รสสวาทเจ้าสาวป้ายแดง (สนพ.โรแมนติค)

10.0

เขียนโดย คิมปัด

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.

  5 ตอน
  1 วิจารณ์
  8,217 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 20.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เสน่ห์สาว...แซ่บ 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5

เสน่ห์สาว…แซ่บ

 

 

หลังตะวันชิงพลบ เมลินีกินข้าวกับภัตติพงษ์ หล่อนและเขาต่างกลืนข้าวไม่ค่อยลงคอ ทั้งๆที่เมนูอาหารที่แป้วจัดเตรียมล้วนแล้วแต่เลิศรส… เหตุเพราะวันนี้พบคนงานถูกฆ่าตายอย่างสยดสยอง ภาพใบหน้าเหยเกที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดยังคงชัดเจนในความทรงจำ กลิ่นคาวเลือดเหมือนจะยังติดอยู่ที่จมูกไม่จางหาย

ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในห้องอาหารไม่นานนักก็แยกย้ายกันเข้าห้องส่วนตัวของตน

ภัตติพงษ์อาบน้ำเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ระหว่างที่ยืนใต้สายน้ำจากฝักบัวที่ไหลพร่างพรมรินรดเรือนกายกำยำสมส่วน เขาพยายามลืมภาพของคนงานที่เสียชีวิต แล้วเปลี่ยนมาทบทวนเรื่องของหลานสาวตัวแสบ

เหมือนฝันไปเลยจริงๆที่วันนี้ได้พบเมลินีอีกครั้ง หลังจากห่างหายไม่ได้เจอกันมานานหลายปี

หล่อนเป็นสาวที่น่ารักและร่าเริง รอยยิ้มของหล่อนสดใสไม่ต่างจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามสาย

แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะวันเวลาและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโชกโชน ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย เปลี่ยนให้เขากลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่จริงจังและเคร่งเครียดกับงานจนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเขาจะชอบผู้ชายด้วยกันหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา…เขาแทบจะไม่ให้ความสนใจต่อผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ

ก็เพราะในอดีตนั้น ตั้งแต่เขาเกิดมาจนเติบโตจนรู้ความ บิดาของเขาที่ชื่อแคล้ว ทำหน้าที่พ่อที่ดีของลูก และทำหน้าที่สามีที่ดีของภรรยา แต่ทว่า…หัวใจของพ่อกลับไม่เคยมีแม่อยู่เลย

หลายครั้งที่เขามักเห็นพ่อนั่งเหม่อมองท้องฟ้า ในมือจะมีรูปถ่ายเก่าๆใบหนึ่งซึ่งเป็นรูปผู้หญิงวัยรุ่น

พ่อบอกว่าผู้หญิงในรูปคือรักแรก และอาจจะเป็นรักสุดท้าย…

แม้จะมีแม่อยู่ข้างกาย แต่พ่อไม่เคยลืมคนที่เป็นรักครั้งแรกได้เลย

มีบ่อยครั้งที่เขาเห็นแม่แอบน้อยใจแล้วร้องไห้ตามลำพัง อีกทั้งประโยคหนึ่งของแม่ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่ห่างหาย

“พ่อของบาสเป็นคนดี ขยัน เอาใจใส่ รับผิดชอบต่อครอบครัว แต่ถึงเขาจะเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี แต่ส่วนลึกในใจแม่ไม่เคยมีความสุขเลย เพราะว่าผู้หญิงที่พ่อเขารักสุดหัวใจเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่แม่”

จวบจนโรคภัยมาพรากแม่ไปจากโลกใบนี้ พ่อก็พาเขากลับถิ่นฐานบ้านเกิดและได้พบกับ‘อรจิรา’ซึ่งเป็นรักแรกที่พ่อฝังใจอีกครั้ง

คราวนี้พ่อสมหวังได้เคียงคู่กับอรจิรา แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมานานมากแล้วก็ตาม

เขาไม่อาจตำหนิได้ว่าพ่อผิด เพราะพ่อไม่เคยทำตัวเหลวไหล คอยดูแลใส่ใจจนถึงวาระสุดท้ายของแม่ แต่ทุกครั้งที่เห็นพ่อมีความสุขกับภรรยาคนใหม่ เขามักตั้งคำถามหนึ่งในใจเสมอ

เป็นโชคดีของพ่อแล้วที่ได้สมหวังกับคนที่รัก ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงต่างสุขใจด้วยกันทั้งคู่ แล้วความสุขของแม่ที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเล่า…อยู่ที่ใด ?

เพราะพ่อไม่เคยรักแม่เลย จึงต้องทนเก็บความน้อยใจไว้ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี

หากว่า‘รัก’มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของมนุษย์ … หากว่า‘รัก’สำคัญยิ่งต่อการใช้ชีวิตคู่

เขาก็อยากศึกษาให้มั่นใจในคำว่า‘รัก’อย่างถ่องแท้ ก่อนจะตกลงใช้เวลาที่เหลือร่วมกับใครไปจนถึงบั้นปลายชีวิต

ถ้าไม่รักใครก็อย่าให้ความหวัง เพราะคนที่เจ็บปวดที่สุดคงหนีไม่พ้นคนเป็นภรรยา และเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนไหนมีชะตากรรมซ้ำรอยแม่

ชายหนุ่มทอดถอนหายใจแล้วปิดน้ำ คว้าผ้าขนหนูมาพันกายช่วงล่างไว้ พลางคิดไปว่า…

เมลินีก็เช่นกัน หล่อนก็แค่ปลาบปลื้มเพราะสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เล็ก เลยหลงคิดว่านั่นคือรักแท้ สักวันหล่อนคงรู้สึกตัวว่าที่คิดกับเขานั้นมันไม่ใช่รักอย่างหนุ่มสาว

ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำมาที่ห้องนอน เขาก็พบว่าบนโต๊ะหน้ากระจกมีแก้วใส่นมวางในถาด พร้อมจานผลไม้ที่ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว มีกระดาษแผ่นเล็กวางในถาดด้วย ครั้นหยิบมาเปิดอ่าน ก็เห็นเป็นใจความว่า

 

‘ดื่มนมอุ่นกรุ่นควันจางวางไว้แล้ว

นม 1 แก้วแทนความห่วงที่แสนหวาน

ผลไม้กรอบรสอร่อยอีก 1 จาน

ค่อยค่อยทานแต่ต้องหมด…อย่าดื้อดึง’

 

แน่ะ…หล่อนเจ้าบทเจ้ากลอนใช่เล่น สมกับที่รักภาษาไทยจนคิดอยากเป็นนักเขียน ถ้าเช่นนั้นคนเป็นอาอย่างเขาจะยอมแพ้เด็กไม่ได้เป็นอันขาด

ภัตติพงษ์เดินไปเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าออกมาสวมใส่แล้วหวีผมอย่างลวกๆ ก่อนจะมานั่งแปะตรงหน้าโต๊ะกระจก หยิบผลไม้ใส่ปาก กินจนหมด และก็ตามด้วยนมจนหมดแก้ว

จากนั้นก็เปิดลิ้นชัก หยิบสมุดกับปากกาออกมา บรรจงเขียนถ้อยความโต้ตอบ แล้วฉีกกระดาษออกเป็นแผ่นเล็กๆวางไว้ในจาน ก่อนจะถือถาดเปิดประตูจะออกจากห้อง แต่พบว่าเมลินียืนรออยู่แล้ว

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ ออกปากถามว่า “ยืนรอตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว”

“เป็นชั่วโมงแล้วค่ะ คุณอากินช๊าช้า”

“อามัวอาบน้ำด้วยน่ะ” เขาตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ ขณะที่มือของหล่อนเริ่มยุกยิกอยู่ไม่เป็นสุขด้วยความตื่นเต้น

“นมอร่อยไหมคะ”

“ก็ดี” ตอบสั้นๆ ดวงตาคู่คมหลุบลงเพื่อซ่อนบังประกายความขบขันเอาไว้เต็มที่…หล่อนคงลุ้นน่าดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเวลาเห็นวาทะบทความที่หล่อนเขียนขึ้นมา นี่ถ้าเห็นใจความที่เขาตอบโต้ไป มีหวังร้องกรี๊ดลั่นบ้านแน่ๆ

“แล้ว แล้ว…ผลไม้ล่ะคะ หวานไหม”

“ก็หวานดี”

คราวนี้หน้าสวยเริ่มบูดบึ้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ดูเถอะ…เขาไม่พูดถึงกลอนสักคำ ทั้งๆที่หล่อนตั้งใจคิดแทบแย่ ในเมื่อเขาไม่พูดถึง งั้นหล่อนถามเองก็ได้

“แล้วเห็นข้อความที่เมตั้งใจเขียนให้คุณอาไหมคะ”

“เห็น” เขาตอบเสียงเข้ม

“แล้วคุณอาคิดยังไงกับกลอนนั้นคะ”

“เขียนฉันทลักษณ์ของกลอนแปดได้ถูกต้อง สัมผัสคล้องจองกัน สมแล้วที่เป็นคนไทย อาให้ผ่าน”

ดู…ดูเขาตอบเถอะ มันน่าขัดใจนักเชียว ! หล่อนเริ่มหน้างอขึ้นเรื่อยๆ แล้วถามอีกว่า

“คุณอารู้สึกยังไงกับกลอนนั้นบ้างคะ”

“ความรู้สึกของอาอยู่ในกระดาษแผ่นนี้แล้ว” ชายหนุ่มส่งถาดให้หล่อน ซึ่งหล่อนก็รับไปถือไว้เองอย่างตื่นเต้น

“ดีเลยค่ะ ไม่คิดว่าคุณอาจะเขียนใส่ในกระดาษเหมือนเม” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก แต่พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขากลับเข้าห้องและปิดประตูไปแล้ว

เมลินีเดินเข้าห้องครัว วางถาด แก้ว และจานใส่อ่างไว้ จากนั้นก็กรีดกรายหยิบกระดาษแผ่นน้อยขึ้นมาอ่านด้วยใจที่เต้นโครมครามราวกับมีกลองเพลอยู่ในนั้น

 

 

‘แสบนักนะ ร้ายจริงเชียว แม่นักรัก

ขยันทัก ป่วนหัวใจ กันจริงหนอ

อยากจะบอก ไม่สนเด็ก… อย่ารั้งรอ

เชิญไปต่อ จีบหนุ่มอื่น เถอะคุณเธอ’

 

ทันทีที่อ่านจบ หล่อนก็แทบหน้าทิ่มคะมำ กำกระดาษแน่นเพื่อข่มเสียงตัวเองไว้ไม่ให้เผลอกรี๊ดออกไป…

ตากลมวาวปิดลงชั่วครู่ ปลายเท้าเคาะลงพื้นเป็นจังหวะดังเต๊าะๆ สักพักหล่อนก็ลืมตาขึ้น ปราดเข้าห้องตัวเองแล้วลงมือค้นหาสมุดพร้อมปากกามาเขียนตัวหนังสือหวัดๆลงไป

ขณะนั่งเขียนบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเล็ก เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน

ก๊อกๆ

“ค่า” หล่อนขานรับ ขณะที่คนเคาะเอ่ยว่า

“พี่แป้วเองนะคะ พี่จะมาบอกว่าพรุ่งนี้พี่ไม่อยู่เพราะน้องชายที่บ้านป่วยค่ะ คงออกจากบ้านตั้งแต่เช้า”

“อ้าว…” หล่อนหน้าเหรอหรา ออกมาเปิดประตูให้แล้วถามอย่างกังวล “น้องชายพี่แป้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”

“เป็นไข้เลือดออก นอนที่โรงพยาบาลค่ะ คงต้องหายหน้าไปสักสองสามวัน แต่เป็นห่วงว่าก่อนคุณบาสไปทำงาน ใครกันจะทำกับข้าวไว้รอท่า”

“พี่แป้วอย่าห่วงเลยค่ะ” หล่อนยิ้มหวาน จับมือสาวใช้มากุมไว้แล้วบอกอย่างมีน้ำใจเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “เมจะรับหน้าที่ทำกับข้าวเอง รับรองว่าคุณอาจะต้องอิ่มหมีพีมัน ไม่แน่นะคะ…พี่แป้วกลับมาอีกทีอาจจะเห็นคุณอาอ้วนท้วนกว่าเดิมแล้วก็ได้”

“เอ…” สีหน้าของแป้วยังคงวิตกอยู่เหมือนไม่ค่อยมั่นใจนัก ร้อนถึงเมลินีต้องเอ่ยย้ำ

“พี่แป้วคะ เชื่อมือเมเถอะนะ เมเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน เรื่องงานบ้านงานครัว พี่แป้วอย่าห่วงเลยค่ะ เมจะดูแลคุณอาแทนพี่แป้วเอง”

“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นพี่ก็พอจะวางใจได้บ้าง พี่เชื่อมือคุณเมนะคะว่าจะดูแลคุณบาสได้ดี”

“ค่ะ เชื่อใจเม รับรองไม่มีผิดหวังแน่นอน” หญิงสาวยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายวิบวับ…นี่แหละเป็นโอกาสดีแล้วที่หล่อนจะได้แสดงฝีมือให้คุณอารู้ว่า นอกจากหล่อนจะสวยและน่ารักแล้ว หล่อนยังมีความเป็นผู้หญิงสูง

หล่อนจะทำให้คุณอาถอนคำพูดที่เคยว่าหล่อนเป็นม้าดีดกะโหลกให้จงได้

แป้วเห็นเมลินีกระหยิ่มยิ้มย่อง ซ้ำยังหัวเราะหึๆในลำคออย่างเจ้าเล่ห์ก็ชักจะไม่มั่นใจขึ้นมา…เอ เหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าการไปของหล่อนในครั้งนี้อาจเกิดเรื่องขึ้น แต่หล่อนคงคิดมากไปเองกระมัง ในเมื่อเมลินีเองก็ดูเป็นคนดีและร่าเริง คงดูแลเจ้านายของหล่อนได้ดีเป็นแน่

“พี่แป้วคะ” เมลินีดึงมือออกจากสาวใช้ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องแล้วออกมาอีกครั้งพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งและธนบัตรสีเทาอีก 2 ใบ “อย่าว่าเมดูถูกหรืออะไรเลยนะคะ แต่พี่แป้วก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวคุณอาเพราะดูแลคุณอามาหลายปีแล้ว พอน้องชายของพี่แป้วไม่สบายจะให้เมนิ่งเฉยก็กระไรอยู่ แต่เมคงไปเยี่ยมไม่ได้ และไม่มีของอะไรไปให้ด้วย งั้นเงินสองพันนี่ เมให้พี่แป้วเอาไปซื้อของฝากให้น้องชายด้วยนะคะ บอกเขาด้วยว่าเมขอให้เขาหายไวๆ”

“โถแม่คุณ น้ำใจงามเหลือเกิน” แป้วน้ำตาซึม รับเงินมาแล้วไหว้ท่วมหัว จนเมลินีต้องรีบทัดทาน

“พี่แป้วอย่าไหว้เมสิคะ เมไม่อยากอายุสั้นลงน๊า ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากเมนะคะ อ้อ จริงสิ…เมอยากวานให้พี่แป้วทำอะไรสักอย่างจะได้ไหมคะ” หล่อนอ้อน กระพริบตาปริบๆอย่างที่คิดว่าหากใช้มุกนี้แล้วพ่อแม่บุญธรรมมักจะใจอ่อนให้หล่อนเสมอ และแป้วก็ไม่ได้รับการยกเว้น เพราะสาวใช้ร่างบางตกหลุมพรางของหล่อนเข้าเต็มเปา

“คุณเมจะให้พี่ทำอะไรคะ หากพี่ทำได้ พี่ยินดีทำให้ทุกอย่างเลย”

“ช่วยเอานี่ไปให้คุณอาทีจะได้ไหมคะ แต่พี่แป้วห้ามเปิดออกอ่านนะ รู้ไหมคะ…เพราะมันเป็นความลับ?” หล่อนกำชับเสียงเข้ม หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ขณะที่แป้วรับกระดาษใบน้อยมาถือไว้แล้วพยักหน้า

“ได้ค่ะ เรื่องแค่นี้เอง ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่แป้ว”

แป้วเดินนำจดหมายใบน้อยตรงไปห้องของภัตติพงษ์ แล้วเคาะประตูเรียก

“ใครครับ ถ้าเป็นเม… อาจะนอนแล้ว แต่ถ้าเป็นพี่แป้วล่ะก็…ผมว่างครับ”

“พี่แป้วเองค่า ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหมคะ”

ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็มาเปิดประตู เขาอยู่ในชุดนอนเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีฟ้าสดใส ผมยุ่งนิดๆบ่งชัดว่าคงล้มตัวลงนอนมาพักใหญ่แล้ว

“นอกจากเรื่องที่น้องชายพี่แป้วป่วยแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือครับที่อยากจะบอกผม”

“นี่ค่ะ คุณเมวานให้พี่ช่วยเอามาให้คุณบาส”

ภัตติพงษ์รับกระดาษแผ่นนั้นมาจากสาวใช้พลางเลิกคิ้วขึ้นสูง พอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นกลอนโต้ตอบเขา…แม้จะยังไม่ทันได้อ่านให้รู้ชัดว่าเนื้อความเป็นอย่างไร แต่เขาก็ฉงนใจไม่น้อย นึกว่ายัยตัวเล็กจะงอนเขาไปแล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะยังมีอารมณ์สุนทรีย์มากพอที่จะเขียนตอบเขามา

“รอแป๊บนะครับพี่แป้ว ผมขอเวลาสักครู่” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะถอยกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูตามอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียด

 

‘ไม่เอาหรอก หนุ่มคนอื่น ไม่น่าสน

เพราะชอบคน อายุมาก น่าเกรงขาม

อาไม่รัก ก็ไม่ว่า แต่จะตาม

อย่ามาห้าม อย่าผลักไส เมไม่ไป’

 

ดูท่าว่าหล่อนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไอ้ครั้นจะให้เขายอมแพ้ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตั้ง 14 ปีก็กลัวเสียหน้า เขาไม่มีวันยอมแน่ๆ

คิดดังนั้นแล้ว เขาก็ทรุดลงนั่งหน้าโต๊ะ แล้วเขียนข้อความใส่สมุด โดยหยุดคิดหาวลีที่คล้องจองเป็นระยะ แต่ไม่นานก็เขียนจบ ก่อนจะฉีกกระดาษ พับเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเปิดประตูออกไปส่งให้แป้ว

“ช่วยฝากเอาไปให้เมที”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา