ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!
-
เขียนโดย YourSmileKeeper
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.39 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
6,099 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2560 00.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) เบาะแส!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!
บทที่ 4 เบาะแส!
ไม้ยืนต้นนานาพันธ์ขึ้นตามธรรมชาติอย่างไม่เป็นระเบียบ เรียงลดหลั่นกันลงไปตามเขาชัน มีเพื่อนเป็นก้อนหินอายุอานามคงผ่านมาหลายชั่วคนแทรกอยู่เป็นระยะ ผืนน้ำเบื้องล่างลึกลงสุดปลายเขานั้นช่างกว้างใหญ่ไม่สามารถประเมินจุดสิ้นสุดได้
ร่างท้วมในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินทับด้วยแจ็กเก็ตตัวหลวมพับแขนถึงข้อศอก กางเกงยีนส์แลดูเทอะทะเพราะปลายขาไปกองกันอยู่เหนือรองเท้าแตะที่มีขนาดใหญ่ผิดไซส์หญิงสาวไปไกลโข
กระนั้นเจ้าหล่อนก็ยังคงคล่องตัว เดินลงเขาลัดเลาะต้นไม้และก้อนหินก่อนจะไปยืนบนหินผาขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปเกือบจะเหนือผืนน้ำที่อยู่ต่ำลงไปเป็นร้อยเมตร
แต่ราวกับพึ่งนึกอะไรได้ เมื่อสายตาเหลือบเห็นเบื้องล่าง หญิงสาวเอามือทาบอก ค่อยๆ หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ ขาที่ยืนอยู่เริ่มสั่น ทั้งที่ก้อนหินก้อนนั้นช่างมั่นคงหนักแน่นกว่าใจคนเสียด้วยซ้ำ
กศิณาพยายามตั้งสติ บอกตัวหล่อนให้ใจเย็นๆ อย่ามองลงไปด้านล่าง ใช้เวลาสักพักทุกอย่างจึงสงบลง มือซ้ายประคองเพื่อนรักคู่ใจขึ้นแนบดวงตา ในขณะที่นิ้วชี้ขวาเลื่อนปรับระยะและแสงของภาพให้พอเหมาะ กดชัตเตอร์ถ่ายวิวโดยรอบไปพลางๆ ก่อนจะเตรียมตัว ตั้งตารอฤกษ์งามยามดีที่ดวงตะวันกำลังจะแตะขอบน้ำ
เอาล่ะ! กำลังจะถึงเวลาแล้ว...
หนึ่ง
สอง
สะ...
กริ๊ง!!!!
เสียงโทรศัพท์ที่แผดลั่นทำให้ร่างท้วมสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอย่างกับหลุมดำ เพราะหาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียที
เหลือบมองขึ้นไปยังลานปูนด้านหลังที่เริ่มมีคนมองมาก็ยิ่งร้อนรน รู้สึกเกรงใจบรรยากาศสงบๆ ที่ถูกทำลายด้วยเสียงโทรศัพท์ของตน ก่อนจะรีบกดปิดเสียงเมื่อคว้าได้แล้วเงยหน้าขึ้นเตรียมถ่ายวินาทีสำคัญอีกครั้ง
แล้วเธอก็ได้พบว่า...รอบกายนั้นถูกความมืดกลืนกินไปเสียแล้ว สิ่งที่เธอเฝ้ารอมา ได้หายลับลงน้ำในเขื่อนไปเรียบร้อย!
หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้าก่อนถอนหายใจ ปล่อยกล้องลงคล้องคอ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ ค่อยๆ กดรับช้าๆ พลางมองชื่อคนโทรมาอย่างคาดโทษ
“ไอ้ตี๋! แกนะแก ฉันกำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แล้วเชียว โทรมาไม่ดูเวล่ำเวลาเลย” หญิงสาวกัดฟันพูด น้ำเสียงจิกกัดเล็กน้อย ด้วยรู้ว่าไม่ใช่ความผิดเพื่อน แต่ก็นะ เธอขับรถออกจากตัวเมืองมาตั้งนาน เพื่อมารอช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากไม่ได้รูปแล้ว ยังไม่ได้เห็นเสียด้วยซ้ำ! เพราะมัวแต่รื้อกระเป๋าหามือถือ นี่ยังดีที่ได้ชมวิวยามเย็นของบันไดพญานาคที่ทอดลงไปสู่เบื้องล่างเห็นหมู่บ้านและชุมชนไกลลิบๆ และพระพุทธรูปสีขาวที่ตั้งตระหง่านบนภูเขา รวมทั้งบรรยากาศที่เย็นสบายเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ที่คุกกรุ่น ดับลงได้ไม่อยาก แต่ยังไงมันก็เสียดายอยู่ดี เสียดายมากเสียด้วย!
ใจเย็นไอ้ยุ้ง มาทำบุญๆ ใจเย็นๆ นะ
ได้แต่บอกตัวเอง แต่ก็รู้สึกอยากจะกรีดร้องออกมาอยู่ดี
“ห๊ะ อะไรนะ แกกำลังจะเย็บผ้าหรอ ถึงจะต้องเอาด้ายเข้าเข็ม โหย ปกติงานฝีมือแกจับซะที่ไหน เห็นแต่ใช้จีน่าทำตลอดดดด” ปลายสายแกล้งลากเสียงยาวอย่างแดกดัน กวนสติกศิณาไปอย่างนั้น เมื่อรู้ดีว่า เพื่อนสนิทของตนไม่มีวันนั่งเย็บผ้าหรอก ปกติก็มักวานให้คู่ฤทัยเพื่อนสนิทอีกคนทำให้เสมอ
กศิณาหายใจฟึดฟัด อยากจะตะโกนด่าให้ลั่น เอาให้ปลายสายหูชา ถ้าไม่ใช่เพื่อนตัวดีเอ่ยสิ่งที่ทำให้เธอสนใจ อารมณ์คงไม่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ไอ้พิมให้ฉันมาถามอะไรแกหน่อย ไอ้พิมหลานบ้านกิจจศิลปาที่แกเคยถามฉันไง เพื่อนฉันสมัยมัธยมจำได้ไหม” ปลายสายรีบต่อสาเหตุที่เขาโทรมา แม้ไม่เคยรู้เหตุผลที่เพื่อนสนิทตนสนใจตระกูลไฮโซนี้ แต่เขารู้สึกว่า ถ้าเป็นเรื่องนี้ เพื่อนเขาน่าจะพออภัยที่เขาโทรมาขัดเวลาสำคัญของเจ้าตัวได้
“มีอะไร ฉันก็เคยคุยกับพิมอยู่ พิมจะถามอะไรหรอ” หญิงสาวกรอกเสียงกลับไป พลางนึกถึงหน้าเด็กสาวที่ชื่อพิมประภา ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเธอ ทั้งยังหุ่น รูปร่างก็เหมือนกันค่อนข้างมาก จะต่างก็แค่เธอตาตี่กว่า ส่วนพิมประภาตากลมโตกว่า จนพีรวิชญ์ที่เจอเธอตอนปีหนึ่งคิดว่าเพื่อนสมัยมัธยมเปลี่ยนชื่อมาเรียนกันเลยทีเดียว แต่กว่าเธอจะได้เจอตัวจริงของฝั่งนู้นก็อีกหลายปีถัดมา เพราะก่อนหน้าเธอไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จะเหมือนไม่เหมือน คนบนโลกก็มีหน้าตาคล้ายกันถมเถ และพอเจอจึงได้เห็นชัดๆ ว่า นี่มันเหมือนชนิดที่เรียกได้ว่า...
ไม่ธรรมดาแล้ว!
“พิมมันจะไปเที่ยวต่างประเทศกับแฟนมัน ที่บ้านมันไม่ให้ แต่มันจองตั๋วไปนานแล้ว แล้วมันก็อยากไปมาก มันเลยจะขอให้แกช่วยไปอยู่บ้านมันสักห้าวันแทนมันได้ไหม แกลางานแค่สามวันเองนะจันทร์ถึงพุธ”
“ห๊ะ แกจะบ้าหรอ ฉันไม่รู้จักคนในบ้านเพื่อนแกเลยนะเว้ย ถึงฉันจะหน้าคล้ายเพื่อนแกแต่บุคลิกฉันก็ไม่ใช่ แกคิดว่าฉันจะอยู่รอดในบ้านหลังนั้นไปได้นานแค่ไหนกัน” หญิงสาวตกใจเล็กน้อยจึงรีบปฏิเสธทันที ก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่างออกเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง
“โถ่ แก ไอ้พิมมันแค่เป็นเด็กเรียบร้อย เงียบๆ โลกส่วนตัวสูง ไม่คุยกับใคร เวลาอยู่บ้านมันก็อยู่แต่ในห้องทั้งวัน แถมที่บ้านมันก็คนอยู่ไม่เยอะ ไปอยู่ที่อื่นกันเกือบหมด ญาติมันแกก็ดูรูปแล้วจำชื่อไว้ ไอ้พิมพ์บอกแค่นี้ก็น่าจะรอดแล้วนะ” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิท เพราะเงินที่เขาได้มาเป็นค่าสินน้ำใจจากพิมประภานั้นไม่ใช่น้อย ก็เจ้าตัวฝั่งนั้นเขาอยากไปเที่ยวมากจริงๆ แต่ถ้าหายออกจากบ้านไป ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ สืบแปปเดียวก็รู้ว่าไปไหน ได้ไปลากตัวกันกลับมาพอดี หมดสนุกกันหมด!
“แก แกเคยบอกฉันว่าแกอยากทำความรู้จักกับคนบ้านนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าด้วยเหตุอะไร แต่นี่มันเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้แล้วนะเว้ย” ชายหนุ่มย้ำสิ่งที่เพื่อนสนิทกำลังคิดอยู่
ใช่ มันเป็นโอกาส ที่หาไม่ได้ง่ายๆ แม้เธอจะได้ไปทำความรู้จักเมื่องานแฟชั่นโชว์สองอาทิตย์ก่อน แต่มันก็แค่นั้น แล้วไม่มีโอกาสได้รู้จักกันต่อ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่มีก็ได้
ไอ้ยุ้ง คิดดีๆ สิวะ ถ้าเขาจับได้ มันก็ความซวยของพิมไหม แต่ถ้าแกได้มีโอกาสเข้าบ้านนั้นไป แกจะได้รู้สิ่งที่สงสัยมานานเสียที…
“เออ ก็ได้ แต่บอกพิมด้วยนะ มาติวฉันดีๆ เพราะถ้าถูกจับได้ พิมนั่นละซวยคนแรก โอเคไหม”
หญิงสาวคุยกับปลายสายต่ออีกไม่นานก็วางสาย ก่อนจะหันหลังใช้โทรศัพท์มือถือของตนเปิดไฟฉายแล้วปีนกลับขึ้นไปยังลานด้านบน เดินตรงไปที่รถคันเล็กสีดำสนิทที่จอดในซองอย่างเรียบร้อย
มืออูมเอื้อมไปไขกุญแจ เนื่องจากเป็นสถานที่สงบ หญิงสาวจึงไม่อยากใช้รีโมทให้ก่อเสียงวุ่นวายแก่บรรยากาศรอบข้าง ก่อนจะยัดตัวเข้าสู่ที่นั่ง ซึ่งเรียกได้ว่าออกจะแคบไปนิด เมื่อเธอเป็นสาวร่างใหญ่เช่นนี้
แต่ทำไงได้ รถคันใหญ่เปลืองทั้งเงินค่ารถ ทั้งกินน้ำมัน แค่คันนี้เธอก็ซิ่งได้สะใจแล้ว
หูฟังบลูทูธที่วางไว้ในช่องหน้ารถถูกหยิบขึ้นมา เธอดันสวิตซ์เปิดก่อนเสียบมันเข้ารูหู แล้วคุยกับอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคชิ้นเล็กเป็นตุเป็นตะ
“Please Video call to Gina!”
เสียงสัญญาณตอบรับดังขึ้นไม่นานนัก ปลายสายก็กรอกเสียงห้วน สั้น กลับมา
“ว่า...”
“แก พิมเพื่อนตี๋ คนที่หน้าเหมือนฉันอ่ะ จะให้ฉันปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านกิจจศิลปาแทน เพราะว่าพิมจะไปเที่ยวต่างประเทศ”
“ก็ดีนี่ นี่เป็นโอกาสล่ะ” ปลายสายยังคงเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ กับข่าวทีได้รับ
“แล้วแกจะให้ฉันแนะนำตัวแกให้คุณไพลินกับคุณพลอยรุ้งรู้จักเลยไหม”
“ยังไม่ถึงเวลานะ รออีกสักพักแล้วกัน กลับไทยเมื่อไรเดี๋ยวบอก”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น ก็เรื่อยๆ ไปก่อนนะ”
“ตามแกเห็นสมควรเลย เออ แก...”คู่ฤทัยเงียบเสียงไปเล็กน้อย ก่อนต่อประโยคถัดมา “สู้ๆ นะแก”
บ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัด สีครีมนวลตา หลังคาสีแดง ตั้งอยู่บนพื้นที่ห้าสิบตารางวา มีสวนหย่อมเล็กๆ ถัดจากรั่วเหล็กดัดโปร่งสีฟ้า ข้างๆ กันมีรถสปอร์ตคันหรูสีแดงสดจอดอยู่ ปิดทางออกของรถอีกคนที่อยู่ภายใต้หลังคาโรงจอดรถ ประตูกระจกทางเข้าบ้านเปิดอ้า เผยให้เห็นบุคคลที่นั่งกันอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกด้านใน
“อันนี้มือถือพิมนะ ขอบคุณยุ้งมากๆ ไหนพิมขอดูหน้าอีกทีสิ” มืออวบยื่นโทรศัพท์รุ่นใหม่ราคาแพงมาให้คนที่นั่งตรงหน้า ก่อนจะสัมผัสใบหน้าของกศิณาอย่างเบามือ เพื่อเช็คความเรียบร้อยให้แน่ใจ
“เหมือนกันเป๊ะแล้วใช่ไหมตี๋” พิมประภายื่นหน้ามาข้างใบหน้าหญิงสาวอีกคน ที่ตอนนี้ติดเทปทำตาสองชั้น กรีดอายไลน์เนอร์จนหางตาแหลม ปากแดงอมชมพู และแต่งตัวในชุดเดรสสีหวานเรียบร้อย
ท่าทางลักษณะของคนทั้งสอง เหมือนกันจนพีรวิชญ์รู้สึกได้เลยว่า ถ้าไม่สังเกตดีๆ ไม่มีทางแยกออก
“ใกล้เคียงละ แต่ไอ้ยุ้งมันคล้ำกว่าแกนิดนึง มันไม่ค่อยดูแลตัวเอง แต่ช่างมัน พอไหวอยู่ อย่าไปใส่แขนกุดก็พอ เดี๋ยวเขาจะรู้กันว่าทูโทน!” ชายหนุ่มคนกลางแอบจิกกัดเพื่อนสนิทเล็กน้อย จนแทบจะถูกค้อนวงใหญ่กระแทกใส่หน้า เนื่องจากปากปีจอไม่สมบุคลิกหนุ่มแว่นหน้าเนิร์ดของเขา
“เดินทางดีๆ นะพิม” พิมประภา กิจจศิลปาตัวปลอมยิ้มให้ ก่อนโบกมือลาหญิงสาวที่กำลังจะก้าวออกจากประตูบ้านของพีรวิชญ์ไป
“จ๊ะ มีอะไรโทรหาพิมได้ตลอดนะ ตามเบอร์ที่ให้ไว้ เอาเครื่องพิมโทรได้เลย ขับรถถึงบ้านยุ้งก็ลงรถเลย เดี๋ยวลุงผลแกขับไปจอดเอง แล้วยุ้งก็ขึ้นห้องได้เลยนะ ปกติพิมพ์ไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไรหรอก” ตัวจริงเสียงจริงทิ้งท้าย ก่อนเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวอีกคนรู้สึกหนักใจว่าจะไปรอดไหม...
“ไอ้ตี๋ แกให้กำลังใจฉันหน่อยสิ แกว่ารอดใช่ไหมวะ”
ดวงตาที่กลมขึ้นเพราะถูกเติมแต่งเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างขอกำลังใจ ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มให้แหยๆ
“รอดมั้งแก แกก็เรียบร้อยๆ หน่อยแล้วกัน พูดน้อยๆ เดินสวยๆ สงบๆ ไม่ต้องคุยกับใคร แค่นั้นแหละ สู้ดิวะ สู้” ใบหน้าที่ไม่ค่อยมั่นใจ กับทีท่าที่สู้ไม่สุดของเพื่อนข้างตัวทำให้มืออวบยกไปตบหัวเพื่อนดังป๊าป
พีรวิชญ์พิจารณาใบหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ก่อนจะเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัย
“ไอ้ยุ้ง แกไม่เคยสงสัยบ้างหรอวะว่าแกกับพิมพ์เป็นฝาแฝดกันหรือเปล่า ทำไมหน้าตาเหมือนกันราวกับสลักแงะออกมาจากหินผาก้อนเดียวกัน”
“ไอ้บ้า แกน่ะสิ เกิดมาจากหิน”
“เอ้า นี่ไม่ได้กวนนะ ถามจริง เหมือนขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นฝาแฝดที่พลัดพรากก็ได้นะ”
“แกดูตาฉันนี่” หญิงสาวว่าพลางทำท่าจะแกะเทปบนหนังตาออก จนเพื่อนสนิทต้องตีมือ
“มันเหมือนตรงไหน ถอดไอ้เทปนี่ออกปุ๊ป ตาตี่ปั๊ป ตี่กว่าแกที่ชื่อตี๋อีก!”
“ก็ต่างแค่ตรงนี้แหละน่า พอติดแบบนี้แล้วหน้าแกเหมือนพิมมากจริงๆ”
“พิมเรียนก่อนเกณฑ์ไม่ใช่หรอ เป็นน้องฉันตั้งปีกว่า ถ้าเป็นแฝดกันจริงไม่ฉันก็พิมต้องมีสักคนที่จะโดนจับฐานแจ้งวันเกิดเท็จนา“
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลิกคุยกับชายหนุ่มที่ไม่ได้เพิ่มความมั่นใจในภารกิจครั้งนี้ให้เธอเลย ก่อนจะหยิบกุญแจรถสปอร์ตรุ่นใหม่ ที่พิมประภาให้ไว้ พร้อมที่จะขับกลับบ้าน ด้วยใจที่ไม่มั่นคงเท่าไรนัก
บ้าน...ไอ้ยุ้ง แกกำลังจะได้กลับบ้าน สู้สิวะ
รถสีแดงคันหรูเคลื่อนตัวช้าๆ ตามแรงเหยียบของคนขับที่ไม่ได้กดลงมากนักผ่านรั้วเหล็กดัดโปร่งสีน้ำเงินเข้ม ปลายแหลมและลวดลายวงกลมเป็นสีทอง คั่นด้วยเสาร์ปูนขนาดใหญ่พร้อมกล้องวงจรปิดเป็นระยะ ด้านในเป็นรั้วต้นไม้อีกชั้นดูร่มรื่นและเป็นส่วนตัว ก่อนจะมาถึงเสาร์ปูนสูงมีรูปปั้นสัตว์แกะสลักลายทองตัวใหญ่สองเสาตั้งสง่าเคียงกันเหนือประตูเหล็กอ่อนดัดลวดลายอ่อนช้อย ละเอียดลออ ราวกับว่าคนทำใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเสกสรรมันขึ้นมา
หญิงสาวกดรีโมทเปิดประตูบ้านตามที่ได้รับการติวมา ใช้เท้าเปล่าเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าไปตามพื้นถนนปูด้วยบล็อก ข้างขวาเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายผ่านสะพานข้ามลำธารที่มีต้นกำเนิดจากน้ำตกจำลองที่ไหลลงสู่บ่อน้ำกว้างก่อนแปลงกายเป็นลำธารสายเล็กทอดยาวไปสู่บ่อน้ำวงกลมขนาดย่อม ที่มีน้ำพุรูปกามเทพน้อยอยู่ตรงกลาง ตรงตำแหน่งประตูไม้บานคู่ซึ่งเป็นประตูบ้านพอดี
กศิณาวนรถผ่านเสาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปจนถึงหลังคาแล้วกดห้ามล้อกะทันหัน จอดรถสีสดที่หน้าตัวบ้านตามสไตล์ที่เจ้าของรถตัวจริงบอกมาทุกอย่าง
‘พิมจะขับรถเร็วแล้วเบรคเอี๊ยดที่หน้าบ้าน วางกุญแจไว้รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปเลย ไม่ต้องสนใจอะไร’
กศิณาทำตามที่พิมบอกทุกอย่าง วางสมาร์ทคีย์ไว้หน้าคอนโซลรถ ก่อนที่จะรีบยัดเท้าลงบนรองเท้าส้นเข็ม
ไอ้ขั้นตอนนี้ล่ะ ที่เธอทำช้ากว่าพิมแน่นอน ไม่รู้ขับกันไปได้ยังไง ส้นแหลมปี๊ดขนาดนี้ ปกติถ้ารองเท้าที่ส้นหนามากๆ เธอยังแอบลำบากเลย
“คุณพิมครับ สวัสดีครับ”
ลุงผลวิ่งเข้ามาทันช่วงเวลาก้าวลงจากรถของหญิงสาว กศิณาเผลอยิ้มให้อย่างสดใสตามสไตล์ปกติของเธอ ก่อนจะรีบหุบยิ้มแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าเพราะเห็นหน้าของคนดูแลรถที่มีทีท่าประหลาดใจ เมื่อได้รับรอยยิ้มจากเจ้านายน้อย พลันร่างบนส้นเข็มต้องรีบชะลอฝีเท้า นึกขึ้นได้ว่า แม้หญิงสาวจะรีบแค่ไหน แต่จะไม่มีการวิ่งแบบนี้ มันเป็นบุคลิกภาพที่ถูกฝึกมาอย่างดี
กศิณาหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกช้า ลึก เพื่อลดความตื่นเต้นที่ไม่รู้เพราะกลัวถูกจับได้ หรือเพราะเธอกำลังจะได้อย่างก้าวเข้ามาในสถานที่ที่เธออยากเข้ามาเหลือเกิน...
เสียงข้อความที่ดังเข้าจากเครื่องของตัวจริงทำให้หญิงสาวต้องรีบเปิดดู ก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าตัวส่งข้อความเข้ามา
‘พิมลืมบอก วันนี้คนจะเยอะหน่อยนะ วันเสาร์ ต้องกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา คุณแม่กับคุณน้าๆ ที่ไปอยู่ที่รีสอร์ทจะกลับมาเยี่ยมคุณตาทุกวันเสาร์ แต่ปกติที่บ้านก็มีแค่คุณตาใหญ่กับคุณตาเล็กแล้วก็น้าอังแค่นั้นแหละ คนอื่นไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก สู้ๆ นะ’
กศิณาแอบขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ลืมหรือตั้งใจ ยายคุณหนูนี่ กลัวเราไม่มาละสิถ้าบอกก่อน
เห้อ ตาย ตาย ตาย กลับตอนนี้ทันไหม ถ้ามากันครบแล้วถูกจับได้ตั้งแต่วันแรกนี่ เราจะซวยไปด้วยไหมนะ
“อ้าว พิม มายืนทำอะไรตรงประตูลูก ไม่เข้าบ้านล่ะ มาๆ วันนี้มีแขกมาเยี่ยม ไปเจอหน่อย”
ชายสูงอายุร่างท้วม เดินเข้ามาเมือเห็นหลานสาวคนเดียวยืนเก้กังอยู่หน้าประตูใหญ่ หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเหลอหลา ขณะถูกจูงไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งมีคนที่เธอพอคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะได้ดูจากรูปถ่ายมาแล้ว และยังมีบางคนที่เธอเคยเจอตัวจริงเสียงจริง รวมถึงคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะเจอที่นี่
หญิงสาวจ้องชายหนุ่มหน้าหวานดวงตาไม่กระพริบ ปากบางแย้มยิ้มเจื้อยแจ้วกับคนอื่นๆ ในห้อง ก่อนจะสังเกตได้ว่ามีคนจับจ้องตนอยู่ เขายิ้มให้กศิณาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยถาม
“จ้องน้าขนาดนี้มีอะไรหรือเปล่าคะหนูพิม” คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัย ริมฝีปากส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ในขณะที่ผู้เป็นตาจูงหลานสาวไปนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม
“ไม่ได้เจอศานต์นานมั้ง ปกติ ยายพิมเขาก็อยู่แต่บนห้องไม่ค่อยลงมาเสียเท่าไหร่ นี่ถ้าเมื่อกี้ไม่จับตัวได้ที่ประตูเชื่อสิว่าเรียกกี่ทีก็คงไม่ลงมา” คุณตาใหญ่พูดอย่างเอ็นดูรักใคร แม้หลานสาวคนเดียวของเขาจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ยังไง...เขาก็ยังรักยังเอ็นดู
ก็ตามประสาวัยรุ่น ก็มีแข็งกันบ้างเป็นธรรมดา
“สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ...”
หญิงสาวยกมือไหว้ทีละคนอย่างนอบน้อม สร้างความประหลาดใจให้ภายในห้องไม่น้อย เมื่อการยกมือไหว้ศานต์ซึ่งไม่ใช่ญาติกันจริงๆ คงไม่แปลก แต่ปกติยายพิมไม่เคยยกมือไหว้ใครอีกในบ้านยกเว้นคุณตาใหญ่และคุณตาเล็กเท่านั้น แม้แต่แม่ตัวเองเธอก็ไม่คิดจะกล่าวสวัสดี!
บรรยากาศที่เงียบไป ทำให้กศิณาอึดอัดใจไม่น้อย ด้วยไม่รู้แน่ชัดว่าปกติพิมประภาทำตัวแบบไหน เป็นอย่างไร ทำให้เธอไม่แน่ใจนักว่าที่รอบตัวเงียบไปเป็นเพราะเธอมีพฤติกรรมประหลาดอะไรหรือเปล่า
เมื่อคิดอะไรไม่ออก หญิงสาวจึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตายที่พิมประภาบอกไว้
“พิมขอตัวก่อนนะคะ”
‘พูดว่าขอตัวก่อน แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินไปเลยไม่ต้องสนใจใครนะ พิมใช้มุกนี้ประจำ ไม่อยากสังสรรค์กับผู้ใหญ่เท่าไร อยู่คนเดียวสบายใจกว่าเยอะ’
แม้จิตใต้สำนึกของหญิงสาวจะรู้สึกเสียมารยาท ที่ต้องหันหลังและทำเป็นไม่สนใจคนอื่น แต่แบบนี้อาจจะดีกว่าที่เธอต้องนั่งอยู่ในวงสนทนาที่เธอทำตัวไม่ถูกก็เป็นได้
ร่างในชุดเดรสสีหวาน เดินสำรวจไปทั่วบ้านหลังใหญ่ จริงๆ แล้วเธอควรจะรีบขึ้นห้องไปเลย แต่เธอไม่ใช่ประเภทชอบหมกตัวอยู่ในห้อง แอบสำรวจบ้านเสียหน่อยคงไม่เป็นไร ในเมื่อทุกคนก็อยู่ในห้องนั่งเล่นกันหมด
ร่างนั้นหยุดยืนหน้าบันได ซึ่งตรงกับทางเข้าบ้าน แหงนมองกรอบรูปที่ถูกแขวนสูงขึ้นไป ภาพสมาชิกภายในบ้าน ในตอนแรกนั้นเธอไม่ทันสังเกตเพราะถูกคุณตาลากไปเสียก่อน
ดวงตากลมเรียวมองพินิจใบหน้าของแต่ละคน ไล่ตั้งแต่คุณตาใหญ่ คุณตากลาง คุณตาเล็ก คุณไพลิน คุณพลอยรุ้ง คุณอังคณา และคุณอาคเนย์ แล้วก็คนสุดท้าย หลานสาวคนเดียวของบ้าน พิมประภาซึ่งเป็นลูกสาวของคุณไพลินกับสามีที่เสียชีวิตไปนานมากแล้ว เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอถึงปีกว่าเลยทีเดียว แต่เนื่องจากเรียนก่อนเกณฑ์ทำให้มาเรียนในรุ่นเดียวกัน และเป็นเพื่อนกับตี๋เหมือนกัน ก่อนที่กสิณาจะเพ่งมองสามสาวแห่งตระกูลกิจจศิลปาอีกครั้ง
คุณไพลิน...แม่ม้ายสาวใหญ่ ลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่ของตระกูลกิจจศิลปา อายุสี่สิบห้าปี ใบหน้าของปัจจุบันไม่ได้ต่างไปจากรูปนี้มากนัก จะเห็นชัดแค่ริ้วรอยที่มีเพิ่มบ้างตามวัย
ถัดมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหรือคุณพลอยรุ้ง ลูกสาวของคุณตากลาง ท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่คุณพลอยรุ้งยังเด็กๆ จึงอยู่ในการเลี้ยงดูของคุณตาใหญ่และไพลินซึ่งมีอายุมากกว่าสามปีมาเสมอ สถานะโสด ไม่เคยมีข่าวกับใคร จนนักข่าวถึงกับเขียนแซวว่าเป็นไฮโซเนื้อหอมที่จะเกาะคานทองเหนียวแน่นตลอดไป ในขณะที่คุณพลอยรุ้งก็ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เหมือนที่เธอเคยเจอตัวจริงมาแล้ว
คนที่สาม คุณอังคณา ลูกสาวของคุณตาเล็ก และพี่สาวของคุณอาคเนย์ เป็นไฮโซที่เขาลือกันลั่นว่าเรื่องมาก เรื่องเยอะ ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ถูกตามใจ เพราะเป็นเด็กเล็กสุดของตระกูล ถ้าไม่มีคุณอาคเนย์ที่เกิดตามมาหลังจากนั้นถึงห้าปี
ตัดทิ้งๆ คุณอังคณานี่ไม่น่าใช่แน่ เพราะผิวเธอแทนเป็นสีน้ำผึ้งเหมือนน้องชาย ดูแล้วน่าจะได้มาจากทางแม่ อีกทั้งอายุพึ่งจะสี่สิบพอดี คงไม่ได้เป็นไปได้
หญิงสาวรี่ตามองคุณไพลินและคุณพลอยรุ้งที่เธอเคยเจอตัวจริงและได้พูดคุยมาบ้างแล้ว...
นี่ล่ะที่หนักใจ ขอให้การมาอยู่บ้านนี้ห้าวันได้อะไรกลับไปบ้างเถอะนะไอ้ยุ้ง อย่าเสียเที่ยวเลย!
ร่างท้วมขยับบิดตัวไปมาอย่างไม่อยู่นิ่งบนเก้าอี้ไม้ที่ปรับระดับให้ตั้งขึ้น ดวงตาเหลือบมองไปยังสระว่ายน้ำวงกลมตรงหน้าที่ใหญ่มิใช่เล่น แต่ไม่ได้มีกะใจคิดกระโดดลงว่ายไปมาให้สดชื่น เบาะหนังที่นั่งอยู่ก็นุ่มสบายดีหรอก แต่เธอน่ะไม่สบายใจเสียมากกว่า
ผ่านมาสามวันแล้ว ราบรื่นดี ไม่มีปัญหา ไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครสงสัย เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน!
ใช่! ไม่มีใครอยู่บ้านจริงๆ อย่างที่พิมประภาเคยบอกไว้ คุณไพลินและคุณพลอยรุ้งจะกลับมานอนบ้านแค่คืนวันเสาร์ ก่อนจะกลับไปยังอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมาในคืนวันอาทิตย์ เนื่องจากได้ย้ายสำนักงานดีไซน์เนอร์ไปอยู่ในรีสอร์ทหรูกลางหุบเขาของอาคเนย์ เทั้งคู่บอกว่ามันได้บรรยากาศ และหัวแล่นกว่าในห้องสี่เหลี่ยมบนออฟฟิตสูงที่เมืองกรุง
สถานที่ทำงานของทั้งคู่เปลี่ยนไปอยู่ที่รีสอร์ทมานานหลายปีแล้ว ก็ตั้งแต่ที่รีสอร์ทเปิดมานั่นแหละ เมื่อคุณอาคเนย์ไปซื้อที่ดินผืนใหญ่จากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอย่างคุณศานต์ สุดท้ายบ้านหลังโตแห่งนี้เลยมีแค่คุณตาใหญ่ คุณตาเล็ก อยู่กันสองคน และคุณอังคณาบ้างนานๆ ที
อันที่จริงแล้วพิมประภาแอบกระซิบมาว่าเพราะมีปัญหาภายในครอบครัว เลยไม่ค่อยอยากเจอหน้ากันเท่าไร แต่เธอก็บอกไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าบรรยากาศระหว่างรุ่นคุณตาและรุ่นคุณแม่นั้นไม่ดีมาตั้งแต่เธอจำความได้
เอาไงดีวะไอ้ยุ้ง นี่มันเสียเวลาเปล่าเลยนะ กะจะได้ความคืบหน้าอะไร ก็ไม่มีสักอย่าง ไม่ได้เจอกันเลยแบบนี้แล้วจะเดินหน้ายังไง จะไปทางไหนดี คิดๆ พรุ่งนี้แกก็อยู่เป็นวันสุดท้ายแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆ กล้าหน่อยสิวะ
สองมือทุบๆ หัวตัวเองอย่างขัดใจ แต่อาจจะเป็นภาพที่ดูรุนแรงไปจนคนสูงวัยที่ยืนมองมานานแล้วเพราะนานๆ จะเห็นหลานสาวลงมานั่งเล่นข้างล่างริมสระสักทีต้องรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“ใจเย็นนะยายพิม มีอะไรหรือเปล่าลูก เครียดอะไร อยากไปไหน บอกตาได้นะ”
หญิงสาวหยุดชะงัก เหลือบตามองผู้สูงวัยก่อนความคิดบางอย่างจะแล่นเข้าหัว
“คุณตาคะ พิมเครียดค่ะช่วงนี้พิมอยากไปผ่อนคลายสูดอากาศบริสุทธิ์” หญิงสาวเริ่มเกาะแขน ทำท่าอ้อน ถึงจะรู้ดีว่าปกติยายพิมคงไม่ทำแบบนี้ แต่เอาไงเอากัน พรุ่งนี้ก็จะเปลี่ยนตัวคืนแล้ว คงจะไม่ความแตกอะไร อีกอย่าง มองก็รู้ว่าจริงๆ คุณตาอยากให้หลานอ้อนขนาดไหน คุณตาอาจจะแค่แปลกใจแต่คงไม่สงสัยอะไรหรอกมั้ง
“คุณตาไม่คิดจะไปรีสอร์ทของน้าอัคบ้างเลยหรอคะ ที่ปากช่องบรรยากาศน่าจะดีนะคะ พิมอยากไป”
“หืมม” ผู้สูงวัยมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเขาเคยชวนหลานสาวไปด้วยกันตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ค่อยอยากจะไป ไม่ชอบ อยากอยู่บ้าน อยากอยู่ในห้อง ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เขาจึงไม่กล้าทิ้งหญิงสาวไปพักค้างคืนที่รีสอร์ทแล้วปล่อยหลานอยู่บ้านคนเดียว ด้วยก็ยังเป็นห่วง ทำให้เขาเองก็มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อหลานสาวไม่เกี่ยงงอนที่จะไป
“พิมอยากไปจริงๆ หรือลูก งั้นเดี๋ยวตาให้นายผลเอารถออกเลยนะ โอเคไหม” เจ้าสัวใหญ่รีบเตรียมตัวก่อนที่หลานสาวจะเปลี่ยนใจ ช่วงนี้ดูอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ รีบตามใจเขาหน่อยก่อนจะอารมณ์บูดดีกว่า
รถคันหรูวิ่งผ่านรั้วไม้เตี้ยสีขาวมาสักระยะก่อนจะผ่านหน้าป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าเป็นพื้นที่ของไร่ไอศวรรย์ รั้วไม้ยังคงทอดยาวต่อไปจนสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ รกครึ้ม แต่ดูเป็นระเบียบ เย็น สบาย สุดปลายรั้วไม้เป็นกำแพงต้นไม้สูงท่วมหัว ไม้เลื้อยสีสันสดใสออกดอกและส่งกลิ่นหอมสดชื่น ที่หญิงสาวรับรู้ได้เพราะเปิดกระจกรับลมตั้งแต่เลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามา ก่อนจะถึงป้ายทางเข้าหินอ่อนสลักลงทอง ที่ดูหรูหรา แต่ก็ยังคงลงตัวกับบรรยากาศป่าเขาแบบนี้
โกลเด้น ฮิลล์ รีสอร์ท
ลุงผลเลี้ยวเข้าสู่ถนนซึ่งมีต้นไม้สองข้างทางโค้งมาบรรจบกันทำให้ร่มรื่น เย็นตา ใช้เวลาสักพักจึงเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ทางซ้ายมือ มีทั้งเรือเป็ด และเรือคายักหลายลำจอดอยู่ ทะเลสาบยังทอดยาวกว้างใหญ่ลึกเข้าไป โดยมีสะพานแขวนสีขาวเป็นตัวขั้นระหว่างพื้นที่ชิวๆ ปั่นเป็ดกินลมชมวิว กับพื้นที่แอดเวนเจอร์ ที่มีทั้งโหนสลิงค์ผ่านทะเลสาบเพื่อชมวิวจากหอสูง กิจกรรมปีนหน้าผาริมทะเลสาบ และอื่นๆ ที่คนอย่างเธอคงไม่กล้าเล่น ด้านขวาเป็นโรงจอดจักรยานที่มีทั้งเสือหมอบ จักรยานแม่บ้าน จักรยานครอบครัว ถัดไปเป็นส่วนของกีฬา จากที่เธอมองเห็นคร่าวๆ ก็มีคอร์ทเทนนิส สนามแบตมินตันและสนามบาส มีป้ายบอกว่ามีสนามกอล์ฟขนาดย่อมอยู่ถัดไปทางข้างของตัวตึกใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านเป็นตึกทรงเมริเตอเรเนียนสีขาวสะอาดตา
หญิงสาวอดจะตื่นตาตื่นใจไม่ได้ ถึงแม้เธอจะเป็นคนจังหวัดนี้ แต่ที่แถบนี้เธอไม่ค่อยได้มาเที่ยวเท่าไรเพราะบ้านสวนของเธอก็อากาศดีใช้ได้อยู่แล้ว และเมื่อทราบว่ามีรถสำหรับพาชมรีสอร์ทอีก ยิ่งทำให้เธอรีบลงจากรถพร้อมคว้าแขนคุณตาของพิมประภา เพื่อไปชมส่วนต่างๆ ของรีสอร์ท
แม้คนสูงวัยจะอยากเข้าไปพบเจอเจ้าของสถานที่ก่อนแต่ก็ไม่อยากขัดใจหลานสาวคนโปรด จึงต้องยอมตามแต่โดยดี
พื้นที่กว้างใหญ่ของรีสอร์ทแห่งนี้ ยังมีอีกหลายส่วนที่มองไม่เห็นจากด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของตึกเล็กที่แยกออกมาหลายๆ ตึกโดยตกแต่งสไตล์อิตาลี หรือจะเป็นเรือนไม้สำหรับเจ้าของรีสอร์ทที่อยู่ลึกเข้าไปในดงไม้เลื้อยท้ายรีสอร์ท ที่บัดนี้กลายเป็นสำนักงานออกแบบสำหรับห้องเสื้อกิจจศิลปา ฝั่งด้านขวายังเชื่อมต่อข้ามเขตรั้วมาที่ไร่ไอศวรรย์ซึ่งกว้างใหญ่ไม่แพ้กัน มีทั้งฟาร์มโคนม คอกม้า ไร่สตอร์เบอรี่ และต้นไม้อีกนานาพันธ์
“อ่าว สวัสดีครับ” เสียงทุ้มตะโกนทักทาย เมื่อพบผู้มาเยือนก่อนจะวิ่งเข้ามาใกล้จนรถรางต้องชะลอตัวจอด
“วันนี้ยายพิมเขาอยากมาสูดอากาศ ก็เลยพามาเที่ยวที่นี่เสียเลย มาถึงนี่ไม่ยอมให้ตาเข้าไปทักทายใครเลยนะ ขอนั่งรถชมไร่ก่อนเลย” คุณตาใหญ่เอ่ยอย่างเอ็นดู ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวคนที่ยิ้มแหย
“ถ้าอย่างนั้นตามสบายเลยนะครับ มีอะไรติดขัดตรงไหนบอกผมได้เลยหรือจะบอกอาเชษก็ได้นะครับ ผู้จัดการไร่ของผมเอง” ชายหนุ่มผายมือไปด้านหลัง ซึ่งมีร่างสมส่วนของชายวัยกลางคนยืนอยู่ แม้เจ้าสัวใหญ่น่าจะเคยพบคนของไร่มาก่อน แต่ศานต์ก็ไม่ลังเลที่จะแนะนำซ้ำ เนื่องด้วยท่านไม่ได้มาบ่อยนัก อาจจะจำหน้าผู้จัดการไร่ของเขาไม่ได้
เชษก้มหัวอย่างนอบน้อมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองแล้วพบว่า...
แขกที่มาวันนี้...วีไอพีเสียด้วย
“ครับ บอกผมได้ทุกอย่างเลยครับ”
เจ้าสัวใหญ่หน้าตึงขึ้นเล็กน้อย แต่เก็บอาการไว้ได้ ไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก แต่ก็พอจะรู้อยู่ว่ามาแล้วจะเจอใคร แต่มันเรื่องเล็ก ไม่ต้องสนใจ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ขอบคุณแต่ฉันดูแลตัวเองได้” เสียงราบเรียบ และรอยยิ้มอ่านยากนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าของไร่สงสัยอะไร แต่เชษสามารถรับรู้ความหมายนั้นได้ดี ในขณะที่หางตาก็สังเกตเห็นร่างที่เตี้ยกว่าซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ผู้สูงวัย กำลังลอบมองใบหน้าผู้เป็นตา แล้วหันมาสบตาเขาอย่างครุ่นคิด
คิ้วขมวดขึ้นทันทีเมื่อสบกับดวงตานั้นตรงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอคุณหนูพิมประภา หลานสาวคนเดียวของบ้านนี้ แต่ทำไมรู้สึกว่าวันนี้แปลกๆ ไป จะด้วยไม่เจอหน้ากันนานก็ไม่ใช่ แต่หนูพิมคนนี้มองเขาราวกับรู้จักเขาดีทีเดียว!
กศิณายกมือขึ้นกอดอก มองสบตาของผู้จัดการไร่ตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวผู้ใหญ่ ก่อนจะแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา...
วันนี้คนเขียนง่วงนอนมากเลยค่ะ เมื่อคืนนอนเช้า!!! อาจจะเขียนแบบงงๆ ก่งก๊งบ้าง ก็คอมเม้นเตือนหรือบอกได้เลยนะคะ พรุ่งนี้จะมาตรวจเช็คอีกทีเมื่อมีสติดีกว่านี้ค่าาา ฝันดีค่ะทุกคน
บทที่ 4 เบาะแส!
ไม้ยืนต้นนานาพันธ์ขึ้นตามธรรมชาติอย่างไม่เป็นระเบียบ เรียงลดหลั่นกันลงไปตามเขาชัน มีเพื่อนเป็นก้อนหินอายุอานามคงผ่านมาหลายชั่วคนแทรกอยู่เป็นระยะ ผืนน้ำเบื้องล่างลึกลงสุดปลายเขานั้นช่างกว้างใหญ่ไม่สามารถประเมินจุดสิ้นสุดได้
ร่างท้วมในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินทับด้วยแจ็กเก็ตตัวหลวมพับแขนถึงข้อศอก กางเกงยีนส์แลดูเทอะทะเพราะปลายขาไปกองกันอยู่เหนือรองเท้าแตะที่มีขนาดใหญ่ผิดไซส์หญิงสาวไปไกลโข
กระนั้นเจ้าหล่อนก็ยังคงคล่องตัว เดินลงเขาลัดเลาะต้นไม้และก้อนหินก่อนจะไปยืนบนหินผาขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปเกือบจะเหนือผืนน้ำที่อยู่ต่ำลงไปเป็นร้อยเมตร
แต่ราวกับพึ่งนึกอะไรได้ เมื่อสายตาเหลือบเห็นเบื้องล่าง หญิงสาวเอามือทาบอก ค่อยๆ หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ ขาที่ยืนอยู่เริ่มสั่น ทั้งที่ก้อนหินก้อนนั้นช่างมั่นคงหนักแน่นกว่าใจคนเสียด้วยซ้ำ
กศิณาพยายามตั้งสติ บอกตัวหล่อนให้ใจเย็นๆ อย่ามองลงไปด้านล่าง ใช้เวลาสักพักทุกอย่างจึงสงบลง มือซ้ายประคองเพื่อนรักคู่ใจขึ้นแนบดวงตา ในขณะที่นิ้วชี้ขวาเลื่อนปรับระยะและแสงของภาพให้พอเหมาะ กดชัตเตอร์ถ่ายวิวโดยรอบไปพลางๆ ก่อนจะเตรียมตัว ตั้งตารอฤกษ์งามยามดีที่ดวงตะวันกำลังจะแตะขอบน้ำ
เอาล่ะ! กำลังจะถึงเวลาแล้ว...
หนึ่ง
สอง
สะ...
กริ๊ง!!!!
เสียงโทรศัพท์ที่แผดลั่นทำให้ร่างท้วมสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอย่างกับหลุมดำ เพราะหาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียที
เหลือบมองขึ้นไปยังลานปูนด้านหลังที่เริ่มมีคนมองมาก็ยิ่งร้อนรน รู้สึกเกรงใจบรรยากาศสงบๆ ที่ถูกทำลายด้วยเสียงโทรศัพท์ของตน ก่อนจะรีบกดปิดเสียงเมื่อคว้าได้แล้วเงยหน้าขึ้นเตรียมถ่ายวินาทีสำคัญอีกครั้ง
แล้วเธอก็ได้พบว่า...รอบกายนั้นถูกความมืดกลืนกินไปเสียแล้ว สิ่งที่เธอเฝ้ารอมา ได้หายลับลงน้ำในเขื่อนไปเรียบร้อย!
หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้าก่อนถอนหายใจ ปล่อยกล้องลงคล้องคอ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ ค่อยๆ กดรับช้าๆ พลางมองชื่อคนโทรมาอย่างคาดโทษ
“ไอ้ตี๋! แกนะแก ฉันกำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แล้วเชียว โทรมาไม่ดูเวล่ำเวลาเลย” หญิงสาวกัดฟันพูด น้ำเสียงจิกกัดเล็กน้อย ด้วยรู้ว่าไม่ใช่ความผิดเพื่อน แต่ก็นะ เธอขับรถออกจากตัวเมืองมาตั้งนาน เพื่อมารอช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากไม่ได้รูปแล้ว ยังไม่ได้เห็นเสียด้วยซ้ำ! เพราะมัวแต่รื้อกระเป๋าหามือถือ นี่ยังดีที่ได้ชมวิวยามเย็นของบันไดพญานาคที่ทอดลงไปสู่เบื้องล่างเห็นหมู่บ้านและชุมชนไกลลิบๆ และพระพุทธรูปสีขาวที่ตั้งตระหง่านบนภูเขา รวมทั้งบรรยากาศที่เย็นสบายเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ที่คุกกรุ่น ดับลงได้ไม่อยาก แต่ยังไงมันก็เสียดายอยู่ดี เสียดายมากเสียด้วย!
ใจเย็นไอ้ยุ้ง มาทำบุญๆ ใจเย็นๆ นะ
ได้แต่บอกตัวเอง แต่ก็รู้สึกอยากจะกรีดร้องออกมาอยู่ดี
“ห๊ะ อะไรนะ แกกำลังจะเย็บผ้าหรอ ถึงจะต้องเอาด้ายเข้าเข็ม โหย ปกติงานฝีมือแกจับซะที่ไหน เห็นแต่ใช้จีน่าทำตลอดดดด” ปลายสายแกล้งลากเสียงยาวอย่างแดกดัน กวนสติกศิณาไปอย่างนั้น เมื่อรู้ดีว่า เพื่อนสนิทของตนไม่มีวันนั่งเย็บผ้าหรอก ปกติก็มักวานให้คู่ฤทัยเพื่อนสนิทอีกคนทำให้เสมอ
กศิณาหายใจฟึดฟัด อยากจะตะโกนด่าให้ลั่น เอาให้ปลายสายหูชา ถ้าไม่ใช่เพื่อนตัวดีเอ่ยสิ่งที่ทำให้เธอสนใจ อารมณ์คงไม่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ไอ้พิมให้ฉันมาถามอะไรแกหน่อย ไอ้พิมหลานบ้านกิจจศิลปาที่แกเคยถามฉันไง เพื่อนฉันสมัยมัธยมจำได้ไหม” ปลายสายรีบต่อสาเหตุที่เขาโทรมา แม้ไม่เคยรู้เหตุผลที่เพื่อนสนิทตนสนใจตระกูลไฮโซนี้ แต่เขารู้สึกว่า ถ้าเป็นเรื่องนี้ เพื่อนเขาน่าจะพออภัยที่เขาโทรมาขัดเวลาสำคัญของเจ้าตัวได้
“มีอะไร ฉันก็เคยคุยกับพิมอยู่ พิมจะถามอะไรหรอ” หญิงสาวกรอกเสียงกลับไป พลางนึกถึงหน้าเด็กสาวที่ชื่อพิมประภา ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเธอ ทั้งยังหุ่น รูปร่างก็เหมือนกันค่อนข้างมาก จะต่างก็แค่เธอตาตี่กว่า ส่วนพิมประภาตากลมโตกว่า จนพีรวิชญ์ที่เจอเธอตอนปีหนึ่งคิดว่าเพื่อนสมัยมัธยมเปลี่ยนชื่อมาเรียนกันเลยทีเดียว แต่กว่าเธอจะได้เจอตัวจริงของฝั่งนู้นก็อีกหลายปีถัดมา เพราะก่อนหน้าเธอไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จะเหมือนไม่เหมือน คนบนโลกก็มีหน้าตาคล้ายกันถมเถ และพอเจอจึงได้เห็นชัดๆ ว่า นี่มันเหมือนชนิดที่เรียกได้ว่า...
ไม่ธรรมดาแล้ว!
“พิมมันจะไปเที่ยวต่างประเทศกับแฟนมัน ที่บ้านมันไม่ให้ แต่มันจองตั๋วไปนานแล้ว แล้วมันก็อยากไปมาก มันเลยจะขอให้แกช่วยไปอยู่บ้านมันสักห้าวันแทนมันได้ไหม แกลางานแค่สามวันเองนะจันทร์ถึงพุธ”
“ห๊ะ แกจะบ้าหรอ ฉันไม่รู้จักคนในบ้านเพื่อนแกเลยนะเว้ย ถึงฉันจะหน้าคล้ายเพื่อนแกแต่บุคลิกฉันก็ไม่ใช่ แกคิดว่าฉันจะอยู่รอดในบ้านหลังนั้นไปได้นานแค่ไหนกัน” หญิงสาวตกใจเล็กน้อยจึงรีบปฏิเสธทันที ก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่างออกเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง
“โถ่ แก ไอ้พิมมันแค่เป็นเด็กเรียบร้อย เงียบๆ โลกส่วนตัวสูง ไม่คุยกับใคร เวลาอยู่บ้านมันก็อยู่แต่ในห้องทั้งวัน แถมที่บ้านมันก็คนอยู่ไม่เยอะ ไปอยู่ที่อื่นกันเกือบหมด ญาติมันแกก็ดูรูปแล้วจำชื่อไว้ ไอ้พิมพ์บอกแค่นี้ก็น่าจะรอดแล้วนะ” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิท เพราะเงินที่เขาได้มาเป็นค่าสินน้ำใจจากพิมประภานั้นไม่ใช่น้อย ก็เจ้าตัวฝั่งนั้นเขาอยากไปเที่ยวมากจริงๆ แต่ถ้าหายออกจากบ้านไป ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ สืบแปปเดียวก็รู้ว่าไปไหน ได้ไปลากตัวกันกลับมาพอดี หมดสนุกกันหมด!
“แก แกเคยบอกฉันว่าแกอยากทำความรู้จักกับคนบ้านนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าด้วยเหตุอะไร แต่นี่มันเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้แล้วนะเว้ย” ชายหนุ่มย้ำสิ่งที่เพื่อนสนิทกำลังคิดอยู่
ใช่ มันเป็นโอกาส ที่หาไม่ได้ง่ายๆ แม้เธอจะได้ไปทำความรู้จักเมื่องานแฟชั่นโชว์สองอาทิตย์ก่อน แต่มันก็แค่นั้น แล้วไม่มีโอกาสได้รู้จักกันต่อ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่มีก็ได้
ไอ้ยุ้ง คิดดีๆ สิวะ ถ้าเขาจับได้ มันก็ความซวยของพิมไหม แต่ถ้าแกได้มีโอกาสเข้าบ้านนั้นไป แกจะได้รู้สิ่งที่สงสัยมานานเสียที…
“เออ ก็ได้ แต่บอกพิมด้วยนะ มาติวฉันดีๆ เพราะถ้าถูกจับได้ พิมนั่นละซวยคนแรก โอเคไหม”
หญิงสาวคุยกับปลายสายต่ออีกไม่นานก็วางสาย ก่อนจะหันหลังใช้โทรศัพท์มือถือของตนเปิดไฟฉายแล้วปีนกลับขึ้นไปยังลานด้านบน เดินตรงไปที่รถคันเล็กสีดำสนิทที่จอดในซองอย่างเรียบร้อย
มืออูมเอื้อมไปไขกุญแจ เนื่องจากเป็นสถานที่สงบ หญิงสาวจึงไม่อยากใช้รีโมทให้ก่อเสียงวุ่นวายแก่บรรยากาศรอบข้าง ก่อนจะยัดตัวเข้าสู่ที่นั่ง ซึ่งเรียกได้ว่าออกจะแคบไปนิด เมื่อเธอเป็นสาวร่างใหญ่เช่นนี้
แต่ทำไงได้ รถคันใหญ่เปลืองทั้งเงินค่ารถ ทั้งกินน้ำมัน แค่คันนี้เธอก็ซิ่งได้สะใจแล้ว
หูฟังบลูทูธที่วางไว้ในช่องหน้ารถถูกหยิบขึ้นมา เธอดันสวิตซ์เปิดก่อนเสียบมันเข้ารูหู แล้วคุยกับอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคชิ้นเล็กเป็นตุเป็นตะ
“Please Video call to Gina!”
เสียงสัญญาณตอบรับดังขึ้นไม่นานนัก ปลายสายก็กรอกเสียงห้วน สั้น กลับมา
“ว่า...”
“แก พิมเพื่อนตี๋ คนที่หน้าเหมือนฉันอ่ะ จะให้ฉันปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านกิจจศิลปาแทน เพราะว่าพิมจะไปเที่ยวต่างประเทศ”
“ก็ดีนี่ นี่เป็นโอกาสล่ะ” ปลายสายยังคงเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ กับข่าวทีได้รับ
“แล้วแกจะให้ฉันแนะนำตัวแกให้คุณไพลินกับคุณพลอยรุ้งรู้จักเลยไหม”
“ยังไม่ถึงเวลานะ รออีกสักพักแล้วกัน กลับไทยเมื่อไรเดี๋ยวบอก”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น ก็เรื่อยๆ ไปก่อนนะ”
“ตามแกเห็นสมควรเลย เออ แก...”คู่ฤทัยเงียบเสียงไปเล็กน้อย ก่อนต่อประโยคถัดมา “สู้ๆ นะแก”
บ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัด สีครีมนวลตา หลังคาสีแดง ตั้งอยู่บนพื้นที่ห้าสิบตารางวา มีสวนหย่อมเล็กๆ ถัดจากรั่วเหล็กดัดโปร่งสีฟ้า ข้างๆ กันมีรถสปอร์ตคันหรูสีแดงสดจอดอยู่ ปิดทางออกของรถอีกคนที่อยู่ภายใต้หลังคาโรงจอดรถ ประตูกระจกทางเข้าบ้านเปิดอ้า เผยให้เห็นบุคคลที่นั่งกันอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกด้านใน
“อันนี้มือถือพิมนะ ขอบคุณยุ้งมากๆ ไหนพิมขอดูหน้าอีกทีสิ” มืออวบยื่นโทรศัพท์รุ่นใหม่ราคาแพงมาให้คนที่นั่งตรงหน้า ก่อนจะสัมผัสใบหน้าของกศิณาอย่างเบามือ เพื่อเช็คความเรียบร้อยให้แน่ใจ
“เหมือนกันเป๊ะแล้วใช่ไหมตี๋” พิมประภายื่นหน้ามาข้างใบหน้าหญิงสาวอีกคน ที่ตอนนี้ติดเทปทำตาสองชั้น กรีดอายไลน์เนอร์จนหางตาแหลม ปากแดงอมชมพู และแต่งตัวในชุดเดรสสีหวานเรียบร้อย
ท่าทางลักษณะของคนทั้งสอง เหมือนกันจนพีรวิชญ์รู้สึกได้เลยว่า ถ้าไม่สังเกตดีๆ ไม่มีทางแยกออก
“ใกล้เคียงละ แต่ไอ้ยุ้งมันคล้ำกว่าแกนิดนึง มันไม่ค่อยดูแลตัวเอง แต่ช่างมัน พอไหวอยู่ อย่าไปใส่แขนกุดก็พอ เดี๋ยวเขาจะรู้กันว่าทูโทน!” ชายหนุ่มคนกลางแอบจิกกัดเพื่อนสนิทเล็กน้อย จนแทบจะถูกค้อนวงใหญ่กระแทกใส่หน้า เนื่องจากปากปีจอไม่สมบุคลิกหนุ่มแว่นหน้าเนิร์ดของเขา
“เดินทางดีๆ นะพิม” พิมประภา กิจจศิลปาตัวปลอมยิ้มให้ ก่อนโบกมือลาหญิงสาวที่กำลังจะก้าวออกจากประตูบ้านของพีรวิชญ์ไป
“จ๊ะ มีอะไรโทรหาพิมได้ตลอดนะ ตามเบอร์ที่ให้ไว้ เอาเครื่องพิมโทรได้เลย ขับรถถึงบ้านยุ้งก็ลงรถเลย เดี๋ยวลุงผลแกขับไปจอดเอง แล้วยุ้งก็ขึ้นห้องได้เลยนะ ปกติพิมพ์ไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไรหรอก” ตัวจริงเสียงจริงทิ้งท้าย ก่อนเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวอีกคนรู้สึกหนักใจว่าจะไปรอดไหม...
“ไอ้ตี๋ แกให้กำลังใจฉันหน่อยสิ แกว่ารอดใช่ไหมวะ”
ดวงตาที่กลมขึ้นเพราะถูกเติมแต่งเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างขอกำลังใจ ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มให้แหยๆ
“รอดมั้งแก แกก็เรียบร้อยๆ หน่อยแล้วกัน พูดน้อยๆ เดินสวยๆ สงบๆ ไม่ต้องคุยกับใคร แค่นั้นแหละ สู้ดิวะ สู้” ใบหน้าที่ไม่ค่อยมั่นใจ กับทีท่าที่สู้ไม่สุดของเพื่อนข้างตัวทำให้มืออวบยกไปตบหัวเพื่อนดังป๊าป
พีรวิชญ์พิจารณาใบหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ก่อนจะเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัย
“ไอ้ยุ้ง แกไม่เคยสงสัยบ้างหรอวะว่าแกกับพิมพ์เป็นฝาแฝดกันหรือเปล่า ทำไมหน้าตาเหมือนกันราวกับสลักแงะออกมาจากหินผาก้อนเดียวกัน”
“ไอ้บ้า แกน่ะสิ เกิดมาจากหิน”
“เอ้า นี่ไม่ได้กวนนะ ถามจริง เหมือนขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นฝาแฝดที่พลัดพรากก็ได้นะ”
“แกดูตาฉันนี่” หญิงสาวว่าพลางทำท่าจะแกะเทปบนหนังตาออก จนเพื่อนสนิทต้องตีมือ
“มันเหมือนตรงไหน ถอดไอ้เทปนี่ออกปุ๊ป ตาตี่ปั๊ป ตี่กว่าแกที่ชื่อตี๋อีก!”
“ก็ต่างแค่ตรงนี้แหละน่า พอติดแบบนี้แล้วหน้าแกเหมือนพิมมากจริงๆ”
“พิมเรียนก่อนเกณฑ์ไม่ใช่หรอ เป็นน้องฉันตั้งปีกว่า ถ้าเป็นแฝดกันจริงไม่ฉันก็พิมต้องมีสักคนที่จะโดนจับฐานแจ้งวันเกิดเท็จนา“
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลิกคุยกับชายหนุ่มที่ไม่ได้เพิ่มความมั่นใจในภารกิจครั้งนี้ให้เธอเลย ก่อนจะหยิบกุญแจรถสปอร์ตรุ่นใหม่ ที่พิมประภาให้ไว้ พร้อมที่จะขับกลับบ้าน ด้วยใจที่ไม่มั่นคงเท่าไรนัก
บ้าน...ไอ้ยุ้ง แกกำลังจะได้กลับบ้าน สู้สิวะ
รถสีแดงคันหรูเคลื่อนตัวช้าๆ ตามแรงเหยียบของคนขับที่ไม่ได้กดลงมากนักผ่านรั้วเหล็กดัดโปร่งสีน้ำเงินเข้ม ปลายแหลมและลวดลายวงกลมเป็นสีทอง คั่นด้วยเสาร์ปูนขนาดใหญ่พร้อมกล้องวงจรปิดเป็นระยะ ด้านในเป็นรั้วต้นไม้อีกชั้นดูร่มรื่นและเป็นส่วนตัว ก่อนจะมาถึงเสาร์ปูนสูงมีรูปปั้นสัตว์แกะสลักลายทองตัวใหญ่สองเสาตั้งสง่าเคียงกันเหนือประตูเหล็กอ่อนดัดลวดลายอ่อนช้อย ละเอียดลออ ราวกับว่าคนทำใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเสกสรรมันขึ้นมา
หญิงสาวกดรีโมทเปิดประตูบ้านตามที่ได้รับการติวมา ใช้เท้าเปล่าเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าไปตามพื้นถนนปูด้วยบล็อก ข้างขวาเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายผ่านสะพานข้ามลำธารที่มีต้นกำเนิดจากน้ำตกจำลองที่ไหลลงสู่บ่อน้ำกว้างก่อนแปลงกายเป็นลำธารสายเล็กทอดยาวไปสู่บ่อน้ำวงกลมขนาดย่อม ที่มีน้ำพุรูปกามเทพน้อยอยู่ตรงกลาง ตรงตำแหน่งประตูไม้บานคู่ซึ่งเป็นประตูบ้านพอดี
กศิณาวนรถผ่านเสาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปจนถึงหลังคาแล้วกดห้ามล้อกะทันหัน จอดรถสีสดที่หน้าตัวบ้านตามสไตล์ที่เจ้าของรถตัวจริงบอกมาทุกอย่าง
‘พิมจะขับรถเร็วแล้วเบรคเอี๊ยดที่หน้าบ้าน วางกุญแจไว้รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปเลย ไม่ต้องสนใจอะไร’
กศิณาทำตามที่พิมบอกทุกอย่าง วางสมาร์ทคีย์ไว้หน้าคอนโซลรถ ก่อนที่จะรีบยัดเท้าลงบนรองเท้าส้นเข็ม
ไอ้ขั้นตอนนี้ล่ะ ที่เธอทำช้ากว่าพิมแน่นอน ไม่รู้ขับกันไปได้ยังไง ส้นแหลมปี๊ดขนาดนี้ ปกติถ้ารองเท้าที่ส้นหนามากๆ เธอยังแอบลำบากเลย
“คุณพิมครับ สวัสดีครับ”
ลุงผลวิ่งเข้ามาทันช่วงเวลาก้าวลงจากรถของหญิงสาว กศิณาเผลอยิ้มให้อย่างสดใสตามสไตล์ปกติของเธอ ก่อนจะรีบหุบยิ้มแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าเพราะเห็นหน้าของคนดูแลรถที่มีทีท่าประหลาดใจ เมื่อได้รับรอยยิ้มจากเจ้านายน้อย พลันร่างบนส้นเข็มต้องรีบชะลอฝีเท้า นึกขึ้นได้ว่า แม้หญิงสาวจะรีบแค่ไหน แต่จะไม่มีการวิ่งแบบนี้ มันเป็นบุคลิกภาพที่ถูกฝึกมาอย่างดี
กศิณาหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกช้า ลึก เพื่อลดความตื่นเต้นที่ไม่รู้เพราะกลัวถูกจับได้ หรือเพราะเธอกำลังจะได้อย่างก้าวเข้ามาในสถานที่ที่เธออยากเข้ามาเหลือเกิน...
เสียงข้อความที่ดังเข้าจากเครื่องของตัวจริงทำให้หญิงสาวต้องรีบเปิดดู ก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าตัวส่งข้อความเข้ามา
‘พิมลืมบอก วันนี้คนจะเยอะหน่อยนะ วันเสาร์ ต้องกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา คุณแม่กับคุณน้าๆ ที่ไปอยู่ที่รีสอร์ทจะกลับมาเยี่ยมคุณตาทุกวันเสาร์ แต่ปกติที่บ้านก็มีแค่คุณตาใหญ่กับคุณตาเล็กแล้วก็น้าอังแค่นั้นแหละ คนอื่นไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก สู้ๆ นะ’
กศิณาแอบขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ลืมหรือตั้งใจ ยายคุณหนูนี่ กลัวเราไม่มาละสิถ้าบอกก่อน
เห้อ ตาย ตาย ตาย กลับตอนนี้ทันไหม ถ้ามากันครบแล้วถูกจับได้ตั้งแต่วันแรกนี่ เราจะซวยไปด้วยไหมนะ
“อ้าว พิม มายืนทำอะไรตรงประตูลูก ไม่เข้าบ้านล่ะ มาๆ วันนี้มีแขกมาเยี่ยม ไปเจอหน่อย”
ชายสูงอายุร่างท้วม เดินเข้ามาเมือเห็นหลานสาวคนเดียวยืนเก้กังอยู่หน้าประตูใหญ่ หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเหลอหลา ขณะถูกจูงไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งมีคนที่เธอพอคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะได้ดูจากรูปถ่ายมาแล้ว และยังมีบางคนที่เธอเคยเจอตัวจริงเสียงจริง รวมถึงคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะเจอที่นี่
หญิงสาวจ้องชายหนุ่มหน้าหวานดวงตาไม่กระพริบ ปากบางแย้มยิ้มเจื้อยแจ้วกับคนอื่นๆ ในห้อง ก่อนจะสังเกตได้ว่ามีคนจับจ้องตนอยู่ เขายิ้มให้กศิณาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยถาม
“จ้องน้าขนาดนี้มีอะไรหรือเปล่าคะหนูพิม” คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัย ริมฝีปากส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ในขณะที่ผู้เป็นตาจูงหลานสาวไปนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม
“ไม่ได้เจอศานต์นานมั้ง ปกติ ยายพิมเขาก็อยู่แต่บนห้องไม่ค่อยลงมาเสียเท่าไหร่ นี่ถ้าเมื่อกี้ไม่จับตัวได้ที่ประตูเชื่อสิว่าเรียกกี่ทีก็คงไม่ลงมา” คุณตาใหญ่พูดอย่างเอ็นดูรักใคร แม้หลานสาวคนเดียวของเขาจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ยังไง...เขาก็ยังรักยังเอ็นดู
ก็ตามประสาวัยรุ่น ก็มีแข็งกันบ้างเป็นธรรมดา
“สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ...”
หญิงสาวยกมือไหว้ทีละคนอย่างนอบน้อม สร้างความประหลาดใจให้ภายในห้องไม่น้อย เมื่อการยกมือไหว้ศานต์ซึ่งไม่ใช่ญาติกันจริงๆ คงไม่แปลก แต่ปกติยายพิมไม่เคยยกมือไหว้ใครอีกในบ้านยกเว้นคุณตาใหญ่และคุณตาเล็กเท่านั้น แม้แต่แม่ตัวเองเธอก็ไม่คิดจะกล่าวสวัสดี!
บรรยากาศที่เงียบไป ทำให้กศิณาอึดอัดใจไม่น้อย ด้วยไม่รู้แน่ชัดว่าปกติพิมประภาทำตัวแบบไหน เป็นอย่างไร ทำให้เธอไม่แน่ใจนักว่าที่รอบตัวเงียบไปเป็นเพราะเธอมีพฤติกรรมประหลาดอะไรหรือเปล่า
เมื่อคิดอะไรไม่ออก หญิงสาวจึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตายที่พิมประภาบอกไว้
“พิมขอตัวก่อนนะคะ”
‘พูดว่าขอตัวก่อน แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินไปเลยไม่ต้องสนใจใครนะ พิมใช้มุกนี้ประจำ ไม่อยากสังสรรค์กับผู้ใหญ่เท่าไร อยู่คนเดียวสบายใจกว่าเยอะ’
แม้จิตใต้สำนึกของหญิงสาวจะรู้สึกเสียมารยาท ที่ต้องหันหลังและทำเป็นไม่สนใจคนอื่น แต่แบบนี้อาจจะดีกว่าที่เธอต้องนั่งอยู่ในวงสนทนาที่เธอทำตัวไม่ถูกก็เป็นได้
ร่างในชุดเดรสสีหวาน เดินสำรวจไปทั่วบ้านหลังใหญ่ จริงๆ แล้วเธอควรจะรีบขึ้นห้องไปเลย แต่เธอไม่ใช่ประเภทชอบหมกตัวอยู่ในห้อง แอบสำรวจบ้านเสียหน่อยคงไม่เป็นไร ในเมื่อทุกคนก็อยู่ในห้องนั่งเล่นกันหมด
ร่างนั้นหยุดยืนหน้าบันได ซึ่งตรงกับทางเข้าบ้าน แหงนมองกรอบรูปที่ถูกแขวนสูงขึ้นไป ภาพสมาชิกภายในบ้าน ในตอนแรกนั้นเธอไม่ทันสังเกตเพราะถูกคุณตาลากไปเสียก่อน
ดวงตากลมเรียวมองพินิจใบหน้าของแต่ละคน ไล่ตั้งแต่คุณตาใหญ่ คุณตากลาง คุณตาเล็ก คุณไพลิน คุณพลอยรุ้ง คุณอังคณา และคุณอาคเนย์ แล้วก็คนสุดท้าย หลานสาวคนเดียวของบ้าน พิมประภาซึ่งเป็นลูกสาวของคุณไพลินกับสามีที่เสียชีวิตไปนานมากแล้ว เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอถึงปีกว่าเลยทีเดียว แต่เนื่องจากเรียนก่อนเกณฑ์ทำให้มาเรียนในรุ่นเดียวกัน และเป็นเพื่อนกับตี๋เหมือนกัน ก่อนที่กสิณาจะเพ่งมองสามสาวแห่งตระกูลกิจจศิลปาอีกครั้ง
คุณไพลิน...แม่ม้ายสาวใหญ่ ลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่ของตระกูลกิจจศิลปา อายุสี่สิบห้าปี ใบหน้าของปัจจุบันไม่ได้ต่างไปจากรูปนี้มากนัก จะเห็นชัดแค่ริ้วรอยที่มีเพิ่มบ้างตามวัย
ถัดมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหรือคุณพลอยรุ้ง ลูกสาวของคุณตากลาง ท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่คุณพลอยรุ้งยังเด็กๆ จึงอยู่ในการเลี้ยงดูของคุณตาใหญ่และไพลินซึ่งมีอายุมากกว่าสามปีมาเสมอ สถานะโสด ไม่เคยมีข่าวกับใคร จนนักข่าวถึงกับเขียนแซวว่าเป็นไฮโซเนื้อหอมที่จะเกาะคานทองเหนียวแน่นตลอดไป ในขณะที่คุณพลอยรุ้งก็ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เหมือนที่เธอเคยเจอตัวจริงมาแล้ว
คนที่สาม คุณอังคณา ลูกสาวของคุณตาเล็ก และพี่สาวของคุณอาคเนย์ เป็นไฮโซที่เขาลือกันลั่นว่าเรื่องมาก เรื่องเยอะ ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ถูกตามใจ เพราะเป็นเด็กเล็กสุดของตระกูล ถ้าไม่มีคุณอาคเนย์ที่เกิดตามมาหลังจากนั้นถึงห้าปี
ตัดทิ้งๆ คุณอังคณานี่ไม่น่าใช่แน่ เพราะผิวเธอแทนเป็นสีน้ำผึ้งเหมือนน้องชาย ดูแล้วน่าจะได้มาจากทางแม่ อีกทั้งอายุพึ่งจะสี่สิบพอดี คงไม่ได้เป็นไปได้
หญิงสาวรี่ตามองคุณไพลินและคุณพลอยรุ้งที่เธอเคยเจอตัวจริงและได้พูดคุยมาบ้างแล้ว...
นี่ล่ะที่หนักใจ ขอให้การมาอยู่บ้านนี้ห้าวันได้อะไรกลับไปบ้างเถอะนะไอ้ยุ้ง อย่าเสียเที่ยวเลย!
ร่างท้วมขยับบิดตัวไปมาอย่างไม่อยู่นิ่งบนเก้าอี้ไม้ที่ปรับระดับให้ตั้งขึ้น ดวงตาเหลือบมองไปยังสระว่ายน้ำวงกลมตรงหน้าที่ใหญ่มิใช่เล่น แต่ไม่ได้มีกะใจคิดกระโดดลงว่ายไปมาให้สดชื่น เบาะหนังที่นั่งอยู่ก็นุ่มสบายดีหรอก แต่เธอน่ะไม่สบายใจเสียมากกว่า
ผ่านมาสามวันแล้ว ราบรื่นดี ไม่มีปัญหา ไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครสงสัย เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน!
ใช่! ไม่มีใครอยู่บ้านจริงๆ อย่างที่พิมประภาเคยบอกไว้ คุณไพลินและคุณพลอยรุ้งจะกลับมานอนบ้านแค่คืนวันเสาร์ ก่อนจะกลับไปยังอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมาในคืนวันอาทิตย์ เนื่องจากได้ย้ายสำนักงานดีไซน์เนอร์ไปอยู่ในรีสอร์ทหรูกลางหุบเขาของอาคเนย์ เทั้งคู่บอกว่ามันได้บรรยากาศ และหัวแล่นกว่าในห้องสี่เหลี่ยมบนออฟฟิตสูงที่เมืองกรุง
สถานที่ทำงานของทั้งคู่เปลี่ยนไปอยู่ที่รีสอร์ทมานานหลายปีแล้ว ก็ตั้งแต่ที่รีสอร์ทเปิดมานั่นแหละ เมื่อคุณอาคเนย์ไปซื้อที่ดินผืนใหญ่จากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอย่างคุณศานต์ สุดท้ายบ้านหลังโตแห่งนี้เลยมีแค่คุณตาใหญ่ คุณตาเล็ก อยู่กันสองคน และคุณอังคณาบ้างนานๆ ที
อันที่จริงแล้วพิมประภาแอบกระซิบมาว่าเพราะมีปัญหาภายในครอบครัว เลยไม่ค่อยอยากเจอหน้ากันเท่าไร แต่เธอก็บอกไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าบรรยากาศระหว่างรุ่นคุณตาและรุ่นคุณแม่นั้นไม่ดีมาตั้งแต่เธอจำความได้
เอาไงดีวะไอ้ยุ้ง นี่มันเสียเวลาเปล่าเลยนะ กะจะได้ความคืบหน้าอะไร ก็ไม่มีสักอย่าง ไม่ได้เจอกันเลยแบบนี้แล้วจะเดินหน้ายังไง จะไปทางไหนดี คิดๆ พรุ่งนี้แกก็อยู่เป็นวันสุดท้ายแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆ กล้าหน่อยสิวะ
สองมือทุบๆ หัวตัวเองอย่างขัดใจ แต่อาจจะเป็นภาพที่ดูรุนแรงไปจนคนสูงวัยที่ยืนมองมานานแล้วเพราะนานๆ จะเห็นหลานสาวลงมานั่งเล่นข้างล่างริมสระสักทีต้องรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“ใจเย็นนะยายพิม มีอะไรหรือเปล่าลูก เครียดอะไร อยากไปไหน บอกตาได้นะ”
หญิงสาวหยุดชะงัก เหลือบตามองผู้สูงวัยก่อนความคิดบางอย่างจะแล่นเข้าหัว
“คุณตาคะ พิมเครียดค่ะช่วงนี้พิมอยากไปผ่อนคลายสูดอากาศบริสุทธิ์” หญิงสาวเริ่มเกาะแขน ทำท่าอ้อน ถึงจะรู้ดีว่าปกติยายพิมคงไม่ทำแบบนี้ แต่เอาไงเอากัน พรุ่งนี้ก็จะเปลี่ยนตัวคืนแล้ว คงจะไม่ความแตกอะไร อีกอย่าง มองก็รู้ว่าจริงๆ คุณตาอยากให้หลานอ้อนขนาดไหน คุณตาอาจจะแค่แปลกใจแต่คงไม่สงสัยอะไรหรอกมั้ง
“คุณตาไม่คิดจะไปรีสอร์ทของน้าอัคบ้างเลยหรอคะ ที่ปากช่องบรรยากาศน่าจะดีนะคะ พิมอยากไป”
“หืมม” ผู้สูงวัยมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเขาเคยชวนหลานสาวไปด้วยกันตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ค่อยอยากจะไป ไม่ชอบ อยากอยู่บ้าน อยากอยู่ในห้อง ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เขาจึงไม่กล้าทิ้งหญิงสาวไปพักค้างคืนที่รีสอร์ทแล้วปล่อยหลานอยู่บ้านคนเดียว ด้วยก็ยังเป็นห่วง ทำให้เขาเองก็มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อหลานสาวไม่เกี่ยงงอนที่จะไป
“พิมอยากไปจริงๆ หรือลูก งั้นเดี๋ยวตาให้นายผลเอารถออกเลยนะ โอเคไหม” เจ้าสัวใหญ่รีบเตรียมตัวก่อนที่หลานสาวจะเปลี่ยนใจ ช่วงนี้ดูอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ รีบตามใจเขาหน่อยก่อนจะอารมณ์บูดดีกว่า
รถคันหรูวิ่งผ่านรั้วไม้เตี้ยสีขาวมาสักระยะก่อนจะผ่านหน้าป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าเป็นพื้นที่ของไร่ไอศวรรย์ รั้วไม้ยังคงทอดยาวต่อไปจนสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ รกครึ้ม แต่ดูเป็นระเบียบ เย็น สบาย สุดปลายรั้วไม้เป็นกำแพงต้นไม้สูงท่วมหัว ไม้เลื้อยสีสันสดใสออกดอกและส่งกลิ่นหอมสดชื่น ที่หญิงสาวรับรู้ได้เพราะเปิดกระจกรับลมตั้งแต่เลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามา ก่อนจะถึงป้ายทางเข้าหินอ่อนสลักลงทอง ที่ดูหรูหรา แต่ก็ยังคงลงตัวกับบรรยากาศป่าเขาแบบนี้
โกลเด้น ฮิลล์ รีสอร์ท
ลุงผลเลี้ยวเข้าสู่ถนนซึ่งมีต้นไม้สองข้างทางโค้งมาบรรจบกันทำให้ร่มรื่น เย็นตา ใช้เวลาสักพักจึงเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ทางซ้ายมือ มีทั้งเรือเป็ด และเรือคายักหลายลำจอดอยู่ ทะเลสาบยังทอดยาวกว้างใหญ่ลึกเข้าไป โดยมีสะพานแขวนสีขาวเป็นตัวขั้นระหว่างพื้นที่ชิวๆ ปั่นเป็ดกินลมชมวิว กับพื้นที่แอดเวนเจอร์ ที่มีทั้งโหนสลิงค์ผ่านทะเลสาบเพื่อชมวิวจากหอสูง กิจกรรมปีนหน้าผาริมทะเลสาบ และอื่นๆ ที่คนอย่างเธอคงไม่กล้าเล่น ด้านขวาเป็นโรงจอดจักรยานที่มีทั้งเสือหมอบ จักรยานแม่บ้าน จักรยานครอบครัว ถัดไปเป็นส่วนของกีฬา จากที่เธอมองเห็นคร่าวๆ ก็มีคอร์ทเทนนิส สนามแบตมินตันและสนามบาส มีป้ายบอกว่ามีสนามกอล์ฟขนาดย่อมอยู่ถัดไปทางข้างของตัวตึกใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านเป็นตึกทรงเมริเตอเรเนียนสีขาวสะอาดตา
หญิงสาวอดจะตื่นตาตื่นใจไม่ได้ ถึงแม้เธอจะเป็นคนจังหวัดนี้ แต่ที่แถบนี้เธอไม่ค่อยได้มาเที่ยวเท่าไรเพราะบ้านสวนของเธอก็อากาศดีใช้ได้อยู่แล้ว และเมื่อทราบว่ามีรถสำหรับพาชมรีสอร์ทอีก ยิ่งทำให้เธอรีบลงจากรถพร้อมคว้าแขนคุณตาของพิมประภา เพื่อไปชมส่วนต่างๆ ของรีสอร์ท
แม้คนสูงวัยจะอยากเข้าไปพบเจอเจ้าของสถานที่ก่อนแต่ก็ไม่อยากขัดใจหลานสาวคนโปรด จึงต้องยอมตามแต่โดยดี
พื้นที่กว้างใหญ่ของรีสอร์ทแห่งนี้ ยังมีอีกหลายส่วนที่มองไม่เห็นจากด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของตึกเล็กที่แยกออกมาหลายๆ ตึกโดยตกแต่งสไตล์อิตาลี หรือจะเป็นเรือนไม้สำหรับเจ้าของรีสอร์ทที่อยู่ลึกเข้าไปในดงไม้เลื้อยท้ายรีสอร์ท ที่บัดนี้กลายเป็นสำนักงานออกแบบสำหรับห้องเสื้อกิจจศิลปา ฝั่งด้านขวายังเชื่อมต่อข้ามเขตรั้วมาที่ไร่ไอศวรรย์ซึ่งกว้างใหญ่ไม่แพ้กัน มีทั้งฟาร์มโคนม คอกม้า ไร่สตอร์เบอรี่ และต้นไม้อีกนานาพันธ์
“อ่าว สวัสดีครับ” เสียงทุ้มตะโกนทักทาย เมื่อพบผู้มาเยือนก่อนจะวิ่งเข้ามาใกล้จนรถรางต้องชะลอตัวจอด
“วันนี้ยายพิมเขาอยากมาสูดอากาศ ก็เลยพามาเที่ยวที่นี่เสียเลย มาถึงนี่ไม่ยอมให้ตาเข้าไปทักทายใครเลยนะ ขอนั่งรถชมไร่ก่อนเลย” คุณตาใหญ่เอ่ยอย่างเอ็นดู ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวคนที่ยิ้มแหย
“ถ้าอย่างนั้นตามสบายเลยนะครับ มีอะไรติดขัดตรงไหนบอกผมได้เลยหรือจะบอกอาเชษก็ได้นะครับ ผู้จัดการไร่ของผมเอง” ชายหนุ่มผายมือไปด้านหลัง ซึ่งมีร่างสมส่วนของชายวัยกลางคนยืนอยู่ แม้เจ้าสัวใหญ่น่าจะเคยพบคนของไร่มาก่อน แต่ศานต์ก็ไม่ลังเลที่จะแนะนำซ้ำ เนื่องด้วยท่านไม่ได้มาบ่อยนัก อาจจะจำหน้าผู้จัดการไร่ของเขาไม่ได้
เชษก้มหัวอย่างนอบน้อมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองแล้วพบว่า...
แขกที่มาวันนี้...วีไอพีเสียด้วย
“ครับ บอกผมได้ทุกอย่างเลยครับ”
เจ้าสัวใหญ่หน้าตึงขึ้นเล็กน้อย แต่เก็บอาการไว้ได้ ไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก แต่ก็พอจะรู้อยู่ว่ามาแล้วจะเจอใคร แต่มันเรื่องเล็ก ไม่ต้องสนใจ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ขอบคุณแต่ฉันดูแลตัวเองได้” เสียงราบเรียบ และรอยยิ้มอ่านยากนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าของไร่สงสัยอะไร แต่เชษสามารถรับรู้ความหมายนั้นได้ดี ในขณะที่หางตาก็สังเกตเห็นร่างที่เตี้ยกว่าซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ผู้สูงวัย กำลังลอบมองใบหน้าผู้เป็นตา แล้วหันมาสบตาเขาอย่างครุ่นคิด
คิ้วขมวดขึ้นทันทีเมื่อสบกับดวงตานั้นตรงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอคุณหนูพิมประภา หลานสาวคนเดียวของบ้านนี้ แต่ทำไมรู้สึกว่าวันนี้แปลกๆ ไป จะด้วยไม่เจอหน้ากันนานก็ไม่ใช่ แต่หนูพิมคนนี้มองเขาราวกับรู้จักเขาดีทีเดียว!
กศิณายกมือขึ้นกอดอก มองสบตาของผู้จัดการไร่ตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวผู้ใหญ่ ก่อนจะแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา...
วันนี้คนเขียนง่วงนอนมากเลยค่ะ เมื่อคืนนอนเช้า!!! อาจจะเขียนแบบงงๆ ก่งก๊งบ้าง ก็คอมเม้นเตือนหรือบอกได้เลยนะคะ พรุ่งนี้จะมาตรวจเช็คอีกทีเมื่อมีสติดีกว่านี้ค่าาา ฝันดีค่ะทุกคน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ