ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!

-

เขียนโดย YourSmileKeeper

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.39 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,220 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2560 00.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ผู้ท้าชิงตำแหน่งไม้! (กันหมา)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!

บทที่ 3 ผู้ท้าชิงตำแหน่งไม้! (กันหมา)

           

          ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันฉูดฉาดสะดุดตาค่อยๆ โผล่พ้นขอบประตูห้อง มองตรงไปยังคนที่นั่งรออยู่บนโซฟาซึ่งนั่งก้มหน้าอ่านนิตยสารในมือแบบไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะกระแอมเบาๆ เป็นการบอกให้รู้ว่าเธอเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

            “หืมม...”

          ร่างสูงในชุดสูทตัวเดิมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางส่งเสียงแปลกใจ ก็คนตรงหน้าเขาตอนนี้มีดวงตากลมโตเปลือกตาสีทองที่ทำให้ตาดูคมหวาน คิ้วสวยโก่งได้รูป ขนตาหนาเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันและยังปากสีแดงสดที่ตัดกับชุดสีขาวคลิปทองนั่น 

          ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าคนตรงหน้าใช่คนที่เข้าไปก่อนหน้านี้จริงหรือเปล่า...

            “ฮั่นแน่ สวยละสิคุณ หึหึ ตะลึงไปเลยสินะ”

เจ้าของร่างท้วมบนส้นเข็มสี่นิ้วยกมือขึ้นทาบแก้มสองข้างประกอบท่าทางก่อนหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสายตาที่ชายหนุ่มมองมา ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องตะลึง เพราะปกติเธอก็ตะลึงตัวเองเหมือนกันเวลาเธอแต่งหน้า

            “สวย แต่ทำไมต้องแต่งให้จัดขนาดนี้ล่ะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอ เอาบางๆ ใสๆ สมกับวัย” ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มหันไปพูดกับสองช่างแต่งหน้าแต่งตัวที่เดินตามกศิณาออกมาเบื้องหลัง

            ช่างแต่งหน้ายิ้มรับก่อนเอ่ยสิ่งที่ทำให้ร่างสูงยิ่งตะลึง

            “คุณหนูเขาแต่งเองค่ะคุณศานต์ คือเขาบอกว่าขอหน้าเข้มๆ แล้วก็กลัวจะไม่ทันเวลาเลยขอแต่งเองในขณะที่ดิฉันก็ทำผมไป”

            ศานต์หันมองหน้าเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้แม้แต่คิ้วยังโล้น!  ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งหน้าได้ แถมแต่งได้จัดเต็มและสวยขนาดนี้

            คิ้วโก่งยักไปมาอย่างทะเล้น ก่อนตอบเสียงใส “โถ่คุณ มันเป็นสัญชาติญาณของผู้หญิงอ่ะ คือ ใครๆ ก็ต้องแต่งหน้าเป็น แต่จะแต่งหรือไม่นั่นอีกเรื่องไง แล้วออกงานขนาดนี้ก็เปลี่ยนจากหน้าผีให้กลายเป็นคนเลยดีกว่าคุณ จะมาใสๆ ให้เหมือนหน้าจริงทำไม” 

            ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ร่างนั้ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ในขณะที่ร่างในชุดขาวคลิปทองเดินไปเกาะแขนชายหนุ่มด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมตั้งท่าเดิน

            “ในเมื่อวันนี้คุณจะให้ฉันเป็นไม้ ฉันก็จะไม่ทำให้คุณขายหน้าเลยคอยดูสิ” หญิงสาวเขย่งปลายเท้าไปกระซิบข้างหูชายหนุ่มให้ได้ยินกันสองคน แม้เธอจะใส่ส้นสูงเพิ่มแล้ว แต่ความสูงระหว่างเขาและเธอก็ยังห่างกันอยู่ดี

            อาจด้วยเพราะหญิงสาวเล่นสนุกมากไป จึงไม่ทันระวัง เกือบตกส้นหงายหลังให้ได้ขายหน้าเล่น ดีที่มือหนาเอื้อมเอวคว้าไว้ทัน ศานต์ได้แต่ส่ายหัวอย่างหนักใจ

            “แค่เริ่มต้นก็ซุ่มซ่ามสะแล้ว” ก่อนจะนึกสนุกแกล้งคนข้างตัวต่อ “โอ๊ะ!” เขาแกล้งทำตาโต ก่อนก้มมองคนข้างตัวอย่างมีเลศนัย พลางเคาะมือที่ยังไม่ปล่อยจากเอวหญิงสาว

            “เข้าใจแล้วว่าทำไมหนักหกสิบห้า นี่พุงหนาจนหาเอวไม่เจอเลยนะ!”

            “นี่คุณ!”

            “เห้ยๆ อะไร” ชายหนุ่มรีบปล่อยมือ ก่อนยกมาปิดหน้าแกล้งงอตัวหงอเสียเต็มประดา “อย่าเลยนะ อย่าเตะฉัน ด้วยต้นขานั่นฉันคงคอหักตาย”

            “โอ้ย!” หญิงสาวโอดครวญอย่างขัดใจ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา กำมือแน่นอย่างอยากจะปล่อยหมัดใส่คนตรงหน้ารัวๆ เสียสิบที

            “ล้อเล่นน่า โถ่...แม่คนแสตนดาร์ดมัสคูล่า อย่าไปตกส้นสูงในงานแล้วกัน ขายหน้าฉันแย่”

            “เอาน่า ไม่ได้ใส่มานานแล้ว มันต้องใช้เวลาปรับตัวนิดนึงสิ แต่ฉันน่ะเดินได้จริงๆ นะคุณ ได้แบบนางแบบเลยด้วย”

          กศิณาเริ่มออกเดินไปตามทางที่ทอดไปสู่ประตูห้อง ก่อนหมุนฟูลเทิร์นสะบัดผม หันกลับมาสบตาชายหนุ่มอย่างมั่นใจ ร่างท้วมที่ดูโปร่งขึ้นจากชุดและรองเท้าที่สวมใส่ เดินนวยนาดราวกับอยู่บนแคทวอล์ค ทำให้เจ้าของร่างสูงที่กอดอกอยู่ อดหัวเราะไม่ได้

            “เธอนี่เหมือนกันจริงๆ เลย”

            หญิงสาวทำหน้าเหลอหลา เมื่อเขาบอกว่าเธอเหมือนใครสักคนอีกแล้ว

            “เอาเถอะ เดี๋ยวก็ได้รู้จักกันในงานนี่ละ ไอ้ช้องเพื่อนฉันเอง”

            ร่างสูงกว่าเดินเข้าไปให้หญิงสาวคล้องแขนก่อนเดินออกไปพร้อมกัน ทิ้งให้ช่างแต่งหน้าแต่งตัวทั้งสองคนได้แต่สงสัย ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แฟนคนใหม่ของชายหนุ่มจริงๆ ใช่หรือไม่ แล้วลักษณะท่าทางก็คล้ายคุณช้องนางอย่างที่ผู้เป็นนายว่าจริงๆ

 

            “ว้าว” กศิณาอดที่จะอุทานอย่างตื่นตะลึงไม่ได้ กับความอลังการของงานที่เธอก้าวเข้ามา แม้ว่าเมื่อตอนเย็นเธอพอจะรับรู้ได้จากขนาดห้องจัดงาน แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย รวมทั้งแสง สี เสียง กลับทำให้งานดูยิ่งใหญ่เข้าไปถนัดตา

            แม้จริงๆ แล้วจุดประสงค์ของเธอที่มาที่งานนี้จะไม่ใช่เพื่อแฟชั่นโชว์อย่างที่เธอกล่าวไว้ แต่ก็อดจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ จนเกือบลืมเหตุผลที่แท้จริง

            ดวงตากลมโตเพราะเทปตาสองชั้น อายไลน์เนอร์และอายแชร์โดว์สอดส่ายหาเป้าหมายที่เธอต้องการ แต่ภายใต้แสงสีที่สลัว กับคนที่ค่อนข้างพลุกพล่าน ทำให้มันไม่ง่ายนักที่จะเจอ

            “เธอๆ เธอๆ”

คนข้างตัวสะกิดเรียกหญิงสาวที่มองไปรอบงานโดยไม่ได้สนใจว่ามีใครเดินมาหยุดตรงหน้า กว่าจะรู้ตัวก็จนได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น

            “สงสัยจะตื่นเต้นมั้งจ๊ะ ศานต์บอกเองนี่ว่าเขาชอบงานแบบนี้ ใช่ไหมจ๊ะหนู”

            กศิณาหันกลับมามองบุคคลตรงหน้า ก่อนพบหญิงสาวที่น่าจะอายุอานามไม่ใช่น้อย แต่ใบหน้ายังคงอ่อนวัยและละม้ายคล้ายกันถึงสองคน ดวงหน้าของหญิงสาวร่างอวบและสูงกว่าในชุดราตรีสีเข้มดูสงบ ราบเรียบ หยิ่ง และไว้ตัว ในขณะที่คนพูดทักทาย ยิ้มแย้มเป็นมิตร เป็นสาวร่างบางตัวเล็กในชุดราตรีสีเหลืองทอง

            สาวน้อยประนมมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม อ่อนช้อยสมกับเป็นกุลสตรีไทย จนคนข้างๆ ยังแอบทึ่งมิใช่น้อย ที่กิริยามารยาทของเธองามสง่า ผิดกับเมื่อตอนเย็นทีเป็นม้าดีดกะโหลกลิบลับ

            ไม่สิ จริงๆ ในห้องก่อนออกมา เธอยังทำท่าทะเล้นเป็นเด็กใส่เขาอยู่เลย ยายนี่มีอะไรให้น่าแปลกใจหลายอย่างจริงๆ

            “สวัสดีค่ะ ชื่อยุ้งข้าวค่ะ” เสียงใสเอ่ยแนะนำตัวอย่างก้องกังวาน ไม่ดังนัก แต่ก็ชัดเจนให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ยิน ทั้งคู่ยิ้มตอบรับน้อยๆ ก่อนที่ชายหนุ่มข้างตัวจะผายมือแนะนำบุคคลทั้งสอง

            “นี่คือคุณไพลิน และนี่คือคุณพลอยรุ้ง กิจจศิลปา เจ้าของห้องเสื้อและดีไซนเนอร์ชื่อดังที่ร่วมจัดงานในวันนี้ พี่รุ้งเป็นคนหาเสื้อผ้าชุดนี้ให้เธอเอง”

            “มีอะไรถามได้นะจ๊ะ เห็นนายศานต์บอกเราสนใจเรื่องแฟชั่น พี่ยินดีตอบทุกคำถามเลยจ๊ะ”  พลอยรุ้ง กิจจศิลปา หรือหญิงสาวร่างเล็กยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ในขณะที่ร่างสูงใหญ่กว่า ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนขอตัวไปดูงาน

            คนสนใจแฟชั่นเริ่มเอ่ยถามชวนคุย ดีที่คู่ฤทัยเพื่อนสนิทของเธอสนใจด้านแฟชั่นดีไซน์มากจนมาพูดถึงและนำเสนอให้เธอฟังเป็นระยะๆ จึงทำให้หญิงสาวพอมีความรู้อยู่บ้าง และด้วยความรู้เท่าที่มี โดยอาศัยรอยยิ้มอันจริงใจของเธอ ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

            “...แล้วหนูล่ะ มีความคิดเรื่องผ้าไทยกับยุคสมัยใหม่ยังไงหรอจ๊ะ” พลอยรุ้งเอ่ยถามหลังจากอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับงานที่จัดในครั้งนี้ให้หญิงสาวที่สนใจใฝ่รู้ฟัง

            ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนสนใจผ้าไทยหรือผ้าทอมือนัก เนื่องด้วยใช้เวลา และผ้าบางชนิดก็ราคาค่อนข้างแพง ยิ่งเด็กยุคใหม่ๆ จะมองว่าไม่ทันสมัย ไม่เป็นกระแส พลอยรุ้งจึงอยากจะรู้ความคิดเห็นของกศิณาที่ถือได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะอายุยังไม่มากนัก และเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ห้องเสื้อของเธอกำลังจะไปตีตลาด

            “ผ้าไทย เป็นภูมิปัญญาที่เสมือนเป็นตำนานของแต่ละท้องถิ่น แต่กำลังจะถูกลืมเลือนไปเพราะบางคนมองว่าเชย มองว่าไม่สวย ทำชุดได้ไม่หลากหลาย ก็เพราะเราไม่คิดนอกกรอบ มัวแต่คิดว่าทำได้แต่ผ้าถุง เด็กสมัยใหม่ก็ไม่ชอบเพราะไม่ตามสมัย แถมยุคเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์คนไม่เหมือนสมัยก่อน ปัจจุบันคนต้องการความคล่องตัวมากขึ้น จะมาให้นั่งใส่ผ้าถุงแล้ววิ่งขึ้นรถไฟฟ้า หรือใช้ชีวิตเร่งรีบ ก็ดูไม่เหมาะสมนัก หนูเลยคิดว่า เราควรนำผ้าไทยมาปรับใช้กับแนวที่เข้ากับปัจจุบัน ออกแบบใหม่ แล้วจุดให้มันเป็นกระแส ให้มีคนนิยม”

            “แล้วแนวที่เข้ากับปัจจุบันของหนูยุ้งนี่...มีในใจคร่าวหรือยังจ๊ะว่าเป็นแนวไหน”

            “หนูเป็นคนนึงที่ชอบใส่กางเกงค่ะ เพราะคล่องตัว สะดวก ทำอะไรง่าย อย่างสมัยนี้ผู้หญิงก็นิยมใส่กางเกงมากขึ้น ถ้าเป็นพวกจั้มสูทอะไรพวกนี้ หนูว่าผ้าไทยก็นำมาทำได้นะคะ ไม่อย่างนั้นก็เดรส กระโปรงนี่แหละ แต่ปรับแบบไม่ใช่ผ้าถุงหรือกระโปรงป้าย อาจจะเอาไปจับพลีท ทำสม็อค ทำเป็นกระโปรงทวิสต์อะไรแบบนี้ เพราะการดีไซน์มันคือการคิดอะไรใหม่ๆ แล้วอะไรที่แปลก ไม่ซ้ำ ก็กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดตอนนี้ด้วย”

            “ตอนนี้ทางห้องเสื้อเราก็กำลังหันมาจับแนวนี้แหล่ะ อยากให้วัยรุ่นหันมาใช้ผ้าไทย เพราะปัจจุบันก็มีแต่ผู้สูงอายุทั้งนั้นที่ใช้ ถ้ามีเด็กสมัยใหม่ที่มีความคิดแบบหนูเยอะๆ นี่ ภูมิปัญญาไทยก็ไม่จะไม่หายสาบสูญไปเลย”

             ชายหนุ่มผู้เป็นคนร่วมจัดงานนี้ยืนมองสาวๆ ที่สนทนากันอยู่ห่างๆ ก่อนจะเริ่มมองหาคนที่ต้องการเจอตัว แต่แล้วก็ไปสบตาเข้ากับคนที่ไม่คาดคิด

            ร่างระหงในชุดราตรียาวสีแดงคล้องคออวดแผ่นหลังเนียนสวย ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางขับเน้นเครื่องหน้าคมให้ชัดขึ้น ผมรวบตึงเป็นมวยใหญ่กลางศีรษะทำให้ดูเสมือนมีมงกุฎประดับอยู่ ร่างนั้นค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาใกล้ชายหนุ่มและวงสนทนาของสองสาว

            ริมฝีปากสีนู้ดแย้มยิ้มที่คาดเดาได้ยากก่อนเอ่ยเสียงหวานระรื่นหู

            “สวัสดีค่ะ พี่รุ้ง ศานต์...ไม่คิดจะแนะนำหน่อยหรือคะ”

          ลลนาเบนสายตาไปมองคนที่เธอไม่คุ้นหน้า เลิกคิ้วแล้วหันมามองชายหนุ่มเป็นคำถามว่าใคร?

            ยุ้งข้าวทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อหญิงสาวสวยสง่าเบื้องหน้า พร้อมกับที่ชายหนุ่มเดินมาโอบเอวเธอ

            “ครับ ลิลลี่ นี่ยุ้งข้าวครับ”

            คนถูกแนะนำตัวยังคงไหว้อย่างนอบน้อม เนื่องด้วยรู้ดีว่าคนตรงหน้านี้อายุมากกว่า

            คุณลิลลี่ ลลนา อดีตคู่หมั่นของผู้ชายข้างตัว ที่ช่างแต่งหน้าพูดถึงด้วยความเมามันส์

            ‘คุณยุ้งเป็นแฟนคุณศานต์หรอคะ แล้ววันนี้รู้หรือเปล่าคะว่าคุณลิลลี่จะมาด้วย’

เสียงคนทีช่วยแต่งตัวให้จีบปากจีบคอถาม เมื่อพวกเธอถูกเจ้านายหนุ่มแนะนำว่าคนตรงหน้าคือแฟนที่เขาจะพามาเปิดตัวด้วยคืนนี้  แล้วอย่างนี้ต้องเจอกับอดีตคู่หมั้นของชายหนุ่ม งานนี้มีสนุกแน่!

            ‘คุณลิลลี่นี่ ในวงการช่างแต่งหน้าเขาว่าไม่เบานะคะ ไฮโซสาวที่รับงานเดินแบบการกุศลทั่วไป ภายนอกดูดี แต่เขาบอกว่าจริงๆ นี่ร้ายแรงนะคะ รอยยิ้มที่ได้รับมานี่รอยยิ้มเคลือบยาพิษเลยทีเดียว ลองได้จิกใครแล้ว ไม่มีปล่อย และจะเล่นงานให้ถึงที่สุด’

เสียงช่างอีกคนเริ่มสาธยายถึงอดีตคู่หมั้นของชายหนุ่ม ที่ไม่มีใครรู้ว่าเลิกกันได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ ทุกคนรู้สึกว่าลลนายังคงตามกัดไม่ปล่อย แม้ช่ายหนุ่มจะไม่สนใจเธอแล้ว

            หญิงสาวที่พึ่งจะเดรปปิ้งเดรสสีขาวให้เข้ารูปตามสัดส่วนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เริ่มจับต้นชนปลายถูกว่าผู้ชายที่นั่งรอนอกห้องนั้นต้องการให้เธอเข้างานในฐานะอะไร ถึงได้แนะนำเธอกับช่างทั้งสองไปว่าเป็นแฟนของเขา

            และนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจขอแต่งหน้าเอง เพื่อแปลงโฉมไม่ให้ใครจำหน้าได้มากนัก

            ไม่รู้ละ! ไม่เคยเจอ แต่เกิดเดี๋ยวคุณลิลลี่อะไรนี่อาฆาตแค้นเธอขึ้นมา ก็ไปตามหายุ้งข้าวที่หน้าสวยๆ ไปละกัน จะได้ไม่ต้องหาอาหมวยขายเกาลัดอย่างเธอเจอ!

            สายตาที่จ้องมองมานั้นอ่านยาก ทำให้หญิงสาวในชุดขาวอดจะร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์ยอมรับตัวเองเป็นไม้กันหมาแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุดสิ!

            มืออวบค่อยๆ เอื้อมไปคล้องแขนคนข้างตัว ก่อนแกล้งเอาหน้าแนบแขนแกร่งแล้วช้อนตามองชายหนุ่ม ยิ้มหวานสดใส ก่อนจะหันมายิ้มอ่านยากให้หญิงสาวร่างระหงส์ตรงหน้า

            “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณลิลลี่”

            สองสาวจ้องหน้ากันไปมา บรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด ศานต์อดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่คนข้างตัวเล่นได้สมบทบาทอย่างกับอะไรดี แอบลอบยิ้ม เมื่อคนข้างตัวนี่ช่างเหมือน...

            “เห้ย ไอ้ศานต์ กว่าจะหาแกเจอ คนเยอะชะมัด”

          หญิงสาวในเดรสสายเดี่ยวสีม่วงอ่อนเดินอย่างคล่องแคล่วเข้ามาแทรกกลางวง ก่อนจะเหลือบตาไปมองยังร่างในชุดสีแดงแล้วแกล้งทำหน้าตกใจ

          “อุ้ย คุณลิลลี่ อยู่นี่ด้วยหรือคะ เดี๋ยวรบกวนช่วยออกไปหน่อยนะคะ คนในครอบครัวเขาจะคุยกัน”

          ร่างสูงโปร่งสมส่วน แย้มยิ้มที่มองยังไงก็รู้ว่าดูจิกกัดให้อดีตคู่หมั้นของศานต์ ซึ่งยังยืนหน้าเชิดหลังตึงไม่จากไปไหน

          “ถ้าคุณลิลลี่ไม่สะดวกจะเคลื่อนย้ายตัวเองนี่...เดี๋ยวพวกเราเปลี่ยนที่เองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ใบหน้าหวานยังคงมีรอยยิ้มประดับ แต่เป็นยิ้มที่ไม่จริงใจ!

            ยิ้มไม่จริงใจ ให้คนไม่จริงใจ เธอคงไม่ผิดอะไรนัก

            ก่อนที่ร่างโปร่งจะผายมือเชิญทุกคนเดินไปอีกทาง ทิ้งให้ลลนาที่ยังคงวางท่างามสง่าได้แต่เชิดหน้าขึ้นมากกว่าเดิมแล้วเดินไปที่อื่นต่อไป

            “ก็แค่เนี่ย ไม่อยากคุยด้วยก็แค่เชิญเขาออกไป ถ้าเขาไม่ไปเราก็แค่เดินออกมา ไปยืนอึดอัดทำไมอยู่ตรงน้าน” หญิงสาวลากเสียงสูงยาว ใบหน้าหวานที่ประดับตกแต่งอย่างเหมาะสมส่ายหัวเล็กๆ ก่อนจะแกล้งกลอกตาไปมาเมื่อชายหนุ่มร่างสูงยกแขนขึ้นคล้องคอ

            “ไอ้ช้องเอ้ย แกนี่ไม่รู้อะไรเลย ฉันกำลังจะรอดูฤทธิ์เด็กนี่ว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้รู้แล้วละ ไม่มีใครหน้าไหนสู้แม่นางช้องศรีได้หรอก”

ศานต์หัวเราะอย่างขบขัน ก่อนเอามือขยี้หัวเพื่อนสนิทที่หน้าตายู่ยี่ใส่ เมื่อผมของเธอเริ่มจะเสียทรง

            จัดการกับลิลลี่ก็ไม่ได้ยากนักหรอก แค่เดินออกมาอย่างที่เธอพูด แต่ที่ยากนะคือจัดการให้เด็ดขาดให้ไม่ต้องมายุ่งกันอีกเลย กำลังจะดูฝาแฝดของเพื่อนสนิทแผลงฤทธิ์แล้วเชียว แต่ผู้ท้าชิงดันโดนขัดสะได้

            “อ่อ ขอโทษที ช้องนางนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

สาวชุดม่วงแย้มยิ้มเป็นมิตรอย่างจริงใจให้กศิณา ก่อนจะแอบกระซิบกระซาบถามเพื่อนตัวดี “ใครอ่ะแก อวบไปหน่อยนะ แต่สวยดี”

            ศานต์แทบจะระเบิดหัวเราะลั่น แต่ก็ต้องกลั้นไว้ เมื่อฟังคำพูดคำจาเพื่อนสนิท พอมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ยิ่งรู้สึกว่ามันใช่จริงๆ

            “ช้องๆ“

เสียงของชายหนุ่มอีกคนเรียกอยู่ไม่ไกลนัก ช้องนางมองตามก่อนหันมายกมือให้ทางกลุ่มใหญ่ที่เธอยืนอยู่ เป็นการบอกลา

            “มาเร็วเคลมเร็วแบบนี้นี่ละไอ้ช้อง” ศานต์หันมาบอกคนข้างตัว ที่ใบหน้ายังคงงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องลลนา และเรื่องของเพื่อนสนิทเขา

            หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักรับ ก็ดีแล้วที่เธอไม่ต้องก่อสงครามกับลลนา และดียิ่งกว่าที่เธอได้รับรอยยิ้มพิมพ์ใจจากร่างสูงในชุดม่วง เพราะฟังจากสิ่งที่เธอพูดกับลลนา 

            ผู้หญิงคนนี้นี่น่ากลัวชะมัดยาด!

           

          ทางเดินหินกรวดที่คดโค้งไปตามแมกไม้ ด้านบนเป็นโครงเหล็กดัดที่ใช้เป็นแหล่งเกาะพักของเหล่าไม้เลื้อย ทอดยาวไปสู่อาณาเขตเรือนไม้สักหลังน้อยหลังใหญ่  ที่เป็นที่อาศัยของเจ้าของรีสอร์ท 

          ร่างสูงยกมือขึ้นกันไม้เลื้อย ที่ยาวระลงมาเพื่อไม่ให้โดนหน้าตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองไปที่ทางแยกที่ไปยังเรือนเล็กด้านขวา ซึ่งมีพุ่มไม้ดอกสีม่วงขนาบสองข้างทาง

          ศานต์แอบอมยิ้มอยู่ในใจ เห็นทีไรก็อดขำไม่ได้  เมื่อเจ้าของเรือนเล็กหลังนั้น ปลูกต้นช้องนางยาวเป็นแถบ เพราะชื่อเหมือนคนที่ตัวเองรัก

          และอาจจะเป็นคนที่เขารักด้วยเช่นกัน...

          ไม่สิ! เขาคิดอย่างไรกับช้องนาง เขาก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนสนิทมานาน เขาไม่ได้คิดจะเป็นแฟนกับช้องนางอยู่แล้ว ก็แค่คิดว่าจะโสดกันไปจนแก่ด้วยกันสองคน จนเมื่อเธอมีคนรัก ก็ทำให้เขาอดใจหายไม่ได้ ไม่ได้อิจฉา แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ เมื่อความสำคัญของตัวเองจะลดลง แต่เมื่อผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี เขาก็ควรยินดีมิใช่หรือ...

          “เห้ย  อะไรวะ ยังตัดใจไม่ได้อีกหรอ นี่มันก็จะเข้าปีที่ห้าแล้วนะ”

          คนร่างใหญ่ผิวเข้มในชุดเสื้อโปโลสบายๆ เดินเข้ามาตบไล่คนมองต้นช้องนาง เห็นยืนมองอยู่ตั้งนานแล้ว ดวงตาอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมไปไหนสักที เลยต้องเข้ามาทักทายเสียหน่อย

          “อะไร ตัดใจอะไร ฉันไม่ได้อะไรกับไอ้ช้องสักหน่อย จะตัดใจทำไม” ศานต์รีบหันมาแก้ตัวก่อนจะเอามือปัดมืออีกฝั่งด้วยท่าทางนึกสนุกมากกว่าจะรังเกียจจริงจัง

          “แหม คุณ! ดูไม่ออกเลยเนอะ จริงๆ ตอนแรกฉันคิดว่าแกเปลี่ยนสไตล์ไปแล้วนะ เพราะยายลิลลี่นั่นก็ไม่เหมือนคุณช้องเท่าไร แต่พอเห็นคุณยุ้งข้าวที่แกพามางานวันนั้น ฉันถึงได้รู้...” 

          อาคเนย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย ให้เพื่อนสนิท จริงๆ แล้วเขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าศานต์ชอบช้องนางหรือไม่ เพราะเพื่อนมหาวิทยาลัยของเขาคนนี้ไม่ค่อยเล่าเรื่องสาวๆ ให้ใครฟัง แม้แต่ตอนที่เป็นคู่หมั้นกับลลนา เขาก็ยังงงๆ อยู่ว่าไปทำความรู้จักกันได้อย่างไร  แต่จากสาวน้อยที่ชายหนุ่มพามาเดินเตรียมงานแฟชั่นโชว์วันนั้น แถวยังพามางานเลี้ยงตอนค่ำอีก ถึงจะบอกว่ามาให้ช่วยกันลลนาก็เถอะนะ แต่เพื่อนเขาที่ดูอัธยาศัยดี อารมณ์ดี ขี้แกล้งคนนี้ จริงๆ เป็นคนที่เข้าถึงยาก และตั้งกำแพงสูงจะตายไป ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้นลักษณะเหมือนหญิงสาวเพื่อนสนิท คงไม่ได้ทำความรู้จักกันรวดเร็วขนาดนั้น

          “นี่ไปกันใหญ่ละ ฉันไม่ได้ชอบยุ้งข้าว  รู้จักแต่ชื่อกับหน้า ประวัติอย่างอื่นก็ไม่รู้ ทางติดต่อยังไม่มีเลย”

          ร่างที่สูงกว่าชูมือขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีอะไรจริงๆ แต่สิ่งที่หลุดจากปากเขาก็ทำให้เพื่อนตัวดียิ่งขัน

          “นั่นไง แสดงว่าอยากได้ทางติดต่ออยู่ถึงรู้ว่าตัวเองไม่มีหนทางติดต่อเขา ฮ่าๆ มาๆ ไม่แกล้งละ พี่ลินพี่รุ้งเรียกมาถามเรื่องนี้ล่ะ” 

          แขนแกร่งคล้องคอเพื่อนที่ตัวสูงกว่าก่อนจะลากไปที่เรือนหลังใหญ่ทางด้านซ้าย ขำไม่หายที่เห็นหน้าเหลอหลาของคนข้างตัว

 

            ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีสำหรับโต๊ะทำงานสองตัวและชุดรับแขก มีหน้าต่างซึ่งรับลมและแสงแดดจากทิศตะวันออก ผนังฝั่งหนึ่งมีผ้าไหมและผ้าลายไทยแขวนโชว์อยู่ ในขณะที่อีกฝั่งเป็นหุ่นโชว์เสื้อผ้า ด้านหลังเป็นแบบเสื้อผ้าและแพทเทิร์นปักหมุดอยู่บนกระดานไม้คอร์ค

            ร่างเล็กที่กำลังยกชาจากโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟายิ้มรับสองหนุ่มที่เดินเข้ามา ส่วนร่างที่ยืนอิงกรอบหน้าต่างอยู่หันมาพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนมองวิวลำธารด้านหลังต่อไป

            “ผมจะบอกข่าวร้ายครับพี่รุ้ง นายศานต์ไม่มีหนทางการติดต่อกับเด็กยุ้งข้าวนั่น ไม่อย่างนั้นพวกเราคงเห็นเขาออกไปเจอกันนานแล้ว” อาคเนย์รีบรายงานเรื่องที่สองสาวตามเพื่อนของเขามาพบที่นี่ เพื่อเป็นการล้อเลียนเพื่อนไปในตัวด้วย

            “อ้าว จริงหรือคะน้องศานต์ พี่คุยกับหนูยุ้งถูกคอมากเลย ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ แต่เขาก็มีความรู้พอตัวเชียวนะ ดูเป็นเด็กที่มีไอเดีย แล้วก็คุยสนุกด้วย ว่าจะถามเขาว่า ถ้าสนใจลองมาฝึกงานดูงานที่นี่ไหม ถ้าฝีมือดีจริงพี่ลินเขาก็ว่าอาจจะรับเข้าทำงาน แต่ก็ต้องลองมาดูก่อน”

          พลอยรุ้งวางแก้วชาในมือลง ก่อนจะทำหน้าเสียดาย ในขณะที่คนถูกอ้างถึง หันหน้ามาทางทุกคนในห้องก่อนเอ่ยบ้าง

            “พี่ได้คุยกับเขาไม่เยอะหรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึงถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ศานต์บอกว่าเด็กคนนั้นแต่งหน้าเองถูกไหม แล้วก็เดรปปิ้งชุดให้เข้ารูปเอง ดูแล้วนี่ ใช้ได้เลยนะ” ร่างที่ยืนกอดอกอยู่พยักหน้าหนักแน่นยืนยันคำพูดตน ก่อนจะถามย้ำ  “ไม่มีเบอร์โทรศัพท์หรือว่าที่อยู่ของเขาเลยหรอ ทำงานที่ไหนอะไรยังไง”

            เจ้าของดวงตากลมส่ายหัวช้าๆ ใบหน้าปรากฏรอยความเสียดาย ก่อนเอ่ยเสียงอ่อย “แม้แต่ชื่อจริงผมยังไม่รู้เลยครับ วันนั้นตอนไปส่งกลับหอ เธอให้ผมส่งแค่หน้าปากซอยแล้วเดินเข้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าหออยู่ตรงไหน แล้วพอผมกลับไปเช็คกับอู่รถมอเตอร์ไซค์ที่ขอนแก่นอาทิตย์หลังจากนั้น  เธอก็มารับรถไปแล้ว แต่ไม่ได้ทิ้งเบอร์ไว้ครับ” ปากบางเอ่ยถึงสิ่งที่พยายามทำมาตลอดช่วงเวลาสองอาทิตย์ หลังจากจัดงานแฟชั่นโชว์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสร็จ พวกเขาก็ต้องรีบกลับมาเคลียร์งานกันต่อ กว่าจะมีเวลาไปตามหาตัวก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีโอกาสเจอกันอีก

            “จริงๆ เธอบอกว่าเธอเป็นคนโคราชนะครับ มีบ้านสวนอยู่ที่อำเภอเมือง แต่ทำงานที่ขอนแก่นเพราะมีตำแหน่งที่นั่น แต่ไม่ได้คุยลงรายละเอียดน่ะครับ”

            คนโคราช...ก็เหมือนเขาที่เป็นคนอำเภอปากช่อง ซึ่งมีฟาร์มปศุสัตว์และไร่สตรอเบอร์รี่อยู่ที่นี่ แต่เพราะระยะทางระหว่างโรงแรมกับหอของหญิงสาวไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก จึงมีเวลาพูดคุยกันไม่นาน และเพราะเขามัวแต่ถามเรื่องอื่นอยู่ต่างหาก

 

            ‘เธอ...เชื่อเรื่องรักแรกพบไหม แบบเจอปุ๊ปปิ๊งปั๊ป อะไรทำนองนี้’

            คำถามของเสียงนุ่มทุ้ม ออกจะทำให้หญิงสาวแปลกใจมิใช่น้อย แต่จากการสบตาเขากลับไป เขาไม่ได้ถามเพราะเกิดอาการปิ๊งหรือพิศวาสเธอ แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาถามทำไม

          ‘แล้วทำไมอยู่ๆ ถามคำถามนี้ละคุณ’

          ‘ก็แค่สงสัย เห็นวันนี้ก็มีหนุ่มๆ แอบมาส่องเธอหลายคนเลยนี่’ ศานต์พูดตามที่เห็น เมื่อวันนี้ก็มีชายหนุ่มเข้ามาชวนเธอคุยสองสามคน ในเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ

          ‘อ่อ ฮ่าๆ  ก็ฉันสวยไงคุณมันก็เป็นเรื่องธรรมดา  ลองไม่ได้แต่งหน้าสิ ดูไม่ได้กันเลยทีเดียว’ 

            หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ก็ไม่รู้จะเล่นตัวเองทำไม แต่มันอดขำไม่ได้ เพราะใบหน้าตอนแต่งหน้ากับใบหน้าจริงนั้นช่างแตกต่างกันนัก...จนเธอยังแปลกใจ

          ‘จริงแล้วเมื่อก่อนฉันเชื่อนะคุณ สมัยยังละอ่อนน่ะ แบบดูละครมาเยอะ เห็นกันแว่บเดียว ปิ๊ง อุ้ย ต๊าย ตาย แล้วเมื่อก่อนฉันก็เชื่อว่าเพื่อนสนิทเป็นแฟนกันไม่ได้ เพราะมันคือเพื่อนอ่ะ มันไม่ควรเปลี่ยนสถานะ แต่ตอนนี้โตละ คิดใหม่ ถ้าไม่รู้จักกันก่อนเลยแล้วมาคบกัน ฉันว่าอันนั้นน่ะเป็นไปไม่ได้มากกว่าอีก แต่ถ้าคนไหนหน้าตาดี ฉันก็มองนะ ก็อาจจะชอบ แต่ไม่ได้จริงจัง’

            ‘แล้วอย่างฉันล่ะถือว่าหน้าตาดีไหม แล้วนี่เรียกว่าเราทำความรู้จักกันหรือยัง’ ไม่รู้นึกสนุกอะไรชายหนุ่มถึงถามคำถามออกไปแบบนั้น 

หญิงสาวแกล้งหรี่ตาทำท่าพิจารณา ก่อนจะตอบเสียงใสที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้

          ‘ชอบนะ คุณหน้าตาน่ารักดี ไม่หล่อนะ แต่น่ารัก ฉันก็มองไปเรื่อยแหละคุณ แถมคุณยังคุยสนุกอีก จริงๆ ฉันก็แปลกใจนะ ว่าทำไมเราถึงคุยเหมือนเพื่อนกัน ทั้งๆ  ที่พึ่งรู้จักกัน แล้วฉันก็ชอบมองคุณนะ คุณน่ารัก น่ารักดี!’ ปากอิ่มสีสดแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตาใสสบมาอย่างจริงใจในคำพูด ว่าเธอหมายตามนั้นจริงๆ

          ศานต์ยิ้มรับ หัวเราะขำไม่เลิก ไม่คิดว่าหญิงสาวจะเป็นคนตรง พูดอย่างที่ใจคิดขนาดนี้ มองตาก็รู้ว่าไม่ได้ชอบเขาทางชู้สาว แต่การเอ่ยชมเขาว่าน่ารักแบบนี้ เขาเองยังรู้สึกเขินๆ เลย แต่เธอกลับเอ่ยได้เป็นธรรมชาติ มือหน้าเอื้อมไปลูบหัวหญิงสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู

          ‘ฉันก็คุยกับเธอสนุก สงสัยเพราะเธอลักษณะเหมือนเพื่อนสนิทฉันมั้ง ผู้หญิงชุดม่วงที่มีผู้ชายหล่อๆ สูงๆ มาเรียกไปน่ะ’

          ‘ใช่ๆ คุณ คนนั้นก็หล่อ  ฉันก็มองๆ อยู่ สูงขาว หน้าตาคมเข้ม ดูดีมากเลย ในงานวันนี้ดูดีหลายคนนะคุณ คุณอัคเพื่อนคุณก็หล่อแต่เป็นแนวเข้มๆ แบบชายไทย คนที่เข้ามาคุยด้วยกับฉันก็มีหล่อ อาหารตาเต็มไปหมด’ หญิงสาวเอ่ยเสียงใส แบบวัยรุ่นที่เหล่มองหนุ่มคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แล้วก็อดนึกถึงที่เพื่อนสนิทชอบแซวว่าเธอไม่เคยเสียเวลาให้บุรุษหน้าไหนไม่ได้

          มันก็จริงของเพื่อนเธอ เธอชอบมองคนหน้าตาดี แต่ก็แค่มองเท่านั้น ผ่านวันก็ลืมเลือน ไม่เคยเก็บมาคิดให้เสียเวลา เมื่อชีวิตปกติต้องเก็บเม็มโมรี่ไว้ทำอย่างอื่น จนเพื่อนๆ ถึงกับล้อเลียนว่าเป็น'คุณนายคานทอง' เพราะเกาะเหนียวแน่นเป็นตีนตุ๊กแกจนไม่มีใครแกะออกได้

          แต่เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ น้ำเสียงของเธอก็จริงจังขึ้นมา เมื่อถามข้อข้องใจ

          ‘ว่าแต่...คุณชอบคุณช้องนางหรอ ฉันรู้สึกว่าคุณพูดถึงแต่เพื่อนคุณตลอดเวลาเลย ก็จีบเลยสิคุณ ฉันว่านะ เพื่อนกันเป็นแฟนกันไม่เห็นแปลก อย่างที่บอก ถ้าไม่รู้จักกันแล้วเป็นนั่นน่ะถึงแปลก’

          ชายหนุ่มชะงัก มองใบหน้าหวานที่เอียงคอรอคำตอบอยู่ ก่อนจะเบนสายตาไปนอกกระจก

          ‘ฉันไม่ได้ชอบช้องนางหรอก อีกอย่างนะ ไอ้ช้องก็มีแฟนแล้ว และกำลังจะแต่งงานเร็วๆนี้’

          ด้วยไม่เห็นหน้าค่าตา จึงทำให้หญิงสาวคาดเดาไม่ได้ว่าคนข้างๆ รู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่จากน้ำเสียงที่ราบเรียบ หัวข้อนี้ก็เป็นอันต้องตกไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา