Secret File:Innocent Trap
8.3
เขียนโดย Elichika
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.
13 บท
1 วิจารณ์
14.04K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) To the Beginning
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter XI To the Beginning
ตอนนั้น นักเรียนชั้นปี 3 ไปเข้าค่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเรียนจบ เพื่อสร้างความทรงจำดีๆ ให้นักเรียนได้รู้ในมิตรภาพและความพยายามของกันและกันตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมา ก่อนที่พวกเขาจะจากกันและไปทำในสิ่งปราถนา สถานที่เข้าค่ายเป็นพื้นที่ส่วนตัวบนภูเขาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ อุดมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี ไม่ไกลจากสถานที่เข้าค่ายมีลำธารสายเล็กๆไหลผ่าน
“เห้ยพวกเธออะ!!!” ชายหนุ่มเจ้าของผมสีทองตัดสั้นตะโกนเรียกกลุ่มนักเรียนที่กำลังแอบปิ้งบาบีคิว
“เห้ยลุงเจมส์มา!” เด็กหนุ่มในกลุ่มตะโกนขึ้นก่อนที่ทุกคนจะรีบพากันเก็บของอย่างรวดเร็ว
“เดี่ยวเถอะ ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ช่วยเพื่อนในกลุ่มกางเต้นท์ก่อนสิ!” ชายหนุ่มวิ่งไล่กลุ่มเด็กนักเรียน
บรรยากาศการเข้าค่าย 3 วัน 3 คืน เป็นไปอย่างสนุกสนาน นักเรียนหลายๆคนใช้เวลาทำกิจกรรม ยิ้มหัวเราะ สนุกสนานไปด้วยกัน หลายๆอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และนี่ก็เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะกลับ
“ที่นี่น่ะนะ....มันเป็น ที่ดินต้องสาปพวกเธอรู้ไหม?” ชายหนุ่มเจ้าของผมสั้นสีทองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกในขณะที่เขาใช้ไฟฉายส่องหน้าตัวเองไปด้วย โดยเขาถูกล้อมรอบไปด้วย เด็กนักเรียนชายหญิง
“ไม่เอาน่ามาสเตอร์มุขนี้ มันหลอกได้แต่เด็กประถมเท่านั้นล่ะ” เด็กหนุ่มในกลุ่มที่นั่งฟังยิ้มเยาะ
“ไม่เชื่อหรอ.....ที่นี่น่ะมันมีเรื่องเล่ามากมายเลยล่ะ...” ชายหนุ่มหรือมาสเตอร์เจมส์ ใช้นิ้วชี้ขยับแว่นตาของเขาให้เข้าที่ “แต่ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่กลัวหรอกใช่ไหม?” เขากวาดสายตามองใบหน้าของนักเรียนที่ล้อมรอบตัวอยู่
บางคนก็ทำหน้านิ่งๆ บางคนก็เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมา บางคนก็หน้าเริ่มซีดลง และ บางคนก็นั่งสั่นเป็นเจ้าเข้า
“โถ่ ถ้าแบบนั้นเรามาทดสอบความกล้ากันดีกว่า จะได้รู้ไปเลยว่า เรื่องเล่าของมาสเตอร์มันจะมีจริงๆไหม” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาช่างท้าทาย
“ต้องแบบนั้นสิ เอาล่ะทุกคนไปเตรียมตัวเลย” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันอย่างสวยงามของเขา
“เดี่ยวก่อน...สิคะ...” เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามปราม แต่ทุกคนก็เริ่มลุกออกจากที่นั่งกันแล้ว
เด็กนักเรียนชายหญิงในชุดลำลองค่อยๆทยอยกันเดินมาจับฉลากจากกล้องกระดาษที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ
“เสียใจด้วยนะ เจ้าพวกคนมีคู่” นักเรียนทุกคนค่อยๆเปิดฉลากของตัวเองออก “พวกเธอต้องไปทีล่ะคน”
“โห่ อะไรอะมาสเตอร์” เสียงโห่ร้องของนักเรียนที่อยากจะกระชับความสัมพันธ์กลางป่าเขาดังขึ้น
“ไม่ได้ๆ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งไม่ว่าจะเป็น ตอนที่เจอปัญหาหรือตอนที่ประสบความสำเร็จ พวกเธอต้องพยายามผ่านมันด้วยตัวเอง ในบางครั้งเราก็จะมีพวกพ้องที่จะคอยช่วยเหลือ แต่เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ก่อน” ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้ม
“ก็แค่ข้ออ้างของคนขี้อิจฉาที่ถูกภรรยาทิ้งไม่ใช่หรอครับ” นักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะมีเสียงหัวเราะตามมา
“เดี่ยวเถอะ กิตติศักดิ์!!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นก่อนจะเริ่มวิ่งไรกวดเด็กหนุ่ม “เอาเถอะ เดี่ยวจะจัดตามคิวนะ เดินไปตามแผ่นที่ เมื่อถึงต้นไม้ใหญ่แล้ว ให้สลักชื่อลงไปแล้วเดินกลับมา”
“แบบนี้ก็โกงได้น่ะสิคะ?”
“เดี่ยวตอนเช้าค่อยเดินไปดู จะได้รู้ว่าใครปอดไงเล่า” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม
นักเรียนถูกขานชื่อตามลำดับ พวกเขาค่อยๆทยอยกันเดินเข้าไปในป่า ทีล่ะคน โดยมีไฟฉายติดตัวไปด้วย
“เห้ย ไฟดับ ช่วยด้วย!!!!” เสียงตะโกนร้องด้วยความความหวาดกลัวดังขึ้นในป่า
“จะไปรอดไหมเนี่ย....”
“หึหึ” ชายหนุ่มยิ้มด้วยความสนุกสนาน “เอาล่ะคนต่อไป”
นักเรียนค่อยๆทยอยกันเดินกลับออกมาจากป่า บางคนก็วิ่งกลับมาหน้าตาตื่นด้วยความหวาดกลัว บางคนก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนกระทั้ง
“มาสเตอร์ นักเรียนทุนอีกคนยังไม่กลับมาเลย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องทักขึ้น
“ปาม...” เด็กสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลเอามือกุมอก
“อมรรัตน์ งั้นหรอ” เจมส์ก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ยังไงลองไปตามหากันเถอะ”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองสุนิศา เอาล่ะๆ พวกเธอรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“แต่ว่าปามเป็นเพื่อนหนูนะคะมาสเตอร์ แล้วอีกอย่างไปกันหลายคนน่าจะหาเจอง่ายกว่า”
“พวกเธอไม่รู้จักเส้นทางในเขาลูกนี้ เกินหลงทางไปด้วยก็มีแต่จะเพิ่มภาระให้ผู้ใหญ่เปล่าๆนะ” ชายหนุ่มจุดบุหรี่สูบ “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ”
“นั้นน่ะสิจูน ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงปามนะ แต่ว่า มันอันตราย” เด็กหนุ่มคนรักของจูนใช้มือแตะไหล่เธอเบาๆ
“แต่ว่า” เด็กสาวยังคงไม่คลายความกังวล
“เชื่อฉันสิ” ชายหนุ่มเปิดไฟฉายและเดินตรงเข้าไปในป่า
................................................................................................................
นี่ก็ใกล้เช้าเข้าไปทุกทีแล้ว ชายหนุ่มยังคงเดินตามหาเด็กสาวร่างเล็กผู้หายตัวไปอยู่กลางป่า เขาพยายามเดินอ้อมไปรอบนอกเส้นทางในแผนที่ แต่ก็ไม่พบร่องรอยหรืออะไรทั้งสิ้น จนกระทั่ง เขาเดินมาถึงจุดหมาย ต้นไม้ใหญ่ที่ให้นักเรียนมาเขียนชื่อ
‘ขอบคุณสำหรับ คำสั่งสอนนะครับ มาสเตอร์’‘ขอให้ภรรยากลับมานะครับ!’ ‘มาสเตอร์ขอบคุณมากนะคะ’‘ผมแอบชอบลูกสาวมาสเตอร์ครับ!’ ‘มาสเตอร์เมื่อไหร่จะตั้งชื่อให้เจ้าหมาสักที’
ข้อความมากมายถูกสลักไว้บนต้นไม้ ชายหนุ่มก้มหน้าลง “ก็บอกให้เขียนชื่อไงเจ้าพวกเด็กบ้า”
เจมส์รีบออกเดินตามหาปามต่อทันที
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้น....
“เราเจอเธอ นอนหมดสติอยู่ที่ริมน้ำครับ ที่หัวมีแผล เธอน่าจะสะดุดล้มกลิ้งตกลงมาจาก เนินเขาด้านบน ตอนนี่ชีพจรอ่อนมาก รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเถอะครับ” เจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่พูดขึ้นกับเจมส์ที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่
“ถ้าฉัน...ไม่แกล้งใส่ถ่านใกล้หมดในไฟฉาย เธอคงจะมองเห็นและไม่ต้องเป็นแบบนี้สินะ”
“มาสเตอร์ มันเป็นอุบัติเหตุ” นักเรียนชายคนหนึ่งพูดปลอบใจเขา
“ขอรบกวนด้วยนะครับ” เจมส์ก้มหัวให้ เจ้าหน้าที่
.................................................................................................................
“เธอมาถึงช้าเกินไปครับ” หนุ่มใหญ่ในชุดกาวก้มหน้าแสดงความเสียใจ
“ทำไมล่ะครับคุณหมอ คุณต้องช่วยเธอได้สิ!” เจมส์กระชากคอเสื้อของหนุ่มใหญ่ สายตาจ้องมองเข้าไปในแววตาอันนิ่งสงบของเขา
“อาจารย์ก็เป็นหมอใช่ไหมครับ”
“เอ่อ..ครับ” เจมส์ค่อยๆปล่อยมือออก
“คุณเองก็คงจะรู้ดี ว่าอาการของเธอสาหัสแค่ไหน ปกติแล้วเคสแบบนี้ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันทีแต่ว่า กว่าพวกคุณจะนำตัวเธอมา ก็ผ่านไปตั้ง 10-12 ชั่วโมงแล้ว”
“ช่วยเธอไม่ได้..หรอคะ” น้ำตาเอ่อนองบนใบหน้าของจูน
“เราช่วยชีวิตเธอได้ครับ แต่บาดแผลสาหัสบนศีรษะของเธอ มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยครับ”
“เป็นเจ้าหญิงนิทรา” เจมส์คุกเข่าลงกับพื้น
“คนไข้มีญาติไหมครับ?”
“เธอเป็นเด็กกำพร้าครับ เป็นนักเรียนทุน และก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของเด็กพวกนี้” เจมส์ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
“ผมขอดูอาการของเธอสักพักนะครับ ถ้าได้ผลสรุปแล้ว ผมจะติดต่ออาจารย์ไปอีกครั้ง”
“ไม่เป็นไรครับคุณหมอ ผมจะดูแลเธอเอง”
.......................................................................................................
มีดถูกเสียบทะลุหัวใจของเด็กหนุ่ม ดวงตาของร่างนั้นเปิดกว้าง
เอลลี่หายใจหอบถี่ ก่อนจะปล่อยมือจากด้ามมีดทำครัว ร่างของเจมส์ค่อยๆกระตุกเบาๆแล้วล้มลง
“สำเร็จแล้วสินะ” ทิวากาลเดินมายืนข้างๆเอลลี่
“ทำไมถึงคิดว่าจุดอ่อนเป็นที่หัวใจล่ะ” เอลลี่เหลือบตามองเด็กสาวเจ้าของผมสีขาว
“ร่างของเขามีแผลอยู่เต็มตัว แต่ตรงอกข้างซ้ายไม่มีแผล เขาคงพยายามจะป้องกันจุดอ่อนของตัวเอง”
“งั้นหรอ” เอลลี่หันหลังเดินออกจากห้องไป
“อนาสตาเซีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทิวากาลเดินมายืนด้านหน้าเอลลี่ “ใจเย็นๆเข้าไว้นะ”
..................................................................................................
“อย่าเอาแต่เงียบสิ” เด็กสาวเจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลพูดขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องสมุด
“ที่นี่มันห้องสมุดนะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีทองยาวตอบกลับโดยไม่ละสายตาจากหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่
“เธอเป็นคนคุ้มกันให้ฉันไม่ใช่หรอ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งเธอ คำสั่งพ่อของเธอด้วย”
“เธอเคยมีเพื่อนบ้างไหมเนี่ย...” เด็กสาวก้มมองแววตานิ่งสงบไม่แสดงความรู้สึกใดๆของ อนาสตาเซีย
“ก็เคยมีนะ”
“งั้นหรอ...ฉันไม่เคยมีเลย” เด็กสาวก้มหน้าลง
“มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรู้รึเปล่า?”
“.....” เด็กสาวทำแก้มป้องแสดงอาการไม่พอใจออกมา
“มันไม่สำคัญสำหรับฉันหรอกเพื่อนน่ะ” เด็กสาวรวบผมสีทองของเธอก่อนจะใช้ยางสีดำมัดเป็นแบบหางม้า “ดูท่าเธอคงไม่อยากจะติวแล้วสินะ จะไปที่ไหนต่อล่ะ?”
“ฉันหิวแล้ว....”
อนาสตาเซียลุกขึ้นยืน “งั้นก็ไปเถอะ”
“อือ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล สายตามากมายต่างจับจ้องมาที่พวกเธอ
“โห โครตสวย” ชายหนุ่มที่นั่งภายในร้านรวมทั้งพนักงานต่างพากันชื่นชมความงามของทั้งสอง แจนนั่งลงบนโต๊ะด้านในสุด
พนักงานหนุ่มหน้าตาดีเดินเข้ามาที่โต๊ะของทั้งสอง “สองท่านนะครับ”
“ค่ะ” แจนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แก้มของชายหนุ่มแดงขึ้นเล็กน้อย
อาหารทะเลมากมายถูกวางไว้ด้านหน้าของแจน เธอเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางสำรวม ในขณะที่ด้านหน้าของ อนาสตาเซียมีเพียงแก้วน้ำเปล่าเท่านั้น
“เธอไม่กินอะไรหรอ?”
“ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่” อนาสตาเซียพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือช้าๆ
“มาถึงที่นี่แล้ว ถ้าไม่กินก็เสียดายเงินแย่สิ”
“ยังไงฉันก็เป็นคนจ่ายเงิน ไม่มีปัญหาหรอก”
“แต่นั้นมันเงินของฉันนะ” แจนใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ถูกลวกจนสุกขึ้นมา “อ้ามสิ อ้าม!”
เด็กสาววางหนังสือลง ก่อนจะอ้าปากช้าๆ “ร้อน...” อนาสตาเซียดื่มน้ำตามไปช้าๆ
“ขอโทษที ลืมเป่าให้เลย” แจนคีบเนื้อกุ้งขึ้นมาแล้วส่งเสียงเป่าลม ฟู่ๆ ออกมา “เอ้า อ้าม”
เอลลี่ค่อยๆทานกุ้งที่แจนป้อนช้าๆ “อร่อย”
“ถ้าจิ้มกับเจ้านี่ จะอร่อยกว่าเดิมอีกนะ” แจนค่อยๆป้อนสิ่งที่เธอคิดว่าอร่อย ให้เด็กสาวตรงหน้า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ แจนไปดักอาหารมาจนเต็มโต๊ะ
“จริงๆแล้วฉันกินเองได้นะ”
“เธอจะอ่านหนังสือไม่ใช่หรอ เดี่ยวฉันป้อนให้” แจนยิ้มน้อยๆตอบ ก่อนจะเริ่มป้อนนู่นนี่นั้นให้เด็กสาว “ตอนเด็กๆฉันเคยมากินกับแม่ทุกวันหยุด ถึงจะไม่ได้กินที่นี่ก็เถอะ”
“แม่หรอ?”
“อือ แม่ฉันน่ะ ชอบเอาแต่ของที่ฉันไม่ชอบมาให้กินอยู่เรื่อย.....” สายตาของแจนมองต่ำลง เธอหมุนตะเกียบในมือไปมา “แต่พอกินไปสักพัก มันก็อร่อยมากเลยล่ะ” เด็กสาวยิ้มออกมาจนเห็นฟัน
“งั้นหรอ” เอลลี่ ยิ้มมุมปาก ก่อนจะคีบปลาหมึกขึ้นมา “เธอก็กินสิ อ้าม” แจนค่อยๆ อ้าปากช้าๆ “ลืมบอกไป มีผักติดฟันเธออยู่น่ะ”
“จริงอะ!” แจนรีบหยิบกระจกขึ้นมาเปิดดู
............................................................................................................................
ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ตรงลานหน้าน้ำพุ เด็กสาวทั้งสองกำลังยืนมองแสงไฟหลากสีจากน้ำพุ
“พรุ่งนี้แล้วสินะ” แจนพูดขึ้นเบาๆโดยสายตายังคงจ้องมองไปที่น้ำพุ
“ก็ 1 เดือนแล้วนะ” เอลลี่พูดโดยมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของแจน
“พรุ่งนี้เธอจะจำฉันไม่ได้แล้วใช่ไหม?” เด็กสาวผมสั้นหันมามองหน้าเอลลี่
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” แจนก้มหน้าลง “ฉันอยากให้ใครสักคน รับรู้ความรู้สึกของฉัน”
“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?”
“เพราะเธอไม่เคยโกหกฉัน...เลยสักครั้ง” แจนยิ้มให้เอลลี่ก่อนจะหันกลับไปมองที่น้ำพุ “ฉันเข้าร่วมเกมนี้ เพราะมันเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ฉันจะปกป้องแม่ได้”
“แม่ของเธอ...งั้นหรอ?”
“อือ แม่ของฉันน่ะ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ตอนเด็กๆฉันโกรธแม่มาตลอดที่แม่ขายฉันแลกกับเงิน แต่ว่านะความจริงแล้ว...แม่ทำเพื่อฉันต่างหาก” เด็กสาวใช้มือขวาปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “ถึงจะรู้แบบนั้นแต่ฉันก็ไม่เคยได้พูดขอโทษแม่เลยสักครั้ง”
“เธอยังถอนตัวได้นะ....” เอลลี่เอื้อมมือไปจะแตะที่ไหล่ของเด็กสาว แต่ทว่า
“คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับหน้าที่บางอย่าง นี่เป็นหน้าที่ของฉัน และอาจจะเป็นเหตุผลข้อเดียวที่ทำให้ฉันยังเป็นคนอยู่”
“งั้นหรอ” เอลลี่หยุดมือของเธอเอาไว้ “ต่อให้ฉันจะจะจำเธอไม่ได้....ฉันก็จะไม่โกหกเธอ....ฉันจะยังเป็นฉัน ที่เธอรู้จัก”
“ขอบคุณนะ เอลลี่”
ความเงียบค่อยๆเข้ามาเด็กสาวทั้งคู่ต่างมองไปที่แสงไฟหลากสีตรงน้ำพุโดยไม่มีใครพูดอะไรต่อ มันคงเป็นเส้นความสัมพันธ์บางๆของทั้งสองคน และหลังจากนั้นในวันต่อมา
ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูเหล็กบานใหญ่ภายในอาคาร
“ถ้าเป็นไปได้ อย่าฆ่าใครเลยนะ” เด็กสาวผมสั้นพูดขึ้นเบาๆ
“หืม?” เอลลี่หันหน้าไปมองเด็กสาว
“ใครจะอยากให้เพื่อนเป็นฆาตกรกันล่ะ” แจนยิ้มมุมปากน้อยๆแต่แววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความเศร้า “รีบไปเถอะ”
“อือ” ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เด็กสาวเจ้าของผมยาวสีทองค่อยๆเดินเข้าไป
ประตูถูกปิดลงช้าๆ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปรงผู้ยืนเฝ้าประตูขยับหมวกทรงสูงของเขา ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาแจน
“แล้วคีย์เวิร์ดที่จะใช้เพื่อปลดล็อคความทรงจำของเธอล่ะครับ?”
เด็กสาวส่งยิ้มก่อนจะพูดบางอย่างออกมา “เพื่อนกัน...ตลอดไป”
“รับทราบครับ” ชายหนุ่มโค้งให้เด็กสาว ก่อนจะเดินผ่านร่างของเธอไป
...........................................................................................
เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกมาจากบาดแผลที่อกซ้ายของแจน ร่างของเธอล้มลงไป
“แจน....” นัยน์ตาของเอลลี่เบิกกว้าง เธอเฝ้ามองร่างของแจนล้มลงไปตรงหน้า
กานต์ตวัดดาบในมือก่อนจะค่อยๆเก็บมันเข้าฝักช้าๆ
“เธอฆ่า...เธอฆ่าไปแล้วใช่ไหม?” เอลลี่ค่อยๆเดินเข้ามาหาร่างของแจน
กานต์หรี่ตาลงเล็กน้อย “อ่า...”
“งั้นหรอ...” เอลลี่ยื่นมืออกไปเก็บดาบยาวที่ตกอยู่ใกล้ๆร่างของปาม “ขอโทษนะ”
รอยยิ้มของแจนผุดขึ้นมาในความทรงจำของเด็กสาว ‘เธอจะปกป้องฉันจริงๆใช่ไหม?’ ภาพของเธอที่มักจะฝืนยิ้มด้วยแววตาเศร้าๆ ‘เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันเลยนะ เอลลี่’
“ฉัน...ไม่โทษเธอหรอกนะ” เอลลี่ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ “แต่ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่”
“เข้ามาสิ เอลลี่ ถ้านั้นเป็นความต้องการของเธอ” กานต์จ้องมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาวด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“อือ” เด็กสาวเจ้าของผมสีทองค่อยๆถอดริบบิ้นผูกผมของเธอออก ภาพความทรงจำผุดขึ้นอีกครั้ง ‘เธอออกจะสวย หาอะไรประดับหน่อยสิ เห็นเธอชอบมัดผมเอานี่ไปล่ะกัน’ แจนส่งริบบิ้นผูกผมสีน้ำฟ้าให้เธอ
กานต์ย่อขาลงเล็กน้อยมือขวากำฝักดาบเอาไว้ในขณะที่มือซ้ายเตรียมชักดาบ
เอลลี่ส่ายหัวเบาๆให้ผมของเธอคลายตัวออก ก่อนจะใช้ริบบิ้นพันด้ามดาบให้ติดกับมือขวา
............................................................................................................................
กรรณรัตค่อยๆ เปิดประตูห้องปฏิบัติการเคมีออก เธอมองไปรอบๆห้องก่อนจะพบกับร่างของใครอีกคน
“สวัสดี” เด็กสาวผู้มีผมยาวสีขาวเอ๋ยทักทาย
“เก็บซะเรียบเลยนะ” กรรณรัตค่อยๆเดินเข้ามา
“หลังจากเรื่องการตายของมาสเตอร์ เจมส์ สมิธ ห้องนี้ที่เป็นห้องทำงานของเขาก็ถูกปิดตายเพื่อไว้อาลัยให้กับเขา” ทิวากาลค่อยๆเดินไปรอบๆห้อง
“ที่นี่ก็เป็น สถานที่ทดลองเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพครั้งแรกสินะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวใช้มือลูบไปตามขอบโต๊ะที่มีขวดแก้วและหลอดทดลงมากมาย
“นักเรียนหญิงเมื่อ 15 ปีก่อน ประสบอุบัติเหตุระหว่างเข้าค่าย มีสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรา” ทิวากาลวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน
“ถ้าคนคิดเรื่องนี้ไม่พูดออกมาเองล่ะก็” กรรณรัตนั่งลงบนเก้าอี้ “ก็ต้องมีคนวงในปล่อยข่าวเรื่องหมอผู้ชุบชีวิตคนตาย”
“เธอเล็งไว้สินะ เรื่องชุบชีวิตคนตายน่ะ” ทิวากาลมองไปยังใบหน้าของกรรณรัต
“ไม่รู้สินะ” เด็กสาวอมยิ้ม
“อย่าไปยุ่งเลยดีกว่านะ ถ้าไปยืมพลังของปีศาจ” เด็กสาวเจ้าของผมสีขาวเดินผ่านกรรณรัตไป “เธอก็จะกลายเป็นปีศาจซะเอง” พูดจบทิวากาลก็เดินออกจากห้องไป
แววตาของเด็กสาวหรี่ลงเล็กน้อย “ฉันเตรียมใจมาแต่แรกแล้ว”
.............................................................................................................................
คมดาบกระทบกันจนมีเสียงดังก้องไปทั่วดาดฟ้า พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงแค่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ปล่อยให้ความรู้สึกถ่ายลงไปที่ดาบแล้วฟาดฟัน
เอลลี่แทงไปที่หัว กานต์ก้าวถอยหลังและเอียงหัวหลบไปมา เด็กสาวยังคงกระหน่ำแทงมาอย่างรวดเร็ว ต่อให้สภาพร่างกายของเธอจะใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที แต่ความเร็วและพลังก็ไม่ได้ตกลงเลย
แม้ว่ากานต์จะพยายามเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างแต่เอลลี่ก็แทงดักไว้ได้หมด จนหลังของกานต์ชนเข้ากับรั่วของดาดฟ้า เด็กสาวแทงไปอีกหนึ่งครั้ง รอให้อีกฝ่ายหลบ
กานต์โยกหัวหลบไปด้านข้าง เอลลี่จับดาบสองมือแล้วฟันกวาดไปที่คอของกานต์ทันที เจ้าของใบหน้าแสนสวยรีบชักดาบขึ้นมากัน โดยตัวดาบยังไม่หลุดออกจากฝัก คมดาบของเด็กสาวค่อยๆดันเข้าจนบาดแก้มของกานต์
“ฉันเตรียมใจที่จะตายแล้ว รัตติกาล” เอลลี่ยังคงใส่แรงเพิ่มเข้ามา แผลถูกแทงบนมือซ้ายของเธอ เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
“ฉันจะไม่ตายที่นี่” กานต์พุ่งตัวไปด้านหน้า ก่อนจะหมุนตัวไปด้านหลังเอลลี่ เด็กสาวรีบฟันกวาดตามไปทันที กานต์รีบยกดาบขึ้นมาป้องกัน ด้วยการฟันแบบรวดเร็วของเด็กสาว ทำให้การป้องกันของกานต์ตก เอลลี่ใช้สองมือตวัดดาบเสยขึ้น
ดาบในมือของกานต์กระเด็นหลุดออกจากมือ เด็กสาวพุ่งตัวแทงใส่คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลออกจากบาดแผลบนมือซ้ายของกานต์ เจ้าของใบหน้าแสนสวยใช้มือซ้ายกำคมดาบของ เอลลี่เอาไว้
“และเธอ ก็จะไม่ตายด้วย เอลลี่” เอลลี่จ้องมองไปที่แววตาของกานต์
“ทำไม...” ไหล่ของเด็กสาวสั่น เสียงของเธอสะอื้นเหมือนคนจะร้องไห้ “ทำไมเธอต้องตายด้วย!” เอลลี่กรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ เธอปล่อยดาบทิ้ง ก่อนจะเริ่มใช้มือทั้งสองทุบไปที่อกคนตรงหน้า “ทำไม...ทำไม”
“คนทุกคนมีหน้าที่.....ฉันเชื่อว่า” กานต์ใช้มือขวาจับไหล่ที่สั่นเทาของเอลลี่ “ กรรณตะนาได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว”
“เธอเป็นคนฆ่าแจน...เธอเป็นคนฆ่า เพื่อนของฉัน!” เด็กสาวยังคงกรีดร้องและทุบไม่หยุด
“ใช่ ฉันเป็นคนฆ่า....” กานต์บีบไหล่เอลลี่แน่น “ตาคู่นี่เห็นความตายของคนมามากมายเอลลี่...ฉันไม่ใช่นักฆ่า แต่บางครั้งฉันก็ต้องลงมือทำสิ่งที่โหดร้าย เพื่อปกป้องบางสิ่งไว้”
“ปกป้อง?” เอลลี่เงยหน้ามองเข้าไปในตาของคนตรงหน้า
“ความยุติธรรม....” กานต์มองเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว “คนตายน่ะพูดไม่ได้อีกแล้ว ทั้ง อมรรัตน์ กรรณตะนะ หรือแม้กระทั่ง เจมส์....พวกเขาตายไปแล้ว”
“ฉัน...เป็นคนฆ่าเขา...เจมส์”
“ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร แต่คนที่เราฆ่าไป ทุกคนมีความหวังทุกคนมีหน้าที่ ทุกคนมีสิ่งที่ต้องการ....เพื่อรักษาความยุติธรรมให้พวกเขา”
แสงสีส้มค่อยๆสาดเข้ามาที่ร่างของทั้งสอง ความอบอุ่นค่อยๆแผ่เข้ามา
“ฉันจะต้องหยุดเรื่องบ้าๆนี่ เพื่อการตายของพวกเขาจะไม่สูญเปล่า”
เด็กสาวมองเข้าไปในดวงตาสีแดงข้างซ้ายของกานต์
“แล้วเธอล่ะ...จะทำยังไงต่อไป เอลลี่”
เด็กสาวซุกหน้าลงที่อกคนตรงหน้า กานต์ปล่อยมือจากไหล่ของเอลลี่ ก่อนจะหันไปมองพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลัง กรรณรัตค่อยๆเดินเข้ามา
“เช้าแล้วสินะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาว หันหน้ามองไปที่พระอาทิตย์
“ผ่านไปแล้วล่ะ คืนนี้น่ะ” กานต์ยิ้มมุมปากโดยไม่ละสายตาจากภาพอันสวยงามตรงหน้า
.....................................................................................
เด็กสาวผู้มีผมสีขาวกำลังเงยหน้ามองพระอาทิตย์ยามเช้าจากสวนหลังอาคาร นัยน์ตาสีน้ำเงินของเธอส่องประกาย
“จบแล้วสินะ” เธอพึมพำออกมา
“ยังหรอก มันยังไม่จบ” คุริสึพูดขึ้นโดยมองขึ้นไปบนฟ้า เขานั่งอยู่ตรงม้านั่ง สภาพมีผ้าพันแผลอยู่เต็มตัว
เด็กสาวเดินผ่านร่างของชายหนุ่มไป “ถ้ามีเวลามาดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ ไปโรงพยาบาลดีไหมคะ มาสเตอร์” พูดจบเธอก็เดินจากไป
“นั้นสินะ”ชายหนุ่มมองรูปด้านใน ล็อกเก็ต
.......................................................................................................
“นี่มัน..เละสุดๆไปเลยไม่ใช่หรอ....” หนุ่มใหญ่ เจ้าของฉายาขึงขังผู้ใจดี หรือมาสเตอร์ วีระ พูดขึ้นในขณะที่มองไปรอบๆห้องศิลปะ
“มีงานเพิ่มอีกแล้วนะคะ หัวหน้า” หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูท หัวเราะเบาๆ
“ทำให้มันเรียบร้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไง เด็กนั้น” หนุ่มใหญ่ถอนหายใจยาวๆออกมา
“เหนื่อยหน่อยนะ” กานต์เอ่ยทักทายหนุ่มใหญ่ ในขณะที่กำลังเดินลงมาจากบันไดโดยที่มีร่างของเอลลี่อยู่บนหลัง
“โอ้ ว่าแต่นายรูปนี้น่ารักดีจริงๆเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” หนุ่มใหญ่ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกับ โชว์รูปที่กานต์แต่งชุดนักเรียนหญิง
“เห้ย ลุงมีรูปนี้ได้ไง” กานต์หน้าถอดสี
“แหม ในกรมแชร์กันยกใหญ่เลยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เพราะลุงไม่เอาชุดนักเรียนมาให้ผมสักทีนี่ล่ะ เลยต้องเอาแต่ใส่ชุดวอร์มแบบนี้ไง”
“จริงๆแต่งหญิงไปเลยก็ได้นะ ขึ้นดีออก เนอะเอมิลี่” หนุ่มใหญ่ส่งสายตาไปหา หญิงสาวด้านหลัง
“นั้นน่ะสิ เธอเป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกันนะ ไปตัดทิ้งซะเถอะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“เธอ....เป็นผู้ชายหรอ?” เอลลี่ค่อยๆขยี้ตา
“อ่า ดูไม่ออกหรอ?”
เอลลี่ผละตัวออกจากหลังของกานต์ “งะ....งั้นที่ผ่านมาก็?”
“หืม?” กานต์ก้มหน้าลงครุ่นคิด“ที่ผ่านมาหรอ อืม”
เด็กสาวเจ้าของผมสีทองตอนนี้ ใบหน้าของเธอแดงจนไปถึงใบหู “ช่างมันเถอะ!”
...................................................................................................................
ตอนนั้น นักเรียนชั้นปี 3 ไปเข้าค่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเรียนจบ เพื่อสร้างความทรงจำดีๆ ให้นักเรียนได้รู้ในมิตรภาพและความพยายามของกันและกันตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมา ก่อนที่พวกเขาจะจากกันและไปทำในสิ่งปราถนา สถานที่เข้าค่ายเป็นพื้นที่ส่วนตัวบนภูเขาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ อุดมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี ไม่ไกลจากสถานที่เข้าค่ายมีลำธารสายเล็กๆไหลผ่าน
“เห้ยพวกเธออะ!!!” ชายหนุ่มเจ้าของผมสีทองตัดสั้นตะโกนเรียกกลุ่มนักเรียนที่กำลังแอบปิ้งบาบีคิว
“เห้ยลุงเจมส์มา!” เด็กหนุ่มในกลุ่มตะโกนขึ้นก่อนที่ทุกคนจะรีบพากันเก็บของอย่างรวดเร็ว
“เดี่ยวเถอะ ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ช่วยเพื่อนในกลุ่มกางเต้นท์ก่อนสิ!” ชายหนุ่มวิ่งไล่กลุ่มเด็กนักเรียน
บรรยากาศการเข้าค่าย 3 วัน 3 คืน เป็นไปอย่างสนุกสนาน นักเรียนหลายๆคนใช้เวลาทำกิจกรรม ยิ้มหัวเราะ สนุกสนานไปด้วยกัน หลายๆอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และนี่ก็เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะกลับ
“ที่นี่น่ะนะ....มันเป็น ที่ดินต้องสาปพวกเธอรู้ไหม?” ชายหนุ่มเจ้าของผมสั้นสีทองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกในขณะที่เขาใช้ไฟฉายส่องหน้าตัวเองไปด้วย โดยเขาถูกล้อมรอบไปด้วย เด็กนักเรียนชายหญิง
“ไม่เอาน่ามาสเตอร์มุขนี้ มันหลอกได้แต่เด็กประถมเท่านั้นล่ะ” เด็กหนุ่มในกลุ่มที่นั่งฟังยิ้มเยาะ
“ไม่เชื่อหรอ.....ที่นี่น่ะมันมีเรื่องเล่ามากมายเลยล่ะ...” ชายหนุ่มหรือมาสเตอร์เจมส์ ใช้นิ้วชี้ขยับแว่นตาของเขาให้เข้าที่ “แต่ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่กลัวหรอกใช่ไหม?” เขากวาดสายตามองใบหน้าของนักเรียนที่ล้อมรอบตัวอยู่
บางคนก็ทำหน้านิ่งๆ บางคนก็เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมา บางคนก็หน้าเริ่มซีดลง และ บางคนก็นั่งสั่นเป็นเจ้าเข้า
“โถ่ ถ้าแบบนั้นเรามาทดสอบความกล้ากันดีกว่า จะได้รู้ไปเลยว่า เรื่องเล่าของมาสเตอร์มันจะมีจริงๆไหม” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาช่างท้าทาย
“ต้องแบบนั้นสิ เอาล่ะทุกคนไปเตรียมตัวเลย” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันอย่างสวยงามของเขา
“เดี่ยวก่อน...สิคะ...” เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามปราม แต่ทุกคนก็เริ่มลุกออกจากที่นั่งกันแล้ว
เด็กนักเรียนชายหญิงในชุดลำลองค่อยๆทยอยกันเดินมาจับฉลากจากกล้องกระดาษที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ
“เสียใจด้วยนะ เจ้าพวกคนมีคู่” นักเรียนทุกคนค่อยๆเปิดฉลากของตัวเองออก “พวกเธอต้องไปทีล่ะคน”
“โห่ อะไรอะมาสเตอร์” เสียงโห่ร้องของนักเรียนที่อยากจะกระชับความสัมพันธ์กลางป่าเขาดังขึ้น
“ไม่ได้ๆ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งไม่ว่าจะเป็น ตอนที่เจอปัญหาหรือตอนที่ประสบความสำเร็จ พวกเธอต้องพยายามผ่านมันด้วยตัวเอง ในบางครั้งเราก็จะมีพวกพ้องที่จะคอยช่วยเหลือ แต่เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ก่อน” ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้ม
“ก็แค่ข้ออ้างของคนขี้อิจฉาที่ถูกภรรยาทิ้งไม่ใช่หรอครับ” นักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะมีเสียงหัวเราะตามมา
“เดี่ยวเถอะ กิตติศักดิ์!!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นก่อนจะเริ่มวิ่งไรกวดเด็กหนุ่ม “เอาเถอะ เดี่ยวจะจัดตามคิวนะ เดินไปตามแผ่นที่ เมื่อถึงต้นไม้ใหญ่แล้ว ให้สลักชื่อลงไปแล้วเดินกลับมา”
“แบบนี้ก็โกงได้น่ะสิคะ?”
“เดี่ยวตอนเช้าค่อยเดินไปดู จะได้รู้ว่าใครปอดไงเล่า” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม
นักเรียนถูกขานชื่อตามลำดับ พวกเขาค่อยๆทยอยกันเดินเข้าไปในป่า ทีล่ะคน โดยมีไฟฉายติดตัวไปด้วย
“เห้ย ไฟดับ ช่วยด้วย!!!!” เสียงตะโกนร้องด้วยความความหวาดกลัวดังขึ้นในป่า
“จะไปรอดไหมเนี่ย....”
“หึหึ” ชายหนุ่มยิ้มด้วยความสนุกสนาน “เอาล่ะคนต่อไป”
นักเรียนค่อยๆทยอยกันเดินกลับออกมาจากป่า บางคนก็วิ่งกลับมาหน้าตาตื่นด้วยความหวาดกลัว บางคนก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนกระทั้ง
“มาสเตอร์ นักเรียนทุนอีกคนยังไม่กลับมาเลย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องทักขึ้น
“ปาม...” เด็กสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลเอามือกุมอก
“อมรรัตน์ งั้นหรอ” เจมส์ก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ยังไงลองไปตามหากันเถอะ”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองสุนิศา เอาล่ะๆ พวกเธอรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“แต่ว่าปามเป็นเพื่อนหนูนะคะมาสเตอร์ แล้วอีกอย่างไปกันหลายคนน่าจะหาเจอง่ายกว่า”
“พวกเธอไม่รู้จักเส้นทางในเขาลูกนี้ เกินหลงทางไปด้วยก็มีแต่จะเพิ่มภาระให้ผู้ใหญ่เปล่าๆนะ” ชายหนุ่มจุดบุหรี่สูบ “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ”
“นั้นน่ะสิจูน ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงปามนะ แต่ว่า มันอันตราย” เด็กหนุ่มคนรักของจูนใช้มือแตะไหล่เธอเบาๆ
“แต่ว่า” เด็กสาวยังคงไม่คลายความกังวล
“เชื่อฉันสิ” ชายหนุ่มเปิดไฟฉายและเดินตรงเข้าไปในป่า
................................................................................................................
นี่ก็ใกล้เช้าเข้าไปทุกทีแล้ว ชายหนุ่มยังคงเดินตามหาเด็กสาวร่างเล็กผู้หายตัวไปอยู่กลางป่า เขาพยายามเดินอ้อมไปรอบนอกเส้นทางในแผนที่ แต่ก็ไม่พบร่องรอยหรืออะไรทั้งสิ้น จนกระทั่ง เขาเดินมาถึงจุดหมาย ต้นไม้ใหญ่ที่ให้นักเรียนมาเขียนชื่อ
‘ขอบคุณสำหรับ คำสั่งสอนนะครับ มาสเตอร์’‘ขอให้ภรรยากลับมานะครับ!’ ‘มาสเตอร์ขอบคุณมากนะคะ’‘ผมแอบชอบลูกสาวมาสเตอร์ครับ!’ ‘มาสเตอร์เมื่อไหร่จะตั้งชื่อให้เจ้าหมาสักที’
ข้อความมากมายถูกสลักไว้บนต้นไม้ ชายหนุ่มก้มหน้าลง “ก็บอกให้เขียนชื่อไงเจ้าพวกเด็กบ้า”
เจมส์รีบออกเดินตามหาปามต่อทันที
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้น....
“เราเจอเธอ นอนหมดสติอยู่ที่ริมน้ำครับ ที่หัวมีแผล เธอน่าจะสะดุดล้มกลิ้งตกลงมาจาก เนินเขาด้านบน ตอนนี่ชีพจรอ่อนมาก รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเถอะครับ” เจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่พูดขึ้นกับเจมส์ที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่
“ถ้าฉัน...ไม่แกล้งใส่ถ่านใกล้หมดในไฟฉาย เธอคงจะมองเห็นและไม่ต้องเป็นแบบนี้สินะ”
“มาสเตอร์ มันเป็นอุบัติเหตุ” นักเรียนชายคนหนึ่งพูดปลอบใจเขา
“ขอรบกวนด้วยนะครับ” เจมส์ก้มหัวให้ เจ้าหน้าที่
.................................................................................................................
“เธอมาถึงช้าเกินไปครับ” หนุ่มใหญ่ในชุดกาวก้มหน้าแสดงความเสียใจ
“ทำไมล่ะครับคุณหมอ คุณต้องช่วยเธอได้สิ!” เจมส์กระชากคอเสื้อของหนุ่มใหญ่ สายตาจ้องมองเข้าไปในแววตาอันนิ่งสงบของเขา
“อาจารย์ก็เป็นหมอใช่ไหมครับ”
“เอ่อ..ครับ” เจมส์ค่อยๆปล่อยมือออก
“คุณเองก็คงจะรู้ดี ว่าอาการของเธอสาหัสแค่ไหน ปกติแล้วเคสแบบนี้ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันทีแต่ว่า กว่าพวกคุณจะนำตัวเธอมา ก็ผ่านไปตั้ง 10-12 ชั่วโมงแล้ว”
“ช่วยเธอไม่ได้..หรอคะ” น้ำตาเอ่อนองบนใบหน้าของจูน
“เราช่วยชีวิตเธอได้ครับ แต่บาดแผลสาหัสบนศีรษะของเธอ มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยครับ”
“เป็นเจ้าหญิงนิทรา” เจมส์คุกเข่าลงกับพื้น
“คนไข้มีญาติไหมครับ?”
“เธอเป็นเด็กกำพร้าครับ เป็นนักเรียนทุน และก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของเด็กพวกนี้” เจมส์ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
“ผมขอดูอาการของเธอสักพักนะครับ ถ้าได้ผลสรุปแล้ว ผมจะติดต่ออาจารย์ไปอีกครั้ง”
“ไม่เป็นไรครับคุณหมอ ผมจะดูแลเธอเอง”
.......................................................................................................
มีดถูกเสียบทะลุหัวใจของเด็กหนุ่ม ดวงตาของร่างนั้นเปิดกว้าง
เอลลี่หายใจหอบถี่ ก่อนจะปล่อยมือจากด้ามมีดทำครัว ร่างของเจมส์ค่อยๆกระตุกเบาๆแล้วล้มลง
“สำเร็จแล้วสินะ” ทิวากาลเดินมายืนข้างๆเอลลี่
“ทำไมถึงคิดว่าจุดอ่อนเป็นที่หัวใจล่ะ” เอลลี่เหลือบตามองเด็กสาวเจ้าของผมสีขาว
“ร่างของเขามีแผลอยู่เต็มตัว แต่ตรงอกข้างซ้ายไม่มีแผล เขาคงพยายามจะป้องกันจุดอ่อนของตัวเอง”
“งั้นหรอ” เอลลี่หันหลังเดินออกจากห้องไป
“อนาสตาเซีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทิวากาลเดินมายืนด้านหน้าเอลลี่ “ใจเย็นๆเข้าไว้นะ”
..................................................................................................
“อย่าเอาแต่เงียบสิ” เด็กสาวเจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลพูดขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องสมุด
“ที่นี่มันห้องสมุดนะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีทองยาวตอบกลับโดยไม่ละสายตาจากหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่
“เธอเป็นคนคุ้มกันให้ฉันไม่ใช่หรอ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งเธอ คำสั่งพ่อของเธอด้วย”
“เธอเคยมีเพื่อนบ้างไหมเนี่ย...” เด็กสาวก้มมองแววตานิ่งสงบไม่แสดงความรู้สึกใดๆของ อนาสตาเซีย
“ก็เคยมีนะ”
“งั้นหรอ...ฉันไม่เคยมีเลย” เด็กสาวก้มหน้าลง
“มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรู้รึเปล่า?”
“.....” เด็กสาวทำแก้มป้องแสดงอาการไม่พอใจออกมา
“มันไม่สำคัญสำหรับฉันหรอกเพื่อนน่ะ” เด็กสาวรวบผมสีทองของเธอก่อนจะใช้ยางสีดำมัดเป็นแบบหางม้า “ดูท่าเธอคงไม่อยากจะติวแล้วสินะ จะไปที่ไหนต่อล่ะ?”
“ฉันหิวแล้ว....”
อนาสตาเซียลุกขึ้นยืน “งั้นก็ไปเถอะ”
“อือ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล สายตามากมายต่างจับจ้องมาที่พวกเธอ
“โห โครตสวย” ชายหนุ่มที่นั่งภายในร้านรวมทั้งพนักงานต่างพากันชื่นชมความงามของทั้งสอง แจนนั่งลงบนโต๊ะด้านในสุด
พนักงานหนุ่มหน้าตาดีเดินเข้ามาที่โต๊ะของทั้งสอง “สองท่านนะครับ”
“ค่ะ” แจนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แก้มของชายหนุ่มแดงขึ้นเล็กน้อย
อาหารทะเลมากมายถูกวางไว้ด้านหน้าของแจน เธอเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางสำรวม ในขณะที่ด้านหน้าของ อนาสตาเซียมีเพียงแก้วน้ำเปล่าเท่านั้น
“เธอไม่กินอะไรหรอ?”
“ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่” อนาสตาเซียพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือช้าๆ
“มาถึงที่นี่แล้ว ถ้าไม่กินก็เสียดายเงินแย่สิ”
“ยังไงฉันก็เป็นคนจ่ายเงิน ไม่มีปัญหาหรอก”
“แต่นั้นมันเงินของฉันนะ” แจนใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ถูกลวกจนสุกขึ้นมา “อ้ามสิ อ้าม!”
เด็กสาววางหนังสือลง ก่อนจะอ้าปากช้าๆ “ร้อน...” อนาสตาเซียดื่มน้ำตามไปช้าๆ
“ขอโทษที ลืมเป่าให้เลย” แจนคีบเนื้อกุ้งขึ้นมาแล้วส่งเสียงเป่าลม ฟู่ๆ ออกมา “เอ้า อ้าม”
เอลลี่ค่อยๆทานกุ้งที่แจนป้อนช้าๆ “อร่อย”
“ถ้าจิ้มกับเจ้านี่ จะอร่อยกว่าเดิมอีกนะ” แจนค่อยๆป้อนสิ่งที่เธอคิดว่าอร่อย ให้เด็กสาวตรงหน้า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ แจนไปดักอาหารมาจนเต็มโต๊ะ
“จริงๆแล้วฉันกินเองได้นะ”
“เธอจะอ่านหนังสือไม่ใช่หรอ เดี่ยวฉันป้อนให้” แจนยิ้มน้อยๆตอบ ก่อนจะเริ่มป้อนนู่นนี่นั้นให้เด็กสาว “ตอนเด็กๆฉันเคยมากินกับแม่ทุกวันหยุด ถึงจะไม่ได้กินที่นี่ก็เถอะ”
“แม่หรอ?”
“อือ แม่ฉันน่ะ ชอบเอาแต่ของที่ฉันไม่ชอบมาให้กินอยู่เรื่อย.....” สายตาของแจนมองต่ำลง เธอหมุนตะเกียบในมือไปมา “แต่พอกินไปสักพัก มันก็อร่อยมากเลยล่ะ” เด็กสาวยิ้มออกมาจนเห็นฟัน
“งั้นหรอ” เอลลี่ ยิ้มมุมปาก ก่อนจะคีบปลาหมึกขึ้นมา “เธอก็กินสิ อ้าม” แจนค่อยๆ อ้าปากช้าๆ “ลืมบอกไป มีผักติดฟันเธออยู่น่ะ”
“จริงอะ!” แจนรีบหยิบกระจกขึ้นมาเปิดดู
............................................................................................................................
ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ตรงลานหน้าน้ำพุ เด็กสาวทั้งสองกำลังยืนมองแสงไฟหลากสีจากน้ำพุ
“พรุ่งนี้แล้วสินะ” แจนพูดขึ้นเบาๆโดยสายตายังคงจ้องมองไปที่น้ำพุ
“ก็ 1 เดือนแล้วนะ” เอลลี่พูดโดยมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของแจน
“พรุ่งนี้เธอจะจำฉันไม่ได้แล้วใช่ไหม?” เด็กสาวผมสั้นหันมามองหน้าเอลลี่
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” แจนก้มหน้าลง “ฉันอยากให้ใครสักคน รับรู้ความรู้สึกของฉัน”
“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?”
“เพราะเธอไม่เคยโกหกฉัน...เลยสักครั้ง” แจนยิ้มให้เอลลี่ก่อนจะหันกลับไปมองที่น้ำพุ “ฉันเข้าร่วมเกมนี้ เพราะมันเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ฉันจะปกป้องแม่ได้”
“แม่ของเธอ...งั้นหรอ?”
“อือ แม่ของฉันน่ะ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ตอนเด็กๆฉันโกรธแม่มาตลอดที่แม่ขายฉันแลกกับเงิน แต่ว่านะความจริงแล้ว...แม่ทำเพื่อฉันต่างหาก” เด็กสาวใช้มือขวาปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “ถึงจะรู้แบบนั้นแต่ฉันก็ไม่เคยได้พูดขอโทษแม่เลยสักครั้ง”
“เธอยังถอนตัวได้นะ....” เอลลี่เอื้อมมือไปจะแตะที่ไหล่ของเด็กสาว แต่ทว่า
“คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับหน้าที่บางอย่าง นี่เป็นหน้าที่ของฉัน และอาจจะเป็นเหตุผลข้อเดียวที่ทำให้ฉันยังเป็นคนอยู่”
“งั้นหรอ” เอลลี่หยุดมือของเธอเอาไว้ “ต่อให้ฉันจะจะจำเธอไม่ได้....ฉันก็จะไม่โกหกเธอ....ฉันจะยังเป็นฉัน ที่เธอรู้จัก”
“ขอบคุณนะ เอลลี่”
ความเงียบค่อยๆเข้ามาเด็กสาวทั้งคู่ต่างมองไปที่แสงไฟหลากสีตรงน้ำพุโดยไม่มีใครพูดอะไรต่อ มันคงเป็นเส้นความสัมพันธ์บางๆของทั้งสองคน และหลังจากนั้นในวันต่อมา
ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูเหล็กบานใหญ่ภายในอาคาร
“ถ้าเป็นไปได้ อย่าฆ่าใครเลยนะ” เด็กสาวผมสั้นพูดขึ้นเบาๆ
“หืม?” เอลลี่หันหน้าไปมองเด็กสาว
“ใครจะอยากให้เพื่อนเป็นฆาตกรกันล่ะ” แจนยิ้มมุมปากน้อยๆแต่แววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความเศร้า “รีบไปเถอะ”
“อือ” ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เด็กสาวเจ้าของผมยาวสีทองค่อยๆเดินเข้าไป
ประตูถูกปิดลงช้าๆ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปรงผู้ยืนเฝ้าประตูขยับหมวกทรงสูงของเขา ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาแจน
“แล้วคีย์เวิร์ดที่จะใช้เพื่อปลดล็อคความทรงจำของเธอล่ะครับ?”
เด็กสาวส่งยิ้มก่อนจะพูดบางอย่างออกมา “เพื่อนกัน...ตลอดไป”
“รับทราบครับ” ชายหนุ่มโค้งให้เด็กสาว ก่อนจะเดินผ่านร่างของเธอไป
...........................................................................................
เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกมาจากบาดแผลที่อกซ้ายของแจน ร่างของเธอล้มลงไป
“แจน....” นัยน์ตาของเอลลี่เบิกกว้าง เธอเฝ้ามองร่างของแจนล้มลงไปตรงหน้า
กานต์ตวัดดาบในมือก่อนจะค่อยๆเก็บมันเข้าฝักช้าๆ
“เธอฆ่า...เธอฆ่าไปแล้วใช่ไหม?” เอลลี่ค่อยๆเดินเข้ามาหาร่างของแจน
กานต์หรี่ตาลงเล็กน้อย “อ่า...”
“งั้นหรอ...” เอลลี่ยื่นมืออกไปเก็บดาบยาวที่ตกอยู่ใกล้ๆร่างของปาม “ขอโทษนะ”
รอยยิ้มของแจนผุดขึ้นมาในความทรงจำของเด็กสาว ‘เธอจะปกป้องฉันจริงๆใช่ไหม?’ ภาพของเธอที่มักจะฝืนยิ้มด้วยแววตาเศร้าๆ ‘เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันเลยนะ เอลลี่’
“ฉัน...ไม่โทษเธอหรอกนะ” เอลลี่ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ “แต่ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่”
“เข้ามาสิ เอลลี่ ถ้านั้นเป็นความต้องการของเธอ” กานต์จ้องมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาวด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“อือ” เด็กสาวเจ้าของผมสีทองค่อยๆถอดริบบิ้นผูกผมของเธอออก ภาพความทรงจำผุดขึ้นอีกครั้ง ‘เธอออกจะสวย หาอะไรประดับหน่อยสิ เห็นเธอชอบมัดผมเอานี่ไปล่ะกัน’ แจนส่งริบบิ้นผูกผมสีน้ำฟ้าให้เธอ
กานต์ย่อขาลงเล็กน้อยมือขวากำฝักดาบเอาไว้ในขณะที่มือซ้ายเตรียมชักดาบ
เอลลี่ส่ายหัวเบาๆให้ผมของเธอคลายตัวออก ก่อนจะใช้ริบบิ้นพันด้ามดาบให้ติดกับมือขวา
............................................................................................................................
กรรณรัตค่อยๆ เปิดประตูห้องปฏิบัติการเคมีออก เธอมองไปรอบๆห้องก่อนจะพบกับร่างของใครอีกคน
“สวัสดี” เด็กสาวผู้มีผมยาวสีขาวเอ๋ยทักทาย
“เก็บซะเรียบเลยนะ” กรรณรัตค่อยๆเดินเข้ามา
“หลังจากเรื่องการตายของมาสเตอร์ เจมส์ สมิธ ห้องนี้ที่เป็นห้องทำงานของเขาก็ถูกปิดตายเพื่อไว้อาลัยให้กับเขา” ทิวากาลค่อยๆเดินไปรอบๆห้อง
“ที่นี่ก็เป็น สถานที่ทดลองเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพครั้งแรกสินะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวใช้มือลูบไปตามขอบโต๊ะที่มีขวดแก้วและหลอดทดลงมากมาย
“นักเรียนหญิงเมื่อ 15 ปีก่อน ประสบอุบัติเหตุระหว่างเข้าค่าย มีสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรา” ทิวากาลวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน
“ถ้าคนคิดเรื่องนี้ไม่พูดออกมาเองล่ะก็” กรรณรัตนั่งลงบนเก้าอี้ “ก็ต้องมีคนวงในปล่อยข่าวเรื่องหมอผู้ชุบชีวิตคนตาย”
“เธอเล็งไว้สินะ เรื่องชุบชีวิตคนตายน่ะ” ทิวากาลมองไปยังใบหน้าของกรรณรัต
“ไม่รู้สินะ” เด็กสาวอมยิ้ม
“อย่าไปยุ่งเลยดีกว่านะ ถ้าไปยืมพลังของปีศาจ” เด็กสาวเจ้าของผมสีขาวเดินผ่านกรรณรัตไป “เธอก็จะกลายเป็นปีศาจซะเอง” พูดจบทิวากาลก็เดินออกจากห้องไป
แววตาของเด็กสาวหรี่ลงเล็กน้อย “ฉันเตรียมใจมาแต่แรกแล้ว”
.............................................................................................................................
คมดาบกระทบกันจนมีเสียงดังก้องไปทั่วดาดฟ้า พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงแค่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ปล่อยให้ความรู้สึกถ่ายลงไปที่ดาบแล้วฟาดฟัน
เอลลี่แทงไปที่หัว กานต์ก้าวถอยหลังและเอียงหัวหลบไปมา เด็กสาวยังคงกระหน่ำแทงมาอย่างรวดเร็ว ต่อให้สภาพร่างกายของเธอจะใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที แต่ความเร็วและพลังก็ไม่ได้ตกลงเลย
แม้ว่ากานต์จะพยายามเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างแต่เอลลี่ก็แทงดักไว้ได้หมด จนหลังของกานต์ชนเข้ากับรั่วของดาดฟ้า เด็กสาวแทงไปอีกหนึ่งครั้ง รอให้อีกฝ่ายหลบ
กานต์โยกหัวหลบไปด้านข้าง เอลลี่จับดาบสองมือแล้วฟันกวาดไปที่คอของกานต์ทันที เจ้าของใบหน้าแสนสวยรีบชักดาบขึ้นมากัน โดยตัวดาบยังไม่หลุดออกจากฝัก คมดาบของเด็กสาวค่อยๆดันเข้าจนบาดแก้มของกานต์
“ฉันเตรียมใจที่จะตายแล้ว รัตติกาล” เอลลี่ยังคงใส่แรงเพิ่มเข้ามา แผลถูกแทงบนมือซ้ายของเธอ เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
“ฉันจะไม่ตายที่นี่” กานต์พุ่งตัวไปด้านหน้า ก่อนจะหมุนตัวไปด้านหลังเอลลี่ เด็กสาวรีบฟันกวาดตามไปทันที กานต์รีบยกดาบขึ้นมาป้องกัน ด้วยการฟันแบบรวดเร็วของเด็กสาว ทำให้การป้องกันของกานต์ตก เอลลี่ใช้สองมือตวัดดาบเสยขึ้น
ดาบในมือของกานต์กระเด็นหลุดออกจากมือ เด็กสาวพุ่งตัวแทงใส่คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลออกจากบาดแผลบนมือซ้ายของกานต์ เจ้าของใบหน้าแสนสวยใช้มือซ้ายกำคมดาบของ เอลลี่เอาไว้
“และเธอ ก็จะไม่ตายด้วย เอลลี่” เอลลี่จ้องมองไปที่แววตาของกานต์
“ทำไม...” ไหล่ของเด็กสาวสั่น เสียงของเธอสะอื้นเหมือนคนจะร้องไห้ “ทำไมเธอต้องตายด้วย!” เอลลี่กรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ เธอปล่อยดาบทิ้ง ก่อนจะเริ่มใช้มือทั้งสองทุบไปที่อกคนตรงหน้า “ทำไม...ทำไม”
“คนทุกคนมีหน้าที่.....ฉันเชื่อว่า” กานต์ใช้มือขวาจับไหล่ที่สั่นเทาของเอลลี่ “ กรรณตะนาได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว”
“เธอเป็นคนฆ่าแจน...เธอเป็นคนฆ่า เพื่อนของฉัน!” เด็กสาวยังคงกรีดร้องและทุบไม่หยุด
“ใช่ ฉันเป็นคนฆ่า....” กานต์บีบไหล่เอลลี่แน่น “ตาคู่นี่เห็นความตายของคนมามากมายเอลลี่...ฉันไม่ใช่นักฆ่า แต่บางครั้งฉันก็ต้องลงมือทำสิ่งที่โหดร้าย เพื่อปกป้องบางสิ่งไว้”
“ปกป้อง?” เอลลี่เงยหน้ามองเข้าไปในตาของคนตรงหน้า
“ความยุติธรรม....” กานต์มองเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว “คนตายน่ะพูดไม่ได้อีกแล้ว ทั้ง อมรรัตน์ กรรณตะนะ หรือแม้กระทั่ง เจมส์....พวกเขาตายไปแล้ว”
“ฉัน...เป็นคนฆ่าเขา...เจมส์”
“ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร แต่คนที่เราฆ่าไป ทุกคนมีความหวังทุกคนมีหน้าที่ ทุกคนมีสิ่งที่ต้องการ....เพื่อรักษาความยุติธรรมให้พวกเขา”
แสงสีส้มค่อยๆสาดเข้ามาที่ร่างของทั้งสอง ความอบอุ่นค่อยๆแผ่เข้ามา
“ฉันจะต้องหยุดเรื่องบ้าๆนี่ เพื่อการตายของพวกเขาจะไม่สูญเปล่า”
เด็กสาวมองเข้าไปในดวงตาสีแดงข้างซ้ายของกานต์
“แล้วเธอล่ะ...จะทำยังไงต่อไป เอลลี่”
เด็กสาวซุกหน้าลงที่อกคนตรงหน้า กานต์ปล่อยมือจากไหล่ของเอลลี่ ก่อนจะหันไปมองพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลัง กรรณรัตค่อยๆเดินเข้ามา
“เช้าแล้วสินะ” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาว หันหน้ามองไปที่พระอาทิตย์
“ผ่านไปแล้วล่ะ คืนนี้น่ะ” กานต์ยิ้มมุมปากโดยไม่ละสายตาจากภาพอันสวยงามตรงหน้า
.....................................................................................
เด็กสาวผู้มีผมสีขาวกำลังเงยหน้ามองพระอาทิตย์ยามเช้าจากสวนหลังอาคาร นัยน์ตาสีน้ำเงินของเธอส่องประกาย
“จบแล้วสินะ” เธอพึมพำออกมา
“ยังหรอก มันยังไม่จบ” คุริสึพูดขึ้นโดยมองขึ้นไปบนฟ้า เขานั่งอยู่ตรงม้านั่ง สภาพมีผ้าพันแผลอยู่เต็มตัว
เด็กสาวเดินผ่านร่างของชายหนุ่มไป “ถ้ามีเวลามาดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ ไปโรงพยาบาลดีไหมคะ มาสเตอร์” พูดจบเธอก็เดินจากไป
“นั้นสินะ”ชายหนุ่มมองรูปด้านใน ล็อกเก็ต
.......................................................................................................
“นี่มัน..เละสุดๆไปเลยไม่ใช่หรอ....” หนุ่มใหญ่ เจ้าของฉายาขึงขังผู้ใจดี หรือมาสเตอร์ วีระ พูดขึ้นในขณะที่มองไปรอบๆห้องศิลปะ
“มีงานเพิ่มอีกแล้วนะคะ หัวหน้า” หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูท หัวเราะเบาๆ
“ทำให้มันเรียบร้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไง เด็กนั้น” หนุ่มใหญ่ถอนหายใจยาวๆออกมา
“เหนื่อยหน่อยนะ” กานต์เอ่ยทักทายหนุ่มใหญ่ ในขณะที่กำลังเดินลงมาจากบันไดโดยที่มีร่างของเอลลี่อยู่บนหลัง
“โอ้ ว่าแต่นายรูปนี้น่ารักดีจริงๆเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” หนุ่มใหญ่ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกับ โชว์รูปที่กานต์แต่งชุดนักเรียนหญิง
“เห้ย ลุงมีรูปนี้ได้ไง” กานต์หน้าถอดสี
“แหม ในกรมแชร์กันยกใหญ่เลยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เพราะลุงไม่เอาชุดนักเรียนมาให้ผมสักทีนี่ล่ะ เลยต้องเอาแต่ใส่ชุดวอร์มแบบนี้ไง”
“จริงๆแต่งหญิงไปเลยก็ได้นะ ขึ้นดีออก เนอะเอมิลี่” หนุ่มใหญ่ส่งสายตาไปหา หญิงสาวด้านหลัง
“นั้นน่ะสิ เธอเป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกันนะ ไปตัดทิ้งซะเถอะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“เธอ....เป็นผู้ชายหรอ?” เอลลี่ค่อยๆขยี้ตา
“อ่า ดูไม่ออกหรอ?”
เอลลี่ผละตัวออกจากหลังของกานต์ “งะ....งั้นที่ผ่านมาก็?”
“หืม?” กานต์ก้มหน้าลงครุ่นคิด“ที่ผ่านมาหรอ อืม”
เด็กสาวเจ้าของผมสีทองตอนนี้ ใบหน้าของเธอแดงจนไปถึงใบหู “ช่างมันเถอะ!”
...................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ