ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนโรแมนติกที่หล่อนไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด !
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น คิดอะไรในใจอยู่เหรอไง” เขาถามเหมือนรู้ทัน และหล่อนก็ปฏิเสธเสียงสูง
“ป๊าว ! รีบไปกันเถอะค่ะ เมหิ๊วหิว”
“โอเค งั้นกลับกัน” เขาเดินนำลงจากกระท่อม โดยมีหล่อนตามไปติดๆ
ตอนนี้คนงานเริ่มทยอยกันกลับบ้านแล้ว ที่ไร่จึงเงียบสงบ…สายลมเย็นๆพัดพากลิ่นรวงข้าวเข้าจมูกหล่อนเป็นระยะ
ได้เดินคู่กับเขา เป็นอะไรที่มีความสุขมากจริงๆ หากได้เดินจับมือด้วยคงดี…
เมลินีเหล่ตามองมือใหญ่ที่ไพล่หลังอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไป หมายจะจับมือเขา แต่ยังไม่ทันได้จับ เขาก็ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ
“วันนี้วุ่นวายทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัวเหมือนกันเนอะ” เขาหันมาบอกหล่อน แล้วเสริมต่ออีกว่า “ยิ่งตอนที่อุ้มเธอน่ะ เอวของอาแทบเดาะ”
หญิงสาวค้อนขวับ ทำปากยื่น “คุณอาก็พูดเกินไปค่ะ”
ภัตติพงษ์หัวเราะ แล้วมองไปทางเบื้องหน้า โดยมีหญิงสาวเดินเคียงข้าง ระหว่างที่เดินนั้น…สมองนักจินตนาการของหล่อนก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
หากได้เดินช้าๆ อิงแอบกับเขาไปตลอดทางท่ามกลางบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดง คงจะดีไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นแล้ว หล่อนก็กระแซะเข้าใกล้เขา หมายจะทำตามที่คิด แต่จู่ๆเขาก็เดินเร็วมากขึ้นจนหล่อนต้องวิ่งตาม
“คุณอาจะรีบไปตามควายที่ไหนคะ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย” ถามไปก็หอบไปจนปีกจมูกบานเข้าบานออกด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“จะมัวเดินชักช้าอยู่ได้ยังไงเล่า” เขาหันมาเอ็ด “เดี๋ยวกว่าจะถึงบ้าน ฟ้าก็มืดกันพอดี”
“หึ” หญิงสาวทำเสียงชนิดหนึ่งในลำคอ หน้างอหงิก จนกระทั่งเดินมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีม้ารูปร่างกำยำสีขาวสะอาดยืนโดดเด่นอยู่ใต้ร่มเงา
“สโนไวท์” ชายหนุ่มลูบแผงคอของมันเบาๆอย่างเอาใจ “เหนื่อยหน่อยนะสโนไวท์ ยอมให้คนต๊องๆอย่างเมขึ้นขี่กลับบ้านหน่อย อย่าเพิ่งโมโหล่ะ”
ประโยคนั้นของเขา ทำเอาหล่อนชักจะเริ่มร้อนตัว เลยอดถามไม่ได้ “เมต๊องตรงไหนคะ”
“ต๊องทุกตรงนั่นแหละ แค่เห็นสีผมก็รู้แล้ว” เขาตอบอย่างเอือมระอา ก่อนจะปลดสายผูกม้าออก แล้วโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังอาชา “ส่งมือมา”
เขาเอื้อมมือลงมา ซึ่งหล่อนก็มองสบตากับเขาพักหนึ่ง ก่อนจะส่งมือให้เขา
“หัดกินข้าวให้เยอะอีกหน่อยนะ ตัวเล็กนิดเดียว” เขาพูด ขณะตวัดร่างบางให้ขึ้นมานั่งไพล่บนหลังม้าด้านหน้าเขา
“ตะ ตะ ตัวเล็กก็มีข้อดีนะคะ” หล่อนแย้งเสียงตะกุกตะกัก อายจนแก้มร้อนผะผ่าว ได้แต่ก้มหน้างุดๆ…
ภัตติพงษ์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จากหนุ่มอารมณ์ดี หุ่นสูงเพรียว กลายเป็นหนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม อกกว้าง เสน่ห์แห่งบุรุษเพศเปี่ยมล้นจนหล่อนอดใจเต้นแรงไม่ได้
ยิ่งตอนที่ต้องนั่งแอบแนบอกฟังเสียงหัวใจเขาเต้นเช่นนี้ หล่อนยิ่งประหม่าจนเนื้อตัวร้อนรุ่มดั่งถูกเหล็กลนไฟนาบ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกทรมานเจียนขาดใจ แต่มันหวามไหวเปี่ยมล้นด้วยความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
“มีข้อดีด้วยเหรอ” เขาเริ่มบังคับม้าให้เดินเหยาะย่างไปบนผืนดินสีแดงที่มีต้นหญ้าสีเขียวขึ้นบ้างประปราย
“มีสิคะ สาวไซส์มินิ พกพาสะดวกจะตาย”
“เออ ก็จริงของเธอ แต่ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งนะ” เขาเสนอความคิดบ้าง
“อะไรคะ ?”
“คนชอบคิดว่าเป็นเด็กไง”
“เห็นด้วยค่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิก “ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ก็จะดูสาวกว่าวัย”
“กลัวแต่ว่าตัวจะยังเหมือนเด็ก แต่หน้าแก่ตามวัยไปแล้วน่ะสิ” เขาดักคอ เล่นเอาหล่อนถึงกับแหว
“คุณอา ! ไม่มีใครบอกเหรอคะว่าเวลาคุยกับผู้หญิง ห้ามพูดถึงเรื่องความแก่”
“เอ้า…มันเป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ”
“ไม่รู้ล่ะ ห้ามพูดก็คือห้ามพูด”
“โอเค งั้นไม่พูดล่ะ” เขาตัดบทแล้วเงียบไป
เมลินีตั้งท่าจะแย้งว่า ไม่ให้พูดเรื่องแก่ ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดคุยเสียดื้อๆ แต่ครั้นเหลือบตาขึ้นมองปลายคางที่มีไรหนวดเคราให้เห็นสีเขียวจางๆนั่น หล่อนก็เปลี่ยนใจแล้วเอียงแก้มแนบอกเขา…
อยู่เงียบๆบนหลังม้าก็โรแมนติกไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เงียบเกินไปก็กลัวเขาจะอึดอัดเลยต้องชวนคุย
หญิงสาวชี้นิ้วไปทางทุ่งข้าวที่กำลังออกรวงสีทองสะบัดพัดตามแรงลมจนคล้ายระลอกคลื่น “ดูสิคะคุณอา ตอนที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์อาบไล้รวงข้าวนี่สวยจังนะคะ มีเสน่ห์ น่าหลงใหล”
“นั่นเธอดูสิ” เขาชี้มือไปทางซ้าย…ซึ่งตรงนั้นมีอยู่จุดหนึ่งที่ดินโคลนเลอะเทอะ ซ้ำต้นข้าวยังล้มระเนระนาดเป็นแถบๆ “ใครกันทำข้าวดีๆต้องเสียหายหมด”
เมลินีทำแก้มป่อง ชักจะโมโห ทำไมเขาชอบทำลายบรรยากาศสุดฟินที่หล่อนพยายามสร้างขึ้นมาทุกครั้งด้วย !
“คนเรามันผิดพลาดกันได้ค่ะคุณอา เมขอโทษที่ขี่ม้าไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“ต่อไปเธอห้ามขี่ม้าอีกเป็นอันขาด ดีนะที่ครั้งนี้ไม่เป็นอันตราย เพราะถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา อาคงไม่มีหน้าไปเจอพ่อแม่เธออีกแน่ๆ” เขาเตือน แล้วเสริมอีกว่า “ถ้าไม่ชอบให้เรียกว่าเด็ก เธอก็ควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลมากกว่านี้นะเม”
“ค่ะ” หล่อนรับคำสั้นๆแล้วเงียบไป จนเขานึกว่าหล่อนโกรธที่ไปตักเตือนแบบนั้นเข้า แต่ก็ไม่คิดจะเซ้าซี้หล่อนอีก
ทั้งคู่ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ท่ามกลางดวงอาทิตย์กลมใหญ่ที่ค่อยๆหายลับไปจากขอบฟ้า พร้อมความมืดมิดที่โรยตัวปกคลุมทั่วเวหาอย่างรวดเร็ว
อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นจนหล่อนหนาวสะท้าน ขนอ่อนตามท่อนแขนพากันลุกซู่ ก่อนจะอุ่นวาบเมื่อแขนข้างหนึ่งของเขากระชับกอดหล่อนไว้มั่น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดแข็งแกร่งก็เห็นหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาสบตากับหล่อนเข้าพอดี
แม้จะไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ แต่ที่แน่ๆคือ…หล่อนอยากให้เวลา ณ วินาทีนี้ทอดยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่คือความจริง หาใช่ความฝัน และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามนต์เสน่ห์ที่หล่อนปลื้มปิติก็จะหมดลง…!
มนต์เสน่ห์แห่งจันทรา
คนงานทั้งวัยรุ่นและวัยกลางคนยืนมุงดูชายฉกรรจ์ซึ่งนอนหงายอยู่บนผืนหญ้า แขนข้างหนึ่งบิดงอ คอพลิกหันไปอีกด้าน ดวงตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัว เนื้อผ้าบริเวณอกฉีกขาดหลุดรุ่ย มีเลือดสีแดงไหลนอง ส่งกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนจนคนที่เห็นถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างสลดใจ
ภัตติพงษ์ยังคงสวมชุดเดิมที่ชื้นน้ำ เขาแหวกผู้คนเข้าไปมองศพโดยมีเมลินีตามติดไม่ห่าง ดวงตาคู่โตเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ยกมือปิดปากเพื่อสะกดกลั้นอาการคลื่นเหียนไม่ให้อาเจียนออกมาตอนนี้
สภาพศพน่าจะตายตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพราะเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า
“น่าสงสารไอ้สมมันนะครับนาย ไม่รู้ว่าใครกันนะใจคอโหดเหี้ยมทำร้ายมันได้” ชายคนหนึ่ง ผมสีดอกเลา ฟันสีเหลือง ดวงตาเริ่มขุ่นมัวแต่ยังดูกระฉับกระเฉงเกินวัยได้ออกปากขึ้น ซึ่งภัตติพงษ์ก็เบือนหน้าไปมองคนพูดแล้วส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“ทำไมในไร่ของเราถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”
“นั่นสิครับ ไร่ภูผาคอยจันทร์ของเราสวยงามและสุขสงบมาโดยตลอด ทำไมถึงมีเรื่องสยองขวัญแบบนี้เกิดขึ้น” คนงานอีกหลายคนเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส ต่างก็มีความเห็นไปต่างๆนาๆ แต่ที่มีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ…สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและเคร่งเครียด
“ใครเป็นคนเจอศพพี่สมเป็นคนแรก” เจ้าของไร่หนุ่มเอ่ยถาม และก้อยก็เป็นคนยกมือรับ
“ก้อยเองค่ะ หลังจากทำความสะอาดคอกม้าเสร็จก็ว่าจะออกไปหาพ่อ” หล่อนบุ้ยใบ้ไปทางชายวัยกลางคนที่ชื่อ‘ก้อง’ซึ่งเป็นบิดาของหล่อน เป็นคนงานดูแลไร่ดาวเรืองโดยตรง “แต่พ่อไปแอบงีบหลับอยู่โคนต้นงิ้ว ก้อยเลยมาเดินเล่น ได้กลิ่นตุๆก็นึกว่ามีซากสัตว์ตาย พอหาที่มาของกลิ่นถึงรู้ว่ามาจากพงหญ้า พอแหวกดูเท่านั้นแหละค่ะ….ตกใจแทบช็อกที่เห็นมีศพนอนตายตาเหลือกอยู่ในนั้น” หล่อนปิดท้ายด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึง ลูบต้นแขนตัวเองไปมาแล้วก้าวถอยหลังไปยืนห่างๆ
“ใครกันเป็นฆาตกร” หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น มองศพที่ตายอนาถอย่างเวทนา แต่ก็มิอาจช่วยเหลืออะไรได้…ความกังวลเริ่มก่อตัวคล้ายมีเมฆหมอกมาบดบังภายในอก… ภัตติพงษ์หลับตาลงพักหนึ่งเมื่อรู้สึกปวดขมับด้านขวาขึ้นมา
ทำไมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ !
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ที่แน่ๆ พวกเราไม่เคยนึกอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย” ชายคนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก และผมก็ยังไม่อยากพูดอะไรมากด้วย เอาเป็นว่ามีใครโทรแจ้งความหรือยังครับ” ภัตติพงษ์ถาม และก้อยก็เป็นฝ่ายตอบว่า
“ก้อยแจ้งแล้วค่ะ”
“งั้นคงต้องรอตำรวจสักระยะ” ชายหนุ่มระบายลมหายใจผ่านทางจมูกยาวเหยียด เหลือบตามองคนงานแต่ละคนก็พบเห็นแต่ความวิตก…ใช่แล้ว ทุกคนคงจะคิดเหมือนเขาว่าฆาตกรที่ฆ่าสมอาจจะเป็นหนึ่งในคนงานที่นี่
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้คงทำให้หลายคนเริ่มหวาดระแวงกันเอง แล้วจะมีความสุขกับการทำงานได้อย่างไรกันเล่า
เพราะไม่อยากให้คนงานของตนเสียขวัญไปมากกว่านี้ ภัตติพงษ์จึงเอ่ยปลอบ
“ผมไม่อยากให้ทุกคนเครียดนะ การตายของพี่สมต้องรอให้ตำรวจมาสืบสวนหาตัวคนร้าย ส่วนครอบครัวของพี่สม ผมจะชดเชยให้”
“พวกผมล่ะกลัวจริงๆครับ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกจะทำยังไง” มีคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ภัตติพงษ์หนักใจกว่าเดิม จึงหันมาหาเมลินีซึ่งยืนอยู่ข้างกาย หวังจะให้หล่อนช่วยพูด
“เม…เธอเป็นนักเขียน คงถนัดเรื่องพูด เธอช่วยปลอบ… เฮ้ย !” ยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ถึงกับตาค้างเมื่อเห็นร่างบางยืนโงนเงน ดวงตาหรี่ปรือจวนเจียนจะปิดอยู่รอมร่อ เขาจึงรีบดึงข้อมือเล็กแล้วกระชากตัวหล่อนเข้ามากอดแนบอก…และวินาทีนั้นเองที่หญิงสาวตัวอ่อนวูบ ไร้สติสัมปชัญญะไปโดยปริยาย
“ว้าย !” ก้อยหวีดร้องด้วยความตระหนก “นั่นคุณเมเป็นลมไปแล้ว ใครก็ได้ไปช่วยคุณบาสประคองคุณเมหน่อยเร็ว”
“ไม่ต้อง !” เจ้าของไร่หนุ่มรีบร้องห้าม ท่าทางไม่พอใจที่จะมีคนงานผู้ชายมาช่วยอุ้มเมลินีให้ “ตัวเล็กๆแค่นี้ ผมอุ้มเองได้ เอาเป็นว่าถ้าตำรวจมาแล้วช่วยไปตามผมด้วยนะ ผมจะพาเมไปนอนพักที่กระท่อม”
“ครับ…” มีหลายคนรับคำ ชายหนุ่มจึงเริ่มเบาใจ ค่อยๆช้อนร่างระหงขึ้นอุ้มแล้วพากลับกระท่อมซึ่งตั้งห่างไกลพอสมควร
แม้แดดจะแรง ระยะทางจะไกลพอสมควร แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเลยสักนิดในการอุ้มหล่อน…ระหว่างที่เดิน ดวงตาคู่คมก็หลุบลงมองหน้าเรียวเป็นระยะ
กรอบหน้าภายใต้เรือนผมยาวสีชมพูสด ประกอบไปด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มสมส่วน ไม่ว่าจะคิ้วเรียวโก่ง ดวงตากลมหลับพริ้มให้เห็นแพขนตายาว จมูกโด่งเล็ก ปากอิ่มสีแดงระเรื่อ
และคงเป็นเพราะไอความร้อนจากแสงแดด แก้มของหล่อนจึงอมเลือดฝาดสีชมพูจางๆ
ไม่คิดเลยว่าจากเด็กหญิงตัวเล็กจะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่สวยน่ามองได้ถึงเพียงนี้
เขาพาหล่อนขึ้นกระท่อม วางร่างบางลงบนพื้นกระดาน เปิดหน้าต่างให้ลมโกรก แล้วดึงเสื้อออกจากราวแขวนตัวหนึ่ง นำไปซับน้ำจนหมาดแล้วมาเช็ดหน้าให้หล่อนอย่างอ่อนโยน
ไม่นานนัก ดวงตาคู่โตก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ทันทีที่เห็นหน้าเขาชัดเจน หล่อนก็ผวาขึ้นกอดรอบลำคอแกร่ง ร่างเล็กสั่นระริก เสียงก็สั่นไม่ต่างจากเนื้อตัวเลยทีเดียว
“คะ คุณ คุณอา คนตาย… เมื่อกี้เมเห็นคนตาย”
“ใจเย็นๆนะเม สงบจิตสงบใจก่อน พี่สมเขาคงดวงถึงฆาต ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่าไปกลัว” มือใหญ่ลูบหลังให้หล่อนอย่างปลอบโยน
“ตะ แต่…”
“ไม่ต้องกลัวน่า”
“แต่…”
“ไม่ต้องแต่” เขาปรามเสียงดุ “ไม่คิดเลยว่าเด็กนักเรียนนอกอย่างเธอจะใจเสาะขนาดนี้”
“เห็นภาพแบบนั้นเต็มตา ใครบ้างล่ะคะจะไม่รู้สึกอะไร” หล่อนเถียง อันที่จริงก็เริ่มคลายความหวาดกลัวลงไปบ้างแล้ว แต่ยังคงทำเนียนกอดคอเขาแน่นประดุจตุ๊กแกไม่ยอมปล่อย…ก็ปกติอาสุดหล่อของหล่อนคนนี้หวงเนื้อหวงตัวจะตาย นานๆทีจะมีโอกาสได้กอด เรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆกันเล่า !
“เลิกกลัวได้แล้ว”
“ก็กลัวนี่นา” หล่อนอ้อน ซุกหน้าที่อกกว้าง ขณะที่ชายหนุ่มเริ่มฉุกใจ
“นี่จะหาเรื่องแต๊ะอั๋งอาใช่ไหมเนี่ย”
“ป่าวน๊า” หล่อนปฏิเสธเสียงใส “ก็เมกลัวจริงๆนี่นา”
“คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย เมยังอ่อนต่อโลก ที่มาอยู่กับอาก็เพราะอยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นใช่ไหม งั้นก็ถือเสียว่าการที่เห็นคนโดนฆาตกรรมวันนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เมได้เจอของจริง เวลาเอาไปเขียนในนิยายจะได้สมจริงไง” ชายหนุ่มร่ายยาว แล้วปิดท้ายด้วยคำถาม “ว่าจะถามเราตั้งแต่ตอนที่เราบอกอาว่าเป็นนักเขียนแล้วล่ะ…เธอเขียนแนวไหน”
“นิยายรักค่ะ” หล่อนตอบอู้อี้เพราะหน้ายังคงซุกที่อกของเขา
“อ้อ…นิยายน้ำเน่า”
“เอ๊ะ” หล่อนตาขุ่น ผละห่างจากอกเขาแล้วเถียง “น้ำเน่าแล้วไงคะ เบื่อผู้ชายหัวใจหยาบกระด้างที่ไม่เข้าใจความอ่อนหวานของความรักที่แสนโรแมนติกจริงๆ”
“เอ้า” ชายหนุ่มยิ้มขัน “อาไม่ได้ว่านิยายรักไม่ดี แต่อาคิดว่าคงเหมือนๆกันหมด แนวพระเอกหล่อรวยใช่ไหม แล้วเรามีผลงานเป็นเล่มกี่เรื่องแล้วล่ะ หืม ?”
“ถ้าเปรียบว่าเมเป็นเด็ก ตอนนี้เมก็เพิ่งหัดเดินตั้งไข่ค่ะ สรุปคือกำลังเริ่มเขียน แต่ยังไม่มีผลงานออกเป็นเล่ม” หล่อนตอบด้วยสีหน้ายู่ยี่ไม่น้อย
“อุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอก พกใบปริญญามาให้พ่อแม่ชื่นใจ แต่กลับคิดจะทำงานเป็นคนขายฝันเหรอไง หืม ?”
“คุณอาดูถูกเมเหรอคะ” หล่อนเริ่มเสียงดังมากขึ้น “พูดเหมือนอาเขตต์เลย ทำไมทุกคนต้องดูถูกว่าถ้าเป็นนักเขียนแล้วจะเอาตัวไม่รอดด้วย” พูดพลางลุกขึ้นยืน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ได้ดูถูกเลย คนที่เป็นนักเขียนแล้วเลี้ยงตัวเองได้ก็มีให้เห็นถมเถ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีชื่อเสียง ยังไม่มีฐานแฟนคลับ แล้วคิดจะขายความฝันทั้งๆที่ไม่มีอาชีพหลักไว้รองรับ มีหวังเธอกินแกลบแน่”
“เมเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ตอนนี้เมอยากเป็นอิสระ เมขออนุญาตคุณแม่มนแล้ว ท่านบอกว่าให้เวลาเม 1 ปี หากเมยังไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน เมยินดีที่จะไปช่วยคุณพ่อข้าวดูแลบริษัท”
“แล้วทำไมเธอถึงอยากเป็นนักเขียนนัก หืม ?”
แม้หล่อนจะทำเสียงแหลมสูงใส่เหมือนไม่พอใจ ทว่าเขากลับยังมีสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบเหมือนเดิม แววตาที่ใช้มองหล่อนก็เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กดื้อๆคนหนึ่ง และนั่นก็ทำให้หล่อนนึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เพราะเมรักอิสระ ไม่อยากทำงานแข่งกับเวลา ชอบที่จะเป็นนายตัวเอง ขายความคิดความฝันไม่มีทางขาดทุน”
“แต่ก็อาจจะอดอยากจนผอมโซก็ได้นะ” เขาต่อให้อย่างหยอกเอิน แล้วเสริมต่ออีกว่า “อย่างเธอน่ะก็ไม่เคยแข่งกับเวลาอยู่แล้วล่ะ ตั้งแต่เล็กจนแตกเนื้อสาว เห็นนอนตื่นสายก้นโด่งจนไปเข้าแถวที่โรงเรียนไม่ทันเกือบจะทุกที ชีวิตเธอสบายๆชิวๆจะตาย เร่งรีบตรงไหน”
“คุณอา !” เมลินีหน้าแดงก่ำ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงผู้ชายก็ตะโกนมาแต่ไกล
“นายคร้าบนาย”
ชายหนุ่มยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนงานวิ่งกระหืดกระหอบมาในสภาพเหงื่อโซมกาย
“ตำรวจมาแล้วครับ ตอนนี้กำลังดูศพอยู่”
“อ้อ งั้นเดี๋ยวผมตามไป” ภัตติพงษ์รับคำ แล้วหันมาทำเสียงเข้มใส่หญิงสาว “อาออกไปคุยธุระกับตำรวจก่อน เสร็จเรื่องเมื่อไหร่จะมารับ อย่าดื้อ อย่าซนล่ะ อยู่แต่ในกระท่อมนะ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน ถ้าเกิดตกสระจมน้ำตายขึ้นมา อาขี้เกียจเสียใจ”
สั่งเสร็จ เขาก็ย่ำเท้าลงจากกระท่อมไปทันที ทิ้งให้หญิงสาวยืนหน้าบูด แก้มป่องอยู่ตามลำพัง…ดูเขาเถอะ ทำไมชอบทำเหมือนหล่อนเป็นเด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่เรื่อย
เมลินีทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม เห็นเสื้อเปียกๆวางกองบนพื้นก็นึกรู้ได้ในทันที…เขาคงช่วยปฐมพยาบาลให้หล่อนคืนสติกระมัง อย่างน้อยเขาก็มีใจเป็นห่วงหล่อนอยู่บ้าง
หญิงสาวยิ้มแก้มตุ่ย ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคนเดินย่ำบนใบไม้ เมื่อลุกยืนมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นใครคนหนึ่งยืนทำลับๆล่อๆอยู่โคนต้นงิ้ว
แม้จะเห็นในระยะค่อนข้างไกลพอสมควร และเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่หล่อนก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีเลยทีเดียว…เอ คนงานชายในไร่มีคนผิวขาว หน้าตาแบบนี้อยู่ด้วยหรือ
ขณะคิดอยู่นั้น ชายคนดังกล่าวก็หันหลังแล้วจ้ำพรวดเดินหนีไปอีกทางจนหายลับไปจากสายตา และหล่อนก็เลิกให้ความสนใจลงเพียงเท่านั้น
ในเมื่อหล่อนเพิ่งมาไร่ได้เป็นวันแรก ย่อมต้องยังจำหน้าตาคนงานได้ไม่หมดเป็นธรรมดา และหล่อนก็ไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้หนักสมองด้วย
ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่หล่อนจะต้องรีบคิด นั่นก็คือ…จะใช้แผนไหนในการจีบภัตติพงษ์ให้เขาหลงรักหล่อนให้ได้ภายใน 60 วัน !
ใช้เวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง กว่าภัตติพงษ์จะเคลียร์เรื่องทุกอย่างเรียบร้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตัวกลับไป ชายหนุ่มก็กลับกระท่อม ในสมองครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องการตายของคนงานที่ชื่อสม…จนกระทั่งเดินมาถึงกระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
พอย่ำเท้าขึ้นมาบนพื้นบ้าน ก็เห็นเมลินียืนยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
“อืม” เขารับคำในลำคอ
“เป็นยังไงบ้างคะ ตำรวจว่ายังไง” ถามพลางดึงตัวเขาให้ทรุดลงนั่ง แล้วนวดบ่าให้อย่างเอาใจ
“ตำรวจบอกว่าที่คอเหมือนโดนของแข็งฟาด ขาหัก ตามตัวมีรอยฟกช้ำ แต่แผลตรงอกน่าจะโดนกรีดหลังจากที่เหยื่อสิ้นใจไปแล้ว”
“หูย…ใครกันนะที่ทำเรื่องน่ากลัวขนาดนี้ได้ลงคอ” หล่อนทำท่าขนลุก แล้วเดินอ้อมมานั่งบนตักเขา พลางปลดกระดุมเสื้อออกให้ทีละเม็ด
“นั่นสิ ตอนแรกอาก็คิดว่าเรื่องที่เจอเมื่อเย็นมันน่ากลัวนะ แต่ตอนนี้อาเปลี่ยนใจแล้ว เพราะสิ่งที่อากำลังเจอนาทีนี้มันน่ากลัวมากกว่า” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองหล่อนอย่างจับผิด
“เอ๋ ?” หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขา แล้วเอียงคอเล็กน้อย ถามอย่างใสซื่อ “คุณอาหมายความว่าไงกันคะ”
“เธอทำอะไรอยู่น่ะ”
“ถามแปลกๆ ก็คุณอาใส่เสื้อผ้าชื้นๆมาตั้งนาน น่าจะเปลี่ยนได้แล้ว เมเลยจะช่วยเปลี่ยนให้ไงคะ” หล่อนเสนอพร้อมรอยยิ้มกว้าง “คุณอาพูดผิดไปหน่อยนะรู้ไหม เมไม่ได้น่ากลัว แต่เมน่ารักต่างหากล่ะ”
“จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อา ?” เขาถามทวนประโยค แล้วว๊ากลั่น “ไม่จำเป็น อาเปลี่ยนเองได้ เธอลงจากตักอาเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไมล่ะคะ แค่หลานอยากเปลี่ยนเสื้อให้อา มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยหรือไง” หญิงสาวเริ่มเสียงดังบ้าง
“อาเปลี่ยนเองได้” โหนกแก้มขาวๆเริ่มแดงระเรื่อ และปฏิกิริยานั้น หล่อนก็สังเกตเห็นเข้าพอดี
“นั่นไง เพราะคุณอาก็มองว่าเมเป็นผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่หลานใช่ไหมล่ะคะ คุณอาถึงเขิน”
“ห๊ะ ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “เขินบ้าเขินบออะไร” จากนั้นก็ผลักหล่อนออกจากตักแล้วผลุนผลันเข้าห้อง ปิดประตูตามหลังดังโครม
หญิงสาวถอนหายใจเฮือก…หากถามว่าอายไหมที่ตามจีบผู้ชายที่ไม่สนใจหล่อนเลยแบบนี้ บอกได้เลยว่าอาย…
แต่เขาคือรักแรก และหล่อนก็หวังให้เขาเป็นรักสุดท้ายด้วย
อุตส่าห์ถนอมกาย ถนอมหัวใจไว้รอเขาเพียงคนเดียว หากเจ้าบ่าวที่จะเคียงคู่หล่อนในวันแต่งงานไม่ใช่เขา หล่อนคงไม่มีวันมีความสุขไปตลอดชีวิต
หล่อนรู้ดีว่าทำตัวไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้หญิง ทว่า…ความปรารถนาในใจมันปรี่ล้น จนยากเกินจะควบคุม
หากรักแล้วไม่บอก หล่อนคงอึดอัดไปจนตาย
หากรักแล้วไม่พยายาม หล่อนคงนึกเสียใจไปตลอด
และที่สำคัญ… หล่อนไม่ได้ผิดศีลธรรม ไม่ได้ทำร้ายใคร ในเมื่อภัตติพงษ์ยังเป็นหนุ่มโสด แถมไม่ใช่สายเลือดเดียวกับหล่อน ถ้าเช่นนั้นคงไม่ผิดอะไรหากหล่อนจะเดินหน้าตื้อเขาเต็มที่
ใครจะมองยังไงก็ช่างเถอะ นี่เป็นชีวิตของหล่อน หล่อนขอลิขิตทางเดินหัวใจด้วยตัวเอง !
แม้สุดท้ายอาจจะไม่สมหวังในรัก แต่หล่อนก็จะไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง หล่อนก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
ไม่นานนัก…ภัตติพงษ์ก็เดินออกมาในชุดใหม่ เป็นเสื้อยืดสีกรมท่ากับกางเกงยีนขายาว สมแล้วที่เป็นอาของหล่อน ไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหน ก็ยังหล่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ
“ตะวันเริ่มจะตกดินแล้ว กลับบ้านกัน” เขาบอกห้วนๆ
“อย่าบอกนะคะว่าจะเดินไปจนกว่าจะถึงบ้าน เมเป็นลมกันพอดี” หล่อนทำตาเหลือกแล้วส่ายหน้า เพื่อบอกว่าหล่อนนั้น‘ไม่ไหว’จริงๆ
“เดินไปสักพัก อาผูกม้าไว้ตรงใกล้ๆนาข้าว เราจะขี่ม้ากลับกัน”
“ขี่ม้า !” คราวนี้ดวงตาของหล่อนเป็นประกายระยิบระยับเลยทีเดียว ใกล้แล้วสินะ…ใกล้ความฝันของหล่อนเข้าไปทุกทีแล้ว
การได้นั่งอิงซบอกกว้างของชายอันเป็นที่รักบนหลังม้าที่ค่อยๆเหยาะย่างท่ามกลางผืนดินที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทางทิศตะวันตกคือดวงอาทิตย์สีส้มแสดที่กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า…
ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนโรแมนติกที่หล่อนไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด !
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น คิดอะไรในใจอยู่เหรอไง” เขาถามเหมือนรู้ทัน และหล่อนก็ปฏิเสธเสียงสูง
“ป๊าว ! รีบไปกันเถอะค่ะ เมหิ๊วหิว”
“โอเค งั้นกลับกัน” เขาเดินนำลงจากกระท่อม โดยมีหล่อนตามไปติดๆ
ตอนนี้คนงานเริ่มทยอยกันกลับบ้านแล้ว ที่ไร่จึงเงียบสงบ…สายลมเย็นๆพัดพากลิ่นรวงข้าวเข้าจมูกหล่อนเป็นระยะ
ได้เดินคู่กับเขา เป็นอะไรที่มีความสุขมากจริงๆ หากได้เดินจับมือด้วยคงดี…
เมลินีเหล่ตามองมือใหญ่ที่ไพล่หลังอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไป หมายจะจับมือเขา แต่ยังไม่ทันได้จับ เขาก็ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ
“วันนี้วุ่นวายทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัวเหมือนกันเนอะ” เขาหันมาบอกหล่อน แล้วเสริมต่ออีกว่า “ยิ่งตอนที่อุ้มเธอน่ะ เอวของอาแทบเดาะ”
หญิงสาวค้อนขวับ ทำปากยื่น “คุณอาก็พูดเกินไปค่ะ”
ภัตติพงษ์หัวเราะ แล้วมองไปทางเบื้องหน้า โดยมีหญิงสาวเดินเคียงข้าง ระหว่างที่เดินนั้น…สมองนักจินตนาการของหล่อนก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
หากได้เดินช้าๆ อิงแอบกับเขาไปตลอดทางท่ามกลางบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดง คงจะดีไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นแล้ว หล่อนก็กระแซะเข้าใกล้เขา หมายจะทำตามที่คิด แต่จู่ๆเขาก็เดินเร็วมากขึ้นจนหล่อนต้องวิ่งตาม
“คุณอาจะรีบไปตามควายที่ไหนคะ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย” ถามไปก็หอบไปจนปีกจมูกบานเข้าบานออกด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“จะมัวเดินชักช้าอยู่ได้ยังไงเล่า” เขาหันมาเอ็ด “เดี๋ยวกว่าจะถึงบ้าน ฟ้าก็มืดกันพอดี”
“หึ” หญิงสาวทำเสียงชนิดหนึ่งในลำคอ หน้างอหงิก จนกระทั่งเดินมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีม้ารูปร่างกำยำสีขาวสะอาดยืนโดดเด่นอยู่ใต้ร่มเงา
“สโนไวท์” ชายหนุ่มลูบแผงคอของมันเบาๆอย่างเอาใจ “เหนื่อยหน่อยนะสโนไวท์ ยอมให้คนต๊องๆอย่างเมขึ้นขี่กลับบ้านหน่อย อย่าเพิ่งโมโหล่ะ”
ประโยคนั้นของเขา ทำเอาหล่อนชักจะเริ่มร้อนตัว เลยอดถามไม่ได้ “เมต๊องตรงไหนคะ”
“ต๊องทุกตรงนั่นแหละ แค่เห็นสีผมก็รู้แล้ว” เขาตอบอย่างเอือมระอา ก่อนจะปลดสายผูกม้าออก แล้วโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังอาชา “ส่งมือมา”
เขาเอื้อมมือลงมา ซึ่งหล่อนก็มองสบตากับเขาพักหนึ่ง ก่อนจะส่งมือให้เขา
“หัดกินข้าวให้เยอะอีกหน่อยนะ ตัวเล็กนิดเดียว” เขาพูด ขณะตวัดร่างบางให้ขึ้นมานั่งไพล่บนหลังม้าด้านหน้าเขา
“ตะ ตะ ตัวเล็กก็มีข้อดีนะคะ” หล่อนแย้งเสียงตะกุกตะกัก อายจนแก้มร้อนผะผ่าว ได้แต่ก้มหน้างุดๆ…
ภัตติพงษ์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จากหนุ่มอารมณ์ดี หุ่นสูงเพรียว กลายเป็นหนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม อกกว้าง เสน่ห์แห่งบุรุษเพศเปี่ยมล้นจนหล่อนอดใจเต้นแรงไม่ได้
ยิ่งตอนที่ต้องนั่งแอบแนบอกฟังเสียงหัวใจเขาเต้นเช่นนี้ หล่อนยิ่งประหม่าจนเนื้อตัวร้อนรุ่มดั่งถูกเหล็กลนไฟนาบ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกทรมานเจียนขาดใจ แต่มันหวามไหวเปี่ยมล้นด้วยความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
“มีข้อดีด้วยเหรอ” เขาเริ่มบังคับม้าให้เดินเหยาะย่างไปบนผืนดินสีแดงที่มีต้นหญ้าสีเขียวขึ้นบ้างประปราย
“มีสิคะ สาวไซส์มินิ พกพาสะดวกจะตาย”
“เออ ก็จริงของเธอ แต่ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งนะ” เขาเสนอความคิดบ้าง
“อะไรคะ ?”
“คนชอบคิดว่าเป็นเด็กไง”
“เห็นด้วยค่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิก “ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ก็จะดูสาวกว่าวัย”
“กลัวแต่ว่าตัวจะยังเหมือนเด็ก แต่หน้าแก่ตามวัยไปแล้วน่ะสิ” เขาดักคอ เล่นเอาหล่อนถึงกับแหว
“คุณอา ! ไม่มีใครบอกเหรอคะว่าเวลาคุยกับผู้หญิง ห้ามพูดถึงเรื่องความแก่”
“เอ้า…มันเป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ”
“ไม่รู้ล่ะ ห้ามพูดก็คือห้ามพูด”
“โอเค งั้นไม่พูดล่ะ” เขาตัดบทแล้วเงียบไป
เมลินีตั้งท่าจะแย้งว่า ไม่ให้พูดเรื่องแก่ ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดคุยเสียดื้อๆ แต่ครั้นเหลือบตาขึ้นมองปลายคางที่มีไรหนวดเคราให้เห็นสีเขียวจางๆนั่น หล่อนก็เปลี่ยนใจแล้วเอียงแก้มแนบอกเขา…
อยู่เงียบๆบนหลังม้าก็โรแมนติกไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เงียบเกินไปก็กลัวเขาจะอึดอัดเลยต้องชวนคุย
หญิงสาวชี้นิ้วไปทางทุ่งข้าวที่กำลังออกรวงสีทองสะบัดพัดตามแรงลมจนคล้ายระลอกคลื่น “ดูสิคะคุณอา ตอนที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์อาบไล้รวงข้าวนี่สวยจังนะคะ มีเสน่ห์ น่าหลงใหล”
“นั่นเธอดูสิ” เขาชี้มือไปทางซ้าย…ซึ่งตรงนั้นมีอยู่จุดหนึ่งที่ดินโคลนเลอะเทอะ ซ้ำต้นข้าวยังล้มระเนระนาดเป็นแถบๆ “ใครกันทำข้าวดีๆต้องเสียหายหมด”
เมลินีทำแก้มป่อง ชักจะโมโห ทำไมเขาชอบทำลายบรรยากาศสุดฟินที่หล่อนพยายามสร้างขึ้นมาทุกครั้งด้วย !
“คนเรามันผิดพลาดกันได้ค่ะคุณอา เมขอโทษที่ขี่ม้าไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“ต่อไปเธอห้ามขี่ม้าอีกเป็นอันขาด ดีนะที่ครั้งนี้ไม่เป็นอันตราย เพราะถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา อาคงไม่มีหน้าไปเจอพ่อแม่เธออีกแน่ๆ” เขาเตือน แล้วเสริมอีกว่า “ถ้าไม่ชอบให้เรียกว่าเด็ก เธอก็ควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลมากกว่านี้นะเม”
“ค่ะ” หล่อนรับคำสั้นๆแล้วเงียบไป จนเขานึกว่าหล่อนโกรธที่ไปตักเตือนแบบนั้นเข้า แต่ก็ไม่คิดจะเซ้าซี้หล่อนอีก
ทั้งคู่ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ท่ามกลางดวงอาทิตย์กลมใหญ่ที่ค่อยๆหายลับไปจากขอบฟ้า พร้อมความมืดมิดที่โรยตัวปกคลุมทั่วเวหาอย่างรวดเร็ว
อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นจนหล่อนหนาวสะท้าน ขนอ่อนตามท่อนแขนพากันลุกซู่ ก่อนจะอุ่นวาบเมื่อแขนข้างหนึ่งของเขากระชับกอดหล่อนไว้มั่น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดแข็งแกร่งก็เห็นหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาสบตากับหล่อนเข้าพอดี
แม้จะไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ แต่ที่แน่ๆคือ…หล่อนอยากให้เวลา ณ วินาทีนี้ทอดยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่คือความจริง หาใช่ความฝัน และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามนต์เสน่ห์ที่หล่อนปลื้มปิติก็จะหมดลง…!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ