Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  14.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Start Line

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter II Start Line

            วันเปิดการเรียนการสอน แม้นักเรียนส่วนใหญ่จะพักอยู่ที่หอพัก แต่ก่อนวันเปิดภาคเรียนพวกเขามักจะใช้เวลาทำกิจกรรมกับทางบ้านเสียมากกว่า ทำให้พอถึงวันเปิดเรียน พวกนักเรียนจึงค่อยๆทยอยขนของมาไว้ที่หอพัก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีรถมากมายจอดอยู่เต็มลานจอดรถ อันเป็นที่มาให้เอลลี่ตั้งชื่อมหกรรมนี้ตามชาวเน็ตว่า ‘วิ่งควาย’

            “พวกลูกคุณหนูนี่ไม่มีการเตรียมความพร้อมอะไรเลยจริงๆสินะ มีคนเป็นมือเป็นเท้าสบายๆให้ก็แบบนี้ล่ะ” เธอพูดเบาๆในขณะที่เดินแอ่น อกผ่านพวกคนถือกระเป๋าในชุดสูท พวกเขาดูเร่งรีบกันมาก ชายคนหนึ่งถึงกับแบกกระเป๋าเสื้อผ้าโดยใช้หัวเทิร์นเอาไว้ ในอีกมุมหนึ่งก็มีการเอ๊ะอะโว้ยวายของเหล่าผู้ดี ที่ว่าด้วยการถือของอย่างไม่ระมัดระวัง

            เอลลี่ถือกระเป๋านักเรียนเดินสบายๆ ด้วยความที่ไม่มีสัมภาระเยอะ ทำให้เธอสามารถเดินตัวตรงยืดอกได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับส่วนสูงและรูปร่างของเธอ ทำให้เกิดอุปาทานหมู่ เห็นเป็นนางแบบสาวกำลังเดินบน Catwalk

            “นั้นนักเรียนทุนใช่ไหมน่ะ”เริ่มมีเสียงพูดคุยกันจอแจระหว่างทางเดินไปอาคารเรียน “วันประถมนิเทศฉันเห็น เธอกำลังเดินแบกกระเป๋าพะรุงพะรัง เต็มไปหมดเลย ถ่ายรูปไว้ด้วยดูดิ” เพื่อนของเด็กหนุ่มชะเง้อมองรูปในมือถือ ก่อนจะเริ่มระเบิดหัวเราะออกมา

....................................................................................................................................

             ‘กึก กึก กึก’ เอลลี่นั่งเคาะดินสอกดลายลูกหมีลงกับโต๊ะเรียนด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ เธอคงไม่คิดว่าวันนั้นจะมีคนถ่ายรูปเอาไว้ได้ แม้แต่ตัวเธอเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าท่าแบกกระเป๋าของเธอมันน่าอายแค่ไหน เด็กสาวถอนหายใจยาวๆหวังจะปัดเป่าความไม่สบอารมณ์นี้ อยู่ๆเรื่องในคืนนั้นก็แว๊บเข้ามาในหัวเธอ

            ‘หมายความว่ายังไง’ ตอนนี้ความรู้สึกกลัว กลัวบ้างสิ่งบางอย่างมันเกิดขึ้นในหัวของเธอ หัวใจของเธอมันเต้นไม่เป็นจังวะเด็กสาวเอามือกุมอกของเธอเอาไว้ เอลลี่ใช้มือขวาเลื่อนลูกศรเพื่อกดหาข้อมูลต่อในตอนนั้นเธอก็ไปสะดุดเข้ากับชื่อนักเรียนทุนอีกคน ไม่มีชื่อนี้ในข่าว ยังคงสถานะเรียนอยู่ ‘นักเรียนทุนเมื่อสองปีก่อน ชื่อขอบคนๆนั้นคือ...’

            “เอาล่ะทุกคนนั่งที่ให้เรียบร้อย” เขาเคาะโต๊ะด้วยสมุดเช็คชื่อสามครั้ง หนุ่มใหญ่รูปร่างสูงโปร่งสวมแว่นตาหนาทรงโบราณ ท่าทางสุภาพ เขามีผมสีดำตัดสั่นรวบไว้ด้านหลัง ใบหน้าคมเข้ม ผิวสีเหลิองแบบชาวเอเชีย สวมชุดสุภาพเป็นเสื้อเชิตสีเทากางเกงขากระบอกสีดำ รองเท้าหนังแก้วขัดเงาวาว และเน็คไทต์ สีเลือดหมู ดูเข้ากับลุคความเป็นผู้ใหญ่ “วันนี้เราจะมาเริ่มโฮมรูมกัน ผม มาสเตอร์ จีระพงศ์ ชัยวิทย์ ทำหน้าที่สอนวิชา ประวัติศาสตร์ พื้นฐาน และ เป็นผู้ดูแลประจำชั้นห้อง 1 ของพวกคุณตลอด 1 ปีจากนี้” หนุ่มใหญ่ส่งยิ้มให้นักเรียนในห้อง ก่อนจะเริ่มเปิดสมุดเช็คชื่อ

            “หลังจากที่ผมเอ๋ยชื่อใคร ขอให้คนนั้นแนะนำตัวเพื่อเป็นการทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องด้วยนะ” เขาเริ่มหยิบดินสอขึ้นมา พร้อมกับขานชื่อนักเรียนตามเลขที่ “ก้องภพ”

            “ครับ” เด็กหนุ่มท่าทางเจ้าสำอาง ใบหน้าเนียนใสลุกขึ้นยกมือ “ ก้องภพ วรวัฒน์ ชื่อเล่น ชื่อ ก้อง ชอบยิงธนู กับ ดูแมวน้ำ ไม่ชอบ สิงโตทะเลครับครับ”

            “งานอดิเรกดีนะ” หนุ่มใหญ่หัวเราะในลำคอเบาๆ “กรรณรัต”

            เด็กสาวผมสีดำยาว รูปร่างสูงโปร่งเธอนั่งอยู่ด้านข้างเอลลี่ เด็กสาวลุกขึ้นยืน “ค่ะ กรรณรัต วรสถิต ชื่อเล่น ชื่อ เนย ค่ะ ชอบวาดรูปผู้ชายเคะๆ เล่นคอมมูนิตี้กับเพื่อน และมีฉายาลับๆว่า ผู้ทรยศคานะจังค่ะ” เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่เดิม

            “จอมหักหลังสินะ คบไม่ได้นะเนี่ย” หนุ่มใหญ่หัวเราะในลำคอ ก่อนจะไล่ขานชื่อต่อไป

            เอลลี่แอบอมยิ้มเล็กน้อย แม้จะเหมือนคนที่อยู่กันคนล่ะโลก แต่พวกเขาเองก็ยังเป็นคนเหมือนๆกัน เอลลี่ได้แต่คิดว่าอาจจะเข้ากับเพื่อนในห้องไม่ได้ แต่เหมือนเธอจะโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

            “อนาสตาเซีย”

            “ค่ะ อนาสตาเซีย ชิโรซากิค่ะ ชื่อเล่น เอลลี่ ชอบเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ เกลียดที่มืดๆค่ะ” เอลลี่เตรียมตัวจะนั่งลงแต่ก็โดน มาสเตอร์เรียกไว้เสียก่อน

            “นักเรียนทุนเก่งภาษา แต่เข้ามาเรียนสายวิทย์สินะ มาสเตอร์ก็ชอบการทดลองนะหวังว่าเธอจะทำให้มาสเตอร์ประทับใจ” หนุ่มใหญ่ยิ้มให้เอลลี่อย่างเป็นมิตร “แต่โรงเรียนนี้ผีดุนะระวังไว้หน่อยแล้วกัน หึหึ”

            “อ่า ค่ะ” เอลลี่ค่อยๆนั่งลงที่โต๊ะ ‘ไม่ชอบที่มืดไม่ได้แปลว่ากลัวผีนะคะ’

            “แต่ผีชอบออกมาที่มิดๆนะ” กรรณรัตพูดหยอกเอลลี่ที่กำลังนั่งถอนหายใจ ทำเอาเด็กสาวลูกครึ่งขนลุกสู้

            “เป็นเอสเปอร์รึไง”เอลลี่เหลือบตามองกรรณรัต ทำเอาเด็กสาวอดกลั่นหัวเราะไม่ไหวเมื่อเห็นท่าทางของเอลลี่

            “แหมก็ก็เข้าใจว่าอยากทำความรู้จักนักเรียนทุนกันแต่ มาสเตอร์กำลังเช็คชื่ออยู่นะ” เอลลี่กับเนยยิ้มแห้งๆให้กับมาสเตอร์ “เอาล่ะคนต่อไป”

            หลังจากเช็คชื่อเสร็จมาสเตอร์หนุ่มใหญ่ก็จบคาบโฮมรูมและให้นักเรียนเตรียมบทเรียนในวิชาต่อไป ก่อนจะเข้าคาบเรียนพวกเขามีเวลา 15 นาที ดูเหมือนในห้องเรียนนี้จะไม่เห่อนักเรียนทุนนัก

            การจัดระดับห้องเรียนถูกแบ่งเป็นสายตามวิชา นักเรียนที่ถูกเรียกว่าหัวกะทิจะอยู่ในห้อง 1-3 อันเป็นห้องของสาย วิทย์-คณิต ที่ใช้การสื่อสารส่วนใหญ่กับมาสเตอร์และผู้สอนเป็นภาษาอังกฤษ ห้อง 1-3 จึง ถูกเรียกว่า ห้องเรียนอัจฉริยะ แม้จะเป็นห้องอัจฉริยะเหมือนกันแต่ห้อง 1 ก็จัดเป็นห้องที่รวมเอาคนที่คะแนนดีที่สุดเข้ามามากกว่า ห้อง 2 และ 3

 ส่วนห้อง 4 ถึง 6 จะเป็น สายวิทย์-คณิตที่ ใช้ภาษไทยเป็นพื้นฐาน โดยความแต่งต่างของ 4-6 กับ 1-3 คือ เรื่องภาษา ต่อให้มีคะแนนวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เท่ากันก็ตามที

            โดยสรุปแล้วต่อให้เอลลี่จะเป็นนักเรียนทุนที่หาได้ยากสำหรับโรงเรียนนี้ แต่สำหรับคนที่ผลการเรียนดีอยู่แล้วตัวตนของนักเรียนทุนลูกครึ่งคนนี้ก็เหมือน คนสติปัญญาระดับเดียวกันแต่บ้านจนกว่าเท่านั้นเอง

            เอลลี่หยิบตารางสอนขึ้นมา ‘คหกรรม’ คิ้วของเธอขมวดจนชนกัน

            “ฉันอยากลองกินอาหารฝีมือเธอจังเลย” เนยหรือผู้ทรยศคานะจัง มากระซิบที่ค้างหูเอลลี่ ทำเอาสาวลูกครึ่งสะดุ้งทำหน้าเหวอออกมา

            “เธอสนใจอาหารจริงหรอแม่ S ตัวแม่” แจนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเอลลี่พูดขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มแบบเหยียดหยามตามที่เธอถนัด

            “โถ่ๆ เธอนิไม่รู้อะไรเลยนะ แม่สาวซึน อาหารบ้านๆคือภูมิปัญญาคนในชาตินะ” เนยส่ายหัวไปมา ดูเหมือนในห้องเรียนจะรู้จักเธอเป็นอย่างดี ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นของ กรรณรัตทำให้เธอถูกจดจำในหลายความหมายและโดนตั้งฉายาต่างๆให้ “แล้วว่าไงล่ะนักเรียนทุน?”

            “ก็ได้นะ แต่ 500 ขาดตัวไม่มีต่อ”เอลลี่ยิ้มให้กรรณรัต รอยยิ้มที่เหมือนจะใสซื่อแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกขูดเลือดขูดเนื้อ

            “เอาจริงแหะ” กรรณรัตยิ้มแห้งๆ คนในห้องพากันหัวเราะท่าทางของเนยพลางคิดขำๆไปว่า คงเป็นครั้งแรกที่มีคนทำให้คานะจังยิ้มแบบนี้

            “ว่าแต่คุณแจนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เอลลี่ทำหน้างง

            “ก็อยู่มาตั้งนานแล้วนะ!!” แจนจ้องเอลลี่ตาเขม่ง

            “ไม่ทันสังเกตเลยล่ะ” เอลลี่ยิ้มแบบสดใส

            “เธอเมินฉันมาตลอดเลยสินะยัยคนจน!!”

            เวลาผ่านไปตอนนี้เข้าสู่คาบเรียนที่ 3 วิชาคหกรรม นับว่าเป็นวิชาที่เหล่าคุณหนูทั้งหลายรอคอย ในตารางสอนของนักเรียนชายดูเหมือนจะเป็นวิชา พื้นฐานสุภาพบุรุษ แม้จะเป็นคนมีฐานะร่ำรวยแต่ด้วยความที่สบายมาตลอด การได้เรียนรู้หลักการทำอาหารจึงเป็นเรื่องที่ ปลุกความเป็น แม่ศรีเรือนของใครหลายๆคน และเพื่อทดสอบพื้นฐานของแต่ละคน จึงมีโจทย์ให้ทุกคนทำอาหารออกมา แล้วให้เพื่อนในห้องชิม

            “miss please,I can’t I can’t Impossible” เด็กสาวผมสั้นท่าทางแก่เรียนกล่าวกับครูสาวประจำวิชา

            “Why?, I believe you can do this” ครูสาวยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ

            “Anastasia I got it” กรรณรัตส่งบัตรเครดิตให้เอลลี่ “Exchange”

            “Yep” เอลลี่รับบัตรด้วยรอยยิ้ม ‘คนรวยนี่คนรวยจริงๆ’“ What you want to eat?”

            “everything you do . but you must eat everything I do” กรรณรัตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เธอส่งมือให้เอลลี่อย่างเป็นมิตร

            “Okay” เอลลี่จับมือกรรณรัต

            นักเรียนหญิงในห้องสองคนเริ่มพูดคุยกัน “สองคนนั้นจะพูดอังกฤษกันทำไมน่ะ...แค่พูดกับมิสก็พอนิน่า”

            “ลองภูมิกันล่ะมั่ง ช่างเขาเหอะ รีบๆทำจะได้พักสักที” บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความร้อนแรง เหมือนเอลลี่จะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เธอผัดกระเพราแบบบ้านๆให้กรรณรัต

            “โอ๊ะ”เหมือนเอลลี่จะทำผงชูรสหกเยอะไปหน่อย “ช่างเถอะ” เอลลี่ลงมือผัดต่อ

            “เดี่ยวๆนี่มันจงใจชัดๆเลยไม่ใช่หรอ!!!”แจนทำหน้าเหวอหลังจากเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเอลลี่ แต่ทว่ากรรณรัตก็ไม่แพ้กัน เด็กสาวผมสีดำเธอมัดผมยาวไว้ด้านหลังให้ดูเรียบร้อยใส่ผ้ากันเบื้อน ด้วยรูปร่างสูงโปรงและท่าทาง ทะมัดทะแมงของเนยมันทำให้เธอดู So pro มาก ถึงเธอจะหยิบเครื่องปรุงทุกอย่างใส่กระทะที่ผัดข้าวของตัวเองก็เถอะ

            “Wow Miss Kanarat , Miss Anastasia so excellent” ครูสาวอมยิ้มหลังจากเห็นข้าวผัดของเนยกับผัดกระเพราของเอลลี่ ข้าวสีเหลืองอ่อนน้ำตาล ผสมกับผักนานาชนิด ไม่ผัดนานเกินไปจนทำให้ผักเละ ยังมีแครอทชิ้นเล็กเป็นของประดับที่ดูมีสไตล์ และยังมีแตงกว่าหั่นเป็นแว่นๆ ให้ทานคู่กัน  

            ตามมาด้วยข้าวหอมมะลิสีขาวนุ่มกับเนื้อไก่ที่หั่นพอดีคำ สีของเนื้อไก่ที่ราดด้วยน้ำของผัดเป็นสีเหลืองทองดูน่ากินอย่างบอกไม่ถูก นี่อาจจะเป็นผัดกระเพราะที่อร่อยที่สุดก็เป็นได้!

            “ทำไมตอนทำไม่รู้สึกว่ามันจะน่าทานแบบนี้เลย”แจนมองทั้งสองคนด้วยสายตาหงอยๆ

            เด็กสาวเจ้าของผมสีทองและดำไม่พูดอะไรต่อกันทั้งสองแลกจานกันพร้อมกับหยิบช้อนส้อม และนั่งประจันหน้ากัน เอลลี่ตักข้าวผัดขึ้นมาในขณะที่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของกรรณรัต กรรณรัตตักข้าวขึ้นมาพร้อมกับมองใบหน้ายิ้มแย้มของเอลลี่ ริมฝีปากสีชมพูของทั้งสองหุบยิ้มลง พร้อมๆกับค่อยๆอ้าออกช้าๆ

            ‘หงับ’ ไม่ทันปิดปากเอลลี่ก็ยัดช้อนตัวเองเข้าไปในปากกรรณรัต เช่นเดี่ยวกับกรรณรัตที่ทำแบบเดียวกับเอลลี่ รสชาติของอาหารที่ทั้งสองทำค่อยๆเล่นผ่านประสาทรับรส ไปช้าๆ ทั้งคู่กลืนอาหารที่ตัวเองทำลงไป ‘อึก’

...............................................................................................................................................

‘ชู่ว’ เสียงน้ำไหลผ่านคอห่านลงสู้ท่อระบายน้ำดังขึ้นในห้องพักของสาวลูกครึ่งนักเรียนทุน เธอเดินหมดแรงออกมาจากห้องน้ำ

            เด็กสาวนั่งกับพื้นพรมพิงตัวเองเข้ากับที่นอนยางนุ่มๆ ‘ลูกคุณหนูนั้น...ทำกันได้นะ’ เอลลี่นึกถึงอาการปวดท้องรุนแรงที่เกิดขึ้น ก็อดเอามือปิดปากไม่ได้ ‘อุ๊บ’

            “ฮัดชิ่ว” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำสลวยจามออกมาระหว่างที่กำลังดื่มน้ำชากับเพื่อนๆ

            “กินนี่สิคานะ ชีสเค้กที่พ่อครัวบ้านฉันทำ” เด็กสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลเพื่อนร่วมเล่นคอมมูนิตี้กับกรรณรัตเอ๋ยขึ้นพร้อมกับป้อนชีสเค้กให้เธอ

            “ขอบใจจ๊ะ” คานะอ้าปากอ้ามชีสเค้กคำโต แต่รสสัมผัสกลับไม่มีเลย ‘ไม่มีรสชาติเลยยยย รสเค็มๆที่คอนี่มันยังไม่หายไปจริงๆ’ คานะยิ้มให้เพื่อนๆของเธอพร้อมกับจิบชายามค่ำสบายๆ

            เอลลี่นั่งทบทวนวิชาที่เรียนในวันนี้พร้อมๆกับอัพรูปสถานที่ต่างๆในโรงเรียนลงบล็อกส่วนตัวของเธอ เด็กสาวนั่งกุมท้องที่ปวดตุบๆเหมือนมีของหนักๆอยู่ข้างใน ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เธอนั่งตัวงอจับดินสอเขียนสรุปวิชาเรียน

            ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความอิดโรย เหงื่อหลายเม็ดไหลจากแก้มลงมาที่ต้นคอแม้เธอจะเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำแต่ก็ไม่อาจดับไฟแค้นภายในใจไปได้

            หลังจากที่เพื่อนๆออกจากห้องของกรรณรัตไป เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวสลวย เปิดน้ำในอ่างจนพอดีแล้วทิ้งตัวลงแช่น้ำก่อนจะมองเหม่อขึ้นไปบนเพดาน

            “คอยดูเถอะ”เอลลี่กัดฟันแน่น

            “นักเรียนทุน”กรรณรัตบีบเป็ดยางในมือเธอ

            “เธอต้องชดใช้”ดินสอไม้ในมือของเอลลี่หักครึ่งดัง ‘โผละ’ ด้วยแรงบีบของเธอ

            “น่าสนใจจริงๆ” กรรณรัตบีบเป็ดยางในมือจนมันส่งเสีย ‘ฟี่ๆ’

........................................................................................................................................

เช้าวันต่อมา นักเรียนต่างทยอยเดินออกจากหอกันอย่างไม่เร่งรีบ นี่ก็เป็นวันที่สองสำหรับการเปิดภาคเรียน นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เรียนที่นี่มาตั้งแต่ ประถม หรือ ม.ต้น ทำให้พวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องความใหญ่โตของโรงเรียนนัก ก็คือไม่หลงนั้นล่ะ บรรยากาศของโรงเรียนตอนเช้าที่มีแดดไม่แรงมากกับต้นไม้เขียวขจีริมทางเดิน ส่งผลให้ที่นี่มีอากาศดีมากทีเดียว แถบไม่แตกต่างกับบรรยากาศร่มรื่นสบายๆของโรงเรียนในต่างจังหวัด เหล่านักเรียนต่างใช้ช่วงเวลาในตอนเช้าไปกับการเดินชมนกชมไม้ริมทาง นั่งรับประทานอาหารเช้า สไตล์คุณหนูใต้ต้นไมใหญ่ในสวนของโรงเรียน

            ครูหนุ่มใหญ่เจ้าของฉายา ‘ขึงขังใจดี’ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสมุดเช็คชื่อ ดูเหมือนนี่จะเป็นฉายาของเขาที่พวกนักเรียนที่รู้จักดีตั้งให้ “ก่อนจะเช็คชื่อ มาสเตอร์มีเรื่องจะบอกทุกคน อาจจะช้าไปหน่อยแต่ทางโรงเรียนเรามีนักเรียนทุนอีกคนหนึ่ง”

            นักเรียนในห้องต่างพากันทำสีหน้าแปลกประหลาดเพราะหนึ่งห้องไม่น่าจะมีนักเรียนทุนเกินหนึ่งคนตาม นโยบายของโรงเรียนที่ให้นักเรียนทุนแยกห้องกันเพื่อเรียนรู้สังคมใหม่ๆ เสียงพูดคุยจอแจเริ่มดังขึ้น

            “เอาล่ะๆ เงียบๆกันหน่อย”หนุ่มใหญ่เคาะกระดานสามครั้ง “เข้ามาได้”สิ้นเสียงเรียก ก็มีคนในชุดวอร์ดสีดำเดินเข้ามา “เอาล่ะแนะนำตัวหน่อย”

            “รัติกาล โชติวิวัฒน์ พรรณสกุล เรียกกานต์ ก็ได้ ฝากตัวด้วยนะ” คนตรงหน้าแนะนำตัวเสร็จก็ส่งรอยยิ้มหวานๆออกมา

            “โครตสวยเลย” เด็กหนุ่มในห้องเผลอหลุดปากออกมา “

            “ก็มีคนชมบ่อยๆนะ” กานต์ยิ้มรับ “ขอนั่งตรงนี้ได้ไหม มาสเตอร์?” กานต์ชี้ไปที่นั่งริมหน้าต่างด้านข้างเอลลี่

            “เชิญตามสบาย” มาสเตอร์ผายมือให้กานต์ “ก็น่าจะรู้จักเพื่อนใหม่กันแล้วนะ วันนี้มีใครไม่มาหรือเปล่า?”

            “นักเรียนทุนอีกคน คุณ อนาสตาเซียค่ะ” สาวผมสั้นท่าทางแก่เรียนยกมือตอบ

            “เพิ่งวันที่สองเองนะ ใครอยู่ใกล้ๆเธอก็ฝากไปดูด้วยล่ะ”พูดจบหนุ่มใหญ่ก็เดินออกจากห้องไป

            คนในห้องต่างจับจ้องไปที่กานต์ที่นั่งริมหน้าต่างแสงแดดอ่อนๆส่องผ่านช่องผ้าม่านกระทบกับผิวสีขาวอมชมพูของกานต์มันทำให้ดูเปล่งประกายเหมือนภาพวาด นัยน์ตาสีฟ้าสะท้อนกับแสงทำให้สีของมันดูสว่างขึ้นมาเป็นสีของท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆของกานต์เผยยิ้มออกมาทีล่ะนิด ทำให้คนในห้องหันหน้ากลับไป

            “คานะจัง”เพื่อนสาวรีบสะกิดเนยที่กำลังพึมพำๆกับตัวเอง “คานะจังๆ”

            “น่าจับไปวาดจริงๆ”เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยิ้มมุมปากก่อนจะเริ่มส่งเสียงหัวเราะแปลกๆออกมา ทำเอาคนกว่าครึ่งห้องรู้สึกขนลุกไปตามๆกัน

            มีคนเข้ามาพูดคุยกับกานต์บ้างตามเวลาพักคาบ บ้างก็สงสัยสีผมที่แปลกตา กับ ชุดวอร์มที่สวม กานต์ไม่พูดอะไรมากเขายิ้มๆถามคำตอบคำกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้นจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น นักเรียนส่วนใหญ่เก็บข้าวของเดินออกจากห้องเรียนไปด้วยท่าทางอิดโรย กรรณรัตเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆของเธอ เหลือเพียงกานต์ที่นั่งมองพระอาทิตย์ยามเย็น

            “วันนี้ไม่มาสินะ”กานต์พูดขึ้นเบาๆก่อนจะเก็บของและเดินออกจากห้องเรียนไป

            ทางเดินในตึกเรียนยามเย็น ไม่มีนักเรียนคนไหนอยู่เลยในตอนนี้ ส่วนใหญ่จะไปทำกิจกรรมเล่นกีฬาด้านนอกไม่ก็เข้าไปที่ตึกชมรม มีเพียงกานต์ที่เดินอยู่เพียงลำพังจนกระทั่ง

            “นักเรียนทุนอีกคนนิ”แจนพูดขึ้นในขณะที่เดินอยู่บนทางเดินอีกฝั่งกับปาม กานต์หันกลับไปยิ้มให้ทั้งสองคน แจนยิ้มตอบ

            “ไปกันเถอะแจนไม่มีเวลาแล้วนะ”ปามพูดขึ้นเบาๆ แจนพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังเดินขึ้นบันไดไปกับปาม

กานต์มองแผ่นหลังของทั้งสองก่อนเดินหายไป

            “มีคนอยู่ไหมเอ๋ย”เสียงใสร้องทักขึ้นพร้อมกับประตูห้องสมุดที่เปิดออกช้าๆ

            “ห้องสมุดปิดสาม2ทุ่มนะคะ” บรรณารักษ์สาวส่งยิ้มให้ผู้มาเยือน กานต์เดินเข้าไปที่ชั้นหนังสือ

            “ถ้าฉันจะยืมหนังสือต้องทำอะไรบ้าง?”กานต์หันหน้าไปหาบรรณารักษ์สาว

            “เป็นนักเรียนรึเปล่าคะ?”เธอถามขึ้นหลังจากพิจารณาการแต่งตัวของกานต์

            “เป็นนักเรียนสิ” กานต์ยิ้มตอบพร้อมกับแสดงบัตรประจำตัวนักเรียน

            “ดูที่แผ่นบันทึกด้านใน ถ้าเป็นเล่มที่สามารถยืมได้ ก็เอามาให้ฉันแล้วฉันจะทำเรื่องให้คุณค่ะ” หญิงสาวเดินตรงเข้ามาหากานต์ “แต่ถ้าเป็นคุณ เล่มที่ยืมไม่ได้ก็จะให้ยืมค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้กานต์

            “ดีจังเลย”กานต์ยิ้มตอบพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งหนังสือนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงให้เธอ

            “สักครู่นะคะ” หญิงสาวรับหนังสือไปลงบันทึกจากนั้นก็ส่งให้ “นี่ค่ะยืมได้3วันนะคะ”

            “รับทราบ” กานต์เดินออกจากห้องสมุดไป

            “น่าสนใจใช่ไหมล่ะ” เจ้าของผมสีดำยาวสลวยเอ๋ยขึ้น พร้อมกับจิบน้ำชา

            “คานะจัง เองหรอคะ” หญิงสาวเก็บหนังสือบนโต๊ะให้เข้าที่

            “ชาอร่อยนะ ทานด้วยกันไหมคะ?” เด็กสาวยิ้มให้บรรณารักษ์สาว

            “ก็ดีค่ะ”

....................................................................................................................................

‘ชู่ววว’ เสียงน้ำไหลผ่านคอห่านดังขึ้นพร้อมๆกับ เอลลี่ท่าทางอิดโรงเดินเกาะประตูห้องน้ำออกมา

            ‘ค่อยดีขึ้นหน่อย หาเกลือแร่ดื่มหน่อยดีกว่า’คิดได้แบบนั้นแล้วเอลลี่ก็ลงมาชั้นล่างเพื่อกดเครื่องดื่มเกลือแร่จากตู้ขายน้ำอัตโนมัติ แต่ทว่า

            “เอ้า เสียแล้วหรอ”เอลลี่ทุบที่ตู้เบาๆ “ป้านางคะ ตู้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เอลลี่ตะโกนถาม

            “ตายแล้วป้าลืมติดป้ายไว้ตู้มันเสียน่ะจ๊ะ วันนี้ช่างเขาไม่สะดวกเลยจะมาซ่อมให้พรุ่งนี้น่ะ” ป้านางตะโกนตอบกลับมาจากหลังชั้นเก็บของ

            “มันเป็นอะไรหรอคะ?”

            “เหมือนวันนี้หนูแจนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี น่ะจ๊ะเลยรุนแรงไปหน่อย”

            “เอ๊ะ พวกคนรวยนินะ.....” เอลลี่ถอนหายใจยาวๆ

            “แกเป็นเด็กดีนะหนูแจนน่ะ แค่แกอาจจะไม่ชินกับการเข้าหาคนอื่นน่ะจ๊ะ ยังไงก็เป็นเพื่อนกับแกหน่อยนะ” ป้านางโผล่หน้าออกมาจากหลังตู้เก็บของแล้วยิ้มกว้างให้เอลลี่

            เหมือนว่าตู้ที่ใกล้ที่สุดจะเป็นตรงทางเข้าอาคารเรียน ทางเดินในสวนตอนนี้ก็วังเวงเหลือเกิน แต่การเดินผ่านสวนจะเป็นทางที่เร็วที่สุดแล้ว ใจจริงแม้เธอจะไม่อยากไปเท่าไหร่แต่เหมือน ร่างกายมันร่ำร้องหาแต่เกลือแร่

            ‘วันนี้มันช่างย่ำแย่จริงๆ ไม่ได้นอนเลยปวดท้องชะมัด ในข้าวผัดของคุณหนูนั้นใส่อะไรเอากันนะ แค่คำเดียวจริงๆ แค่คิดก็ปวดตุบๆขึ้นมาแล้ว ถ้าเจอกันครั้งหน้า คงต้องสอนทำอาหารสักหน่อยแล้วล่ะใครเขาทำขาวผัดฆ่าคนแบบนี้กัน’   เอลลี่ลงมือบันทึกเรื่องราวต่างๆเพื่อไม่ให้ตัวเองสนใจบรรยากาศรอบตัวไม่กี่อึดใจเธอก็เดินมาถึงตู้ขายน้ำอัตโนมัติ

            “สวัสดี” เสียงนุ่มๆทักเอลลี่ที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้ขายน้ำ

            “อะ...กานต์หรอ” เอลลี่หยิบขวดเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม

            “ไม่สบายหรอวันนี้ไม่มาเรียน?”

            “เอ๊ะเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ไปเรียน”

            “ก็วันนี้ฉันไปเรียนไม่เจอเธอนิน่า เราอยู่ห้องเดียวกันนะ” กานต์หยอดเหรียญลงไปในตู้พร้อมกับกด นมกาแฟ

“ฉันก็เป็นนักเรียนทุนเหมือนกันเธอ เพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้น่ะ”

            อยู่ๆเรื่องเมื่อวันประถมนิเทศก็แว๊บเข้ามาในหัวของเอลลี่ ชื่อของนักเรียนทุน ที่ยังศึกษาอยู่ที่นี่“ทิวากาล นั้นใช่ชื่อของเธอรึเปล่า”  ‘เดี่ยวก่อนสิ นี่มันชื่อเมื่อสองปีก่อนถ้าเป็นจริง ต้องอยู่ปี 3 แต่ทำไมกานต์ถึงมาเรียนห้องเดียวกับฉันได้’

            “ไม่ใช่ ฉันชื่อ รัติกาล” แววตาของกานต์เปลี่ยนไป จากแววตาที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตรกับทุกๆคน ตอนนี้มันดู นิ่งและเยือกเย็น

            “หมายความว่ายังไง งั้นเธอก็ไม่ใช่นักเรียนทุนเมื่อสองปีก่อน?”

            “นั้นคงไม่ใช่ฉัน”

            “แต่ว่ารูปของนักเรียนคนนั้นเหมือนกับเธอมากเลยนะ” เอลลี่จ้องไปที่นัยน์ตาของกานต์

            “เหมือนกับฉันงั้นหรอ” กานต์ก้มหน้าลงครู่หนึ่ง

            “เด็กๆมาทำอะไรกันกลางค่ำกลางคืนจ๊ะรีบกลับหอพักได้แล้ว” มิส รุจิรา หรืออาจารย์สอนวิชาคหกรรม เอ๋ยทักทั้งสอง

            “อ่าค่ะ” เอลลี่ก้มหัวให้หญิงสาวพร้อมกับกานต์ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางหอพัก

            “ถ้าอยู่นานๆระวังบูกี้แมนมาจับตัวไปนะจ๊ะ” ครูสาวพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะกดรีโหมดรถยนต์

            “กึ๋ย! ค่า”

            “ยังไงก็เถอะ เธอรีบกลับไปที่หอเถอะ ล๊อคประตูดีๆด้วยนะ” กานต์มองไปที่เอลลี่

            “อืม...” เอลลี่ยังคงเก็บความสงสัยที่อยากจะถามเขาต่อจากเมื่อกี้กับเรื่องชุดวอร์มเอาไว้

            “เธอเองก็คงจะสงสัยอยู่ใช่ไหมเรื่องของนักเรียนทุนที่หายตัวไป โรงเรียนนี้มีอะไรไม่ปกติ เธอคิดแบบนั้นรึเปล่า”

            “ก็...อือ”

            เอลลี่แอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ดูเหมือนเธอจะไม่มีอารมณ์อยากจะแช่น้ำในอ่างเท่าไหร่ ในหัวก็มีแต่เรื่องสงสัยเต็มไปหมด ถ้าเอาไปขายได้เธอคงรวยเละ เด็กสาวเดินไปเช็คที่ประตูอีกครั้งว่าล๊อคไว้ดีแล้ว จากนั้นจึงปิดไฟในห้อง เธอหลับตาและนึกถึงคำพูดของกานต์

            ‘ก็ อย่างที่เธอคิดนั้นล่ะ โรงเรียนนี้ไม่มีอะไรธรรมดามาตั้งแต่แรกแล้ว’

...............................................................................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา