Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  14.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Fake

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter I  Fake

            โรงเรียนเอกชน เซนต์ฟิโอเร่ ให้การศึกษาระดับประถมไปจนถึงมัธยมปลาย มีเนื้อที่กว่าหนึ่งพันสองร้อยไร่ ระบบการศึกษาแบบสองภาษา ตั้งอยู่ชาญเมืองไม่ห่างไกลผู้คนนักแต่ก็ตัดขาดจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบอาคารแบบทันสมัยด้วยตึกสูงเก้าชั้นหรูหราและเรียบง่าย ผสมผสานกับอาคารทรงคฤหาสน์แบบยุโรปยุคกลางให้ความรู้สึกหรูหราย้อนยุคแบบมีสไตล์ ลานกิจกรรมและสถานที่ฝึกซ้อมกีฬาและการแข่งขันมีอยู่รอบๆทั่วบริเวณโรงเรียน สวนภายในโรงเรียนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ โรงอาหาร อาคารพิเศษเจ็ดชั้นสำหรับทำกิจกรรมชมรม และหอพักสำหรับนักเรียน มีให้ครบครัน มาสเตอร์ผู้สอน ครูอาจารย์ ต่างถูกคัดเลือกอย่างเข้มงวด

            ด้วยสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลจากมลพิษในตัวเมืองประกอบกับนโยบาย ‘โลกสดใส’ ของโรงเรียนทำให้ภายในโรงเรียนมีอากาศแจ่มใสอยู่เสมอ ใช่แล้วนี่คือโรงเรียนในอุดมคติสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากจะส่งลูกหลานมาเรียน และเป็นโรงเรียนในอุดมคติสำหรับเด็กหลายๆคน การการันตีถึงอนาคตสำหรับผู้เรียนจบ มหาวิทยาลัย ห้างร้านบริษัทมากมายต่างคาดหวังในตัวนักเรียนนักศึกษาที่นี่

            แน่นอนว่าสถานศึกษาและมาตรฐานระดับนี้ย้อมมีค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่ว นักเรียนที่นี่กว่า 90% จึงเป็นลูกคนมีถานะชาติตระกูลร่ำรวย แต่ทางโรงเรียนก็มีนโยบายสำหรับนักเรียนหัวดีที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นทุนการศึกษาระดับมัธยมปลาย โดยนักเรียนทุนเหล่านี้จะต้องรักษาระดับผลการเรียนให้ได้ เกรดเฉลี่ย 3.5 ในทุกๆเทอมตั้งแต่ปี 1 ถึง ปี 3

            ด้วยมาตรฐานที่สูงเช่นนี้ทำให้อัตราการสอบข้าวของนักเรียนทุนสูงมากในทุกๆปีแต่ก็มีเปอร์เซ็นเรียนจบของนักเรียนทุนก็ต่ำมากเช่นกัน

            วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของปีการศึกษานี้ ถึงจะบอกว่าเป็นวันเปิดภาคเรียนแต่ก็แค่วันประถนนิเทศสำหรับนักเรียนใหม่เท่านั้น วันนี้จึงเป็นวันที่ไม่มีรถราคาแพงมาจอดเยอะนัก

            ท่ามกลางนักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมาก มีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นแหวกผู้คนเข้ามาด้านในหอประชุมที่2สายตาหลายความรู้สึกจ้องมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน

หอประชุมที่ 2 เป็นห้องโถงใหญ่จุคนได้ประมาณ 1000 คน มีที่นั่งรอบๆเป็นแสตนหลายระดับเก้าอี้กำมะหยี่อย่างดี และ ด้านในสุดเป็นเวทีกลางมีโพเดียม ภายในตกแต่งให้หรูหราเหมือนโรงละครยุคกลาง มีที่นั่งพิเศษด้านบนสำหรับแขก VIP สำหรับรับชมโชว์การแสดงต่างๆ

เด็กสาวรีบก้มหน้าหลบสายตาเหล่านั้นและหยิบแผ่นกระดาษบอกที่นั่งของตัวเองขึ้นมาดู

            “2929 29” เธอกวาดตามองไปที่เก้าอี้หลายร้อยตัว “นั้นไง” เหมือนเธอจะเจอที่นั่งของเธอแล้ว เธอรีบวิ่งตรงไปทันทีเพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตานานกว่านี้แม้เพียงวินาทีเดียว

            “เดี่ยวสิหนู” มือของชายคนหนึ่งคว้าเข้าที่ไหล่ของเด็กสาว ทำให้เธอหยุดชะงัก “ค่าแท็กซี่ 327บาท” หนุ่มใหญ่หน้าตาน่ากลัวในชุดคนขับแท๊กซี่พูดขึ้นก่อนจะจ้องเธอตาเขม่ง

            “เอ๊ะ...แปปนะพี่” เธอรีบควานหากระเป๋าตัง “ไม่มี...อยู่ไหนเนี่ย”

            “เรียนถึงโรงเรียนคุณหนูแบบนี้ไม่มีเงินงั้นเรอะ” ชายฉกรรจ์บีบไหล่เธอแน่นขึ้น จนเธอเผลอส่งเสียง “โอ้ย” ออกมา

            “นี่จ๊ะ ไม่ต้องทอนนะ” หญิงสาวคนหนึ่งยื่นแบงค์ 500 ให้แท็กซี่พร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร

            “แหม คุณผู้หญิงนี่ใจดีจริงๆครับ” แท็กซี่รับไว้ก่อนจะก้มหัวให้หญิงสาวและเดินจากไป

            “เอ่อ..ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวก้มหัวให้เธอผงกๆ

            “นักเรียนทุนใช่ไหมจ๊ะ ดีจริงๆเลยนะ ถ้าลูกสาวฉันเรียนเก่งได้ครึ่งของเธอก็คงดี”หญิงสาวยิ้มให้

            “แหะๆ ค่ะ คุณรู้ได้ยังไงว่าหนูเป็นนักเรียนทุน?” เด็กสาวยิ้มอย่างเขินอาย

            “แค่เครื่องแบบบ้านๆนั้นก็ดูออกแล้ว” เด็กสาวอีกคนเดินเข้ามา เธอใส่เครื่องแบบของโรงเรียนมัธยมต้นของที่นี่ ผมสีน้ำตาลสั้นดัดเป็นลอนๆ แต่งหน้าอ่อนๆให้ดูน่ารัก แม้สีหน้าของเธอตอนนี้จะมองเหยียดๆก็ตามที

            “เด็กดื้อนิแม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้” คนเป็นแม้รีบตำหนิเด็กสาวทันที

            “ก็แค่คนจนที่ฝันสูงโดยไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นต้องไปแคร์เลยแม่” เด็กสาวเมินหน้าหนีด้วยความเขินอาย เธอคงไม่ชอบนักที่โดนแม่ดุต่อหน้าคนเยอะๆ

            “ขอโทษเขาเดี่ยวนี้เลยนะแจน” คนเป็นแม่ทำหน้าดุใส่

            “ไม่เป็นไรค่ะ หนูเลือกเกิดไม่ได้ แต่หนูแค่เลือกที่จะทำ”เด็กสาวยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะก้มหัวให้เธออีกครั้งและเดินไปที่นั่งของตัวเอง

            “น่าหมั้นไส้จริงๆ” แจนมองจิกไปที่เด็กสาวแล้วเดินไปหาที่นั่ง

            “โถ่ลูกสาวฉัน” หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะเดินออกจากหอประชุมไป

            “นักเรียนทุนหรอเนี่ย ของแปลกหายากจริงๆ” เริ่มมีเสียงพูดคุยของนักเรียนภายในหอประชุม “น่าสนใจ ดูสิว่าจะจบได้ไหม”

            เด็กสาวนั่งลงตามหมายเลขก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอมีงานอดิเรกชอบเขียนบันทึกเรื่องต่างๆในแต่ล่ะวันลงไป

            ‘วันแรกก็ซวยซะแล้ว นี่สินะโรงเรียนคุณหนูแค่เจอหน้าก็โดนดูถูกซะอย่างกับไม่ใช่คน ไหนจะลืมจ่ายค่าแท็กซี่อีก ว่าไปกระเป๋าตังฉันหายไปไหนนะ? ถ้ามัวแต่พิมพ์มันจะเจอไหมเนี่ยหาสิ ยัยบ๊อง’

            เขียนเสร็จเธอก็รีบลูบๆคลำล้วงหากระเป๋าตัง “โอ๊ะอยู่นี่เอง ค่อยยังชั่วหน่อย” เธอถอนหายใจยาวๆก่อนจะเริ่มเหยียดแอนตัวพิงเก้าอี้ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนจ้องหน้าเธออยู่

            “พี่นี่ที่ผม” เด็กผู้ชายหน้าตายพูดขึ้นกับเธอ

            “เอ๊ะ เอ่อ ก็นี่มันเลขที่นั่งของพี่นิ”

            “ฝั่งนี้มันของ ม.ต้น ของพี่อยู่ฝั่งนู่น” เด็กชายชี้ไปที่กลุ่มเก้าอี้อีกฝั่ง”

            เด็กสาวรีบหันไปมองรอบตัว ก็เห็นแต่พวกเด็กๆ ดูแล้วน่าจะอ่อนกว่าเธอทุกคน “เอ๋ เอ่อ ขอโทษค่ะ” เด็กสาวรีบลุกเดินออกไปหาที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง คนในหอประชุมพากันหัวเราะและมองการกระทำของเธอเหมือนตัวตลก ตอนนี้หน้าของเธอแดงไปถึงใบหูเลยทีเดียว

            “น่ารักจริงๆเลย” เสียงหัวเราะคิกคักดังเป็นย่อมๆที่เธอเดินผ่าน “อย่านั่งผิดที่อีกล่ะนักเรียนทุน”

            เธอแหวกผู้คนในแถวแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หมายเลขของตัวเองอีกครั้งเหมือนครั้งนี้เธอจะ มองรอบตัวให้ดีก่อน เด็กสาวคงไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาถึงสามรอบในวันประถมนิเทศแบบนี้ ตามจริงแล้วเธอหวังเพียงแค่เรียนให้จบจากที่นี่โดยไม่มีอะไรโดดเด่น แต่แค่วันแรกก็มีประเด็นให้พูดถึงเสียแล้ว

            ระหว่างที่นั่งทบทวนอ่านเอกสารที่ได้รับมา แผ่นกระดาษใบหนึ่งก็ตกลงที่พื้นเธอก้มตัวลงไปเก็บกระดาษแผ่นนั้นแต่ก็มีมืออีกคนมาเก็บไว้ก่อน

            “นี่ของคุณใช่ไหม?” คนข้างๆพูดกับเธอก่อนยื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนให้เธอ

            “ขอบคุณค่ะ”เธอรับไว้ ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ

            “ฉันชื่อ กานต์ ฉันเชื่อว่าเรามีอะไรเหมือนกันมากกว่าสองอย่าง ยินดีที่ได้รู้จักนะ” คนข้างๆแนะนำตัวกับเธออย่างเป็นมิตร

            “เอลลี่ค่ะยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กสาวแนะนำตัว เอลลี่มองสำรวจเพื่อนใหม่ของเธอ กานต์มีผมสีขาวยาวปะบ่ามัดไว้ด้านหลังไม่ให้เกะกะ ใบหน้าเรียวคมจิ้มลิ่ม ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ ผิวขาวอมชมพู นัยน์ตาสีฟ้าใสเหมือนสีของทะเลตอนกลางคืน กานต์มองเธอกลับอย่างสงสัย “สวยจัง” เอลลี่พูดขึ้นเบาๆ

            “ก็โดนทักอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน เธอเองก็เป็นคนสวยนะเอลลี่” กานต์ยิ้มหวานให้เอลลี่ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองบนเวทีกลางหอประชุม กานต์ใส่ชุดวอร์มสีดำไม่รูดซิบเผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวด้านใน

            เอลลี่ยิ้มรับเธอเก็บความสงสัยที่กานต์ใส่ชุดวอร์มเอาไว้ก่อนจะหันไปมองที่กลางเวที เสียงผู้คนในหอประชุมยังคงมีบ้างเป็นย่อมๆ หลายๆคนเริ่มพูดคุยเรื่องของนักเรียนทุนที่ทำตัวโก๊ะๆ แต่ก็ยังดูน่ารัก เธอเป็นประเด็นใหญ่สำหรับนักเรียนชายเลยทีเดียว ชื่อเต็มของเอลลี่คือ

อนาตาเซีย เอมิลี่ ชิโรซากิ เป็นลูกครึ่ง รัสเซีย ญี่ปุ่น เธอมีผมยาวสีทองมัดหางม้า นัยน์ตาสีฟ้า ผิวขาว รูปหน้าเรียวใบหน้าจิ้มลิ่ม ปากนิดจมูกหน่อย ถ้าไม่นับที่เธอใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล มาในวันนี้ คงไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นนักเรียนทุน ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งหน้าตาของเธอจะออกไปทางชาวเอเชีย แต่มีสีผมแบบชาวรัสเซียและส่วนสูงประมาณ 170 ทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่สวยสง่า

            แต่ด้วยความไม่คุ้นชินกับสถานที่มันเลยทำให้เธอปฏิบัติตัวลำบาก เสียงพูดคุยเริ่มเบาลงพร้อมๆกับไฟในหอประชุมที่ค่อยๆหรี่ลงจนดับไป พลันปรากฏแสงไฮไลท์ฉายไปกลางเวที หญิงสาวในชุดแม่ชีคาทอลิกเดินออกมาจากฉากด้านข้างเวทีและหยุดตรงกลาง ก่อนจะหันหน้าเข้าหาเหล่านักเรียนที่กำลังนั่งอยู่บนแสตน

“สวัสดีนักเรียนทุกคน สำหรับคน ที่คุ้นหน้าดิฉันอยู่แล้วก็ขออย่าเพิ่งเบื่อกันไป สำหรับคนใหม่ ดิฉันขอแนะนำตัว ดิฉันเป็นรองผู้อำนวยการรักษาการ พัชรินทร์ เจนส์ สมิธ ค่ะ เนื่องจากท่านผู้อำนวยการติดธุระดิฉันจึงมาทำหน้าที่กล่าวเปิดพิธีประถมนิเทศในวันนี้ ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่ที่จะมาเป็นส่วนร่วมครอบครัวของเรา” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อยด้วยแสงไฟบนเวที เธอดูส่องประกายสวยงามและบริสุทธิ์ นักเรียนชายหลายคนได้แต่นั่งอดทนกับอาการอยากจะร้องเชียร์เธอเหมือนเวลาที่นักร้องคนโปรดขึ้นเวที

เธอเป็นคนสูงโปร่งใบหน้าเรียวสวยดวงตาเรียวคมแต่งหน้าบางๆ แม้จะไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของเธอในตอนนี้ แต่เธอก็เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนชาย ตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงมัธยมปลาย

“เธอเป็นรอง ผอ.นี่เอง” เอลลี่พูดขึ้นเบาๆก่อนจะเริ่มจดโน้ตลงไปในโทรศัพท์

‘ไม่นึกว่าคนที่ฉันเจอในวันสอบชิงทุนจะเป็นรอง ผอ. เธอดูเด็กมากจริงๆแต่เอาอะไรได้ล่ะนี่มันโรงเรียนเอกชนนี่น่า การจะรับใครเข้าตำแหน่งไหนเป็นการบริหารกันเองโดยไม่ต้องมีมาตรฐานเหมือนโรงเรียนรัฐบาล หวังว่าที่นี่คงให้อนาคตที่ดีกับฉันได้นะ เคยได้ยินมาว่าการเรียนเข้มมากซะด้วย แต่ฉันก็เตรียมตัวมาดีเกินกว่าจะมาหยุดไว้แค่เทอมสองเทอมแรกซะด้วยสิ ยังไงก็ลุยเลยแล้วกัน หวังว่าวันนี้จะมีเรื่องดีๆนะ’

เอลลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ระหว่างนั้น รอง ผอ.คนสวยก็พูดถึงการใช้ชีวิตและนโยบายของโรงเรียนที่ว่าด้วยการสร้างความเท่าเทียมในสังคมโรงเรียน เหมือนนักเรียนส่วนใหญ่จะไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอพูดเลย จนเวลาล่วงเลยผ่านไป

“สุดท้ายนี้ดิฉันขอฝากให้นักเรียนทุกท่าน ‘โอกาสเป็นของคนที่คว้ามันไว้เท่านั้น’ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จสวัสดีค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกจากเวทีไป ตามด้วยเสียงปรบมือของคนในหอประชุม

เอลลี่ลุกจากที่นั่งเธอมองสำรวจสิ่งของรอบตัวก่อนจะมองไปที่นั่งด้านข้าง ‘คนที่ชื่อกานต์ไม่อยู่แล้ว’ เธอค่อยเดินออกมาจากหอประชุม มีเสียงผู้คนคุยกันจอแจระหว่างทางเดิน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของรอง ผอ.คนสวยกับเรื่องคำกล่าวเปิดพิธีที่ซึ้งกินใจสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เอลลี่เหลือบไปสบตากับหญิงสาวผู้เป็นแม่ของแจนเข้า

     “อ้าวหนูนักเรียนทุน”หญิงสาวเอ๋ยทักทาย

     “สวัสดีค่ะมารอรับลูกสาวหรอคะ?” เอลลี่ตอบกลับอย่างเป็นมิตร

     “ใช่จ๊ะ ไม่รู้แจนไปอยู่ที่ไหน”

     “เอ๋ โรงเรียนนี้ใหญ่โตออกนี่คะเธอหลงทางรึเปล่า”

     “ไม่หรอกจ๊ะเธอเรียนที่นี่มาตั้งแต่ประถมแล้วคงไม่หลงทางหรอก”

     “หรอคะ ดีจังเลยนะคะที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตั้งแต่สมัยประถม” เอลลี่ก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ฉันชอบคำพูดของหนูมากเลยนะ ถึงเลือกเกิดไม่ได้แต่ก็เลือกที่จะทำ คนบางคนไม่ได้เกิดมามีถานะ หรือโชคดีไปซะหมด แต่หนูก็สอบผ่านมาถึงที่นี่ได้” หญิงสาวยิ้มให้เอลลี่อย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณค่ะหนูดีใจกับแจนจริงๆค่ะที่มีคุณแม่ดีๆแบบคุณ”

“ฉันก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกจ๊ะ อาจจะแค่โชคดีที่มีเขาเป็นลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย

“โชคดีหรอคะ?”เอลลี่อุทานออกมาด้วยความสงสัย เธอคิดเพียงแค่ ถ้าต้องมีลูกสาวอวดดีแบบนี้คงไม่ถือว่าโชคดีเท่าไหร่

“แม่ มาทำอะไรตรงนี้หนูบอกแล้วไงว่าให้กลับไปก่อนเลย” แจนเดินหน้าบึ่งตึงเข้ามา

“โถ่ ลูกสาวคนสวยขึ้นม.ปลายทั้งทีแม่ก็อยากมาดูหนูในเครื่องแบบหน่อยสิจ๊ะ”คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆ

“วันนี้ยังไม่ได้ใส่นะแม่ โถ่”แจนหน้าแดงหน่อยๆด้วยความเขินอายแม้จะผ่านไปกี่ปีแต่แม่ของเธอก็มักจะทำเหมือนเธอเป็นเด็กเสมอ

“ยังไงก็ฝากลูกสาวฉันด้วยนะจ๊ะ หนูอานา” หญิงสาวจับมือเอลลี่และยิ้มให้

“อ่าค่ะ คุณรู้ชื่อหนู?” ชื่อจริงของเอลลี่คือ อานาตาเซีย ชื่อเล่น เป็นการย่อชื่อกลาง เอมิลี่ เป็น เอลลี่ เพราะเอลลี่ ชอบคำว่า เอลลี่ มากกว่า เอมี่ เธอจึงมักให้ทุกคนเรียกว่า เอลลี่

“ที่บอร์ดหน้าหอประชุมมีชื่อและรูปถ่ายนักเรียนทุนอยู่ไงล่ะ แม่นักเรียนทุน” แจนพูดพลางมองจิกใส่เอลลี่

“ไม่รู้จะรับไหวไหมนะคะ” เอลลี่ตอบหญิงสาวไปยิ้มๆ คำตอบของเธอดูเหมือนจะทำให้แจนเริ่มหงุดหงิด

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเธอนักหรอก” แจนหันหน้าหนีเอลลี่

“งั้นหนูขอตัวไปหอพักก่อนนะคะ ยังมีของต้องขนต่ออีก” เอลลี่ก้มหัวให้หญิงสาว หญิงสาวก้มรับ เด็กสาวผู้มีผมสีทองเดินผ่านสองแม่ลูกไป แม้เอลลี่จะไม่ใช่คนรวยแต่กิริยามารยาทของเธอก็ถือว่าได้รับการอบรบสั่งสอนมาดีในสายตาผู้ใหญ่เลยทีเดียว เดินตัวตรงนอบน้อมด้วยความที่เธอเป็นคนตัวสูงท่าทางของเธอมันเลยทำให้ดูสง่ามากยิ่งขึ้น

“แจนแม่ว่า หนูอานาเขาดูเป็นคนดีนะ ไม่เสียหายถ้าจะคบหาเอาไว้”

“เธอชื่อเอลลี่ค่ะแม่”แจนหน้าแดงเล็กน้อย แม่เธอคงจะพอเดาใจลูกสาวได้ว่า เธอคงอยากเป็นเพื่อนกับเอลลี่แต่ด้วยความที่เธอไม่คุ้นชินกับการมีเพื่อน เลยทำให้การแสดงออกของเธอเป็นแบบนี้

“หรอจ๊ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆเธอลูบหัวลูกสาวก่อนจะเดินจากไป

“แม่นี่ล่ะก็” แจนกวักมือเรียกคนถือกระเป๋าให้เดินตามเธอไปทางหอพักหญิง

เอลลี่เดินผ่านสวนของโรงเรียนเพื่อตรงไปทางหอพักนักเรียนหญิง กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เธอเพิ่งไปรับมาจากห้องรับฝากของดูเหมือนมันจะหนักเกินไปแม้จะเป็นการลากก็ตามที่ เอลลี่เป็นคนรอบคอบเธอจึงใส่ของไว้หลายๆอย่างทั้งของจำเป็นและอาจจะไม่จำเป็น เด็กสาวนั่งลงบนม้านั่งใกล้ๆ เธอหันมองไปรอบๆตัวสวนถูกตกแต่งด้วยไม้และดอกไม้หลายชนิดแม้จะมีพืชพันหลายอย่างแต่ การออกแบบการวางโครงสร้างและต้นไม้แต่ล่ะชนิด ทำให้มันดูเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ  ในช่วงใกล้เข้าหน้าฝนของเดือนพฤษภาคม แดดจึงแรงไม่ต่างจากหน้าร้อนนักแต่ เพราะต้นไม้สูงหลายต้นช่วยเป็นร่มเงาบังเอลลี่เอาไว้ เธอมองไปตามทางเดินที่มีนักเรียนชายหญิงกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน บ้างก็นั่งดื่มชากันเป็นกลุ่มๆอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บ้างก็นั่งวาดรูปดอกไม้ต้นไม้ ‘บางทีพวกคุณหนูอาจจะดีกว่าพวกอันธพาลก็ได้ ไม่สิมันต้องดีกว่าอยู่แล้วล่ะ มั่ง’ เอลลี่ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ แสงแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านต้นไม้ลงมา สายลมค่อยๆพัดผ่านร่างของเด็กสาว ทำให้ผมสีทองของเธอปลิวสลวย

 

.....................................................................................................................................

 

เอลลี่ค่อยๆลืมตาช้าๆ เธอพยายามปรับโฟกัสภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้น เด็กสาวยังคงอยู่ในสวนของโรงเรียนที่เดิม ต่างกันเพียงแค่ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เอลลี่ใช้มือนวดขมับเบาๆ

“นี่เราหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย”เอลลี่ดูนาฬิกาข้อมือ “ทุ่มนึงแล้วหรอเนี่ย” เอลลี่ลุกขึ้นยืนเธอปิดขี้เกียจไปมาก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางสีฟ้าใบใหญ่เดินไปทางหอพัก บรรยากาศของสวนตอนกลางคืนให้ความรู้สึกวังเวงอย่างประหลาดแสงไฟจากโคมริมทางกลับให้อารมณ์เปลี่ยวเหมือนจะมีอะไรโผล่มาจากพุ่มไม้ข้างทางคล้ายกับหนังสยองขวัญ       เอลลี่พยายามรีบเดินไปให้ไวที่สุดไม่ใช่เพราะความกลัวสิ่งลี้ลับแต่เป็นเพราะเธอไม่ชอบที่มืด ทั้งกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ ไหนจะถุงจากห้างสรรพสินค้า ที่เธอขนมามันทำให้การเดินของเธอดูเก๊ๆกังๆ อย่างน่าขบขัน

“ให้ฉันช่วยไหมนักเรียนทุน” เสียงคนข้างหลังทักเธอ เอลลี่หันไปมอง

“กานต์หรอ?” ด้านหลังเธอคือเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายของที่นี่ผมของเธอสีขาวยาว ด้วยใบหน้าจิ่มลิ่มและนัยน์ตาสีฟ้า ทำให้เธอนึกถึงคนที่ส่งกระดาษให้เธอในตอนเช้า

“เอ๊ะ เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม” กานต์เดินตรงเข้าหาเอลลี่พร้อมกับยื่นมือเป็นสัญญาณว่าจะช่วยถือ

“ก็เมื่อเช้านี้” เอลลี่ส่งถุงและกระเป๋าถือให้กานต์

“งั้นหรอ” กานต์รับมาถือแล้วเดินอยู่ข้างๆเอลลี่ “ทำไมถึงมาขนของเอาป่านนี้ล่ะ มืดแล้วนะ”

“ฉันเผลอหลับไปที่ม้านั่งเมื่อตอนบ่าย เพราะเมื่อคืนตื่นเต้นเลยไม่ได้นอน”

“เธอเคยได้ยินเรื่องนักเรียนทุนที่นี่ใช่ไหม?”

เอลลี่ทำหน้าครุ่นคิดนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับนักเรียนทุนที่เธอรู้จนคิ้วขมวดติดกัน “เรื่องที่ว่า อัตราสอบเข้าสูง หรือเรื่องที่ว่าไม่เคยมีใครเรียนจบล่ะ?”

“น่าจะพอรู้มาบ้างใช่ไหมว่าไม่เคยมีนักเรียนทุนคนไหนเรียนจบจากที่นี่ได้เลย” กานต์พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยสายตาของเธอมองตรงไปข้างหน้า “เธอเคยคุยกับนักเรียนทุนที่เรียนไม่จบไหม?”

“ฉันก็ไม่เคยเจอนะ แค่ได้ยินมาเฉยๆว่าไม่มีใครเคยเรียนจบ”

“อืม งั้นเธอลองไปคุยกับพวกเขาดูสิ” กานต์ส่งถุงและกระเป๋าถือให้เอลลี่ “ถึงแล้ว”

“ถ้ามีโอกาสล่ะนะ ขอบคุณเธอมากนะ” เอลลี่ยิ้มให้กานต์พร้อมกับรับของจากกานต์มา

“อืมไม่เป็นไร รักษาสุขภาพด้วยนะ” กานต์ยิ้มให้เอลลี่ก่อนจะเดินหายไป

เอลลี่เดินเข้าไปในหอ เธอยิ้มให้ผู้ดูแลหอพัก เธอเป็นสาวใหญ่รูปร่างอวบ ท่าทางใจดี ใส่เสื้อเชิตพนักงานมีบัตรห้อยคอเขียวไว้ ‘ผู้ดูแลหอพักมาเรีย 4“

“มาซะมืดเชียวนะจ๊ะ นักเรียนทุนใช่ไหม?” ผู้ดูแลหอยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร

“ค่ะ อนาตาเซีย ชิโรซากิ ห้อง 37” เอลลี่ยื่นเอกสารให้ผู้ดูแล

ผู้ดูแลหอรับไว้ เธออ่านเอกสารอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหยิบกุญแจที่แขวนอยู่ในตู้ด้านหลังให้เด็กสาว “ยินดีต้อนรับจ๊ะ ถ้ามีอะไรเรียกป้าได้เลยนะป้าชื่อ นาง นะจ๊ะ”

“ค่ะรบกวนด้วยนะคะ”เอลลี่หยิบขนมโมจิที่เธอเตรียมมาเป็นของฝากให้ผู้ดูแล “นี่ค่ะ”

“โอ้ ขอบคุณจ๊ะ เชิญตามสบายนะ”ป้านางรับของจากเอลลี่ก่อนจะเดินนำไปเก็บด้านหลัง

เอลลี่มองดูรอบๆตัว จากที่เห็นด้านนอกหอพักนี้ตกแต่งสไตล์เรียบง่ายเป็นอาคารห้าชั้น แต่ก็ยังคงไว้ซึ้งความหรูหราตกแต่งรอบหอพักด้วยกล้วยไม้และไม้พุ่มๆ หอพักทาด้วยสีฟ้าอ่อน ด้านในมีเลาจ์เล็กๆ เปิดบาร์ฟรีสำหรับนักเรียนและตู้ขายน้ำอัตโนมัติ โต๊ะเล่นปิงปอง โซฟาสำหรับรับแขกโทรทัศน์ เดินเข้าไปอีกหน่อยจะมีล๊อคเกอร์ฝากของและที่สำหรับเก็บพัสดุของแต่ล่ะห้องอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลิฟต์โดยสาร

“ฟรี Wi-fi มีด้วยแหะ” เอลลี่ยิ้มแห้งๆหลังจากเห็นป้ายหน้าลิฟต์ ระหว่างยืนรอลิฟต์เธอก็มองสำรวจไปรอบๆหอพักก็เหลือบไปเห็น สระว่ายน้ำหลังหอพัก “ถ้าเปิดโรงแรมคงทำเงินได้ดีกว่าโรงเรียนอีกนะ” เธอพูดขึ้นเบาๆก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก

“เธอ” แจนเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเด็กสาวอีกคน

“คุณหนูนี่น่า” เอลลี่ยิ้มหวานให้แจน

“ยิ้มอะไรยะน่าขนลุก”แจนส่ายหน้าหนี ก่อนจะจูงมือเด็กสาวอีกคนออกมาจากลิฟต์ “ไปกันเถอะปาม”

เอลลี่มองตามหลังเด็กสาวทั้งสองไปก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ ปาม เป็นเด็กสาวตัวเล็ก เธอมีผมสีดำยาวดวงตากลมโต จากสีหน้าเธอมักจะทำหน้านิ่งๆไม่แสดงอารมณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็น ตุ๊กตา

เอลลี่ไขกุญแจเข้าไปเธอเสียบคีย์การ์ดลงไปในช่อง ก่อนจะเปิดไฟภายในห้อง และเริ่มลงมืดจัดข้าวของ ในห้องของเธอมี โทรทัศน์เตียงนอนตู้เสื้อผ้า ห้องอาบน้ำแบบมีอ้าง “อยู่ตลอดไปเลยได้ไหม” เธอพึมพำออกมาก่อนจะรีบจัดการของตรงหน้าให้เข้าที่เข้าทาง

หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พร้อมๆกับใส่เสื้อยืดและกางเกงวอร์มเธอเช็ดผมให้หมาดๆ แล้วเอาผ้าขนหนูพาดหัวไว้ “ไหนมาดูสิ วันนี้จะมีอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่านะ” เอลลี่เปิดบล็อกที่เธอเขียนเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่ เธอเคยไป โดยใช้ชื่อว่า ‘เอลลี่และการผจญภัย’

เธอใช้เวลาอัพเรื่องราวลงบล็อกไปกว่าหลาย ชม.ซึ่งตอนนี้ก็ดึกมากแล้วเอลลี่เตรียมตัวที่จะเข้านอนเธอลุกขึ้นบิด  ขี้เกียจ ก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปแขวนไว้ที่ราวตรงระเบียง

‘งั้นเธอลองไปคุยกับพวกเขาดูสิ’ คำพูดของกานต์แว๊บเข้ามาในหัว เอลลี่นั่งลงที่โต๊ะคอมอีกครั้ง เธอเปิดเว็บไซต์ค้นหา ‘นักเรียนทุนโรงเรียนเซนต์ฟิโอเร่’

‘เด็กหนุ่มอนาคตไกลดีกรีนักเรียนทุนโรงเรียนดัง หายตัวลึกลับ’ เอลลี่ค่อยๆเลื่อนอ่านข่าว ‘ทางโรงเรียนไม่มีส่วนรู้เห็นเด็กสาวนักเรียนทุนหายตัวไปกว่าสามเดือนล่าสุดพบศพอยู่แม่น้ำเจ้าพระยา’‘คดีสะเทือนขวัญฆาตกรต่อเนื่องฆ่าไม่เลือก เด็กหนุ่มนักเรียนทุนโชคร้ายตกเป็นเหยื่อรายที่ 7 ’

“เดี่ยวสิ มันต้องมีชื่อและที่อยู่คนอื่นๆบ้างสิ” เอลลี่พยายามเลื่อนหาข้อมูล ‘อัตราการแข่งขันสูง’  เธอนึกไปถึงคำพูดของเหล่าผู้ปกครองในตอนเช้าที่เธอได้ยิน

‘เก่งจังเลยนะเธอ ปีนี้มีแค่คนเดียวเองหรอ แต่ก็เยอะกว่าปีที่เลวนิ ปีที่แล้วไม่มีเลย’

‘นั้นสิ เป็นลูกครึ่งด้วยหน้าตาสวยเชียว แต่นักเรียนทุนก็ไม่ได้มีผ่านทุกปี แถมปีที่ผ่านก็ไม่เคยมีเกินสามคนเลย’

‘ก็ดีแล้วนะ ถ้าไม่เอาแต่ระดับหัวกะทิทางโรงเรียนก็ต้องแบกภาระอีกล่ะนะ’

เอลลี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขนที่ต้นคอขอเธอลุกสู้เหงื่อค่อยๆไหลผ่านแก้มของเธอไป นักเรียนทุนทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน ล้วนแล้วแต่หายสาบสูญไม่ก็เสียชีวิตแล้วทั้งนั้น

“มะ...หมายความว่ายังไง”

.....................................................................................................................................................................

 

 

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา