รักหมดใจ...เจ้าชายกระดาษ (Re-Write)
8.0
เขียนโดย ภรณ์นิชา
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.19 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
11.45K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 11.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 5 | ตัวแทน (100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรักหมดใจ...เจ้าชายกระดาษ
5 | ตัวแทน
น่าดีใจตรงไหน น่าเบื่อสิไม่ว่า - ปริ๊นซ์
และเช้าวันต่อมา ฉันก็ได้ค้นพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่อง
ตัวหนังสือที่อยู่มุมล่างซ้ายมันเปลี่ยนเองได้! ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น 99 Days ล่ะ
ทำไมตัวเลขลดลง? หมายถึงอะไรหรือเปล่า
ฉันขมวดคิ้วมุ่น เกาหัวยิกๆ ก่อนจะปัดความคิดนี้ออกไป เมื่อได้ยินเสียงพ่อเตือนว่าควรออกเดินทางไปโรงเรียนได้แล้ว ฉันจึงรีบคว้ากรอบรูปตรงหน้าใส่กระเป๋านักเรียน แล้วออกเดินไปรอรถประจำทางที่หน้าปากซอยดังเช่นทุกวัน
“ผู้ชายคนนั้นหล่อมากอะแก!”
ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาหาที่ยืนร่มๆ แถวป้ายจอดรถประจำทาง เสียงกระซิบปนหัวเราะของสาวๆ โรงเรียนเซนต์ซาเวียร์ โรงเรียนนานาชาติในละแวกเดียวกันกับโรงเรียนฉันก็ดังขึ้น
“คนนั้นใช่มะ!? ฉันก็เล็งมานานแล้ว อย่างกับนายแบบแน่ะ!”
“สูง ขาว ดูแบดหน่อยๆ โอ้ย มีความสามีสูงมากกก”
“เขาควรเป็นสามีของฉันนน”
บรรยายซะขนาดนี้ก็ควรค่าแก่การส่องค่ะ! ฉันกระแอมเล็กน้อยก่อนจะดันแว่นขึ้น ทำท่าเป็นมองหารถประจำทาง แต่ก็แอบกวาดสายตาไปทางที่สาวๆ มองอยู่เพื่อหาชายหนุ่มผู้มีออร่าสามีเจิดจรัส
ฉันหยีตามองร่างที่สูงโปร่งโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆ อย่างพินิจ ก่อนจะเบิกตาขึ้นเมื่อเขาหันมาสบตาเข้าพอดี
ปริ๊นซ์!
‘เจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องธรรมดาครั้งที่สองเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าครั้งที่สามเป็นเรื่องของพรหมลิขิต’
ประโยคในละครที่เพิ่งดูไปย้อนเข้ามาในหัว ฉันอ้าปากหวอ ในขณะที่เขาพึมพำเบาๆ โดยจับใจความจากปากที่ขยับได้ว่า…
‘ยัยแว่น’
ยัยแว่นอีกแล้ว ฉันก็มีชื่อนะโว้ย!
ฉันทำปากยื่นใส่เขา แต่เขากลับไม่สนใจแล้วกวักมือเรียกหย็อยๆ ให้ไปหาพร้อมชูสมุดการบ้านของฉันที่เขายืมไปเมื่อวานให้ดู
จะคืนของเขา ยังใช้ให้เดินไปหาอีก อีตานี่ -_-
“สวัสดี”
บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายฉันก็ไปยืนเป็นหลักกิโลข้างเสาไฟอย่างเขาอยู่ดี
“เดินมาหาช้าจริง”
“ก็คนมันเยอะไหมล่ะ” ฉันทำหน้าบู้พลางจัดผมที่เริ่มกระเซิงไม่เป็นทรงจากการฝ่าผู้คนมาหาเขาให้เข้าที่เข้าทาง
“ขาสั้นก็งี้ล่ะนะ”
ฉันหันขวับไปถลึงตาใส่เขา ถ้าไม่เห็นว่าคุยกับคน คงนึกว่าคุยกับหมา! ปากเสียชะมัด ถึงฉันจะสูงแค่อกเขา แต่มันก็ตั้ง 162 เซนติเมตรแล้วนะยะ! สุดๆ ในชีวิตแล้วโว้ย
“สมุดเธอ” เขายื่นสมุดมาตรงหน้าโดยไม่สนใจสายตากินเลือดกินเนื้อของฉัน “ขอบใจ”
เมื่อเห็นฉันรับสมุดไปโดยไม่พูดอะไร เขาเลยเป็นฝ่ายเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาเสียเอง
“อยู่แถวนี้เหรอ”
“ใช่ อยู่ซอยนั้น” ฉันพยักเพยิดไปทางซอยที่อยู่ใกล้ๆ ป้ายรถประจำทาง
เขาพยักหน้ารับก่อนชี้ไปยังคอนโดที่เพิ่งเปิดใหม่ฝั่งตรงข้าม
“ส่วนฉันอยู่คอนโดนั้น”
ฉันเหล่ตาไปมองเขา แล้วพยักหน้ารับรู้แบบขอไปที บอกเพื่อออ ไม่ได้อยากจะรู้เลยสักกระติ๊ด
พอเห็นฉันเงียบ เขาก็เลยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง
“เรื่องเมื่อวาน ขอโทษล่ะกัน”
“ห้ะ!?” ฉันร้องเสียงสูงแล้วหันขวับไปมองหน้าเขาจนผมสะบัด ความงอนทั้งหลายแหล่ปลิวไปกับสายลม
“ขอโทษที่ว่าเป็นโรคจิต”
ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างฉงน กินยาอะไรมาผิดหรือเปล่าเนี่ย จากมึนตึงใส่ทั้งวันอยู่ๆ ก็มาขอโทษนี่นะ
“นายเชื่อที่ฉันพูดแล้วเหรอ”
“ก็…ไม่เท่าไหร่”เขาไหวไหล่แล้วว่าต่อ “แต่มาคิดดีๆ ก็รู้สึกว่าดูใจร้ายไปหน่อย ที่บอกกับคนที่เพิ่งรู้จักกันว่าเป็นโรคจิต เอาเป็นว่าขอโทษล่ะกัน”
ปริ๊นซ์ว่าง่ายๆ พลางมองนกมองไม้ไปเรื่อย
และนั่นทำให้ฉันยิ้ม…
เรื่องโกรธ…ฉันไม่นึกโกรธเรื่องที่เขาว่าฉันโรคจิตเลยสักนิด ลองคิดมุมกลับกันถ้ามีคนมาบอกว่าฉันเป็นคนที่ออกมาจากความฝัน แถมยังวาดรูปติดเต็มฝาผนังไปหมด ฉันก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขา
แต่เขาก็มาขอโทษ
ฉันมองเสี้ยวหน้าเขาด้วยความรู้สึกดีใจลึกๆ อย่างน้อยปริ๊นซ์เวอร์ชั่นนี้ก็มีมุมที่ดี ไม่แย่ไปเสียหมด
อย่างนี้ค่อยเหมือนเพื่อนในฝันของฉันหน่อย!
“รถมาแล้วแว่น” ปริ๊นซ์ที่ใจจดจ่อกับการรอรถประจำทางรีบหันมาบอก ก่อนชะงักทำหน้าประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มอันแสนกว้างขวางของฉัน
“ยิ้มอะไรอีกล่ะ”
“เปล๊า”
ฉันไหวไหล่แล้วทำเสียงสูง ก้าวขึ้นรถประจำทางอย่างมีความสุข
มันเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพที่ดี ฉันเชื่อว่าอย่างนั้นนะ ฮี่ๆ
“อย่างที่เรารู้ๆ กันว่าม.5 ทุกห้องจะต้องส่งรายชื่อตัวแทนเข้าร่วมประกวดดาวเดือนประจำปีเนอะ จากผลที่พวกเราโหวตกัน ตอนนี้ห้องเราก็ได้ตัวแทนห้องเข้าร่วมงาน KHEMINTRA Shining Night Shining Star แล้วนะ”
ช่วงเวลาพักเที่ยง หลังจากทานข้าวเสร็จก่อนถึงเวลาเรียนคาบบ่าย น้ำค้างก็ได้นัดเพื่อนๆ ในห้องมาประชุมเพื่อโหวตหาตัวแทนห้องเข้าร่วมการประกวดดาวเดือนอย่างที่เคยวางแผนไว้ ซึ่งผลโหวตก็ไม่ต่างจากที่คิดนัก
ตัวแทนฝ่ายหญิงของห้องคือ ‘มิ้ม’ นางฟ้าของห้อง สวยแถมนิสัยน่ารักสุดๆ
ส่วนฝ่ายชาย…
ฉันละสายตาจากใบหน้าจิ้มลิ้มของมิ้ม ไปยังคนตัวสูงข้างๆ ที่กำลังนั่งทำหน้าเซ็งแตะระดับสิบเต็มสิบอย่างขำๆ
“ยินดีด้วยนะจ๊ะคนหล่อ”
ปริ๊นซ์หันมาถลึงตาใส่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“กวนตีนเหรอแว่น” เขายื่นมือมาผลักหน้าผากฉันจนหน้าหงายอย่างหมั่นไส้แล้วบ่นเสียงเขียว “น่าดีใจตรงไหน น่าเบื่อสิไม่ว่า”
ไอ้บ้านี่! กล้าเอาสารร่างของชายในฝันฉันมาทำกริยาถ่อยแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่ติดว่าต้องผูกมิตรเพื่อหาทางพิสูจน์กระดาษรูปวาดพิลึกที่ยังนอนสงบอยู่ในกระเป๋านั่น ฉันจะ…จะ…
“มีปัญหาเหรอ” ปริ๊นซ์มองมือฉันที่ยื่นเข้าไปเตรียมผลักหัวเขากลับ พร้อมยักคิ้วยิ้มเย้ยชนิดกวนประสาทมาให้อีก
ไม่! เพื่อมิตรภาพที่ดี ต้องท่องไว้ ผู้หญิงอ่อนโยนๆ
ฉันฟึดฟัดหดมือกลับมาแล้วหยิบหนังสือเรียนวิชาต่อไปกระแทกลงบนโต๊ะอย่างระบายอารมณ์ เสียงหัวเราะที่ไม่เบานักจากปีศาจข้างๆ ลอยมายั่วประสาท พอหันไปมอง เขาก็ทำทีตั้งใจวาดอะไรยุกยิกลงในหน้าจอสมาร์ทโฟน ราวกับจะบอกว่าที่หัวเราะน่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันซักกระติ๊ด
แต่ไม่นานเขาก็เอาศอกมากระทุ้งเรียกฉันแล้วยื่นหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือมาให้ดู
“การ์ตูนตัวนี้ตลกดีแว่น ไปกวนตีนเขาแล้วก็ถูกตอกกลับน่ะ หน้าตาตอนแพ้โคตรตลก”
บนหน้าจอปรากฏเป็นการ์ตูนผู้หญิงใส่แว่นมัดจุกลายเส้นกากๆ ที่กำลังทำหน้าโกรธแบบสุดฤทธิ์สุดเดช ใต้รูปนั้นมีข้อความว่า ‘แว่น-เตี้ย-กาก’
“ฉายาตัวละครไง” เขาขยายความ
ปริ๊นซ์เวอร์ชั่นนี้ทำไมมันหน้าหมั่นไส้ขนาดนี้ฟะ! ฟาดหางม้าใส่ตาอีกรอบได้ไหมเนี่ย
แต่ก่อนที่การปะทะจะเกิดขึ้นอีกรอบ เสียงหวานพร้อมร่างเพรียวบางของมิ้มก็ปรากฏตรงหน้าฉันและปริ๊นซ์เสียก่อน
“ยินดีด้วยนะจ๊ะปริ๊นซ์”
เธอส่งยิ้มน่ารักมาให้พวกเราทั้งสองคนพร้อมทรุดตัวลงนั่งโต๊ะตรงหน้าฉัน ปริ๊นซ์จึงหันไปมองเธอแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ากำลังเซ็งอยู่ เขาจึงพยักหน้ารับคำยินดีนั้นแบบเนือยๆ ส่วนฉันได้แต่ยิ้มทักทายแบบกว้างขวาง ลืมความขุ่นเคืองไปทั้งหมดสิ้น ก่อนจะมองใบหน้าของมิ้มอย่างปลื้มปริ่มอีกครั้ง
ใช่ ปลื้มปริ่ม ไม่ผิดหรอก ก็มิ้มสวยจริงๆ นี่นา!
ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าเล็กแบบพิมพ์นิยมนั้นปราศจากสิวและริ้วรอย ดูเผินๆ แทบไม่เห็นรูขุมขนเสียด้วยซ้ำ เครื่องหน้าดูกระจุ๋มกระจิ๋มหากแต่รวมกันแล้วดูน่ารัก น่าทะนุถนอมเป็นที่สุด
โห้ยยย สวยจัง… สวยจนผู้หญิงด้วยกันยังเคลิ้ม ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งสวย อายุก็เท่าๆ กันนี่นา ทำไมพระเจ้าถึงไม่แบ่งความสาวสวยสะพรั่งมาให้ฉันบ้างนะ ไอ้หน้าเอ๋อๆ เนิบๆ นี่คืออะไร๊ ฮือๆ
“ขอบคุณปริ๊นซ์กับมิ้มนะที่ยอมเป็นตัวแทนของห้องให้เราน่ะ” น้ำค้างที่เพิ่งคุยกับเลขาห้องเสร็จ เดินยิ้มตาหยีทรุดตัวลงนั่งข้างมิ้ม
ปริ๊นซ์เสตาไปมองคะแนนโหวตบนกระดานหน้าห้องแล้วถอนหายใจ คะแนนขาดลอยขนาดนั้นไม่ยอมก็คงได้หรอก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ช่วยกันไปเนอะ” มิ้มตอบแทนปริ๊นซ์พร้อมอมยิ้มน้อยๆ แล้วถามน้ำค้าง “มิ้มกับปริ๊นซ์ต้องทำอะไรบ้างเหรอ”
น้ำค้างยืดตัวตรง ปรับเข้าโหมดเอาการเอางานทันที แล้วอธิบายรายละเอียด
“อย่างที่รู้ตัวแทนจะเป็นม.5 ทั้งหมด การประกวดจะจัดในวันสถาปนาโรงเรียนคล้ายทุกปีแหละจ้ะ แต่พิเศษหน่อยตรงปีนี้ มีจัดซุ้มกิจกรรมและคอนเสิร์ตตอนกลางวัน ส่วนดาวเดือนตอนกลางคืน”
“มีงานกลางคืนด้วยเหรอ!?” มิ้มตาโตขึ้นอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ปริ๊นซ์เลิกคิ้วมองมาทางฉันเป็นเชิงถามว่า ‘มันพิเศษตรงไหน’
“ใช่ เพิ่มมาเป็นพิเศษฉลองครบรอบ 50 ปีเขมินทราน่ะ” น้ำค้างพยักหน้ารับแล้วว่าต่อ “ถึงงานจะมีกิจกรรมหลากหลายมากขึ้นแต่รายละเอียดการประกวดดาวเดือนก็เหมือนเดิมแหละ คือจะมีการแสดงรวมตัวแทน แสดงเดี่ยวแล้วก็ตอบคำถาม”
“ต้องมีการแสดงด้วย?” ปริ๊นซ์ถามเสียงห้วนก่อนจะถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่จนผมฉันซึ่งเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลิวไสว เมื่อน้ำค้างพยักหน้ารับยิ้มแหยๆ “ไม่บอกแต่แรก”
“ยังมีเวลาเหลืออีกเป็นเดือนน่า” เห็นหน้าน้ำค้างก็สงสาร ฉันจึงเสริมขึ้นช่วยแก้สถานการณ์ หากแต่เขาก็พยักหน้ารับแบบส่งๆ แล้วเท้าคางรอฟังรายละเอียดอื่นๆ ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
อีตาบ้านี่ก็ไม่รู้จักเก็บสีหน้าเลย!
“เอ่อ ละ แล้วเพราะมีการแสดงรวม สักอาทิตย์หน้าก็จะเริ่มประชุมนัดหมายเรื่องซ้อม ยังไงเดี๋ยวเราจะเอาข่าวมาบอกอีกทีนะ” น้ำค้างกวาดตามองตัวแทนทั้งสองแล้วเสริม ”ระหว่างนี้ก็อยากให้ไปลองคิดการแสดงเดี่ยวโชว์ความสามารถพิเศษของตัวเองไว้ เวลาในการแสดง 3-5 นาที”
ตัวแทนทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ หลังจากจบรายละเอียดหลัก มิ้มก็อยู่ถามรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานแล้วก็ลุกกลับที่นั่งไปพร้อมกับน้ำค้าง เมื่ออาจารย์ประจำวิชาคาบบ่ายเข้าสอน พอเห็นอย่างนั้นฉันจึงเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบสมุดขึ้นมาเตรียมพร้อม ก่อนจะชะงักนึกถึงสิ่งที่ควรทำ เมื่อเห็นกรอบรูปที่หยิบติดมือมาเมื่อเช้ายังอยู่ในสภาพเดิม
ฉันตั้งใจเอามันมาเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนเดียวกับในรูปวาดหรือเปล่า แต่พอถึงเวลานี้ฉันกลับลังเล
พอไม่พูดเรื่องน่าเหลื่อเชื่อพวกนั้น เขาก็ดูเป็นกันเองกับฉันมากขึ้น ถึงจะปากเสียแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจ
แต่มันก็ควรจะลองบ้างไม่ใช่เหรอ
“มองไรแว่น”
ปริ๊นซ์เอาหนังสือเรียนมาตีหัวฉันเบาๆ ทำเอาความคิดที่ลอยไปไกลถูกดึงกลับมาทันทีทันใด
“ปละ เปล่า”
เขาทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่พูดอะไร ฉันจึงตัดสินใจเงียบเหมือนกัน
เอาไว้ก่อนนะคุณกรอบรูป…
----------------------------- (100%)
เพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเอง กับ มิตรภาพที่ดี
ถ้าเป็นเพื่อนๆ จะกล้าเอากรอบรูปให้ปริ๊นซ์ดูไหมคะ?
ไรท์เองก็ไม่รู้แหละ แต่ที่รู้คืออยากให้ปริ๊นซ์มากวนตัวกวนใจแบบนี้บ้างจังเลยค่า 555555
**แปะ อิมเมจ น้องมิ้ม นางฟ้าคนสวยของห้อง **
มิ้ม : อึนฮา Gfriend
ตัดภาพมาที่น้องแว่นเนิบๆ
55555
แล้วเจอกันจ้า
ภรณ์นิชา
5 | ตัวแทน
น่าดีใจตรงไหน น่าเบื่อสิไม่ว่า - ปริ๊นซ์
และเช้าวันต่อมา ฉันก็ได้ค้นพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่อง
ตัวหนังสือที่อยู่มุมล่างซ้ายมันเปลี่ยนเองได้! ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น 99 Days ล่ะ
ทำไมตัวเลขลดลง? หมายถึงอะไรหรือเปล่า
ฉันขมวดคิ้วมุ่น เกาหัวยิกๆ ก่อนจะปัดความคิดนี้ออกไป เมื่อได้ยินเสียงพ่อเตือนว่าควรออกเดินทางไปโรงเรียนได้แล้ว ฉันจึงรีบคว้ากรอบรูปตรงหน้าใส่กระเป๋านักเรียน แล้วออกเดินไปรอรถประจำทางที่หน้าปากซอยดังเช่นทุกวัน
“ผู้ชายคนนั้นหล่อมากอะแก!”
ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาหาที่ยืนร่มๆ แถวป้ายจอดรถประจำทาง เสียงกระซิบปนหัวเราะของสาวๆ โรงเรียนเซนต์ซาเวียร์ โรงเรียนนานาชาติในละแวกเดียวกันกับโรงเรียนฉันก็ดังขึ้น
“คนนั้นใช่มะ!? ฉันก็เล็งมานานแล้ว อย่างกับนายแบบแน่ะ!”
“สูง ขาว ดูแบดหน่อยๆ โอ้ย มีความสามีสูงมากกก”
“เขาควรเป็นสามีของฉันนน”
บรรยายซะขนาดนี้ก็ควรค่าแก่การส่องค่ะ! ฉันกระแอมเล็กน้อยก่อนจะดันแว่นขึ้น ทำท่าเป็นมองหารถประจำทาง แต่ก็แอบกวาดสายตาไปทางที่สาวๆ มองอยู่เพื่อหาชายหนุ่มผู้มีออร่าสามีเจิดจรัส
ฉันหยีตามองร่างที่สูงโปร่งโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆ อย่างพินิจ ก่อนจะเบิกตาขึ้นเมื่อเขาหันมาสบตาเข้าพอดี
ปริ๊นซ์!
‘เจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องธรรมดาครั้งที่สองเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าครั้งที่สามเป็นเรื่องของพรหมลิขิต’
ประโยคในละครที่เพิ่งดูไปย้อนเข้ามาในหัว ฉันอ้าปากหวอ ในขณะที่เขาพึมพำเบาๆ โดยจับใจความจากปากที่ขยับได้ว่า…
‘ยัยแว่น’
ยัยแว่นอีกแล้ว ฉันก็มีชื่อนะโว้ย!
ฉันทำปากยื่นใส่เขา แต่เขากลับไม่สนใจแล้วกวักมือเรียกหย็อยๆ ให้ไปหาพร้อมชูสมุดการบ้านของฉันที่เขายืมไปเมื่อวานให้ดู
จะคืนของเขา ยังใช้ให้เดินไปหาอีก อีตานี่ -_-
“สวัสดี”
บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายฉันก็ไปยืนเป็นหลักกิโลข้างเสาไฟอย่างเขาอยู่ดี
“เดินมาหาช้าจริง”
“ก็คนมันเยอะไหมล่ะ” ฉันทำหน้าบู้พลางจัดผมที่เริ่มกระเซิงไม่เป็นทรงจากการฝ่าผู้คนมาหาเขาให้เข้าที่เข้าทาง
“ขาสั้นก็งี้ล่ะนะ”
ฉันหันขวับไปถลึงตาใส่เขา ถ้าไม่เห็นว่าคุยกับคน คงนึกว่าคุยกับหมา! ปากเสียชะมัด ถึงฉันจะสูงแค่อกเขา แต่มันก็ตั้ง 162 เซนติเมตรแล้วนะยะ! สุดๆ ในชีวิตแล้วโว้ย
“สมุดเธอ” เขายื่นสมุดมาตรงหน้าโดยไม่สนใจสายตากินเลือดกินเนื้อของฉัน “ขอบใจ”
เมื่อเห็นฉันรับสมุดไปโดยไม่พูดอะไร เขาเลยเป็นฝ่ายเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาเสียเอง
“อยู่แถวนี้เหรอ”
“ใช่ อยู่ซอยนั้น” ฉันพยักเพยิดไปทางซอยที่อยู่ใกล้ๆ ป้ายรถประจำทาง
เขาพยักหน้ารับก่อนชี้ไปยังคอนโดที่เพิ่งเปิดใหม่ฝั่งตรงข้าม
“ส่วนฉันอยู่คอนโดนั้น”
ฉันเหล่ตาไปมองเขา แล้วพยักหน้ารับรู้แบบขอไปที บอกเพื่อออ ไม่ได้อยากจะรู้เลยสักกระติ๊ด
พอเห็นฉันเงียบ เขาก็เลยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง
“เรื่องเมื่อวาน ขอโทษล่ะกัน”
“ห้ะ!?” ฉันร้องเสียงสูงแล้วหันขวับไปมองหน้าเขาจนผมสะบัด ความงอนทั้งหลายแหล่ปลิวไปกับสายลม
“ขอโทษที่ว่าเป็นโรคจิต”
ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างฉงน กินยาอะไรมาผิดหรือเปล่าเนี่ย จากมึนตึงใส่ทั้งวันอยู่ๆ ก็มาขอโทษนี่นะ
“นายเชื่อที่ฉันพูดแล้วเหรอ”
“ก็…ไม่เท่าไหร่”เขาไหวไหล่แล้วว่าต่อ “แต่มาคิดดีๆ ก็รู้สึกว่าดูใจร้ายไปหน่อย ที่บอกกับคนที่เพิ่งรู้จักกันว่าเป็นโรคจิต เอาเป็นว่าขอโทษล่ะกัน”
ปริ๊นซ์ว่าง่ายๆ พลางมองนกมองไม้ไปเรื่อย
และนั่นทำให้ฉันยิ้ม…
เรื่องโกรธ…ฉันไม่นึกโกรธเรื่องที่เขาว่าฉันโรคจิตเลยสักนิด ลองคิดมุมกลับกันถ้ามีคนมาบอกว่าฉันเป็นคนที่ออกมาจากความฝัน แถมยังวาดรูปติดเต็มฝาผนังไปหมด ฉันก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขา
แต่เขาก็มาขอโทษ
ฉันมองเสี้ยวหน้าเขาด้วยความรู้สึกดีใจลึกๆ อย่างน้อยปริ๊นซ์เวอร์ชั่นนี้ก็มีมุมที่ดี ไม่แย่ไปเสียหมด
อย่างนี้ค่อยเหมือนเพื่อนในฝันของฉันหน่อย!
“รถมาแล้วแว่น” ปริ๊นซ์ที่ใจจดจ่อกับการรอรถประจำทางรีบหันมาบอก ก่อนชะงักทำหน้าประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มอันแสนกว้างขวางของฉัน
“ยิ้มอะไรอีกล่ะ”
“เปล๊า”
ฉันไหวไหล่แล้วทำเสียงสูง ก้าวขึ้นรถประจำทางอย่างมีความสุข
มันเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพที่ดี ฉันเชื่อว่าอย่างนั้นนะ ฮี่ๆ
“อย่างที่เรารู้ๆ กันว่าม.5 ทุกห้องจะต้องส่งรายชื่อตัวแทนเข้าร่วมประกวดดาวเดือนประจำปีเนอะ จากผลที่พวกเราโหวตกัน ตอนนี้ห้องเราก็ได้ตัวแทนห้องเข้าร่วมงาน KHEMINTRA Shining Night Shining Star แล้วนะ”
ช่วงเวลาพักเที่ยง หลังจากทานข้าวเสร็จก่อนถึงเวลาเรียนคาบบ่าย น้ำค้างก็ได้นัดเพื่อนๆ ในห้องมาประชุมเพื่อโหวตหาตัวแทนห้องเข้าร่วมการประกวดดาวเดือนอย่างที่เคยวางแผนไว้ ซึ่งผลโหวตก็ไม่ต่างจากที่คิดนัก
ตัวแทนฝ่ายหญิงของห้องคือ ‘มิ้ม’ นางฟ้าของห้อง สวยแถมนิสัยน่ารักสุดๆ
ส่วนฝ่ายชาย…
ฉันละสายตาจากใบหน้าจิ้มลิ้มของมิ้ม ไปยังคนตัวสูงข้างๆ ที่กำลังนั่งทำหน้าเซ็งแตะระดับสิบเต็มสิบอย่างขำๆ
“ยินดีด้วยนะจ๊ะคนหล่อ”
ปริ๊นซ์หันมาถลึงตาใส่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“กวนตีนเหรอแว่น” เขายื่นมือมาผลักหน้าผากฉันจนหน้าหงายอย่างหมั่นไส้แล้วบ่นเสียงเขียว “น่าดีใจตรงไหน น่าเบื่อสิไม่ว่า”
ไอ้บ้านี่! กล้าเอาสารร่างของชายในฝันฉันมาทำกริยาถ่อยแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่ติดว่าต้องผูกมิตรเพื่อหาทางพิสูจน์กระดาษรูปวาดพิลึกที่ยังนอนสงบอยู่ในกระเป๋านั่น ฉันจะ…จะ…
“มีปัญหาเหรอ” ปริ๊นซ์มองมือฉันที่ยื่นเข้าไปเตรียมผลักหัวเขากลับ พร้อมยักคิ้วยิ้มเย้ยชนิดกวนประสาทมาให้อีก
ไม่! เพื่อมิตรภาพที่ดี ต้องท่องไว้ ผู้หญิงอ่อนโยนๆ
ฉันฟึดฟัดหดมือกลับมาแล้วหยิบหนังสือเรียนวิชาต่อไปกระแทกลงบนโต๊ะอย่างระบายอารมณ์ เสียงหัวเราะที่ไม่เบานักจากปีศาจข้างๆ ลอยมายั่วประสาท พอหันไปมอง เขาก็ทำทีตั้งใจวาดอะไรยุกยิกลงในหน้าจอสมาร์ทโฟน ราวกับจะบอกว่าที่หัวเราะน่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันซักกระติ๊ด
แต่ไม่นานเขาก็เอาศอกมากระทุ้งเรียกฉันแล้วยื่นหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือมาให้ดู
“การ์ตูนตัวนี้ตลกดีแว่น ไปกวนตีนเขาแล้วก็ถูกตอกกลับน่ะ หน้าตาตอนแพ้โคตรตลก”
บนหน้าจอปรากฏเป็นการ์ตูนผู้หญิงใส่แว่นมัดจุกลายเส้นกากๆ ที่กำลังทำหน้าโกรธแบบสุดฤทธิ์สุดเดช ใต้รูปนั้นมีข้อความว่า ‘แว่น-เตี้ย-กาก’
“ฉายาตัวละครไง” เขาขยายความ
ปริ๊นซ์เวอร์ชั่นนี้ทำไมมันหน้าหมั่นไส้ขนาดนี้ฟะ! ฟาดหางม้าใส่ตาอีกรอบได้ไหมเนี่ย
แต่ก่อนที่การปะทะจะเกิดขึ้นอีกรอบ เสียงหวานพร้อมร่างเพรียวบางของมิ้มก็ปรากฏตรงหน้าฉันและปริ๊นซ์เสียก่อน
“ยินดีด้วยนะจ๊ะปริ๊นซ์”
เธอส่งยิ้มน่ารักมาให้พวกเราทั้งสองคนพร้อมทรุดตัวลงนั่งโต๊ะตรงหน้าฉัน ปริ๊นซ์จึงหันไปมองเธอแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ากำลังเซ็งอยู่ เขาจึงพยักหน้ารับคำยินดีนั้นแบบเนือยๆ ส่วนฉันได้แต่ยิ้มทักทายแบบกว้างขวาง ลืมความขุ่นเคืองไปทั้งหมดสิ้น ก่อนจะมองใบหน้าของมิ้มอย่างปลื้มปริ่มอีกครั้ง
ใช่ ปลื้มปริ่ม ไม่ผิดหรอก ก็มิ้มสวยจริงๆ นี่นา!
ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าเล็กแบบพิมพ์นิยมนั้นปราศจากสิวและริ้วรอย ดูเผินๆ แทบไม่เห็นรูขุมขนเสียด้วยซ้ำ เครื่องหน้าดูกระจุ๋มกระจิ๋มหากแต่รวมกันแล้วดูน่ารัก น่าทะนุถนอมเป็นที่สุด
โห้ยยย สวยจัง… สวยจนผู้หญิงด้วยกันยังเคลิ้ม ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งสวย อายุก็เท่าๆ กันนี่นา ทำไมพระเจ้าถึงไม่แบ่งความสาวสวยสะพรั่งมาให้ฉันบ้างนะ ไอ้หน้าเอ๋อๆ เนิบๆ นี่คืออะไร๊ ฮือๆ
“ขอบคุณปริ๊นซ์กับมิ้มนะที่ยอมเป็นตัวแทนของห้องให้เราน่ะ” น้ำค้างที่เพิ่งคุยกับเลขาห้องเสร็จ เดินยิ้มตาหยีทรุดตัวลงนั่งข้างมิ้ม
ปริ๊นซ์เสตาไปมองคะแนนโหวตบนกระดานหน้าห้องแล้วถอนหายใจ คะแนนขาดลอยขนาดนั้นไม่ยอมก็คงได้หรอก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ช่วยกันไปเนอะ” มิ้มตอบแทนปริ๊นซ์พร้อมอมยิ้มน้อยๆ แล้วถามน้ำค้าง “มิ้มกับปริ๊นซ์ต้องทำอะไรบ้างเหรอ”
น้ำค้างยืดตัวตรง ปรับเข้าโหมดเอาการเอางานทันที แล้วอธิบายรายละเอียด
“อย่างที่รู้ตัวแทนจะเป็นม.5 ทั้งหมด การประกวดจะจัดในวันสถาปนาโรงเรียนคล้ายทุกปีแหละจ้ะ แต่พิเศษหน่อยตรงปีนี้ มีจัดซุ้มกิจกรรมและคอนเสิร์ตตอนกลางวัน ส่วนดาวเดือนตอนกลางคืน”
“มีงานกลางคืนด้วยเหรอ!?” มิ้มตาโตขึ้นอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ปริ๊นซ์เลิกคิ้วมองมาทางฉันเป็นเชิงถามว่า ‘มันพิเศษตรงไหน’
“ใช่ เพิ่มมาเป็นพิเศษฉลองครบรอบ 50 ปีเขมินทราน่ะ” น้ำค้างพยักหน้ารับแล้วว่าต่อ “ถึงงานจะมีกิจกรรมหลากหลายมากขึ้นแต่รายละเอียดการประกวดดาวเดือนก็เหมือนเดิมแหละ คือจะมีการแสดงรวมตัวแทน แสดงเดี่ยวแล้วก็ตอบคำถาม”
“ต้องมีการแสดงด้วย?” ปริ๊นซ์ถามเสียงห้วนก่อนจะถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่จนผมฉันซึ่งเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลิวไสว เมื่อน้ำค้างพยักหน้ารับยิ้มแหยๆ “ไม่บอกแต่แรก”
“ยังมีเวลาเหลืออีกเป็นเดือนน่า” เห็นหน้าน้ำค้างก็สงสาร ฉันจึงเสริมขึ้นช่วยแก้สถานการณ์ หากแต่เขาก็พยักหน้ารับแบบส่งๆ แล้วเท้าคางรอฟังรายละเอียดอื่นๆ ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
อีตาบ้านี่ก็ไม่รู้จักเก็บสีหน้าเลย!
“เอ่อ ละ แล้วเพราะมีการแสดงรวม สักอาทิตย์หน้าก็จะเริ่มประชุมนัดหมายเรื่องซ้อม ยังไงเดี๋ยวเราจะเอาข่าวมาบอกอีกทีนะ” น้ำค้างกวาดตามองตัวแทนทั้งสองแล้วเสริม ”ระหว่างนี้ก็อยากให้ไปลองคิดการแสดงเดี่ยวโชว์ความสามารถพิเศษของตัวเองไว้ เวลาในการแสดง 3-5 นาที”
ตัวแทนทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ หลังจากจบรายละเอียดหลัก มิ้มก็อยู่ถามรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานแล้วก็ลุกกลับที่นั่งไปพร้อมกับน้ำค้าง เมื่ออาจารย์ประจำวิชาคาบบ่ายเข้าสอน พอเห็นอย่างนั้นฉันจึงเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบสมุดขึ้นมาเตรียมพร้อม ก่อนจะชะงักนึกถึงสิ่งที่ควรทำ เมื่อเห็นกรอบรูปที่หยิบติดมือมาเมื่อเช้ายังอยู่ในสภาพเดิม
ฉันตั้งใจเอามันมาเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนเดียวกับในรูปวาดหรือเปล่า แต่พอถึงเวลานี้ฉันกลับลังเล
พอไม่พูดเรื่องน่าเหลื่อเชื่อพวกนั้น เขาก็ดูเป็นกันเองกับฉันมากขึ้น ถึงจะปากเสียแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจ
แต่มันก็ควรจะลองบ้างไม่ใช่เหรอ
“มองไรแว่น”
ปริ๊นซ์เอาหนังสือเรียนมาตีหัวฉันเบาๆ ทำเอาความคิดที่ลอยไปไกลถูกดึงกลับมาทันทีทันใด
“ปละ เปล่า”
เขาทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่พูดอะไร ฉันจึงตัดสินใจเงียบเหมือนกัน
เอาไว้ก่อนนะคุณกรอบรูป…
----------------------------- (100%)
เพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเอง กับ มิตรภาพที่ดี
ถ้าเป็นเพื่อนๆ จะกล้าเอากรอบรูปให้ปริ๊นซ์ดูไหมคะ?
ไรท์เองก็ไม่รู้แหละ แต่ที่รู้คืออยากให้ปริ๊นซ์มากวนตัวกวนใจแบบนี้บ้างจังเลยค่า 555555
**แปะ อิมเมจ น้องมิ้ม นางฟ้าคนสวยของห้อง **
มิ้ม : อึนฮา Gfriend
ตัดภาพมาที่น้องแว่นเนิบๆ
55555
แล้วเจอกันจ้า
ภรณ์นิชา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ