Eternal Blood 4 Black Witch Dimension
8.2
เขียนโดย OverWrite
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.37 น.
7 บท
3 วิจารณ์
8,777 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 00.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ความสงสัยเเละเลเวลของผม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเฮนรี่
เขาคนนั้นรีบเดินไปอย่างรีบร้อน ด้วยความที่ว่าผมพยายามที่จะเป็นมิตรที่สุดแก่คนต่างถิ่น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะกลับเข้าใจอะไรผิดไป หรือว่าจะคิดว่าผมเป็นพวกสิบแปดวงกุดกัน แต่ผมก็ได้ยิ้มให้แล้วนะ?
แต่ดูเหมือนจะแย่กว่าเดิม…
พอมาคิดดูดีๆ แล้ว มันก็เป็นวิธีที่พวกสิบแปดวงกุดใช้กันนิ
เขาคนนั้นจากเดินตอนนี้กลับรีบวิ่งลงจากเนินไป ไม่นานนักผมก็ได้เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้นห่างไกลออกไปจนเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก่อนที่จะหายลับเข้าไปในหมู่บ้าน
เจ้านั้นวิ่งเร็วแค่ไหนกันนะ?
นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญมาก จากตอนแรกผมแค่ออกมานั่งดื่มชาเหมือนกลับทุกๆ วัน แต่วันนี้กลับมีชายแต่งตัวแปลกประหลาดวิ่งออกมาจากป่าอสรพิษพร้อมกับงูยักษ์สีขาวที่หายากพอสมควร
วันนี้ช่างถือเป็นอีกวันที่แสนจะแปลกประหลาดจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ ข่าวลือเกี่ยวกับผู้มาจากต่างโลกแล้วก็ เรื่องของดาบวิเศษที่ตกลงมาจากฟ้า
แล้วก็เจ้าคนนั้น…
ผมกลับมานั่งจิบชาบนเก้าอี้ตัวโปรดแล้วกลับมาลองคิดดูดีๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
เจ้าคนนั้นแต่งตัวประหลาดพอควร การแต่งตัวแบบนั้นบอกไม่ได้เลยว่าทำอาชีพอะไร แล้วร้านเสื้อผ้าที่ไหนกันจะสามารถตัดเสื้อผ้าแบบนั้นได้
หรือว่าจะเป็นแฟชั่นใหม่
ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีทางมีคนคนเดียวใส่มัน และไม่มีทางที่มันจะบังเอิญเป็นเขาคนนั้นใส่ให้เราเห็นด้วย
แต่หากว่าเป็นเมืองจากแผ่นดินอื่นล่ะ?
ก็เป็นไปได้ถ้างั้นก็แสดงว่าเดินทางมาจากที่ห่างไกลจริงๆ
เพราะเมืองหลวงไม่ได้อยู่ทางนั้นและเนื้อผ้าที่ดูราคาแพงแบบนั้นแถบบ้านนอกแบบนี้ก็ไม่มีขายด้วย
ชะนั่นแล้วไม่มีทางที่เจ้านั่นจะสามารถมีเสื้อผ้าที่ดูราคาแพงแบบนั้นได้ทั้งที่ไม่ได้มาจากแผ่นดินอื่นหรือเมืองอื่นเป็นแน่
แต่ช่วงนี้มีปัญหาทางการเมืองระหว่างสามอาณาจักรอยู่ ทหารของต่างอาณาจักรจึงห้ามไม่ให้มีการออกเดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งคนนอกและคนในโดยเด็ดขาด เว้นได้เพียงแค่พ่อค้าเร่เท่านั้น
นั้นหมายความได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า
เจ้าคนนั้นจะต้องเป็นพ่อค้าจากดินแดนอื่น ไม่ใช่คนของอาณาจักรอลิส
ผมไม่ได้สนใจการเมืองมากนักเพราะเรื่องของคนชนชั้นสูงก็เป็นเรื่องของคนชนชั้นสูง ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับผมผู้เป็นจอมเวทย์ชนชั้นสามัญธรรมดาๆ
แต่ว่าของที่คนนั่นมีอยู่นั้นท่าทางน่าสนใจใช่ย่อย ผมไม่เคยได้เห็นสิ่งประดิษฐ์รูปร่างแบบนั้นมาก่อนเลย รวมถึงกระเป๋าไว้ใส่สำภาระแบบนั้นก็ด้วย ถ้าลองไปเสนอราคาดีๆ ให้จะยอมขายให้ไหมนะ?
แต่ว่าเราไม่มีเงินนิ
…
แต่พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว
พ่อค้าเร่แบบไหนกันที่เพียงพกแค่กระเป๋าไว้เก็บสำภาระ แต่กลับไม่มีเกวียนม้า มิหนำซ้ำยังใจกล้าเดินผ่านป่าที่พ่อค้าจำใจต้องหลีกเลี่ยงเพราะภายในมีทั้งปีศาจและสัตว์ประหลาด
แต่เจ้าคนนั้นกลับวิ่งออกมาจากป่าอสรพิษได้หน้าตาเฉย
แปลว่ามันไม่ได้เป็นพ่อค้า ถ้างั้นแล้วมันเป็นใครกัน เจ้าคนนั้นคือใครกัน
รินหรือ…คงเป็นชื่อปลอมสินะ ถ้างั้นแล้วมันจะต้องเป็น
ผู้มาจากต่างโลก
ผมยังไม่สามารถจะบอกได้เต็มปาก
แต่ความเป็นไปได้ยังมีอยู่
หมู่บ้านนักประจญภัยเป็นสถานที่แรกที่คนส่วนใหญ่จะมาลงบัญชีเพื่อเป็นนักประจญภัยกัน กลับกันการที่ได้รับการลงบัญชีจากประชาสำพันธ์ จะได้รับสิทธิ์ที่ไม่ต่างอะไรจากประชาชนชั่วคราวเลย
การเป็นนักประจญภัยถือว่าได้ทำประโยชน์แก่อาณาจักร
มันไม่ได้ต่างอะไรจากการทำงาน ทำเงินให้แก่บ้านเมืองเลย
จึงไม่จำเป็นจะต้องทำวีซ้า
คิดว่าคนที่เพิ่งมาจากต่างโลกอาจจะไปที่นั่นเป็นที่แรก
แล้วเจ้าคนนั้นก็เข้าไปในหมู่บ้านแล้วด้วย
ข่าวนั่น
ความแข็งแกร่งนั่น
ความอันตรายนั่น
ผมรีบดื่มชาจนหมดแล้วรีบจัดของพร้อมสู้ สะบัดชายผ้าคลุมแล้วจึงออกเดินไป
ผมเตรียมพร้อมสู้เต็มที่ คนที่มาจากต่างโลก ไม่มีทางมีฝีมือแค่โจรป่าแน่ ผมจะประมาทไม่ได้
ถึงแม้ว่าการสันนิษฐานนี้จะไม่มีหลักฐานอะไรเลยและเป็นเพียงแค่การด่วนสรุปเท่านั้น แต่ผมจะปล่อยไว้ไม่ได้
เพราะสิ่งที่ผมจะทำต่อจากนี้ไม่ใช่เพื่อพวกชนชั้นสูงพวกนั้น
หากแต่ว่าเพื่อหมู่บ้านนี้ที่ผมและอาจารย์ของผมรัก
โลกแฟนตาซี!!!
ท่องฟ้าแจ่มใสและอากาศที่เย็นสบายเนื่องจากไม่มีมลพิษ ผมกำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านที่มีผู้คนอยู่พลุกพล่าน ข้างทางต่างมีร้านค้ามากมาย ค่อยเรียกลูกค้าและขายของกันอย่างต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมและสิ่งปลูกสร้างเหมือนสมัยยุคกลางทางตอนเหนือของยุโรป แต่ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วกลับดูดีกว่าในหนังสือประวิศาสตร์มาก
เหมือนหลุดเข้ามาในเกม RPG ที่ไม่รู้จักเลย
ใช่แล้วเพราะผมหลุดมาอยู่ในโลกแฟนตาซียังไงล่ะ!
และที่นี่ก็คือต่างโลกยังไงล่ะ!
มีแต่คนที่แต่งตัวต่างจากโลกเดิมที่ผมมา
โลกนี้มีทั้งเวทย์มนต์และสัตว์ประหลาด
แต่ว่า…แล้วยังไงล่ะ?
ไม่สิ…แล้วยังไงต่อล่ะ?
จริงอยู่ที่ต้องดีใจที่ได้มาต่างโลกแบบนี้ แต่เพื่ออะไรกันล่ะ
การมาต่างโลกหมายถึงไม่มีบ้าน
การมาต่างโลกหมายถึงไม่มีเงิน
และการมาต่างโลกหมายถึงไม่มีคนรู้จักเลย
ผมเดินเรื่อยๆ จนพบซอยเปลี่ยวๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาที่ตั้งสติคิดหาทางต่อ
ขนาดกำลังนั่งอยู่บนชานพักบนไดทางเท้าอยู่ ก็เริ่มค่อยๆ คิดว่าต่อจากนี้จะเอายังไงต่อดี
ผมสอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วดึงโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ออกมา
ดึงกระดาษสีน้ำตาลออกมาสามใบ มันคือเงินจำนวนสามพันที่โลกเดิมถ้าใช่ดีๆ สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ได้เป็นสัปดาห์ แต่กลับกันเมื่อมันมาอยู่ยังโลกใบนี้แล้วมันกลับเป็นได้เพียงแค่เศษกระดาษที่นำเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
แต่ก็ยังสามารถเผาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้อยู่
แต่ใครอยากจะเผาเงินตัวเองล่ะ
ผมเก็บความคิดนั้นไปพร้อมกับเงินเข้าไปดั่งเดิมแล้วกดเปิดเข้ารหัสหน้าพักจอโทรศัพท์ เนื่องจากซอยแคบๆ นี้ไม่มีแสงและผู้คนเดินผ่าน แสงจากหน้าจอโทรศัพท์จึงสว่างกว่าปกติและไม่ทำให้ใครตกใจกับความสามารถของมัน
ผมเลื่อยหน้าจอเล่นไปมาพลางคิดถึงราคาที่มันจะทำให้ผมได้ ถ้าหากเอาเจ้านี้ไปขายคงต้องได้เงินเป็นจำนวนมากแน่ ด้วยความสามารถของมันและความแปลกตานี้ มันต้องเป็นสินค้าที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้แน่ หมายความว่าถ้าผมเอาเจ้านี้ไปขายก็จะรวยทันทียังไงล่ะ
แต่มาคิดดูแล้วของที่นำเอามาขายได้ก็ยังมีอยู่ ปืนต่างๆ ที่ผมมีอยู่ในกระเป๋า แต่ความคิดนั้นก็ตกไปทันที เรื่องอะไรจะเอาอาวุธที่สงอนุภาพแบบนั้นไปขายคนต่างโลกล่ะ เก็บไว้ใช้ยิงเล่นเองยังจะดีซะกว่า แต่พอมาคิดดูแล้วถ้าคนต่างโลกนี้ได้ปืนไปใช้คงวุ่นวายหน้าดูเลย แต่เรื่องอย่างนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะผมไม่ขายมันหรอก
หันกลับมาสนใจมือถือที่ส่องแสงอยู่ตรงหน้าของผมอีกครั้ง
“สามแสนเป็นไง…ก็ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับของอย่างนี้หรอกเนอะ”
ถึงจะยังไม่รู้ค่าเงินของโลกนี้ชัดเจนนัก แต่ที่เดินผ่านร้านค้าก็เห็นคนจ่ายค้าแอปเปิ้ลโดยใช้เหรียญหนึ่งเหรียญ เดินผ่านร้านเสื้อผ้าก็เห็นคนยืนจ่ายค่าเสื้อด้วยแบรงค์จำนวนหนึ่ง และผ่านร้านอาวุธก็เห็นคนจ่ายค่าชุดเกราะด้วยเหรียญเป็นถุง ไม่ก็แบรงค์เป็นปึกเพราะฉะนั้นแล้ว ราคาของเจ้านี้ก็น่าจะตกอยู่ที่ประมาณนี้
ก็รู้อยู่ว่ามันดูไม่มีเหตุผล แต่เท่าที่ทำได้ก็ว่าไปก่อน
แต่ที่แน่นอนด้วยระบบส่องไฟมือถือที่สว่างกว่าโคมไฟและความสามารถในการถ่ายหน้าคนอื่นได้
ไม่ผิดแน่! เจ้านี่จะต้องทำเงินให้ผมได้หลายร้อยเหรียญทองแน่! ขายต้องขายมันแล้ว!
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะขายมือถือที่ต่างโลกนี้ใช้โทรหาใครไม่ได้ ผมจึงลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋า แต่ทันใดนั้นก็พบเจอกับกลุ่มคนสามคนตรงหน้ากำลังเดินตรงเข้ามาหาผม
“เฮ้ยแกน่ะ ไม่อยากจะเจ็บตัวก็ส่งของที่มีอยู่ทั้งหมดมาซะ”
ชายผิวดำท่าทางจะเป็นโจรพูดขึ้น รวมถึงพวกที่เดินอยู่ข้างๆ
“ใช่แล้วๆ ไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งของๆ แกมาซะ”
“วันนี้ลูกพี่เขาอารมณ์ดีเดียวจะปล่อยแกไปเอง รีบๆ ส่งของๆ แกมาซะ”
ผมนี้ถึงกับเงียบเลย สถานการณ์ถูกโจรจะปล้นแบบนี้
เหมือนสึบารุคุงเลยให้ตายเถอะ
“เฮ้ยๆ ยังไม่รีบส่งของมาให้อีก หรือว่าอยากจะเจ็บตัวกันเจ้าอ่อน”
“ใช่ๆ เจ้าอ่อน”
ให้ตายเถอะโดนโจรกำลังจะปล้นจริงๆ ด้วย พวกมันเดินเข้ามาจนมาหยุดอยู่ตรงที่ผมกำลังยืนแล้ว หนึ่งนั้นเอื้อมมือจะมาคว้ากระเป๋าที่ผมถืออยู่ แต่ผมดึงมันเปลี่ยนมาไว้ด้านหลัง
“เฮ้ยแกขัดขืนเหรอ!?”
ผมถอนหายใจก่อนพูด เพราะด้วยสถานการณ์แบบนี้แล้ว
มันไม่ค่อยชินเลยจริงๆ สำหรับผม
ใช่…ไม่ชินเลยจริงๆ
สำหรับคนที่ไม่ฆ่าก็ต้องทำให้พิการอย่างผม
“พวกแกน่ะ ถ้าไม่อยากจะตายที่นี่ ตรงนี้ ก็ช่วยรีบๆ หนีไปตอนนี้ซะ อารมณ์ฉันมันไม่ได้ดีอยู่ตลอดหรอกนะ”
พวกมันสามตัวนิ่งเงียบไป
“”“ฮะๆๆๆๆๆ!!!”””
“ลูกพี่ได้ยินไหมมันขู่จะฆ่าพวกเราด้วยล่ะ”
“จะฆ่าอะไรกันพูดภาษาคนยังจะไม่รู้เรื่องเลย ยังจะมาทำเก่งอีก”
“แกจะยังไงก็จะไม่ให้ของดีๆ สินะ ถ้างั้น!!”
กำปั้นลอยตรงเข้ามาหาผม ผมหลบมันได้อย่างง่ายดายแล้วจับตัวมันทุ่มลงกับพื้นหินอย่างแรง ถึงจะตัวใหญ่กว่าแต่ใช้จังหวะออกหมัดของมันให้เป็นประโยชน์ ก็ช่วยให้ใช้ท่าทุ่มได้อย่างไม่ยากเลย มันที่ถูกผมทุ่มแผ่นหลังอัดกับพื้นนอนตัวขดอยู่กับพื้นทางเดินพลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
อีกสองคนเห็นลูกพี่ของพวกมันโดนจัดการเลยรีบวิ่งมาจะแทงผมด้วยมีด ผมเอนตัวไปด้านหลังพลางจับที่ข้อมือของมันแล้ว
หักทันที เสียงกระดูกของข้อมือที่เปลี่ยนรูปดังจนได้ยินชัดเจน
มันจะร้องตะโกนแต่ผมชกเข้าไปที่ดั้งจมูกมันจนเลือดกำเดาไหลแล้วชกหน้ามันซ้ำไปอีกที ตัวเซลงไปนอนพิงกำแพง อีกคนกะแทงมีดมาที่ผม ก็ถูกผมรับมันไว้ได้ด้วยระหว่างแขนใช้ศอกแทงแขนมันให้อ่อนแรงลงแล้วศอกเข้าไปที่หน้ามัน ดึงตัวมันเข้ามาแล้วแทงเข่าไปที่ท้องจนตัวเอียงล้มลงไปนอนขดตัวอีกคน
จบท้ายด้วยการที่ผมชักปืนออกไปชี้หน้าลูกพี่ของพวกมันที่แอบจะล็อคตัวผมจะข้างหลัง
เมื่อถูกของที่เหมือนจะเป็นอาวุธชี้จ่อหน้ามันก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำท่าว่าจะยอมแพ้โดยดี
ผมชี้ปืนตรงหน้ามันไม่นาน ก็เปลี่ยนไปชี้ตรงขามันแทน
“อ๊ากกกกกกกก!!!”
เสียงปืนดังลั่นแต่เพราะเสียงร้านค้าที่ดังพอๆ กันจึงกลบเสียงปืนไปได้
แต่ผมคิดว่าถึงได้ยินไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก
เจ้าหัวหน้ากลุ่มโจรจับกำขาของตัวเองแน่นไม่ให้เลือดไหลออกไปมากพลางน้ำตาซึม
เจ้าลูกน้องทั้งสองคนได้ยินเสียงของปืนและได้เห็นอนุภาพที่มันสามารถทำได้ก็ถึงกับนิ่งอึ่งพูดไม่ออก
คราวนี้ผมชี้ปากกระป๋องปืนไปที่หน้าของมัน
“มมมไม่…อย่าฆ่าฉันเลยนะ…ฉันยอมแล้ว…ฉ…ฉันยอมแพ้แล้ว!!”
พูดออกมาพลางน้ำมูกน้ำตาไหล น่าสมเพชจริงๆ
“แล้วยังไงล่ะ คนอย่างพวกแกต่อให้ตายไปก็คงไม่มีใครที่ไหนเขาคิดถึงหรอกใช่ไหม แล้วทำไมไม่ยอมอยู่เงียบๆ แล้วหายไปจากโลกนี้ซะเลยล่ะ”
มันได้ยินอย่างนั้นก็หน้าซีดก้มลงกราบผมทันที
“ขอร้องล่ะท่าน…ปล่อยพวกเราไปเถอะ!!”
“ช่วยไม่ได้นะถ้างั้นแล้วส่งของที่พวกแกมีอยู่ทั้งหมดมาซะแล้วฉันจะปล่อยไปพวกแกไป!”
ได้ยินผมพูดทั้งสามก็อึ้งอีกครั้ง
เป็นไงล่ะมาปล้นเขาแต่กลับโดนเขาปล้น
ทั้งสามหยิบของมาวางไว้ตรงหน้าผมพลางคุกเข่าขอชีวิต
กลับกันผมนั่งยองๆ นับเงินเหมือนพวกจิ๊กโก๋
“โอเคแค่นี้ก็คงพอเป็นค่าทำขวัญได้ เอ้าพวกแกไปได้!”
“””ขอบพระคุณครับ”””
แล้วพวกมันก็วิ่งจากผมไปโดยมีเจ้าลูกพี่เดินขากะเผลกคนเดียว
“เฮ้ยๆ อย่างน้อยก็มาช่วยมันหน่อยสิ”
วันนี้เป็นวันที่สองของการมายังต่างโลกแล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นไปผมก็ได้มาเช่าห้องพักอยู่ภายในหมู่บ้าน เนื่องจากเงินที่ได้จากพวกโจรมา (ปล้นมา) เงินที่ผมมีอยู่จึงสามารถเช่าห้องอยู่ได้
ผมได้จ่ายค่าห้องของวันนี้ไปแล้วเพราะยังไม่มีที่อื่นให้ปักหลัก และตราบใดที่ผมยังจ่ายค่าห้องล่วงหน้าอยู่ก็ยังสามารถกลับมานอนที่นี่ได้ ฉะนั้นแล้วผมคงจำเป็นต้องอาศัยที่นี่ไปก่อน ระหว่างนั้นก็สำรวจรอมหมู่บ้านเพื่อหางานทำ
และก็ต้องหาข้อมูลของโลกนี้เพิ่มและข่าวคราวของคนอื่นๆ ด้วย
เท่าที่ผมจำได้ผมไม่ใช่คนเดียวที่ถูกส่งมายังต่างโลกนี้ เหตุการณ์ตอนนั้นมีทั้ง แมรี่ เอก ไมค์ และผมที่ถูกส่งมาที่นี่ แต่เรื่องตามหาพวกนั้นเอาไว้ก่อน ยังไงก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรพวกนั้นอยู่แล้วด้วย
เรื่องที่ต้องห่วงตอนนี้จึงมีเพียงแค่เงินที่จะต้องใช้ในการกินอยู่ หาข้อมูลและเดินทางเท่านั้น
ว่าถึงเรื่องเดินทางแล้ว ผมยังไม่รูปจักภูมิประเทศของต่างโลกนี้เลย ที่นี่คืออาณาจักรอะไร ตั้งอยู่ที่ไหนและอาณาจักรข้างเคียงคืออาณาจักรอะไรผมเองก็ไม่รู้ ผมยังไม่สามารถออกเดินทางได้จนกว่าจะมีทุกอย่างครบ และนั้นก็หมายถึงแผนที่เอาไว้ใช้ในการเดินทางด้วย
ผมเดินออกจากห้องเช่าแล้วเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้านอย่างที่ได้วางแผนไว้
แล้วตอนนั้นผมก็ได้พบกับ สำนักงานแห่งหนึ่งเขา เมื่ออ่านจากป้ายชื่อแล้วก็เข้าใจเลย
ผมอ่านไม่ออกเลย ตัวอักษรอะไรก็ไม่รู้เหมือนงูเลื่อยเลย
ผมจึงเดินมามองเข้าไปในนั้น ก็เข้าใจแล้วว่ามันคือสถานที่เอาไว้ทำอะไร
มีผู้คนมากมายสูงใหญ่หรือจะตัวเล็ก ชายหรือจะหญิง และแก่หรือว่าหนุ่มก็เข้าออกที่แห่งนี้
และดูจากการแต่งตัวที่ถือดาบ ถือโล่กันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เข้าใจว่าที่นี่มีไว้สำหรับนักประจญภัย
เหมือนกับตอนที่ผมเคยเล่นเกมห้องไอ้เอกอยู่ก็ออกประมาณนี้เหมือนกัน โดยเราจะได้รับบทเป็นนักประจญภัยมือใหม่และมายังที่แห่งนี้เพื่อหางานรับจ้างทำ
กำลังต้องการอยู่พอดีเลย
ผมยิ้มพลางถือกระเป๋าเดินเข้าไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็พบว่ามันค่อนข้างจะยุ่งพอสมควร แต่ไม่นานคนก็เริ่มที่จะลดลงเรื่อยๆ สังเกตจากคนที่มุงดูตรงกระดานที่ติดกระดาษงานต่างๆ ไม่นานกระดาษก็เริ่มลดลงและคนในนี้ก็เริ่มลดลงตาม บนกระดานเหลือกระดาษเพียงไม่กี่ใบ แต่ก่อนอื่นผมต้องลงทะเบียนก่อน
ใช่ไหม? นี่จำมาจากในเกมเลยนะ
พอเดินตรงไปที่ประชาสัมพันธ์หน้าเคาเตอร์ก็มีพี่สาวท่าทางใจดีเดินออกมาต้อนรับ
“ไม่ทราบว่าต้องการอะไรหรือค่ะ”
“เออ ผมจะมาสมัครเป็นนักประจญภัยน่ะครับ”
ครั้งแรกที่ได้คุยกับสาวสวยจากต่างโลก ไม่ใช่เจ้าเกย์นั่น!
“จะมาเป็นนักประจญภัยมือใหม่สินะค่ะ ถ้างั้นคุณช่วยกรอกชื่อลงในใบนี้ด้วยนะคะ แล้วดิฉันจะอธิบายขั้นตอนต่อไป”
ผมทำอย่างที่เธอบอก เขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษแล้วส่งกลับไปให้เธอ
“ไม่ทราบว่าชื่อเล่นชื่ออะไรคะ?”
“รินครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะข้ออธิบายถึงเรื่องของเลเวลและการอัพเลเวลนะคะ เลเวลคือสถานะของค่าประสบการณ์ที่บุคคลนั้นมีอยู่โดยจะสามารถเพิ่มเลเวลได้ก็ต่อเมื่อได้ทำการฆ่ามอนสเตอร์หรือทำกิจกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเก็บประสบการณ์ ขอยกตัวอย่างเช่นการทำไร่ทำนาก็แล้วกันนะคะ ถ้าเกิดว่าทำการเกษตรไปเรื่อยๆ ก็สามารถเลเวลอัพได้เหมือนกันคะ”
หมายความว่าจะทำงานอะไรก็ตามแต่ก็ต้องมาที่นี่ก่อนสินะ
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณรินอยากจะทำอาชีพอะไรกันคะ? เกษตรกร? พ่อค้า? พี่เลี้ยงเด็ก?”
ไอ้พ่อค้ากับเกษตรกรน่ะเข้าใจ แต่พี่เลี้ยงเด็กเนี่ยนะ? พอเลเวลอัพแล้วจะป้อนนมเด็กเก่งขึ้นเหรอ!?
“อืม ไม่ทราบว่าคุณรินอยากจะทำอาชีพอะไรหรือคะ?”
ขนาดผมกำลังคิดเรื่องพี่เลี้ยงเด็กอยู่ เธอก็ถามซ้ำอีกครั้ง
“ขอโทษครับ ถ้างั้นแล้ว ผมอยากจะสมัครเป็นนักประจญภัยครับ”
“แต่ว่าชุดคุณ ดูไม่น่าจะเหมาะกับการออกไปสู้นะคะ ถ้างั้นแล้วพี่เลี้ยง-”
“ไม่ครับ! ไม่เอาพี่เลี้ยงเด็กครับ!”
“แต่ถ้าหากคุณรินอยากจะเป็นนักประจญภัยก็ต้องมีอุปกรณ์อย่างน้อยที่สุดก็ดาบนะคะ?”
“ผมมีของที่ดีกว่านั้นอีกครับ ขอร้องคุณพี่ช่วยเขียนนักประจญภัยให้ผมทีเถอะครับ”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ดิฉันจะดำเนินการให้เดี๋ยวนี้แหละคะ แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็ตามทางเราจะไม่รับผิดชอบนะคะ แต่ถ้าอยากจะกลับมาเปลี่ยนอาชีพค่าดำเนินการจะอยู่ที่ 200 เหรียญอลิสนะคะ แน่ใจหรือคะ?”
“ตามนั้นเลยครับ”
ไม่นานเจ้าตัวก็เขียนข้อมูลเป็นภาษาที่ผมก็อ่านไม่ออกแล้วลงลายเซ็นท้ายมุมกระดาษ แล้วจึงส่งกระดาษใบนั้นให้ผม
ว่าเถอะทำไมผมถึงได้พูดคุยกับคนพวกนี้ได้แต่กลับอ่านภาษาของพวกเขาไม่ได้กันนะ
“ต่อจากนี้จะทำการยืนยันการลงทะเบียนในถานะนักประจญภัยแล้วนะคะ จะข้อถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมรับการเป็นนักประจญภัยใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วขอให้คุณรินเอานิ้วชี้มาแตะในกรอบสี่เหลี่ยมบนกระดาษเลยคะ”
ผมทำตามที่เธอบอกเอานิ้วชี้ข้างขวาไปเตะบนกระดาษ แล้วจู่ๆ มันก็ส่องแสงขึ้น ตัวอักษรต่างๆ บนกระดาษต่างก็ส่องแสงจากทางซ้ายไปทางขวาแล้วก็หายไป ต่อจากนั้นก็ส่องแสงอีกครั้งเป็นสีฟ้าทั้งหมดแล้วหายไป
“เท่านี้คุณรินก็ได้เป็นนักประจญภัยแล้วนะคะ ส่วนเรื่องงานก็สามารถดึงกระดาษจากกระดานตรงนั้นแล้วนำมาให้ดิฉัน ดิฉันจะดำเนินการให้แล้วคุณก็ออกทำงานได้เลยคะ ขอให้เลือกตามความเหมาะสมนะคะ อย่างสุดท้ายของการเป็นนักประจนภัยดิฉันขอถามด้วยนะคะว่าคุณรินอยากจะเป็นอะไร นักดาบ นักเวทย์ นักบวช นักธนู เชิญเลือดได้เลยคะ”
“ข้อมูลนี้จำเป็นมากไหมครับ?”
“ไม่เลย แค่อยากถามค่ะ”
“พอมีอะไรจะอธิบายเรื่องพวกนี้ไหมครับ?”
“ก็อย่างเช่นถ้าหากว่าคุณรินอยากที่จะเป็นนักดาบ ตัวของนักดาบเองถึงแม้จะมีชื่ออย่างนั้นแต่ถ้าจะใช้อาวุธอย่างอื่นนอกจากดาบก็ได้คะเพียงแต่หากไปเรียนเวทย์มนต์จากหนังสือเวทย์อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถใช้เวทได้ดีเท่านักเวทย์ได้หรอกคะ เช่นเดียวกันนักเวทย์จะใช้เวทย์ได้ดีกว่าแต่ก็ต้องเรียนเวทย์มนต์และเพราะไม่ได้ใช้ดาบจึงไม่ค่อยได้ออกกำลังและฝึกฝนวิชา การจะเป็นนักเวทย์ที่ใช้ดาบไปด้วยจึงเป็นเรื่องงานมากค่ะ อย่างอื่นก็ประมาณนี้แหละคะ”
ถ้าเป็นนักดาบก็ยังสามารถใช้เวทย์ได้แต่ก็ไม่ดีเท่าพวกจอมเวทย์ แต่ถ้าเป็นจอมเวทย์ก็ต้องศึกษาจากหนังสือเยอะๆ จนไม่มีเวลามาออกกำลังกายเลยอ่อนแอ
พอมาคิดๆ ดูแล้ว ความเป็นโลกแฟนตาซีนี้ที่ผสมความเป็นเกมก็ไม่ได้ต่างจากการใช้ชีวิตจริงๆ มากนัก
ทำอะไรมากๆ เข้าก็จะเก่งเองและไม่มีใครได้อะไรมาได้อย่างง่ายๆ โดยไม่พยายาม
แสดงว่าถึงแม้นักเวทย์จะอัพท่าใหม่ได้ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้ถูกสอนหรือหาอ่านและฝึกฝนเองแล้วสินะ
ถึงการอธิบายของเจ้าตัวจะงงๆ
แต่เท่าที่ผมเข้าใจก็คือ
มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว
ว่าง่ายๆ ก็คือ อยากจะเป็นอะไรก็ได้ตามใจฉัน
ตั้งแต่แรกแล้วที่ผมไม่ได้แปลกใจมากกับการมายังโลกแฟนตาซี
คงเป็นเพราะเคยชินกับการเล่นเกมห้องไอ้เอกล่ะนะ
แต่ที่สำคัญคงเป็นเพราะโลกของผมเองมันก็ไม่ได้ธรรมดาเลย
มีทั้งปาฏิหาริย์ มีทั้งปรากฏการณ์ มีทั้งจินตนาการ
และมีทั้งแวมไพร์อมตะ
ไม่ได้ต่างจากโลกแฟนตาซีโลกหนึ่งเลย
“คุณรินยังมีอะไรสงสัยไหมคะ?”
“แสดงว่านักดาบบางคนก็อ่านหนังสือเวทย์ไม่ออกสินะครับ”
“คุณรินหัวไวดีนะคะ ใช่แล้วค่ะเป็นแบบนั้นเลยค่ะ”
ผมยิ้มเพราะเขินที่เธอชมพลางนึกอะไรออกจึงได้ถามเธอไป
“แล้วตัวเลขเลเวลของผมล่ะครับ ดูตรงไหนเหรอครับ?”
“ดิฉันคิดว่ามันกำลังจะออกมาเร็วๆ นี้ตรงหัวมุมด้านบนทางซ้ายค่ะ”
เป็นอย่างที่เธอบอกจริง จู่ๆ ก็ปรากฏตัวเลขสีฟ้าขึ้นตรงที่เธอบอก และตัวกระดาษก็ถูกเปลี่ยนรูปร่างให้เล็กลงเหลือเท่าบัตรประชาชน กลายเป็นการ์ดนักประจญภัยไปแทน
เธอเห็นอย่างนั้นแล้วจึงยิ้มให้
“การ์ดนี่ถึงจะหายไปก็ไม่เป็นอะไรคะ เพราะข้อมูลของคุณรินถูกบันทึกเอาไว้แล้ว และเนื่องจากเลเวลของคุณรินเป็นเพียงเลเวล 1 เพราะฉะนั้น ดิฉันแนะนำให้คุณรินไปหากลุ่มนักประจญภัยอยู่ด้วยนะคะ การล่ามอนสเตอร์จะได้ไม่ยากเย็นและอันตรายค่ะ”
ผมเงียบพลางจ้องมองตรงหัวมุมกระดาษ พี่สาวประชาสัมพันธ์เห็นผมเงียบไปจึงพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“คุณรินคะ…ถ้าอยากเปลี่ยนอาชีพตอนนี้ ดิฉันจะคุยให้หัวหน้าแผนกลดราคาค่าดำเนินการให้นะคะ?”
ใจดีจังเลยนะ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
“คือไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่ของผมมันไม่ใช่เลข 1 น่ะสิครับ”
“แหมคุณรินก็ เข้าใจเล่นเหมือนกันนะคะ มันจะไม่มีทางเป็นเลข 1 ได้ยังไงล่ะคะ ก็เพิ่งลงทะเบียนเอง”
ผมยื่นการ์ดนักประจนภัยให้เธอดู เธอหยิบจากมือผมด้วยรอยยิ้มเริงร่าแล้วจึงมองดูมัน
ทันใดนั้นเองสีหน้าของเธอก็ได้เปลี่ยน จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มแฝงความเรียบร้อย
“เลเวล 80!!!”
ทุกคนในที่นั้นต่างหันมามองด้วยความแปลกใจเนื่องจากเสียงของเธอ
“อย่าเสียงดังขนาดนั้นสิครับ คนเขาหันมามองกันแล้วนะครับ”
“ขอโทษค่ะ แต่ว่า…เลเวลแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยนะคะ ไม่ว่าใครก็ตามที่มาที่นี่ ไม่ว่าจะได้ทำงานมาก่อนแล้วหรือแม้แต่เคยฆ่ามอนสเตอร์แล้วก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จะมีการเลเวลอัพได้หากไม่มาที่นี่ก่อน แต่ทำไมของคุณถึงได้เลเวลมากขนาดนี้ได้กันล่ะคะ? ดิฉันว่าอาจจะมีการผิดพลาดอะไรสักอย่างแน่ค่ะ ให้ดิฉันแก้ไขให้นะคะ”
“เออ ผมว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดพลาดหรอกครับ”
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้
เข้าใจดีเลยด้วย
เหมือนกับว่าการมายังต่างโลกของพวกผมจะไม่ใช่แค่การเดินทางข้ามมิติมาเฉยๆ
แต่ข้อมูลความสามารถและพลังของพวกเราเหมือนจะถูกดึงมาด้วย
การ์ดนักประจญภัยมันถึงได้เป็นแบบนี้
เพราะมันพยายามแสดงข้อมูลจริงๆ ของคนคนนั้นยังไงล่ะ
ถ้าของเรา 80 ของแมรี่จะเท่าไหร่นะ ไม่อยากจะคิดเลย
“เอาเป็นว่าพี่สาวช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ”
ผมพูดเสียงเบาให้เธอได้ยินคนเดียว
“อย่าบอกนะคะว่าคุณคือผู้มาจากต่างโลก”
“ข่าวแบบนั้นได้ยินมาจากไหนกันครับ?”
“พูดอะไรกันคะคุณริน ข่าวนี้ออกมาจะสี่วันแล้วนะคะ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้หมดแล้วด้วย ถึงจะยังมีคนบอกว่าเป็นข่าวลือก็เถอะ”
มาขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องปกปิดอะไร ไหลไปตามน้ำเลยแล้วกัน ผมแอบขยับตัวเข้าใกล้คุณพี่สาวมากขึ้นแล้วค่อยๆ พูด
“ใช้แล้วครับผมคือผู้มาจากต่างโลก”
“คุณรินคือผู้มาจากต่างโลก!”
“เงียบๆ สิ อย่าส่งเสียงดังสิครับ”
“ขอโทษๆ ว่าต่อมาเลยค่ะ”
ว่าเถอะคุณพี่กลิ่นตัวหอมจังนะครับ
สีหน้ามุ่งมันแบบนี้ถ้าพูดประโยคถัดไปคงยอมเชื่อแน่
ถ้างั้น…
“ผมคือผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาเพื่อมาปราบจอมมารครับ”
“คุณรินคือผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาเพื่อมาปราบจอมมารสินะคะ”
“ใช่ครับ”
“โกหกสินะคะ”
“เอ๋!?”
“ก็ตามข่าวบอกว่าผู้มาจากต่างโลกนั้นทั้งป่าเถื่อน ต่ำช้า และเลวซามมากเลยนิค่ะ ทั้งขู่ฆ่าทหารรักษาการ”
นั่นคงเป็นแมรี่…
“ทั้งชกหน้าอาจารย์สอนเวทย์ แห่งโรงเรียนเวทย์มนต์”
นั่นคงเป็นไมค์…
“ทั้งทำลายกำแพงของเมืองหลวงด้วยการเดินชน”
นั่นคงเป็นเอก…
“แล้วก็เร็วๆ มานี้เราได้รับแจ้งมาว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนสามคนถูกปล้นชิงทรัพย์ด้วยอาวุธรูปทรงประหลาดและพอชิงทรัพย์ได้ก็แสยะยิ้มน่าขนลุกด้วย ไม่ทราบว่านั่นเป็นคุณรินหรือเปล่าคะ?”
ไอ้สามตัวนั่นแน่เลย!
“ไม่มีทางหรอกครับ คนดีไม่ตีสีใส่ไข่อย่างผมไม่มีทางทำอะไรโหดร้ายอย่างนั้นหรอกครับ”
“ดิฉันได้รับแจ้งมาว่าโจรคนนั้นแต่งตัวเหมือนคุณรินเลยนะคะ?”
“ผิดคนแล้วล่ะครับ”
“จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ดิฉันไม่เอาเรื่อง อีกอย่างถึงคุณรินจะเป็นผู้มาจากต่างโลกจริงและมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ จอมมารที่บอกจะปราบก็ไม่มีให้ปราบหรอกนะคะ”
“หมายความว่าไงนะครับ?”
“โลกนี้น่ะ จอมมารน่ะ ได้ถูกราชาปราบไปตั้งแต่สิบปีที่แล้วแล้วล่ะคะ ด้วยฝีมือของราชาแห่งอลิส”
จอมมารถูกปราบไปแล้ว
ด้วยฝีมือราชาด้วยนะ?
ไม่มีเรื่องไหนเหมือนเรื่องนี้แล้วมั้ง
แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
เพราะการที่ผมถูกส่งมายังมิตินี้ โลกนี้
มาจากฝีมือของแม่มดต่างหาก
พี่สาวจ้องหน้าผมและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“…คุณรินมาที่นี่ มาโลกนี้ เพื่ออะไรกันแน่คะ?”
เรื่องนั้น
“ผมก็กำลังหาคำตอบเหมือนกันครับ”
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ผมก็ถูกใครบางคนจับที่ไหล่ซ้าย
เมื่อหันหน้าไปตัวผมก็ซีดเหมือนสีขาวดำ หัวเข่าเริ่มอ่อนแรงเหมือนถูกผีเด็กขี้คอ
“ว่าไงริน มาทำอะไรที่นี่หรือ”
ไอ้เกย์นี่อีกแล้ว
ชื่ออะไรนะ อ่ออยากลืมจัง
“โห่ คุณรินรู้จักกับคุณเฮนรี่ด้วยหรือคะ?”
“ก็…”
“เราเพื่อนกันน่ะครับ ใช่ไหมริน”
ใช่กับผีสิ ถูกแกเรียกชื่อขนตูดก็ลุกแล้ว ใครก็ได้ ใครก็ได้เอามันออกไปที! อย่ามาจับไหล่ตูนะโว้ย!
“นี่เจ้าลงทะเบียนเป็นนักประจญภัยแล้วหรือนี่ ดีเลยถ้างั้นเราไปล่ามอนสเตอร์กระจอกๆ เล่นกันไหม? คุณลีน่าครับ ช่วยจัดงานล่าก็อบลินให้หน่อยนะครับ”
“ได้เลยค่ะๆ งานล่าก็อบลิน ในป่าอสรพิษน่าจะมีอยู่ฝูงหนึ่งนะคะ ถ้างั้นแล้วช่วยไปจัดการให้หน่อยนะคะ”
“ตามนั้นเลยครับ มาๆ ไปกันเถอะคู่หู”
“เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ อยากไปล่าก็ไปล่าเองสิ!”
คู่เกย์สิ! ไม่เอาโว๊ย! ไม่ต้องมาโอบไหล่ตู!
“เป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เลยนะคะ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นเลย”
พี่สาวมองพวกผมด้วยสายตาที่หื่นกระหาย
เฮ้ยคุณเธอเป็นสาว Y เหรอ!?
“ไม่หรอกครับๆ เราไม่ควรจะเกิดมาเจอกันด้วยซ้ำครับ!!!”
เขาคนนั้นรีบเดินไปอย่างรีบร้อน ด้วยความที่ว่าผมพยายามที่จะเป็นมิตรที่สุดแก่คนต่างถิ่น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะกลับเข้าใจอะไรผิดไป หรือว่าจะคิดว่าผมเป็นพวกสิบแปดวงกุดกัน แต่ผมก็ได้ยิ้มให้แล้วนะ?
แต่ดูเหมือนจะแย่กว่าเดิม…
พอมาคิดดูดีๆ แล้ว มันก็เป็นวิธีที่พวกสิบแปดวงกุดใช้กันนิ
เขาคนนั้นจากเดินตอนนี้กลับรีบวิ่งลงจากเนินไป ไม่นานนักผมก็ได้เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้นห่างไกลออกไปจนเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก่อนที่จะหายลับเข้าไปในหมู่บ้าน
เจ้านั้นวิ่งเร็วแค่ไหนกันนะ?
นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญมาก จากตอนแรกผมแค่ออกมานั่งดื่มชาเหมือนกลับทุกๆ วัน แต่วันนี้กลับมีชายแต่งตัวแปลกประหลาดวิ่งออกมาจากป่าอสรพิษพร้อมกับงูยักษ์สีขาวที่หายากพอสมควร
วันนี้ช่างถือเป็นอีกวันที่แสนจะแปลกประหลาดจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ ข่าวลือเกี่ยวกับผู้มาจากต่างโลกแล้วก็ เรื่องของดาบวิเศษที่ตกลงมาจากฟ้า
แล้วก็เจ้าคนนั้น…
ผมกลับมานั่งจิบชาบนเก้าอี้ตัวโปรดแล้วกลับมาลองคิดดูดีๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
เจ้าคนนั้นแต่งตัวประหลาดพอควร การแต่งตัวแบบนั้นบอกไม่ได้เลยว่าทำอาชีพอะไร แล้วร้านเสื้อผ้าที่ไหนกันจะสามารถตัดเสื้อผ้าแบบนั้นได้
หรือว่าจะเป็นแฟชั่นใหม่
ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีทางมีคนคนเดียวใส่มัน และไม่มีทางที่มันจะบังเอิญเป็นเขาคนนั้นใส่ให้เราเห็นด้วย
แต่หากว่าเป็นเมืองจากแผ่นดินอื่นล่ะ?
ก็เป็นไปได้ถ้างั้นก็แสดงว่าเดินทางมาจากที่ห่างไกลจริงๆ
เพราะเมืองหลวงไม่ได้อยู่ทางนั้นและเนื้อผ้าที่ดูราคาแพงแบบนั้นแถบบ้านนอกแบบนี้ก็ไม่มีขายด้วย
ชะนั่นแล้วไม่มีทางที่เจ้านั่นจะสามารถมีเสื้อผ้าที่ดูราคาแพงแบบนั้นได้ทั้งที่ไม่ได้มาจากแผ่นดินอื่นหรือเมืองอื่นเป็นแน่
แต่ช่วงนี้มีปัญหาทางการเมืองระหว่างสามอาณาจักรอยู่ ทหารของต่างอาณาจักรจึงห้ามไม่ให้มีการออกเดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งคนนอกและคนในโดยเด็ดขาด เว้นได้เพียงแค่พ่อค้าเร่เท่านั้น
นั้นหมายความได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า
เจ้าคนนั้นจะต้องเป็นพ่อค้าจากดินแดนอื่น ไม่ใช่คนของอาณาจักรอลิส
ผมไม่ได้สนใจการเมืองมากนักเพราะเรื่องของคนชนชั้นสูงก็เป็นเรื่องของคนชนชั้นสูง ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับผมผู้เป็นจอมเวทย์ชนชั้นสามัญธรรมดาๆ
แต่ว่าของที่คนนั่นมีอยู่นั้นท่าทางน่าสนใจใช่ย่อย ผมไม่เคยได้เห็นสิ่งประดิษฐ์รูปร่างแบบนั้นมาก่อนเลย รวมถึงกระเป๋าไว้ใส่สำภาระแบบนั้นก็ด้วย ถ้าลองไปเสนอราคาดีๆ ให้จะยอมขายให้ไหมนะ?
แต่ว่าเราไม่มีเงินนิ
…
แต่พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว
พ่อค้าเร่แบบไหนกันที่เพียงพกแค่กระเป๋าไว้เก็บสำภาระ แต่กลับไม่มีเกวียนม้า มิหนำซ้ำยังใจกล้าเดินผ่านป่าที่พ่อค้าจำใจต้องหลีกเลี่ยงเพราะภายในมีทั้งปีศาจและสัตว์ประหลาด
แต่เจ้าคนนั้นกลับวิ่งออกมาจากป่าอสรพิษได้หน้าตาเฉย
แปลว่ามันไม่ได้เป็นพ่อค้า ถ้างั้นแล้วมันเป็นใครกัน เจ้าคนนั้นคือใครกัน
รินหรือ…คงเป็นชื่อปลอมสินะ ถ้างั้นแล้วมันจะต้องเป็น
ผู้มาจากต่างโลก
ผมยังไม่สามารถจะบอกได้เต็มปาก
แต่ความเป็นไปได้ยังมีอยู่
หมู่บ้านนักประจญภัยเป็นสถานที่แรกที่คนส่วนใหญ่จะมาลงบัญชีเพื่อเป็นนักประจญภัยกัน กลับกันการที่ได้รับการลงบัญชีจากประชาสำพันธ์ จะได้รับสิทธิ์ที่ไม่ต่างอะไรจากประชาชนชั่วคราวเลย
การเป็นนักประจญภัยถือว่าได้ทำประโยชน์แก่อาณาจักร
มันไม่ได้ต่างอะไรจากการทำงาน ทำเงินให้แก่บ้านเมืองเลย
จึงไม่จำเป็นจะต้องทำวีซ้า
คิดว่าคนที่เพิ่งมาจากต่างโลกอาจจะไปที่นั่นเป็นที่แรก
แล้วเจ้าคนนั้นก็เข้าไปในหมู่บ้านแล้วด้วย
ข่าวนั่น
ความแข็งแกร่งนั่น
ความอันตรายนั่น
ผมรีบดื่มชาจนหมดแล้วรีบจัดของพร้อมสู้ สะบัดชายผ้าคลุมแล้วจึงออกเดินไป
ผมเตรียมพร้อมสู้เต็มที่ คนที่มาจากต่างโลก ไม่มีทางมีฝีมือแค่โจรป่าแน่ ผมจะประมาทไม่ได้
ถึงแม้ว่าการสันนิษฐานนี้จะไม่มีหลักฐานอะไรเลยและเป็นเพียงแค่การด่วนสรุปเท่านั้น แต่ผมจะปล่อยไว้ไม่ได้
เพราะสิ่งที่ผมจะทำต่อจากนี้ไม่ใช่เพื่อพวกชนชั้นสูงพวกนั้น
หากแต่ว่าเพื่อหมู่บ้านนี้ที่ผมและอาจารย์ของผมรัก
โลกแฟนตาซี!!!
ท่องฟ้าแจ่มใสและอากาศที่เย็นสบายเนื่องจากไม่มีมลพิษ ผมกำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านที่มีผู้คนอยู่พลุกพล่าน ข้างทางต่างมีร้านค้ามากมาย ค่อยเรียกลูกค้าและขายของกันอย่างต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมและสิ่งปลูกสร้างเหมือนสมัยยุคกลางทางตอนเหนือของยุโรป แต่ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วกลับดูดีกว่าในหนังสือประวิศาสตร์มาก
เหมือนหลุดเข้ามาในเกม RPG ที่ไม่รู้จักเลย
ใช่แล้วเพราะผมหลุดมาอยู่ในโลกแฟนตาซียังไงล่ะ!
และที่นี่ก็คือต่างโลกยังไงล่ะ!
มีแต่คนที่แต่งตัวต่างจากโลกเดิมที่ผมมา
โลกนี้มีทั้งเวทย์มนต์และสัตว์ประหลาด
แต่ว่า…แล้วยังไงล่ะ?
ไม่สิ…แล้วยังไงต่อล่ะ?
จริงอยู่ที่ต้องดีใจที่ได้มาต่างโลกแบบนี้ แต่เพื่ออะไรกันล่ะ
การมาต่างโลกหมายถึงไม่มีบ้าน
การมาต่างโลกหมายถึงไม่มีเงิน
และการมาต่างโลกหมายถึงไม่มีคนรู้จักเลย
ผมเดินเรื่อยๆ จนพบซอยเปลี่ยวๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาที่ตั้งสติคิดหาทางต่อ
ขนาดกำลังนั่งอยู่บนชานพักบนไดทางเท้าอยู่ ก็เริ่มค่อยๆ คิดว่าต่อจากนี้จะเอายังไงต่อดี
ผมสอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วดึงโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ออกมา
ดึงกระดาษสีน้ำตาลออกมาสามใบ มันคือเงินจำนวนสามพันที่โลกเดิมถ้าใช่ดีๆ สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ได้เป็นสัปดาห์ แต่กลับกันเมื่อมันมาอยู่ยังโลกใบนี้แล้วมันกลับเป็นได้เพียงแค่เศษกระดาษที่นำเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
แต่ก็ยังสามารถเผาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้อยู่
แต่ใครอยากจะเผาเงินตัวเองล่ะ
ผมเก็บความคิดนั้นไปพร้อมกับเงินเข้าไปดั่งเดิมแล้วกดเปิดเข้ารหัสหน้าพักจอโทรศัพท์ เนื่องจากซอยแคบๆ นี้ไม่มีแสงและผู้คนเดินผ่าน แสงจากหน้าจอโทรศัพท์จึงสว่างกว่าปกติและไม่ทำให้ใครตกใจกับความสามารถของมัน
ผมเลื่อยหน้าจอเล่นไปมาพลางคิดถึงราคาที่มันจะทำให้ผมได้ ถ้าหากเอาเจ้านี้ไปขายคงต้องได้เงินเป็นจำนวนมากแน่ ด้วยความสามารถของมันและความแปลกตานี้ มันต้องเป็นสินค้าที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้แน่ หมายความว่าถ้าผมเอาเจ้านี้ไปขายก็จะรวยทันทียังไงล่ะ
แต่มาคิดดูแล้วของที่นำเอามาขายได้ก็ยังมีอยู่ ปืนต่างๆ ที่ผมมีอยู่ในกระเป๋า แต่ความคิดนั้นก็ตกไปทันที เรื่องอะไรจะเอาอาวุธที่สงอนุภาพแบบนั้นไปขายคนต่างโลกล่ะ เก็บไว้ใช้ยิงเล่นเองยังจะดีซะกว่า แต่พอมาคิดดูแล้วถ้าคนต่างโลกนี้ได้ปืนไปใช้คงวุ่นวายหน้าดูเลย แต่เรื่องอย่างนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะผมไม่ขายมันหรอก
หันกลับมาสนใจมือถือที่ส่องแสงอยู่ตรงหน้าของผมอีกครั้ง
“สามแสนเป็นไง…ก็ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับของอย่างนี้หรอกเนอะ”
ถึงจะยังไม่รู้ค่าเงินของโลกนี้ชัดเจนนัก แต่ที่เดินผ่านร้านค้าก็เห็นคนจ่ายค้าแอปเปิ้ลโดยใช้เหรียญหนึ่งเหรียญ เดินผ่านร้านเสื้อผ้าก็เห็นคนยืนจ่ายค่าเสื้อด้วยแบรงค์จำนวนหนึ่ง และผ่านร้านอาวุธก็เห็นคนจ่ายค่าชุดเกราะด้วยเหรียญเป็นถุง ไม่ก็แบรงค์เป็นปึกเพราะฉะนั้นแล้ว ราคาของเจ้านี้ก็น่าจะตกอยู่ที่ประมาณนี้
ก็รู้อยู่ว่ามันดูไม่มีเหตุผล แต่เท่าที่ทำได้ก็ว่าไปก่อน
แต่ที่แน่นอนด้วยระบบส่องไฟมือถือที่สว่างกว่าโคมไฟและความสามารถในการถ่ายหน้าคนอื่นได้
ไม่ผิดแน่! เจ้านี่จะต้องทำเงินให้ผมได้หลายร้อยเหรียญทองแน่! ขายต้องขายมันแล้ว!
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะขายมือถือที่ต่างโลกนี้ใช้โทรหาใครไม่ได้ ผมจึงลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋า แต่ทันใดนั้นก็พบเจอกับกลุ่มคนสามคนตรงหน้ากำลังเดินตรงเข้ามาหาผม
“เฮ้ยแกน่ะ ไม่อยากจะเจ็บตัวก็ส่งของที่มีอยู่ทั้งหมดมาซะ”
ชายผิวดำท่าทางจะเป็นโจรพูดขึ้น รวมถึงพวกที่เดินอยู่ข้างๆ
“ใช่แล้วๆ ไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งของๆ แกมาซะ”
“วันนี้ลูกพี่เขาอารมณ์ดีเดียวจะปล่อยแกไปเอง รีบๆ ส่งของๆ แกมาซะ”
ผมนี้ถึงกับเงียบเลย สถานการณ์ถูกโจรจะปล้นแบบนี้
เหมือนสึบารุคุงเลยให้ตายเถอะ
“เฮ้ยๆ ยังไม่รีบส่งของมาให้อีก หรือว่าอยากจะเจ็บตัวกันเจ้าอ่อน”
“ใช่ๆ เจ้าอ่อน”
ให้ตายเถอะโดนโจรกำลังจะปล้นจริงๆ ด้วย พวกมันเดินเข้ามาจนมาหยุดอยู่ตรงที่ผมกำลังยืนแล้ว หนึ่งนั้นเอื้อมมือจะมาคว้ากระเป๋าที่ผมถืออยู่ แต่ผมดึงมันเปลี่ยนมาไว้ด้านหลัง
“เฮ้ยแกขัดขืนเหรอ!?”
ผมถอนหายใจก่อนพูด เพราะด้วยสถานการณ์แบบนี้แล้ว
มันไม่ค่อยชินเลยจริงๆ สำหรับผม
ใช่…ไม่ชินเลยจริงๆ
สำหรับคนที่ไม่ฆ่าก็ต้องทำให้พิการอย่างผม
“พวกแกน่ะ ถ้าไม่อยากจะตายที่นี่ ตรงนี้ ก็ช่วยรีบๆ หนีไปตอนนี้ซะ อารมณ์ฉันมันไม่ได้ดีอยู่ตลอดหรอกนะ”
พวกมันสามตัวนิ่งเงียบไป
“”“ฮะๆๆๆๆๆ!!!”””
“ลูกพี่ได้ยินไหมมันขู่จะฆ่าพวกเราด้วยล่ะ”
“จะฆ่าอะไรกันพูดภาษาคนยังจะไม่รู้เรื่องเลย ยังจะมาทำเก่งอีก”
“แกจะยังไงก็จะไม่ให้ของดีๆ สินะ ถ้างั้น!!”
กำปั้นลอยตรงเข้ามาหาผม ผมหลบมันได้อย่างง่ายดายแล้วจับตัวมันทุ่มลงกับพื้นหินอย่างแรง ถึงจะตัวใหญ่กว่าแต่ใช้จังหวะออกหมัดของมันให้เป็นประโยชน์ ก็ช่วยให้ใช้ท่าทุ่มได้อย่างไม่ยากเลย มันที่ถูกผมทุ่มแผ่นหลังอัดกับพื้นนอนตัวขดอยู่กับพื้นทางเดินพลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
อีกสองคนเห็นลูกพี่ของพวกมันโดนจัดการเลยรีบวิ่งมาจะแทงผมด้วยมีด ผมเอนตัวไปด้านหลังพลางจับที่ข้อมือของมันแล้ว
หักทันที เสียงกระดูกของข้อมือที่เปลี่ยนรูปดังจนได้ยินชัดเจน
มันจะร้องตะโกนแต่ผมชกเข้าไปที่ดั้งจมูกมันจนเลือดกำเดาไหลแล้วชกหน้ามันซ้ำไปอีกที ตัวเซลงไปนอนพิงกำแพง อีกคนกะแทงมีดมาที่ผม ก็ถูกผมรับมันไว้ได้ด้วยระหว่างแขนใช้ศอกแทงแขนมันให้อ่อนแรงลงแล้วศอกเข้าไปที่หน้ามัน ดึงตัวมันเข้ามาแล้วแทงเข่าไปที่ท้องจนตัวเอียงล้มลงไปนอนขดตัวอีกคน
จบท้ายด้วยการที่ผมชักปืนออกไปชี้หน้าลูกพี่ของพวกมันที่แอบจะล็อคตัวผมจะข้างหลัง
เมื่อถูกของที่เหมือนจะเป็นอาวุธชี้จ่อหน้ามันก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำท่าว่าจะยอมแพ้โดยดี
ผมชี้ปืนตรงหน้ามันไม่นาน ก็เปลี่ยนไปชี้ตรงขามันแทน
“อ๊ากกกกกกกก!!!”
เสียงปืนดังลั่นแต่เพราะเสียงร้านค้าที่ดังพอๆ กันจึงกลบเสียงปืนไปได้
แต่ผมคิดว่าถึงได้ยินไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก
เจ้าหัวหน้ากลุ่มโจรจับกำขาของตัวเองแน่นไม่ให้เลือดไหลออกไปมากพลางน้ำตาซึม
เจ้าลูกน้องทั้งสองคนได้ยินเสียงของปืนและได้เห็นอนุภาพที่มันสามารถทำได้ก็ถึงกับนิ่งอึ่งพูดไม่ออก
คราวนี้ผมชี้ปากกระป๋องปืนไปที่หน้าของมัน
“มมมไม่…อย่าฆ่าฉันเลยนะ…ฉันยอมแล้ว…ฉ…ฉันยอมแพ้แล้ว!!”
พูดออกมาพลางน้ำมูกน้ำตาไหล น่าสมเพชจริงๆ
“แล้วยังไงล่ะ คนอย่างพวกแกต่อให้ตายไปก็คงไม่มีใครที่ไหนเขาคิดถึงหรอกใช่ไหม แล้วทำไมไม่ยอมอยู่เงียบๆ แล้วหายไปจากโลกนี้ซะเลยล่ะ”
มันได้ยินอย่างนั้นก็หน้าซีดก้มลงกราบผมทันที
“ขอร้องล่ะท่าน…ปล่อยพวกเราไปเถอะ!!”
“ช่วยไม่ได้นะถ้างั้นแล้วส่งของที่พวกแกมีอยู่ทั้งหมดมาซะแล้วฉันจะปล่อยไปพวกแกไป!”
ได้ยินผมพูดทั้งสามก็อึ้งอีกครั้ง
เป็นไงล่ะมาปล้นเขาแต่กลับโดนเขาปล้น
ทั้งสามหยิบของมาวางไว้ตรงหน้าผมพลางคุกเข่าขอชีวิต
กลับกันผมนั่งยองๆ นับเงินเหมือนพวกจิ๊กโก๋
“โอเคแค่นี้ก็คงพอเป็นค่าทำขวัญได้ เอ้าพวกแกไปได้!”
“””ขอบพระคุณครับ”””
แล้วพวกมันก็วิ่งจากผมไปโดยมีเจ้าลูกพี่เดินขากะเผลกคนเดียว
“เฮ้ยๆ อย่างน้อยก็มาช่วยมันหน่อยสิ”
วันนี้เป็นวันที่สองของการมายังต่างโลกแล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นไปผมก็ได้มาเช่าห้องพักอยู่ภายในหมู่บ้าน เนื่องจากเงินที่ได้จากพวกโจรมา (ปล้นมา) เงินที่ผมมีอยู่จึงสามารถเช่าห้องอยู่ได้
ผมได้จ่ายค่าห้องของวันนี้ไปแล้วเพราะยังไม่มีที่อื่นให้ปักหลัก และตราบใดที่ผมยังจ่ายค่าห้องล่วงหน้าอยู่ก็ยังสามารถกลับมานอนที่นี่ได้ ฉะนั้นแล้วผมคงจำเป็นต้องอาศัยที่นี่ไปก่อน ระหว่างนั้นก็สำรวจรอมหมู่บ้านเพื่อหางานทำ
และก็ต้องหาข้อมูลของโลกนี้เพิ่มและข่าวคราวของคนอื่นๆ ด้วย
เท่าที่ผมจำได้ผมไม่ใช่คนเดียวที่ถูกส่งมายังต่างโลกนี้ เหตุการณ์ตอนนั้นมีทั้ง แมรี่ เอก ไมค์ และผมที่ถูกส่งมาที่นี่ แต่เรื่องตามหาพวกนั้นเอาไว้ก่อน ยังไงก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรพวกนั้นอยู่แล้วด้วย
เรื่องที่ต้องห่วงตอนนี้จึงมีเพียงแค่เงินที่จะต้องใช้ในการกินอยู่ หาข้อมูลและเดินทางเท่านั้น
ว่าถึงเรื่องเดินทางแล้ว ผมยังไม่รูปจักภูมิประเทศของต่างโลกนี้เลย ที่นี่คืออาณาจักรอะไร ตั้งอยู่ที่ไหนและอาณาจักรข้างเคียงคืออาณาจักรอะไรผมเองก็ไม่รู้ ผมยังไม่สามารถออกเดินทางได้จนกว่าจะมีทุกอย่างครบ และนั้นก็หมายถึงแผนที่เอาไว้ใช้ในการเดินทางด้วย
ผมเดินออกจากห้องเช่าแล้วเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้านอย่างที่ได้วางแผนไว้
แล้วตอนนั้นผมก็ได้พบกับ สำนักงานแห่งหนึ่งเขา เมื่ออ่านจากป้ายชื่อแล้วก็เข้าใจเลย
ผมอ่านไม่ออกเลย ตัวอักษรอะไรก็ไม่รู้เหมือนงูเลื่อยเลย
ผมจึงเดินมามองเข้าไปในนั้น ก็เข้าใจแล้วว่ามันคือสถานที่เอาไว้ทำอะไร
มีผู้คนมากมายสูงใหญ่หรือจะตัวเล็ก ชายหรือจะหญิง และแก่หรือว่าหนุ่มก็เข้าออกที่แห่งนี้
และดูจากการแต่งตัวที่ถือดาบ ถือโล่กันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เข้าใจว่าที่นี่มีไว้สำหรับนักประจญภัย
เหมือนกับตอนที่ผมเคยเล่นเกมห้องไอ้เอกอยู่ก็ออกประมาณนี้เหมือนกัน โดยเราจะได้รับบทเป็นนักประจญภัยมือใหม่และมายังที่แห่งนี้เพื่อหางานรับจ้างทำ
กำลังต้องการอยู่พอดีเลย
ผมยิ้มพลางถือกระเป๋าเดินเข้าไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็พบว่ามันค่อนข้างจะยุ่งพอสมควร แต่ไม่นานคนก็เริ่มที่จะลดลงเรื่อยๆ สังเกตจากคนที่มุงดูตรงกระดานที่ติดกระดาษงานต่างๆ ไม่นานกระดาษก็เริ่มลดลงและคนในนี้ก็เริ่มลดลงตาม บนกระดานเหลือกระดาษเพียงไม่กี่ใบ แต่ก่อนอื่นผมต้องลงทะเบียนก่อน
ใช่ไหม? นี่จำมาจากในเกมเลยนะ
พอเดินตรงไปที่ประชาสัมพันธ์หน้าเคาเตอร์ก็มีพี่สาวท่าทางใจดีเดินออกมาต้อนรับ
“ไม่ทราบว่าต้องการอะไรหรือค่ะ”
“เออ ผมจะมาสมัครเป็นนักประจญภัยน่ะครับ”
ครั้งแรกที่ได้คุยกับสาวสวยจากต่างโลก ไม่ใช่เจ้าเกย์นั่น!
“จะมาเป็นนักประจญภัยมือใหม่สินะค่ะ ถ้างั้นคุณช่วยกรอกชื่อลงในใบนี้ด้วยนะคะ แล้วดิฉันจะอธิบายขั้นตอนต่อไป”
ผมทำอย่างที่เธอบอก เขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษแล้วส่งกลับไปให้เธอ
“ไม่ทราบว่าชื่อเล่นชื่ออะไรคะ?”
“รินครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะข้ออธิบายถึงเรื่องของเลเวลและการอัพเลเวลนะคะ เลเวลคือสถานะของค่าประสบการณ์ที่บุคคลนั้นมีอยู่โดยจะสามารถเพิ่มเลเวลได้ก็ต่อเมื่อได้ทำการฆ่ามอนสเตอร์หรือทำกิจกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเก็บประสบการณ์ ขอยกตัวอย่างเช่นการทำไร่ทำนาก็แล้วกันนะคะ ถ้าเกิดว่าทำการเกษตรไปเรื่อยๆ ก็สามารถเลเวลอัพได้เหมือนกันคะ”
หมายความว่าจะทำงานอะไรก็ตามแต่ก็ต้องมาที่นี่ก่อนสินะ
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณรินอยากจะทำอาชีพอะไรกันคะ? เกษตรกร? พ่อค้า? พี่เลี้ยงเด็ก?”
ไอ้พ่อค้ากับเกษตรกรน่ะเข้าใจ แต่พี่เลี้ยงเด็กเนี่ยนะ? พอเลเวลอัพแล้วจะป้อนนมเด็กเก่งขึ้นเหรอ!?
“อืม ไม่ทราบว่าคุณรินอยากจะทำอาชีพอะไรหรือคะ?”
ขนาดผมกำลังคิดเรื่องพี่เลี้ยงเด็กอยู่ เธอก็ถามซ้ำอีกครั้ง
“ขอโทษครับ ถ้างั้นแล้ว ผมอยากจะสมัครเป็นนักประจญภัยครับ”
“แต่ว่าชุดคุณ ดูไม่น่าจะเหมาะกับการออกไปสู้นะคะ ถ้างั้นแล้วพี่เลี้ยง-”
“ไม่ครับ! ไม่เอาพี่เลี้ยงเด็กครับ!”
“แต่ถ้าหากคุณรินอยากจะเป็นนักประจญภัยก็ต้องมีอุปกรณ์อย่างน้อยที่สุดก็ดาบนะคะ?”
“ผมมีของที่ดีกว่านั้นอีกครับ ขอร้องคุณพี่ช่วยเขียนนักประจญภัยให้ผมทีเถอะครับ”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ดิฉันจะดำเนินการให้เดี๋ยวนี้แหละคะ แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็ตามทางเราจะไม่รับผิดชอบนะคะ แต่ถ้าอยากจะกลับมาเปลี่ยนอาชีพค่าดำเนินการจะอยู่ที่ 200 เหรียญอลิสนะคะ แน่ใจหรือคะ?”
“ตามนั้นเลยครับ”
ไม่นานเจ้าตัวก็เขียนข้อมูลเป็นภาษาที่ผมก็อ่านไม่ออกแล้วลงลายเซ็นท้ายมุมกระดาษ แล้วจึงส่งกระดาษใบนั้นให้ผม
ว่าเถอะทำไมผมถึงได้พูดคุยกับคนพวกนี้ได้แต่กลับอ่านภาษาของพวกเขาไม่ได้กันนะ
“ต่อจากนี้จะทำการยืนยันการลงทะเบียนในถานะนักประจญภัยแล้วนะคะ จะข้อถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมรับการเป็นนักประจญภัยใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วขอให้คุณรินเอานิ้วชี้มาแตะในกรอบสี่เหลี่ยมบนกระดาษเลยคะ”
ผมทำตามที่เธอบอกเอานิ้วชี้ข้างขวาไปเตะบนกระดาษ แล้วจู่ๆ มันก็ส่องแสงขึ้น ตัวอักษรต่างๆ บนกระดาษต่างก็ส่องแสงจากทางซ้ายไปทางขวาแล้วก็หายไป ต่อจากนั้นก็ส่องแสงอีกครั้งเป็นสีฟ้าทั้งหมดแล้วหายไป
“เท่านี้คุณรินก็ได้เป็นนักประจญภัยแล้วนะคะ ส่วนเรื่องงานก็สามารถดึงกระดาษจากกระดานตรงนั้นแล้วนำมาให้ดิฉัน ดิฉันจะดำเนินการให้แล้วคุณก็ออกทำงานได้เลยคะ ขอให้เลือกตามความเหมาะสมนะคะ อย่างสุดท้ายของการเป็นนักประจนภัยดิฉันขอถามด้วยนะคะว่าคุณรินอยากจะเป็นอะไร นักดาบ นักเวทย์ นักบวช นักธนู เชิญเลือดได้เลยคะ”
“ข้อมูลนี้จำเป็นมากไหมครับ?”
“ไม่เลย แค่อยากถามค่ะ”
“พอมีอะไรจะอธิบายเรื่องพวกนี้ไหมครับ?”
“ก็อย่างเช่นถ้าหากว่าคุณรินอยากที่จะเป็นนักดาบ ตัวของนักดาบเองถึงแม้จะมีชื่ออย่างนั้นแต่ถ้าจะใช้อาวุธอย่างอื่นนอกจากดาบก็ได้คะเพียงแต่หากไปเรียนเวทย์มนต์จากหนังสือเวทย์อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถใช้เวทได้ดีเท่านักเวทย์ได้หรอกคะ เช่นเดียวกันนักเวทย์จะใช้เวทย์ได้ดีกว่าแต่ก็ต้องเรียนเวทย์มนต์และเพราะไม่ได้ใช้ดาบจึงไม่ค่อยได้ออกกำลังและฝึกฝนวิชา การจะเป็นนักเวทย์ที่ใช้ดาบไปด้วยจึงเป็นเรื่องงานมากค่ะ อย่างอื่นก็ประมาณนี้แหละคะ”
ถ้าเป็นนักดาบก็ยังสามารถใช้เวทย์ได้แต่ก็ไม่ดีเท่าพวกจอมเวทย์ แต่ถ้าเป็นจอมเวทย์ก็ต้องศึกษาจากหนังสือเยอะๆ จนไม่มีเวลามาออกกำลังกายเลยอ่อนแอ
พอมาคิดๆ ดูแล้ว ความเป็นโลกแฟนตาซีนี้ที่ผสมความเป็นเกมก็ไม่ได้ต่างจากการใช้ชีวิตจริงๆ มากนัก
ทำอะไรมากๆ เข้าก็จะเก่งเองและไม่มีใครได้อะไรมาได้อย่างง่ายๆ โดยไม่พยายาม
แสดงว่าถึงแม้นักเวทย์จะอัพท่าใหม่ได้ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้ถูกสอนหรือหาอ่านและฝึกฝนเองแล้วสินะ
ถึงการอธิบายของเจ้าตัวจะงงๆ
แต่เท่าที่ผมเข้าใจก็คือ
มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว
ว่าง่ายๆ ก็คือ อยากจะเป็นอะไรก็ได้ตามใจฉัน
ตั้งแต่แรกแล้วที่ผมไม่ได้แปลกใจมากกับการมายังโลกแฟนตาซี
คงเป็นเพราะเคยชินกับการเล่นเกมห้องไอ้เอกล่ะนะ
แต่ที่สำคัญคงเป็นเพราะโลกของผมเองมันก็ไม่ได้ธรรมดาเลย
มีทั้งปาฏิหาริย์ มีทั้งปรากฏการณ์ มีทั้งจินตนาการ
และมีทั้งแวมไพร์อมตะ
ไม่ได้ต่างจากโลกแฟนตาซีโลกหนึ่งเลย
“คุณรินยังมีอะไรสงสัยไหมคะ?”
“แสดงว่านักดาบบางคนก็อ่านหนังสือเวทย์ไม่ออกสินะครับ”
“คุณรินหัวไวดีนะคะ ใช่แล้วค่ะเป็นแบบนั้นเลยค่ะ”
ผมยิ้มเพราะเขินที่เธอชมพลางนึกอะไรออกจึงได้ถามเธอไป
“แล้วตัวเลขเลเวลของผมล่ะครับ ดูตรงไหนเหรอครับ?”
“ดิฉันคิดว่ามันกำลังจะออกมาเร็วๆ นี้ตรงหัวมุมด้านบนทางซ้ายค่ะ”
เป็นอย่างที่เธอบอกจริง จู่ๆ ก็ปรากฏตัวเลขสีฟ้าขึ้นตรงที่เธอบอก และตัวกระดาษก็ถูกเปลี่ยนรูปร่างให้เล็กลงเหลือเท่าบัตรประชาชน กลายเป็นการ์ดนักประจญภัยไปแทน
เธอเห็นอย่างนั้นแล้วจึงยิ้มให้
“การ์ดนี่ถึงจะหายไปก็ไม่เป็นอะไรคะ เพราะข้อมูลของคุณรินถูกบันทึกเอาไว้แล้ว และเนื่องจากเลเวลของคุณรินเป็นเพียงเลเวล 1 เพราะฉะนั้น ดิฉันแนะนำให้คุณรินไปหากลุ่มนักประจญภัยอยู่ด้วยนะคะ การล่ามอนสเตอร์จะได้ไม่ยากเย็นและอันตรายค่ะ”
ผมเงียบพลางจ้องมองตรงหัวมุมกระดาษ พี่สาวประชาสัมพันธ์เห็นผมเงียบไปจึงพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“คุณรินคะ…ถ้าอยากเปลี่ยนอาชีพตอนนี้ ดิฉันจะคุยให้หัวหน้าแผนกลดราคาค่าดำเนินการให้นะคะ?”
ใจดีจังเลยนะ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
“คือไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่ของผมมันไม่ใช่เลข 1 น่ะสิครับ”
“แหมคุณรินก็ เข้าใจเล่นเหมือนกันนะคะ มันจะไม่มีทางเป็นเลข 1 ได้ยังไงล่ะคะ ก็เพิ่งลงทะเบียนเอง”
ผมยื่นการ์ดนักประจนภัยให้เธอดู เธอหยิบจากมือผมด้วยรอยยิ้มเริงร่าแล้วจึงมองดูมัน
ทันใดนั้นเองสีหน้าของเธอก็ได้เปลี่ยน จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มแฝงความเรียบร้อย
“เลเวล 80!!!”
ทุกคนในที่นั้นต่างหันมามองด้วยความแปลกใจเนื่องจากเสียงของเธอ
“อย่าเสียงดังขนาดนั้นสิครับ คนเขาหันมามองกันแล้วนะครับ”
“ขอโทษค่ะ แต่ว่า…เลเวลแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยนะคะ ไม่ว่าใครก็ตามที่มาที่นี่ ไม่ว่าจะได้ทำงานมาก่อนแล้วหรือแม้แต่เคยฆ่ามอนสเตอร์แล้วก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จะมีการเลเวลอัพได้หากไม่มาที่นี่ก่อน แต่ทำไมของคุณถึงได้เลเวลมากขนาดนี้ได้กันล่ะคะ? ดิฉันว่าอาจจะมีการผิดพลาดอะไรสักอย่างแน่ค่ะ ให้ดิฉันแก้ไขให้นะคะ”
“เออ ผมว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดพลาดหรอกครับ”
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้
เข้าใจดีเลยด้วย
เหมือนกับว่าการมายังต่างโลกของพวกผมจะไม่ใช่แค่การเดินทางข้ามมิติมาเฉยๆ
แต่ข้อมูลความสามารถและพลังของพวกเราเหมือนจะถูกดึงมาด้วย
การ์ดนักประจญภัยมันถึงได้เป็นแบบนี้
เพราะมันพยายามแสดงข้อมูลจริงๆ ของคนคนนั้นยังไงล่ะ
ถ้าของเรา 80 ของแมรี่จะเท่าไหร่นะ ไม่อยากจะคิดเลย
“เอาเป็นว่าพี่สาวช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ”
ผมพูดเสียงเบาให้เธอได้ยินคนเดียว
“อย่าบอกนะคะว่าคุณคือผู้มาจากต่างโลก”
“ข่าวแบบนั้นได้ยินมาจากไหนกันครับ?”
“พูดอะไรกันคะคุณริน ข่าวนี้ออกมาจะสี่วันแล้วนะคะ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้หมดแล้วด้วย ถึงจะยังมีคนบอกว่าเป็นข่าวลือก็เถอะ”
มาขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องปกปิดอะไร ไหลไปตามน้ำเลยแล้วกัน ผมแอบขยับตัวเข้าใกล้คุณพี่สาวมากขึ้นแล้วค่อยๆ พูด
“ใช้แล้วครับผมคือผู้มาจากต่างโลก”
“คุณรินคือผู้มาจากต่างโลก!”
“เงียบๆ สิ อย่าส่งเสียงดังสิครับ”
“ขอโทษๆ ว่าต่อมาเลยค่ะ”
ว่าเถอะคุณพี่กลิ่นตัวหอมจังนะครับ
สีหน้ามุ่งมันแบบนี้ถ้าพูดประโยคถัดไปคงยอมเชื่อแน่
ถ้างั้น…
“ผมคือผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาเพื่อมาปราบจอมมารครับ”
“คุณรินคือผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาเพื่อมาปราบจอมมารสินะคะ”
“ใช่ครับ”
“โกหกสินะคะ”
“เอ๋!?”
“ก็ตามข่าวบอกว่าผู้มาจากต่างโลกนั้นทั้งป่าเถื่อน ต่ำช้า และเลวซามมากเลยนิค่ะ ทั้งขู่ฆ่าทหารรักษาการ”
นั่นคงเป็นแมรี่…
“ทั้งชกหน้าอาจารย์สอนเวทย์ แห่งโรงเรียนเวทย์มนต์”
นั่นคงเป็นไมค์…
“ทั้งทำลายกำแพงของเมืองหลวงด้วยการเดินชน”
นั่นคงเป็นเอก…
“แล้วก็เร็วๆ มานี้เราได้รับแจ้งมาว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนสามคนถูกปล้นชิงทรัพย์ด้วยอาวุธรูปทรงประหลาดและพอชิงทรัพย์ได้ก็แสยะยิ้มน่าขนลุกด้วย ไม่ทราบว่านั่นเป็นคุณรินหรือเปล่าคะ?”
ไอ้สามตัวนั่นแน่เลย!
“ไม่มีทางหรอกครับ คนดีไม่ตีสีใส่ไข่อย่างผมไม่มีทางทำอะไรโหดร้ายอย่างนั้นหรอกครับ”
“ดิฉันได้รับแจ้งมาว่าโจรคนนั้นแต่งตัวเหมือนคุณรินเลยนะคะ?”
“ผิดคนแล้วล่ะครับ”
“จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ดิฉันไม่เอาเรื่อง อีกอย่างถึงคุณรินจะเป็นผู้มาจากต่างโลกจริงและมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ จอมมารที่บอกจะปราบก็ไม่มีให้ปราบหรอกนะคะ”
“หมายความว่าไงนะครับ?”
“โลกนี้น่ะ จอมมารน่ะ ได้ถูกราชาปราบไปตั้งแต่สิบปีที่แล้วแล้วล่ะคะ ด้วยฝีมือของราชาแห่งอลิส”
จอมมารถูกปราบไปแล้ว
ด้วยฝีมือราชาด้วยนะ?
ไม่มีเรื่องไหนเหมือนเรื่องนี้แล้วมั้ง
แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
เพราะการที่ผมถูกส่งมายังมิตินี้ โลกนี้
มาจากฝีมือของแม่มดต่างหาก
พี่สาวจ้องหน้าผมและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“…คุณรินมาที่นี่ มาโลกนี้ เพื่ออะไรกันแน่คะ?”
เรื่องนั้น
“ผมก็กำลังหาคำตอบเหมือนกันครับ”
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ผมก็ถูกใครบางคนจับที่ไหล่ซ้าย
เมื่อหันหน้าไปตัวผมก็ซีดเหมือนสีขาวดำ หัวเข่าเริ่มอ่อนแรงเหมือนถูกผีเด็กขี้คอ
“ว่าไงริน มาทำอะไรที่นี่หรือ”
ไอ้เกย์นี่อีกแล้ว
ชื่ออะไรนะ อ่ออยากลืมจัง
“โห่ คุณรินรู้จักกับคุณเฮนรี่ด้วยหรือคะ?”
“ก็…”
“เราเพื่อนกันน่ะครับ ใช่ไหมริน”
ใช่กับผีสิ ถูกแกเรียกชื่อขนตูดก็ลุกแล้ว ใครก็ได้ ใครก็ได้เอามันออกไปที! อย่ามาจับไหล่ตูนะโว้ย!
“นี่เจ้าลงทะเบียนเป็นนักประจญภัยแล้วหรือนี่ ดีเลยถ้างั้นเราไปล่ามอนสเตอร์กระจอกๆ เล่นกันไหม? คุณลีน่าครับ ช่วยจัดงานล่าก็อบลินให้หน่อยนะครับ”
“ได้เลยค่ะๆ งานล่าก็อบลิน ในป่าอสรพิษน่าจะมีอยู่ฝูงหนึ่งนะคะ ถ้างั้นแล้วช่วยไปจัดการให้หน่อยนะคะ”
“ตามนั้นเลยครับ มาๆ ไปกันเถอะคู่หู”
“เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ อยากไปล่าก็ไปล่าเองสิ!”
คู่เกย์สิ! ไม่เอาโว๊ย! ไม่ต้องมาโอบไหล่ตู!
“เป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เลยนะคะ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นเลย”
พี่สาวมองพวกผมด้วยสายตาที่หื่นกระหาย
เฮ้ยคุณเธอเป็นสาว Y เหรอ!?
“ไม่หรอกครับๆ เราไม่ควรจะเกิดมาเจอกันด้วยซ้ำครับ!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ