Eternal Blood 4 Black Witch Dimension
เขียนโดย OverWrite
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.37 น.
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 00.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) มาต่างโลกครั้งเเรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความที่นี่…ที่ไหน
ผมลืมตาตื่นดวงตาก็ได้ต้องกับแสงจนปิดอีกครั้ง
เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึก
ก็ได้กลิ่นของดินและหญ้า
ร่างกายของผมก็เริ่มรู้สึกตัว
ได้ยินเสียงนกร้องดังอยู่ไม่ไกลจากผมนัก พลางรู้สึกถึงความร้อนที่รวมตัวกันอยู่ที่เปือกตา
ผมเริ่มออกแรงขยับตัว
สัมผัสของหญ้าและกลิ่นของดิน แสงที่สาดส่องลงมาจากฟ้า เมื่อขยับตัวได้แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วหันมองโดยรอบ
“ป่าเหรอ?”
ใช่
บริเวณรอบๆ เป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม ถึงแม้ว่าบริเวณนี้ที่มีป่าไม้สูงใหญ่คอยปกคลุมอยู่จนแสงน้อยและมืด แต่แสงที่ส่องมาจากบนฟ้ายังช่วยให้สามารถมองเห็นได้ ผมมองไปรอบๆ พลางแตะไปตามตัว
ผมตรวจสอบตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่แล้วจึงตรวจดูที่พื้น จึงพบกับกระเป๋าทรงยาวตั้งอยู่ เมื่อเดินเข้าไปตรวจดูก็รู้เลย
นั่นของผมเอง
“อยู่ครบ แต่ที่นี่มันที่ไหนกันนะ?”
น่าแปลกที่แดดก็ร้อนอยู่ แต่อุณหภูมิค่อนข้างเย็นเลย ว่าได้ว่าอากาศดีเลยก็ได้ ด้วยความรู้สึกนั้นจึงบอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยแน่
หรือว่าได้ว่าประเทศไทยไม่มีทางอากาศเย็นอย่างนี้ได้แน่
ถ้างั้นแล้วผมอยู่ที่ไหนกันนะ
กลางป่า
บนเขา
แต่ถึงจะบอกว่ามันเป็นป่าที่ใดที่หนึ่งในไทยผมก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี
เพราะป่าไม้และพื้นหญ้ามันดูแต่ต่างกับที่เคยเห็นมา
หรือว่าจะอยู่ที่ประเทศอื่นอยู่
ป่าของประเทศอื่นถ้าอย่างนั้นก็เป็นได้
เมื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ผมก็ได้สวมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้หยิบออกมาจากกระเป๋า
“ว่าเถอะแล้วเรามาที่นี่ได้ยังไงกันล่ะ?”
จำได้ว่ากำลังนอนอ่านนิยายอยู่นะ
แถมกำลังจะเริ่มฉากต่อสู้เลยด้วย
ว่าแล้วนิยายเล่มนั้นหายไปไหนแล้วนะ
ผมเดินมองไปมองมาตามพื้นหญ้า
“ไม่มี หาย”
หรือคงไม่ได้มาด้วย
ถ้าอย่างนั้นแล้วคงต้องกลับไปที่คำถามเดิม
เรา…ตัวเรา
มาที่นี่ได้ยังไงกัน?
เดินมา? นั่งรถมา? นั่งเรือมา? นั่งเครื่องบินมา?
ไม่ ไม่เลย มันไม่สมเหตุสมผลเลย ไม่มีทางที่เราอยากจะมาที่นี่ ที่แบบนี่ กลับกันก็ไม่มีทางที่เราจะสามารถมาได้ด้วย
ต้องมีบางอย่างผิดปกติไปแน่
แต่มันจะเป็นอะไรไปได้ หรือใครจะสามารถทำมันได้
เอาเถอะก่อนอื่นเลย
หลังจากสวมอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จแล้ว
“อยู่อย่างนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก่อนอื่นก็ต้องหาทางออกจากป่านี่ก่อน”
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ก้าวเท้าออกไป ก็ได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล
ใคร? ตัวอะไร?
พุ่มไม้ที่สั้นไหวไปมาเหมือนมีชีวิต เมื่อรอดูต่อไปไม่นานก็ปรากฏบางอย่างออกมาจากมัน
“?”
สิ่งที่ออกมาจากพุ่มไม้ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์
กลับกันมันก็ยังเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือว่าสัตว์
แต่มันคือ…
“ตัวเขียว?”
จังหวะที่มันโผล่พ้นพุ่มไม้ออกมาได้แล้วทันใดนั้นเองก็สบตาเข้ากับสิ่งมีชีวิตตัวนั้น
ตัวของมันเป็นสีเขียวรูปร่างเล็กสูงเพียงถึงเอวของผม ฟันของมันดูไม่เหมือนของมนุษย์แต่กลับเหมือนฟันของสัตว์ป่าดุร้ายที่เกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัว
มันเดินแหวกพุ่มไม้ออกมาพร้อมกับขวานที่ยาวพอๆ กับตัวมัน
เหมือนผมเคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน
พอมาลองนึกดูดีๆ แล้ว
เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้…
ก็อบลิน…
ถ้างั้นแล้วที่นี่หรือว่าจะเป็น!
ก่อนที่จะเอ่ยคำๆ นั้นออกไป เจ้าก็อบลินตัวเขียวก็ไม่รีรอให้ผมได้ทันพูด มันรีบวิ่งเข้ามาโดดง้างขวานใส่หน้าผม
“เดี๋ยวๆ!”
“@#$%&!!”
ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย
แต่เสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้นภายในเสียววินาทีก็เป็นผลให้ปลายขวานเล่มนั้นพลาดไปจากหัวของผมพร้อมกับตัวของมันที่ล้มลงหน้าไถลไปกับพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนที่ไม่ต่างจากสีตัวของมันไป
“โทษทีนะแต่แกเริ่มก่อน”
นิ้วชี้ข้างขวาของผมเหนี่ยวไกไป
ปืนบนมือของผมได้เสียกระสุนไปหนึ่งนัด
และสิ่งมีชีวิตตรงหน้าของผมก็ได้เสียชีวิตทั้งชีวิตของมันไป
เพราะเมื่อกี้ได้เข้าไปกลางกระบาลมันเลย
ดูเหมือนการมายังที่แห่งนี้จะไม่มีผลอะไรกับการรับรู้และทักษะเบื้องต้นของผม
พยายามอ้างอิงเหมือนกรณีของนักบินอวกาศที่ไปเหยียบดวงจันทร์และได้รับผลกระทบเรื่องความต่างของชั้นบรรยากาศ
การรับรู้ปกติ
การตอบสนองปกติ
ความแม่นยำปกติ
อาวุธปกติ
ทุกอย่างปกติ
มีเพียงอย่างเดียวที่ผิดปกติ
“เหมือนจะทำมันหายไปนะ”
ผมลองกำมือซ้ายและลองสะบัดไปทางซ้ายพลางแบมือกางออก
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
( สแกนเนอร์ ได้ยินไหมสแกนเนอร์? )
ใช่…มันหายไปและติดต่อไม่ได้ด้วย คงเป็นเพราอยู่ห่างกันมากเกินไปจนไม่สามารถสื่อสารกันได้
แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องไปใส่ใจเลย เพราะต่อจากนี้
“เหมือนจะยังไม่จบนะ”
รู้สึกตัวอีกที เจ้าสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ข้างเท้าผมอยู่ ก็ได้ล้อมรอบตัวผมแล้ว
บนมือของพวกมันมีทั้ง ขวาน ท่อนไม้ หอก ดาบ โล่ ลูกตุ้มเหล็ก ธนู แถมบางตัวมีสวมหมวกเหล็กด้วย
ไปขโมยใครเขามาน่ะ?
นับคร่าวๆ รวมๆ แล้วประมาณห้าสิบตัว
เป็นภาพที่ถ้าไม่ได้เห็นเองก็คงไม่เชื่อ แต่เพราะแบบนี้ผมก็เลยสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าผมน่ะ
ว่าที่นี่น่ะคือ
“ต่างโลกสินะ”
เหล่าฝูงก็อบลินต่างมองมาที่ผมพลางพูดกันไปมาด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ เหมือนกับว่ากำลังหาลือกันอยู่
“@#$%^^&*”
“*&%%$#@!”
“@#%%$$%?”
“##@%^&*&&!?”
“…”
ฟังไม่รู้เรื่อง ให้ตายสิฟังไม่รู้เรื่องเลย
เหมือนกำลังพยายามเข้าใจคำพูดคำจาของอีกฝ่ายที่เป็นคนต่างชาติแล้วไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษพูด
ไม่นานนักก่อนที่ผมทันจะได้เอ่ยอะไรออกไปก็มีบางตัวจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป มันมองผมและจึงจ้องมองไปที่ตัวข้างๆ ผม
สักเกตเห็นว่าตัวนั้นเมื่อเห็นแล้วคิ้วก็กระตุกไม่หยุด
เออ…คนรู้จักเหรอ?
ด้วยจำนวนขนาดนี้แล้วถึงผมมีปืนก็คงจะเป็นปัญหา ในกรณีนี้คิดว่าควรจะค่อยๆ คุยกันดีๆ แล้วขอโทษเขาไป เพราะส่วนหนึ่งผมก็เป็นผู้เสียหายคิดว่าถ้าลองคุยกันดีๆ แล้วคงยอมปล่อยผมไป
ทันใดนั้นเองหนึ่งในนั้นชี้มาทางผมพลางส่งเสียงแปลกๆ เหมือนจะด่า
แต่แน่นอนว่าผมฟังไม่ออก
“เออ…โทษทีนะ แต่ฟังไม่ออกน่ะ?”
ต่อมามันก็พูดเสียงสูงขึ้นเพื่อให้ผมได้ยินชัดเจนขึ้น
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นโว๊ย! ตูฟังไม่ออก!
“Sorry I don't know what you trying to say?”
ไหนลองพูดภาษาอังกฤษกับมันซิ เผื่อจะรู้เรื่อง ไปๆ มาๆ เจ้าตัวเดิมเหมือนจะฟังออกหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันเปลี่ยนมาชี้ที่ตัวข้างๆ เท้าผมแทน
“You mean this?”
ผมเผลอเหยียบที่ศพแล้วขยี้หน้ามันด้วยเท้า
ตายล่ะ…ไม่น่าเอานิสัยตอนจะเปิดพัดลมที่บ้านมาใช้เลย
ทันใดนั้นเองไม่ต้องให้บอก พวกมันทั้งหมดรีบวิ่งออมาหาผมทันที
“โอ๊ยโอ…”
ภาพของฝูงก็อบลินวิ่งตรงเข้ามาจะเอาชีวิตผมเล่นเอาอุทานไม่เป็นศัพท์เลย
“ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย แค่เหยียบหน้าศพที่เหมือนจะเป็นครอบครัวคนสำคัญของพวกแกไปเองนะ สังคมเดี๋ยวนี้อยู่ยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่หรอก!ๆ ผมผิดเอง!ๆ ขอโทษ!”
ตัวที่พูดตอนแรกวิ่งมาจะทุบหัวผมด้วยลูกตุ่มเหล็ก ผมเล็งยิงไปที่หัวมันก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัวของผม
“ช่วย…ไม่ได้สินะ”
ทันใดที่ก็อบลินตัวนั้นล้มลงไป เสียงโห่ร้องของทุกตัวก็ดังขึ้นพร้อมกันจนลั่นทั้งป่า
อย่าบอกนะว่าผมเพิ่งฆ่าจ่าฝูงเลยโกรธจัดกว่าเดิม
ผมชักปืนอีกกระบอกขึ้นมาแล้วกระหน่ำยิงพวกมันที่หัวตายไปทีละตัว จำนวนของพวกมันมีเยอะบางตัววิ่งอ้อมมาด้านหลังผมจึงต้องหันกลับไปยิงมันแล้วหันกลับมายิงตัวที่อยู่ข้างหน้าใหม่ ถึงแม้ว่าแต่ละตัวที่วิ่งมาหาผมจะตายในทันที แต่พวกมันก็กลับไม่กลัวตายเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกว่ากล้าหาญหรือโง่เง่าดี
ทันใดนั้นมีตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ผมชี้ปืนขึ้นไปยิงมันก่อนที่มันจะจับตัวผมได้ ตัวของมันจึงแน่นิ่งก่อนที่จะตกกระแทกกับพื้นคอหักตาย
ไม่จบแค่นั้นสบโอกาสปืนกระบอกซ้ายผมกระสุนหมด เป็นเหตุให้มีตัวหนึ่งหลุดเข้ามาได้มันถือหอกพุ่งตรงเข้ามาจะแทงผม ผมจึงรับมันไว้ด้วยระหว่างแขนแล้วเตะขัดขามันล้มไป ปาปืนที่กระสุนหมดลอยไปกระแทกตัวเสือกที่อยู่ด้านหลังจนฟันหัก แล้วเอาหอกที่เก็บปาไปที่มันซ้ำอีกรอบ กระทืบตัวที่ล้มแล้วพยายามจะลุกอย่างแรงจนมันกระอักเลือดออกมา แล้วจึงยิงไปที่หัวดับชีวิตมันไป
เพราะจุดบอดของตาผม
ด้านหลังผมเลยถูกฟันอย่างจังแต่เนื่องจากผมมีเสื้อเกราะกันกระสุนอยู่ ขวานที่ฟันมาเต็มแรงถูกรับไว้ด้วยเหล็กจากด้านในของเสื้อเกราะจึงมีเพียงแรงอัดมาจากด้านหลังพาให้ผมตัวเอนไปด้านหน้าเท่านั้น ผมหันไปยิงตัวหลังตายแล้วถีบตัวหน้าที่วิ่งมาหา พลางกลิ้งตัวหลบลูกธนูจากในป่า แล้วตรงเข้าไปเตะอัดตัวที่ถือดาบข้างหน้า หน้าหันไปล้มนอนกับพื้นไม่ลุกอีก พร้อมทิ้งปืนในมือขวารีบเปิดหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าทรงยาว
ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันเลยทำให้ผมมีข้อได้เปรียบบางประการ
อย่างไรก็ตามเรื่องจำนวนก็ยังด้อยกว่ามาก
แต่ตราบใดที่ยังมีปืนกับกระสุนอยู่ผมก็ไม่มีทางแพ้หรอก
“อึก!?”
จู่ๆ ผมก็เจ็บหัวเหมือนกับจะเป็นไมเกรน พร้อมกับเห็นอะไรบางอย่างจากอาการนั้น
นี่มัน!
ทันใดนั้นลูกธนูสี่ดอกยิงตรงเข้ามาหาผมก็ถูกกระสุนปืนลูกซองยิงทำลายพวกมันกลางอากาศก่อนที่จะตกลงมาเป็นเพียงเศษไม้แตกหัก ผ่านกระสุนลูกซองที่เหลือไปเจาะทะลุแขนซ้ายและลำตัวของหนึ่งในนักธนูแตกกระจายเลือดพุ่งกระฉูด และต่อไปอีกสามนัดเก็บนักธนูที่เหลือที่ยังตกใจกับศพเพื่อนอยู่
ด้านข้างและด้านหลังรวมถึงตัวหนึ่งที่ง้างศรจะยิงธนูใส่ผม เริ่มโจมตีผมพร้อมกัน ผมเริ่มจากรับลูกธนูด้วยมือเปล่าก่อน ถีบตัวข้างหน้าไป ใช้หลังด้ามจับปืนใส่แรงกระแทกหน้าตัวหลังไปแล้วหันกลับไปยิงมันจนหัวระเบิด วิ่งตรงไปล็อคคอตัวหน้าตัวเมื่อกี้และใช้ลูกธนูแทงลงไปที่อกขวาของมันด้วยมือข้างซ้าย หันลำตัวของมันไปทางพลธนูเพื่อเป็นโล่ก็อบลิน
“ยิงเลยสิ ยิงมาเลย…”
ปากผมแสยะยิ้มให้
ถ้าคนอื่นได้เห็นคงขนลุกน่าดู
เมื่อพลธนูเห็นจึงหยุดสะงัก ผมเลยปล่อยมือที่กำด้ามธนูไว้แล้วชักปืนลูกซองยิงไปที่มัน ชักอีกครั้งยิงตัวประกัน
ก็อบลินถือโล่พยายามวิ่งชาร์ตเข้าใส่ผม หากแต่ตัวมันและโล่ของมันต่างก็ถูกกระสุนลูกซองอัดกระจายตายคาที่ มีลูกธนูพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ไม่ห่างจากผม แต่ผมก็รับมันไว้ได้อีกเช่นเคย แล้วยิงกลับไปที่พุ่มไม้นั้น ไม่นานก็มีเลือดไหลออกมาจากพื้นหญ้าบริเวณพุ่มไม้เหล่านั้น
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเร็วมากจนบางตัวถึงกับทำอะไรไม่ถูก แต่ปัจจุบันมีก็อบลินที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดเพียงแค่สิบสองตัว เอาเข้าจึงมันก็เป็นปัญหาจริงๆ เรื่องของจำนวนที่มีมากกว่า
แต่ถ้าให้ไปวัดกับพวกที่เป็นทหารจริงๆ และใช้ปืนสู้ นี่ถือว่าง่ายเหมือนเด็กอมตีนเลย
ผมเริ่มเหนื่อยจนออกอาการ
หนึ่งในพวกก็อบลินเหมือนจะหัวเราะ ดูเหมือนกับว่ามันจะมองอาการผมออกว่าเหนื่อยเต็มทีแล้ว ผมชักลำกลองลูกซองแล้วตั้งท่าเตรียบพร้อม
อดทนหน่อยริน อีกแค่สิบสองตัวเอง บางทีลูกเสื้อสามัญอาจจะเก่งกว่าพวกมันก็ได้
ผมพยายามคิดในแง่ดี แต่ว่าขนาดแรงที่ใช้ประคองปืนยังเหมือนจะไม่ไว้เลย ตัวผมเองก็เหงื่อไหลตามตัวและหน้า
จังหวะนี้ต้องให้นางเอกมาช่วยไม่ใช่เหรอ มาทีเถอะ จังหวะแบบนี้ต้องเธอเท่านั้นเอมิเลีย!
ก็อบลินที่เหลือค่อยๆ ขยับตัวเข้าใกล้ผมที่เหมือนเหยื่อที่ใกล้จะหมดแรงต่อต้านด้วยรอยยิ้มที่แสนจะน่ากลัว
เป็นรอยยิ้มที่เด็กคงหยุดร้องไห้เพราะหัวใจวายตายไปแล้ว
โลกแฟนตาซีนี้ช่างโหดร้ายนัก
นางเอกก็ยังไม่ได้เจอ นี่ตูจะมาตายแล้วเหรอ? ไม่สิๆ เราต้องไม่เป็นอะไร ใช่ ใช่แล้ว
เราจะต้องชนะ และก็…
กลับไปร่วมกลุ่มกับเจ้าพวกนั้นด้วย
ระหว่างที่สู้ผมกลับเห็นภาพของเหตุการณ์ที่เหมือนกับจะเกิดขึ้นไปแล้ว
ว่าได้ว่ามันคือภาพในอดีตจากในหัวของผม
ภาพๆ นั้นผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆ
ทั้งแมรี่ เอก และไมค์ ในเหตุการณ์ที่เหมือนกับจะเป็นสาเหตุให้ได้มายังที่แห่งนี้
โลกแห่งนี้…
ผมกำตัวลูกซองไว้แน่นแล้วสูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมันออกมา
ที่เหลือมีเพียงสี่นัดที่ลำกลอง ผมลองคำนวณความเป็นไปได้ ถ้าหากว่ายิงสี่ตัวที่พยายามวิ่งมาหาก็ยังมีโอกาสหยิบปืนกระบอกอื่นที่เตรียบเอาไว้พร้อมยิงแล้วในกระเป๋าได้
ปืนกล…
รู้แต่แรกน่าจะหยิบมาตั้งรับก่อน
เราก็ประมาทนะ แต่อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูแล้ว
ผมไม่มีทางแพ้ให้กับเด็กอนุบาลพวกนี้แน่ ไม่มีทางซะหรอก
ใช่แล้วผมจะชนะ
ผมจะต้องชนะ!
“ลุยเลยไอ้พวกเวรเอ๊ย! เอ๋?”
จู่ๆ พวกมันทุกตัวก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเขา หน้าตาหวาดกลัวจนเหงื่อตก แล้วหันหนีวิ่งกลับเข้าไปในป่าลึก
“อ้าว?”
ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ?
ไม่สู้แล้วเหรอ? หรือว่าก็อบลินที่โง่วิ่งมารับกระสุนกันตอนแรก แท้ที่จริงแล้วก็ฉลาดรักตัวกลัวตายเป็น
ผมสังหรณ์ใจไม่ดีจึงค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลัง
ปรากฏว่าได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆ เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มีลำตัวที่ใหญ่ยาวและเกร็ดสีขาวสวย ให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังได้ดูหนังสารคดีสัตว์โลกช่วงบ่ายในความรู้สึกคูณสาม
ไม่ คูณร้อยไปเลย
คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่ามันคืออะไร
“เวรเอ๊ยงูยักษ์!!”
หันกลับไปเป็นงูยักษ์ที่ใหญ่กว่าต้นไม้รอบๆ เอนหัวไปด้านหลังแล้วกำลังจะฉกมาที่ผม
ผมหลบการฉกของมันอย่างเฉียดฉิวแล้วรีบวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ป่านี่มันจะลึกแค่ไหนและทางออกจะอยู่ที่ไหน
แต่ผมก็ไม่หยุดวิ่งหนีงูยักษ์ที่เลื้อยไล่หลังผมมา ออกแรงวิ่งสุดตัวนำหน้าของมันมาได้สักระยะ
“บ้าเอ๊ยจะตามทันแล้ว!!”
ผมออกแรงสุดกำลังจนขาจะชาอยู่แล้ว ทันใดนั้นเองก็ปรากฏแสงของทางออกตรงหน้าของผม
ในที่สุด!
เมื่อใกล้แสงๆ นั้นผมหันกลับไปปาระเบิดแสงที่มัน แล้วโดดกลิ้งตัวออกจากป่านั้นทันที
ผลของระเบิดแสงเริ่มสำแดงออกมา แสงและเสียงทำให้การรับรูปของเจ้างูยักษ์ถูกขัด ถึงแม้ว่างูจะสายตาแย่แต่สามารถตรวจจับอุณหภูมิความร้อนได้ก็ตาม
ว่าให้ถูกคือมันไม่ควรที่จะมีผลกับเจ้างูเลย
แต่เหมือนกับว่าระเบิดแสงจะใช้ได้ผล
มันตกใจ!
ผมได้ออกจากป่าแล้วก็ยังไม่หยุด วิ่งต่อไปให้พ้นป่าให้มากที่สุด
ระหว่างที่เจ้างูยักษ์กำลังตกใจจนนิ่งตัวค้างไป
ผมก็กลับตัวนิ่งค้างไม่ต่างอะไรจากมัน
นี่เหรอ? นี่เหรอต่างโลก โลกแฟนตาซีที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
ผมอ้าปากค้างสายตาทอดไกลออกไปต้องเข้ากับทัศนวิสัยที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน
ภาพของท้องฟ้าที่ทอดไกลไปสุดลูกหูลูกตาสวยงามและเปล่งประกายราวต้องมนต์
ภาพของพื้นดินและทั่วบริเวณที่ผมได้เห็นมันเหนือทุกๆ คำบรรยายที่จะสามารถนำมาบอกกล่าวได้
“มันช่าง…สวยงามจริงๆ”
ตัวผมค้างไปกับภาพตรงหน้าที่เหมือนสร้างจากสีน้ำและความสามารถของคนวาด
และแล้วตอนนั้นเองก็สังเกตอะไรบางอย่างได้จากห่างตาและจึงหันไป
ผมพบกับชายหนุ่มสวมชุดเหมือนนักเวทย์ในเกม RPG ถึงแม้ว่าการออกแบบชุดจะไม่ได้เก่าเหมือนคนแก่ใส่ ทั้งดูมีลูกเล่นที่จัดว่าทำได้ดีเลย กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ เต็นท์พลางดื่มอะไรบางอย่างจากแก้วเหล็ก
เขาหันมองมาจังหวะเดียวกันกับผม
หนึ่งวินาที
สองวินาที
สามวินาที…
“นาย…ใครกัน แล้วเมื่อกี้ออกมาจากป่า?”
เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับจะตกใจ
อาจจะเป็นเพราะผมออกมาจากป่าที่อันตราย
หรืออาจเพราะการแต่งตัวของผมก็ไม่รู้
จะยังไงก็ช่างแต่ก่อนอื่น
“หนี-”
ก่อนที่ผมกำลังจะพูดประโยคนั้นออกมา เจ้างูยักษ์มันก็พุ่งตัวออกมาจากป่าเล่นเอาต้นไม้ใหญ่หักโค่นไปเพราะขนาดและรูปร่างของมัน ผมรีบวิ่งไปคนละทางเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มคนนั้นโดนลูกหลง ทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วจึงหยิบบาชูก้าออกมาบรรจุกระสุน
จะเป็นบอสหรือรองบอสก็ไม่สนละ คราวนี้แหละพ่อจะเผาหน้าแกให้ยับเลย
พอหันกลับไปเล็งที่งูยักษ์ ผมกลับสังเกตได้ว่าเจ้าผู้ชายคนนั้นยังไม่ได้วิ่งหนีไป
“เฮ้ย!! นายอย่านิ่งสิรีบหนีไปเร็ว!!”
บ้าจริงดันมีคนนอกเข้ามายุ่งจนได้ ถ้าเกิดโดนลูกหลงขึ้นมา อย่ามาโทษกันที่หลังแล้วกันนะ
“งูยักษ์สีขาวในป่าลึกเหรอ? เห็นทีฉันคงเจอตัวทดสอบดีๆ ให้เข้าแล้วสิ”
“อะไรนะ?”
ถึงจะอยู่ห่างจากเขาผมก็ยังได้ยินเขาพูดอยู่
“เฮ้ยเดี๋ยวก่อน อย่าทำอะไรบ้าๆ นะโว้ย!!”
เหมือนมันจะได้ยินผมแต่ทำเป็นไม่สนใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปหางูยักษ์ทีละก้าว
โธ่เว้ยถ้างั้นก็ต้องรีบๆ จัดการเจ้างูยักษ์นั่น
ผมเล็งปากกระบอกปืนไปที่หัวของมัน
แต่ทันใดเองเจ้างูก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอ้าปากของมันออกไปกะงับตัวของชายหนุ่มตรงหน้ามัน
ไม่ทันแล้ว!
“เวทย์ควบคุมวัตถุ”
ทันใดนั้นเองช่วงเวลาเพียงเสียววินาทีที่งูกำลังจะงับตัวของเขาได้ ชายหนุ่มคนนั้นชูสองนิ้วชี้ไปทางของงูยักษ์แล้วจึงชี้ลงพื้นหญ้า จังหวะนั้นเองแสงสีเขียวอ่อนที่ไล่ตามปลายนิ้วของเขาก็พาหัวของงูยักษ์กดลงกระแทกกับพื้นหญ้าจนพื้นดินแตกกระจายแยกกันไปคนละทางแรงจนส่งแรงลมพัดตีมาถึงผมที่ยืนอยู่ห่างๆ ได้
ตัวของงูยักษ์ชะงักไปหัวจมลงกับพื้น
แต่ทุกอย่างยังไม่จบชายหนุ่มยกส่วนหัวของงูยักษ์ด้วยปลายนิ้วสีเขียวอ่อนขึ้น
“จงไหม้เป็นธุลีไปซะเถอะ”
ใช้มืออีกข้างกำหมัดแน่นจนมีเปลวไฟออกมาจากฝ่ามือของเขา ปล่อยไปข้างหน้างูยักษ์ที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา ไฟที่ปรากฏตรงหน้าของงูจู่ๆ จากไฟดวงเล็กกลับกลายมาเป็นลูกไฟยักษ์ที่แตกอนุภาพพลัง เผาส่วนหัวของงูยักษ์ลงมาจนถึงลำตัวของมัน
งูยักษ์ไม่ได้เพียงแค่ถูกเผาเท่านั้น แต่ส่วนที่ถูกลูกไฟนั้นไปกลับหายไปเลย แม้แต่ธุลียังไม่มีเหลือด้วยซ้ำ
ร่างของงูล้มลงกระแทกพื้นเสียงดัง
ผมที่เล็งหัวของมันในตอนแรกเก็บปืนใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปหาชายคนนั้น
“เออ…ขอบใจนายมากเลยนะ”
“ไม่มีปัญหา งูยักษ์เลเวลแค่ 30 ต้นๆ เวทย์เบื้องต้นถ้าใส่มานาเพิ่มเข้าไปอีกก็สามารถจัดการพวกมันได้ไม่ยากเลย”
แต่เมื่อกี้นี้มันเล่นลบให้หายไปจากโลกเลยนะ? แน่ใจนะว่านั่นเวทย์เบื้องต้น?
ผมไม่เคยจะเห็นเลยว่า ‘ไฟร์บอล’ เป็นแบบนั้น
“แล้วนายเป็นใครกัน แล้วไปทำอะไรในป่าลึกกัน?”
ถามมาอย่างนี้ตอบยังไงดีนะ
“ฉันเป็นนักเดินทางจากดินแดนอันห่างไกล ที่เห็นนั้นใช้เป็นทางลัดเท่านั้น”
“ฉันเข้าใจล่ะ เป็นนักเดินทางสินะ แล้วมีธุระอะไรกับหมู่บ้านล่ะ ถ้าไม่รังเกียจฉันก็ว่างๆ อยู่จะให้ฉันพาชมรอบหมู่บ้านไหม?”
ผมหันมองก็เพิ่งจะสังเกตได้ว่ามันมีหมู่บ้านอยู่ตรงนั้นอยู่จริงๆ
ถ้าอย่างนั้นก็ทำเดินเนียนไปที่นั่นเลยก็ได้ ไหนๆ ก็ต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้อยู่แล้ว
“ไม่ต้องหรอกนาย”
“แล้วไอ้สิ่งเมื่อไม่นานมานี้นั้นคืออะไรหรือ”
ชายหนุ่มยังไม่หยุดสงสัยชี้มาที่กระเป๋าที่ผมกำลังถืออยู่
สังเกตเห็นด้วยนะ
คงหมายถึงปืนบาชูก้าสินะ
“อ่อนั่นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของฉันเองแหละ อย่าได้สนใจมันเลยเนอะ”
“ถ้านายตัดสินใจอย่างนั้นก็แล้วแต่นาย แต่ฉันขอชื่อของนายได้ไหม?”
“รินทุกคนเรียกฉันอย่างนั้น”
เดี๋ยวสิ ทำไมมันรู้สึกเสียวสันหลังจังนะ
“รินสินะ ฉันชื่อว่าเฮนรี่ ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็สามารถมาหาฉันได้ทุกเมื่อนะ ฉันจะช่วยเท่าที่ช่วยได้”
ทำไมใจดีจังเลยวะ หรือจะเป็นเกย์? เมื่อกี้ยิ้มให้ด้วยขนลุก
รู้สึกผิดปกติยังไงไม่รู้แฮะ
รีบไปดีกว่า…
“เออ…ถ้างั้นแล้วฉันขอตัวไปก่อนนะ”
แล้วผมก็รีบเดินไปกึ่งจะวิ่ง อะไรกันใครก็ไม่รู้ขนลุกสุดๆ เลย
ผมลองหันกลับไปมองชายคนนั้นก็พบว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังยิ้มและโบกมือให้
น่ากลัว น่ากลัว น่ากลัว!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ