ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!

-

เขียนโดย YourSmileKeeper

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.39 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,094 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2560 00.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ของขวัญที่ไม่มีวันลืม!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!

บทที่ 1 ของขวัญที่ไม่มีวันลืม!

 

          เสียงหวูดที่เริ่มดังกระชั้นเป็นตัวเร่งชั้นดีให้ขาต้องเพิ่มความเร็วและยาวในการก้าวแต่ละจังหวะ แต่ด้วยสัมภาระมากมายทั้งกระเป๋าเป้สะพายหลัง สะพายไหล่ ถุงใบโต ไม่อาจทำให้ร่างนั้นขยับได้สะดวกนัก และอีกหนึ่งอุปสรรคอันใหญ่หลวงก็คือรองเท้าแตะหูคีบที่ใกล้จะพังมิพังแหล่เพราะโดนเหยียบฉีก จนทำให้เธอได้แหงนหน้ามองฟ้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน 

          ‘รอก่อนนะรอก่อน อย่าพึ่งรีบออกตอนนี้นะ นี่เร่งสุดชีวิตแล้ว’

          คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความขัดใจ ทำไมวันนี้ความราบรื่นถึงได้หายไปจากชีวิตเธอ

          ตั้งแต่เช้าที่ก้าวเท้าออกจากบ้านของเพื่อนซี้ แล้วต้องวิ่งกลับเข้าไปใหม่ เพราะอาหารเย็นเมื่อวานเกิดอาการอยากออกจากตัวเธออย่างกระทันหัน แค่รอบเดียวก็ไม่มีปัญหาหรอก นี่เล่นทำเอาเธอวิ่งเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายรอบจนหมดแรง แล้วยังต้องมาเผชิญเบียดเสียดกับฝูงชนบนชานชาลาสำหรับรถไฟฟรี ที่กลายเป็นสถานที่หัดวัดพื้นของเธอเสียได้

          แล้วนี่...รถไฟกำลังจะออก และเธอ...

          กำลังจะขึ้นไม่ทัน!

          สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ยอมสลัดอุปสรรคบางอย่างที่จะทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นทิ้ง  กระเป๋า ถุงของฝาก จะให้เธอทิ้งก็เสียดาย...

          เอาวะ! รองเท้าก็รองเท้า ซื้อใหม่ตอนถึงบ้านก็ได้

          แล้วอีแตะคู่เก่าก็ลอยลิ่วไป พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ก้าวกระโดดเกาะรถไฟได้ทันท่วงที

          หญิงสาวยืนหอบแฮ่ก ได้แต่บ่นตัวเองในใจ นั่งรถทัวร์กลับบ้านดีๆ ไม่ชอบ อยากเปลี่ยนบรรยากาศขึ้นรถไฟ เป็นไงละทีนี้ สนุกกันเลยทีเดียว

          ดวงตาเรียวยาวเหลือบมองรอบกายอย่างช้าๆ ก่อนจะเจอเป้าหมายที่อยู่กลางตู้รถไฟ ไม่รอช้ารีบออกตัวทันที แต่ของพะรุงพะรังที่เธอถืออยู่ก็ทำให้เธอถึงที่ว่างนั้นช้ากว่าเด็กชายวัยรุ่นทำผมตั้งสีทองที่ยิ้มให้เธออย่างมีชัย ราวกับว่าการได้ที่นั่งนี้ไปคือการได้รับเหรียญทองรางวัลโอลิมปิค!

          ใช่สิ! ก็มันเหลือที่นั่งที่เดียวแล้วนี่นาทั้งตู้นี่ แถมสอดส่ายไปหาตู้รถไฟอื่นๆ ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน

          กศิณาได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หันหน้าไปนอกประตูแล้วถลึงตามองฟ้าอย่างขัดใจ ให้เด็กนั่นเห็นได้เสียที่ไหน ไม่รู้มากันกี่คน เกิดเขาหมั่นไส้ขึ้นมาแล้วยกพวกมาตี หญิงร่างไม่บางคนนี้มีหวังแพ้ยับ!

          เอาวะ ยืนก็ยืน...

          กว่าคนอยากลองนั่งรถไฟฟรีจะได้มีที่นั่ง ก็ปาเข้าไปครึ่งทาง  เมื่อผู้คนลงจากรถไฟไปไม่น้อย

          แต่ชีวิตของเธอไม่เคยง่ายดายจริงๆ ผู้คนที่เบียดเสียดแย่งกันลงที่สถานีปากช่อง ทำเอาสาวตัวใหญ่อย่างเธอที่ยืนขวางประตูอยู่ไหลตกลงมาที่ชานชาลา ดีว่าไม่คลุกฝุ่นเป็นครั้งที่สองของวัน

          แต่การกระโดดลงมาเหยียบพื้นก็ทำให้เธอเจ็บเท้ามิใช่น้อยจนหน้าตาเหยเก

          “หนู...รองเท้าหายหรอจ๊ะ”

          เสียงที่ดังเหนือศีรษะพร้อมกับมือกร้านที่สัมผัสโดนแขนของเธอ ทำให้กศิณาต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าวกลับขึ้นรถไฟ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาเอียงคอมองคนด้านหลังด้วยความประหลาดใจ

          กวาดตามองคนถามตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองมุมไหนซอกใด เธอมั่นใจ มั่นใจมาก...ว่าเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อนและเขาก็คงไม่รู้จักเธอ เพราะถึงจะเห็นหน้าเขาไม่ชัดด้วยภาพมันย้อนแสง แต่จากเสียงก็ดูไม่น่าจะแก่เท่าไร  เรียกเธอว่าหนูแบบนี้ คิดว่าเธออายุกี่ขวบกัน

          คนแปลกหน้า มิจฉาชีพหรือเปล่า? คิดว่าคนอย่างเธอจะหลงกลหรือ

          เจ้าของแขนที่ถูกจับพยายามสะบัดมือปริศนาให้หลุด โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากว่าอย่างไร แต่ชายหนุ่มร่างใหญ่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอ

คิ้วบางเริ่มขมวดอีกครั้ง นับไม่ได้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรของวัน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบที่ไม่เบานัก เผื่อแผ่ให้คนรอบข้างที่อาจมีน้ำใจเข้ามาช่วยเธอจากชายประหลาดผู้นี้ได้

          “กรุณาปล่อยด้วยค่ะ!”   

          ตากลมเหลือบมองตามสายตาหญิงสาวก่อนรีบปล่อยมือออกแล้วก้มหัวให้เป็นเชิงขอโทษ

          “อาแค่จะบอกว่า...”

          “ของได้แล้วครับ! เดี๋ยวผมขนขึ้นรถไปเลยนะครับ”

          เสียงที่ดังมาจากไกลๆ เรียกความสนใจของชายหนุ่ม เมื่อตากลมเห็นชายสูงวัยกว่ากำลังยกของหนัก เขาก็รีบวิ่งกลับไปช่วยทันที

          แต่ไม่วายหันกลับมาหาหญิงสาวที่ยืนมองตามอย่างงงงวย

          “เอารองเท้าอาไปก็ได้ ต้องเดินทางอีกไกล ส่วนอานั่งรถกลับบ้านเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้วหนู”

          ปากอิ่มแย้มยิ้มเป็นมิตรมาให้ก่อนจะปล่อยให้หญิงสาวก้มลงมองพื้นแล้วพบรองเท้าแตะมียี่ห้อที่แม้ราคาไม่สูงนักแต่ก็แพงกว่าไอ้แตะที่เธอทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟในเมืองกรุงอย่างแน่นอน

          “เออ  ดีแหะ คนมีน้ำใจยังเหลืออยู่จริงๆ ด้วย” หญิงสาวพึมพำก่อนกล่าวขอบคุณชายหนุ่มในใจ มองตามหลังเขาไปแล้วพบกับหลังของใครอีกคนที่ดูคุ้นเคย ร่างกำยำของชายสูงวัยนั้นดูสะดุดตามิใช่น้อย แต่เธอไม่มีเวลาติดใจนาน

          เพราะรถไฟกำลังจะไม่รอแล้ว

 

          “เอ่อ...เมื่อกี้มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ที่ยืนรออยู่ถามเจ้านายหนุ่มที่วิ่งเข้ามาหาตน เพราะเห็นชายหนุ่มหันหลังมองกลับไปยังที่ที่จากมาเป็นระยะ

          “เมื่อกี้มีเด็กคนนึงไม่ได้ใส่รองเท้าน่ะครับ คงทำรองเท้าหาย เห็นแกกระโดดหลบคนที่ลงจากรถไฟมาเหยียบพื้นแข็งๆ แบบนี้แล้วกลัวแกเจ็บเท้า ไม่รู้ยังต้องเดินทางอีกไกลเท่าไร ผมเลยให้รองเท้าแกไป เดี๋ยวผมไปใส่คู่ในรถก็ได้ มีเผื่อไว้อยู่”

          ใบหน้าคล้ำแดดยิ้มอย่างจริงใจ ตามประสาของผู้ให้ ทำให้ผู้สูงวัยกว่าอดที่จะมองตามเด็กสาวผู้โชคดีคนนั้นไม่ได้

          ร่างท้วมในชุดเสื้อยืดกางเกงกีฬาดูคุ้นตายังไงชอบกล จนทำให้เขาต้องเผลออุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

          “นั่นมัน...”

          “คนรู้จักอาเชษหรอครับ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ผู้จัดการไร่ของเขากลับให้คำปฏิเสธ

          “คงแค่คนที่ลักษณะท่าทางคล้ายๆ กันนะครับ กลับไร่กันเถอะครับ” เชษเดินนำเจ้านายไปที่รถ อดเหลียวมองไปทางรถไฟอีกครั้งไม่ได้ ท่าทางการเดินแบบนั้น ช่างเหมือนสาวน้อย ที่เป็นหญิงเดียวในดวงใจของเขาเสียจริง

          แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เธอคนนั้นจะนั่งรถไฟทำไมกัน?

 

          กศิณายิ้มสดชื่นรับลมที่ผ่านใบหน้าของเธอไป ก่อนจะมองวิวข้างทางรถไฟที่ประกอบกันอย่างลงตัว

          ผืนน้ำสะท้อนประกายแดดเป็นประกายระยิบ เกิดคลื่นน้ำขึ้นลงไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน เบื้องหลังเป็นเขาเขียวสูงใหญ่ ซ้อนทับกันอยู่หลากหลายมุม

          เขื่อนลำตะคอง...ผืนน้ำกว้างไกลที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ขนาบสองข้างด้วยถนนมิตรภาพและตรงกันข้ามคือทางรถไฟที่เธอกำลังใช้เส้นทางอยู่

          แน่นอนว่าถ้าหากเธอนั่งรถทัวร์กลับบ้านอย่างทุกครั้ง คงจะไม่ได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ที่เย็นสบายและเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเรื่องราวคราวซวยที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน

          สันเขื่อนที่ทอดยาวเหนือตัวหนังสือสีขาวที่บอกชื่อเขื่อนไว้ ทำให้เธอนึกถึงสมัยยังเด็กที่เคยมาทัศนศึกษา ทั้งเดินเล่นเยี่ยมชมเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่อดไม่ได้ที่จะทำตาโตปากร้องว้าวด้วยความตื่นตาตื่นใจ

          แล้วยังบรรยากาศการนั่งรถไฟแบบนี้ สิบปีแล้วนะที่ไม่ได้สัมผัส ตั้งแต่สมัยออกค่ายลูกเสือเนตรนารีตอนประถมบนภูเขาลูกที่รถไฟแล่นอยู่ บรรยากาศยังดีไม่เปลี่ยนแปลง

          ภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นจุดหมายปลายตาของหญิงสาวที่มองไม่วาง

          เขาพริก...ตั้งปณิธานไว้นานมาก ว่าจะขึ้นให้ได้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที ก็สมัยเรียนมัวแต่ไปเที่ยวเล่นเสียไกล แต่เร็วๆ นี้ เธอจะมาเดินขึ้นให้ถึงยอดให้ได้ ภูเขาในประเทศไทย เธอเดินไปสู่จุดสูงสุดมาแล้วทั้งนั้น มีแต่แถบแถวบ้านนี่ละ ไม่ค่อยได้กลับมาเสียที

          ภาพของสองตายายที่ก้าวขึ้นรถไฟอย่างลำบากด้วยวัยชรา ทำให้หญิงสาวไม่รีรอที่จะรีบเดินไปช่วยประคอง ก่อนจะพามานั่งยังที่ตัวเองเพราะเป็นที่ว่างสองที่สุดท้าย คู่รักข้าวไม่ใหม่ปลาไม่มัน ยิ้มเห็นฟัน ไม่สิ...ต้องเรียกว่าเห็นเหงือกมากกว่า ทั้งสองยิ้มให้เธออย่างขอบคุณจากใจจริง

          ปากบางแย้มยิ้มกลับ ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งไปยืนรับลมที่อื่น

          สาวถึก อึด ทน อย่างเธอ ยืนนิดยืนหน่อยจะเป็นอะไรไป อายุยังน้อยๆ ฝึกความอดทนไว้

          หญิงสาวยิ้มให้กับตัวเอง สายตาทอดลงพื้นเหลือบมองของขวัญชิ้นใหม่ ที่ได้มาจากใครก็ไม่รู้

          รองเท้า...เธอไม่รู้หรอกว่า มันอาจจะเป็นของเก่าแล้วหรืออย่างไร เจ้าของเขาถึงกล้าทิ้งไว้ให้ แต่มันถือเป็นของใหม่ และเป็นของที่สร้างกำลังใจให้เธอ

          แม้จะเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก  เพราะแสงแดดที่ส่องจากหลังชายหนุ่มทำให้ตาเธอพร่า แต่เธอคิดว่าคงไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขายังมีน้ำใจให้เธอ เมื่อเธอได้รับพลังงานบางอย่างที่เป็นบวกเข้ามาในชีวิต ดังนั้นเธอก็แค่ส่งต่อมันออกไป

 

          สาวน้อยบ้าหอบถุงและกระเป๋า ก้าวเท้าไต่ขึ้นสู่เนินดินสูงเกือบท่วมหัว ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อถึงจุดสูงสุด กวาดตามองภาพเบื้องหน้า ที่นาเก่าถูกปรับพื้นที่เปลี่ยนไปเป็นร่องสวนเมื่อนานมาแล้ว ต้นไม้ถูกปลูกเป็นแนวตามคันดินด้วยระยะที่ใกล้เคียงกัน บัดนี้เป็นทรงพุ่มขนาดใหญ่ขยายตัวตามกาลเวลา แผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไกลจนไม่สามารถนับแถวได้

          เยื้องไปทางซ้ายใกล้ตัวเป็นสะพานไม้วางพาดข้ามคูน้ำ นำผู้มาถึงก้าวเดินผ่านไปร่องสวนถัดไป

          พื้นดินที่เต็มไปด้วยรากไม้ และต้นไม้เล็กแซมเป็นระยะ ทำให้หนทางไม่ราบเรียบ ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่หญิงสาวที่วิ่งเล่นเป็นเจ้าป่าตั้งแต่เด็กเท่าไรนัก ปัญหาใหญ่สำหรับตอนนี้อยู่ที่ระยะทางเสียมากกว่า

          กศิณาชอบบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ และมีท้องร่องให้น้ำไหลผ่าน แต่นึกอยากจะเอาปูนเทราดก็วันนี้ที่เธอต้องเดินอีกไกล เพื่อจะเข้าไปให้ถึงบ้านตัวเองที่อยู่ลึกเข้าไปในสวน ต้นไม้ร่มรื่นทำให้เธอคลายร้อนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อนี่มันคืออากาศตอนเที่ยงวัน!

          ยอดเรือนไทยทรงสูงโผล่ให้เห็นเมื่อก้าวผ่านสะพานข้ามท้องร่องสุดท้าย ก่อนจะปรากฏชัดต่อสายตาเมื่อกศิณาข้ามพ้นคันดินกั้นน้ำ หญิงสาววางข้าวของไว้ที่ต้นบันไดก่อนก้าวกระโดดทีละสองขั้นขึ้นบันไดที่ทอดไปสู่ชานบ้าน

          “คุณปู่คุณย่าขา ยุ้งข้าวกลับมาแล้ว!!”

          เสียงดังก่อนตัวเสมอ นั่นคือคติประจำใจของเธอ ก่อนจะโผล่หน้ายิ้มเผล่เข้าไปหลังประตูไม้ แล้วก็พบว่าไม่มีใครอยู่

          โถ่ ไอ้เราก็กะจะจ๊ะเอ๋ใครสักหน่อย หายไปไหนกันหมด หญิงสาวเดินลงไปหยิบของก่อนนำมาวางข้างประตู  แล้วนั่งขวางบันไดด้วยความรู้สึกต้องการพักสักที

          บ้านทรงไทยไม้สักใต้ถุนสูง บันไดส่งเสียงดังเล็กน้อยเมื่อถูกก้าวผ่าน เนื่องด้วยอายุการใช้งานที่หลายชั่วคน บนบ้านเป็นลานกลางแจ้ง โล่ง กว้าง ถัดเข้าไปเป็นห้องต่างๆ ที่ถูกทำความสะอาดอย่างดี

          หญิงสาวเท้ามือกับพื้นด้านหลัง ขาพาดลงไปที่ขั้นบันได บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนแหงนมองฟ้า

          จริงๆ แล้วผู้มีพระคุณทั้งสอง น่าจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งเบื้องหลัง แต่เธออยากซึมซับบรรยากาศเสียหน่อย เพราะว่ามีโอกาสไม่มากนักที่จะได้กลับมาที่นี่สักครั้ง อีกทั้งการเดินทางที่ยาวนานวันนี้ก็สูบพลังเธอไปไม่ใช่น้อย

          ขอพักแปปนะ เดี๋ยวจะไปจ๊ะเอ๋ปู่กับย่าทีหลัง

          “อ้าว ไอ้เจ้ายุ้ง มานั่งทำอะไรตรงนี้ ไม่เข้าไปนั่งในบ้านดีๆ  ละลูก” 

          ใบหน้าเหี่ยวคล้ำตามวัย ที่มีผมสีดอกเลาคลุมอยู่เดินเลี้ยวมาจากมุมสวนผักด้านล่างใกล้บ้าน สองมือถืออุปกรณ์ทำสวนที่จะเข้าไปเก็บไว้ใต้ถุน หญิงสาวรีบเด้งตัวลุกขึ้นกะจะไปช่วยชายชราเก็บของ แต่ช้ากว่าคนบนบ้านไปเพียงเสี้ยววิ

          “ยุ้งข้าว! ทำไมมานั่งขวางประตูแบบนี้ เป็นผู้หญิงโบราณเขาว่านั่งขวางประตูจะคลอดลูกยาก บอกกี่ครั้งแล้วไม่เคยจำ” เสียงตวาดแว้ดของคุณย่าที่มาพร้อมใบหน้าที่มีรอยย่นแต่ยังทรงความงาม คิ้วขมวดแทบจะผูกโบว์ได้ กับความไม่ได้ดั่งใจของแม่หลานสาวตัวดี

          “โถ่ ย่าจ๋า ก้นหนูใหญ่ออกอย่างนี้ คลอดไม่ยากหรอกจ๊ะ เชื่อสิ” กศิณาพูดพลางเอามือตบสะโพกตนด้วยท่าทางน่าหมั่นใส้ จนคนเป็นย่าอยากจะเอาตะหลิวที่ถืออยู่มาเคาะให้หายทะเล้นสักที

          มีหลานสาวก็อย่างกับลิงทะโมน ซนไปเรื่อย ดีนะที่กลัวความสูง ไม่งั้นคงได้เห็นปีนขึ้นต้นไม้ไม่ยอมลงมาเสียที

          “แน่ะๆ ย่า  ผัดอะไรไว้ในครัวหรือเปล่า ระวังไหม้น้า ก้นหนูอ่ะ ยังไม่ต้องผัดตอนนี้ก็ได้ ไปดูของในครัวก่อน เดี๋ยวหนูลงไปช่วยปู่เก็บของแป๊ปนึง  แล้วจะขึ้นมาให้ย่าเคาะๆ ให้ นั่งรถไฟนาน ปวดทั้งก้น ปวดทั้งตัวแล้ว” ปากอิ่มยิ้มเผล่ ก่อนหายผลุบลงบันไดไปอย่างที่ผู้เป็นย่าตามไม่ทัน

          ชายชราอมยิ้มให้กับหลานสาวคนเดียวที่เป็นแก้วตาดวงใจ ที่ร่าเริง สดใส อารมณ์ดีได้ทั้งวัน ก่อนจะเอื้อมไปลูบหัวหลานสาวด้วยความรักใคร่ ไม่วายถูกแม่ตัวดีทักว่า

          “คุณปู่ล้างมือดีหรือยัง?”

 

          สัมผัสแผ่วเบาที่มาปะทะทำให้ร่างท้วมเผลอขดตัวกลมมากขึ้น ยกมือลูบแขนขึ้นลงเพื่อให้ความอบอุ่น  เมื่อเธอนอนเล่นอยู่ที่ชานบ้านมาตั้งแต่ช่วงหลังอาหารเย็น ซึ่งอากาศยังพอสบายๆ จนกระทั่งดาวเหนือเริ่มขึ้นให้เห็นแสงอยู่รำไร อากาศจึงเริ่มเย็นสมกับเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่จะให้เธอลุกไปหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวนะหรือ...

          ฝันไปเถอะ! นอนได้ที่อย่างนี้แล้ว นานๆ จะมีโอกาสได้ดูดาว ดูฟ้า อย่างสงบสักที ทนหนาวเอาก็ได้วะไอ้ยุ้งเอ้ย...

          “ยุ้งข้าว มานอนตากน้ำค้างแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี บอกกี่ทีไม่เคยจำ” เสียงเอ็ดของคุณย่า ที่มาพร้อมใบหน้าดุๆ เดินออกมาหาหลานสาวสุดรัก ที่กลับบ้านทีไร นอนมองดาวอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ ทุกที

          “หืมม ย่าจะมานั่งด้วยหรือจ๊ะ”

          กศิณาท้าวศอก เอียงตัวมองผู้เป็นย่าที่นั่งลง พลางพยายามทำตาแป๋ว ที่โตไม่ได้มากเท่าไร เนื่องจากความตี่มีมากกว่า

          “ใช่ นานๆ เจอหน้ากันที ขอย่าคุยด้วยเยอะๆ ให้ชื่นใจหน่อยสิ”

          ผู้เป็นย่าลดตัวลงนั่งบนขอบยกพื้น ใกล้ตำแหน่งที่หลายสาวนอนอยู่

          หญิงสาวรีบเด้งตัวลุกขึ้น ก่อนกุลีกุจอวิ่งเข้าห้องไป ออกมาพร้อมผ้าห่มผืนหนาสองผืน

          ก็เสื้อคอกระเช้าที่ย่าใส่นี่ดูไม่เหมาะกับลมหนาวยิ่งกว่าเสื้อยืดเธอเสียอีก เธอหนาวไม่เป็นไร ทนได้ แต่จะให้ย่านั่งหนาวด้วยมันก็กระไร แล้วไหนๆ ลุกทั้งที ก็หยิบเผื่อตัวเองด้วยเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว

          มืออูมคลุมผ้าลงบนตัวผู้เป็นย่าอย่างบรรจง ก่อนจะไม่พูดไม่จา ทำเนียนนอนบนตักผู้สูงวัยกว่า แล้วยิ้มเผล่ให้อย่างเจ้าเล่ห์

          คุณย่ามองแล้วยิ้มตอบ ก่อนจะลูบหัวแม่หลานตัวดีเบาๆ ด้วยความรักใคร่

          “คุณย่าขา คุณพ่อไม่ค่อยได้กลับบ้านหรือคะ”

          หญิงสาวเอ่ยถามข้อข้องใจ พ่อของเธอกลับมาอยู่ที่บ้านสวนนี่เพื่อเริ่มต้นทำสวนอย่างจริงจังในช่วงเธออยู่มัธยมปลาย และกลับไปทำงานที่ไร่ในอำเภอใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอีกครั้งเพราะคนขาด เมื่อช่วงเธอเข้ามหาวิทยาลัย โดยพ่อบอกว่าจะอยู่เพียงไม่นาน แต่แล้วเขาก็กลับไปทำงานประจำที่นั่น ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เจอพ่อบ่อยนัก จนกระทั่งเธอเรียนจบแล้วได้งานที่ต่างจังหวัด ทำให้เธอยิ่งมีโอกาสจะได้เจอพ่อน้อยลงไปทุกที

          แต่จะให้ไปเยี่ยมพ่อที่ไร่ที่พ่อทำงานอยู่ เธอก็ไม่ค่อยมีเวลาไป แล้วถ้าให้เลือกว่าต้องไปที่ใดที่หนึ่ง สู้เลือกกลับบ้านสวนดีกว่า ที่อันคุ้นเคย บรรยากาศคุ้นตา มีทั้งปู่ทั้งย่าทั้งอา

          แล้วคำตอบที่เธอได้รับก็เหมือนเดิมทุกครั้ง คือผลไม้ที่สวนเรามันไม่ได้ออกทั้งปี พ่อจะกลับมาเฉพาะหน้าเก็บเกี่ยวเท่านั้น ไปทำงานที่นู่นเป็นตำแหน่งใหญ่ จะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว

          บ้านเธอไม่ได้ลำบากอะไร เป็นบ้านฐานะพออยู่พอกิน ไม่ได้รวยล้นฟ้า แต่ไม่ได้เป็นหนี้ใคร เธอจึงยังไม่คลายสงสัยเรื่องที่พ่อไปทำงาน ยิ่งในตอนนี้เธอมีเงินเดือนและส่งให้ที่บ้านประจำ ก็น่าจะเพียงพอ คิดอย่างไรเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

          “ยุ้งมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องค่ะคุณย่า คือว่า...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่ใช่ว่าถ้าถามไปแล้วจะโดนดุอะไร แต่ถามไปก็มักจะไม่ได้คำตอบ ทำให้เธอลังเลที่จะถามคำถามเดิมซ้ำๆ เพราะเธอไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ จึงไม่รู้ว่าเป็นคำถามที่ทำให้ผู้สูงวัยไม่พอใจหรือเปล่า คุณย่าและคุณปู่ถึงไม่เคยตอบเธอเลย

          “จะถามเรื่องแม่ละสิ ใช่ไหม” เสียงของคุณปู่ที่ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวรีบลุกแล้วค่อยๆ ประคองให้ชายชรานั่งลง ก่อนจะเอาผ้าที่คลุมตัวเองอยู่ห่มให้คุณปู่แทน

          กศิณานั่งลงตรงหน้าผู้มีพระคุณทั้งสอง  แววตาเปลี่ยนไป จากเด็กขี้เล่นกลายเป็นจริงจัง เมื่อรอบนี้คุณปู่ยอมเอ่ยออกมา มันก็ถึงเวลาที่เธอจะคุยแบบจริงๆ สักที

          “ทำไมยุ้งถึงเจอแม่ไม่ได้ละคะ แม่ไม่อยากเจอรุ้งหรือว่ายังไง ยุ้งยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพ่อกับแม่เลิกกันเพราะอะไร ที่สำคัญ ยุ้งไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแม่ของยุ้งคือใคร” ข้อสงสัยมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากอิ่ม คำถามที่เธอเก็บงำมานาน แต่ไม่กล้าเอ่ยเพราะไม่เคยมีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับผู้เป็นแม่เลย และจริงๆ แค่เธอมีคุณปู่คุณย่า คุณพ่อ และคุณอา  ที่รักและดูแลหลานสาวคนเดียวคนนี้อย่างดีเธอก็เพียงพอแล้ว

          จนกระทั่งเธอได้ยินผู้ใหญ่คุยกันเรื่องแม่ของเธอ  ทำให้เธอรู้มาว่าแม่ของเธอเป็นหลานสาวของตระกูลใหญ่เจ้าของบริษัทชั้นนำระดับประเทศ และเมื่อทุกคนรู้ว่าเธอทราบเรื่อง ก็ไม่มีใครยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก บอกเพียงแต่รอให้เธอเป็นผู้ใหญ่กว่านี้

          ใช่!  ตอนนั้นเธอยังเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่โตเท่าในปัจจุบัน แต่การที่จะให้เด็กคนหนึ่งที่โหยหาแม่มาตลอดเกือบยี่สิบปีทนรอต่อไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อมูลที่มี เพียงพอต่อการตามหาแม่ ถ้าไม่ใช่ว่า...หลานสาวของบ้านนั้นมีมากกว่าหนึ่งคน!

          แล้วใครละคือแม่ของเธอ?

          “ยุ้งโตแล้วนะคะ โตพอที่จะรับได้ทุกอย่าง  ไม่ว่ามีเหตุผลอะไร ยังไง แม่ยุ้งเป็นใคร บอกมาเถอะค่ะ บอกยุ้งมานะคะ คุณปู่คุณย่า” หญิงสาวเอื้อมไปจับมือเหี่ยวกร้านของผู้สูงวัย ที่ทะนุถนอมดูแลเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก ดวงตาใสเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ ขณะที่ปู่และย่าได้แต่มองหน้ากันไปมา

          “ไม่ใช่ปู่กับย่าไม่อยากบอกนะลูก แต่พ่อเขามีเหตุผลของเขา แล้วปู่กับย่าก็เคารพในการตัดสินใจของเขา ดังนั้นถ้าหนูอยากรู้อะไร ถามพ่อเขาเถอะลูก”

          “แล้วพ่อจะยอมบอกหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจนัก แม้เธอจะเรียนจบ  แต่นี่พึ่งผ่านมาไม่กี่ปีจากตอนนั้น ถ้าพ่อบอกว่าเธอยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอละ ถ้าพ่ออ้างนู่นอ้างนี่อีกละ แล้วเธอจะทำยังไงดี เธอจะต้องทนไม่รู้แบบนี้ไปนานอีกเท่าไร อกเธอจะระเบิดตายอยู่แล้วเนี่ย!

          เมื่อสีหน้าของผู้สูงวัยก็บ่งความไม่แน่ใจนัก ทำให้หญิงสาวตัดสินใจ เดินเข้าห้องตัวเองแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือ กดหาเบอร์โทรศัพท์ของบิดาทันที

          เอาวะ บอกไม่บอกไม่รู้ แต่ถ้าไม่ลองโทรนี่ อันนี้ไม่มีวันรู้แน่นอน

          “ดึกแล้ว ทำอะไรอยู่ ไปแอบเหล่หญิงที่ไหนอยู่อ่ะเปล่า” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปทันทีที่ปลายสายตอบรับ

          กศิณาไม่ค่อยได้โทรหาผู้เป็นบิดาบ่อยนัก เนื่องด้วยเวลาทำงานที่ไม่ค่อยเป็นเวลาของตัวเอง รวมทั้งงานของผู้เป็นบิดาที่ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้เช่นกันว่าจะว่างช่วงไหน ทำอะไรอยู่ แต่ด้วยสายสัมพันธ์ที่มีกันมาเพียงสองคนแต่เล็ก จึงทำให้พ่อเปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ที่เธอกล้าเหย้าแหย่

          ทั้งคู่ถามสารทุกข์สุขดิบกันไปมา จนกระทั่งหญิงสาวลืมไปเสียสนิท ว่าโทรมาหาผู้เป็นบิดาด้วยเหตุผลอะไร

 

          ร่างท้วมในชุดเสื้อโปโลตัวหลวมสีกรมท่า ปักตราบริษัทที่อกด้านซ้าย ฮัมเพลงพลางโยกตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกงเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่โผล่มา

           กศิณายิ้มแป้น ก่อนกดรับอย่างอารมณ์ดี             

“สวัสดีค่ะเฮีย วันนี้ไม่มีคิวงานอีกแล้วใช่ไหมคะ” หญิงสาวกรอกเสียงใสลงไปตามสาย ร่าเริงแบบปิดไม่มิด จนคู่สนทนาอดที่จะแอบค่อนแคะไม่ได้

           “นี่ ไอ้ยุ้ง ดีใจเสียงระรื่นเชียวนะ”

            “โถ่ เฮียคะ นานๆ ว่างตั้งแต่สี่โมงเย็นแบบนี้ ไม่ให้ดีใจได้ยังไง หวังว่าจะไม่มีงานด่วนแทรกกลางคืนนะคะ” กศินาพูดตามตรง ก่อนแอบหยอดไว้เล็กๆ เป็นความนัยว่า ถ้ากลางคืนมีงานด่วน เจ้านายก็ให้คนอื่นไปแทนเถอะนะคะ

            “พรุ่งนี้แกต้องไปส่งของต่างจังหวัดแต่เช้า ฉันไม่จัดคิวแกดึกหรอก  รีบไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางอีกไกล เข้าใจไหม”

             “ต๊าย เจ้านายนี่น่ารักที่สุดเลย พรุ่งนี้ ยุ้งจะตื่นไปทำตั้งแต่ตีสามเลย คอยดูนะ” 

น้ำเสียงทะเล้นที่เอ่ยไป ทำให้คู่สายจินตนาการหน้าตาของลูกน้องออกทันที ว่าคงกำลังยิ้มหน้าบานหัวเราะคิกคักอยู่

          กศิณาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในพนักงานดีเด่นของแผนก เมื่อส่งของให้ลูกค้าตรงเวลาทุกครั้ง ไม่เคยเบี้ยว ไม่เคยผิดนัด ไม่เคยตามตัวไม่ได้ อัธยาศัยดี ถึงแม้จะเจอลูกค้าบ่น ดุ ด่าแค่ไหน ก็คุมอารมณ์ได้เสมอ ฉลาดในการโต้ตอบกลับและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี จนมีแต่เสียงในทางบวกตอบรับกลับมา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ถือว่าเป็นไปได้สวย เนื่องด้วยเป็นเด็กมีน้ำใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย

          แต่เด็กเก่ง ฉลาดแบบนี้มักจะมีที่ไป ยิ่งงานที่ทำทุกวันนี้ไม่ใช่งานตรงสายที่เจ้าตัวเรียนมา แม้ว่าเธอจะบอกว่าชอบขับรถเป็นหนักหนา แต่เกิดวันไหนจะไปทำงานที่อื่นขึ้นมา เขาคงเสียดายแย่ แต่เมื่อมีโอกาสที่เจ้าตัวจะได้ก้าวหน้าเขาก็ไม่อยากขัดศรัทธา

          ผู้เป็นหัวหน้าศูนย์ขนส่งเอกชนประจำภาคอิสานได้แต่สะบัดหน้าไล่ความคิดเหล่านั้น คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา วันนี้เจ้าตัวยังทำงานอยู่ก็ดีต่อตัวเขาและบริษัทแล้ว จึงตอบเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงกลับไป หลังจากที่เงียบไปนาน

          “ไอ้นี่ก็เว่อร์จริงๆ เลย ไปๆ พักผ่อนได้แล้ว ไป๊”

คนถูกไล่อมยิ้ม ก่อนจะกล่าวขอบคุณและกล่าวลาตามปกติ

           กศิณาเหลือบมองรถคู่ใจ มอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่พึ่งถอยมาได้ไม่นาน สภาพไม่ได้เก่าอะไร แต่ฝุ่น ดิน โคลน นี่เลอะไม่ใช่เล่นเนื่องด้วยไม่มีเวลาล้างทำความสะอาด และช่วงที่ผ่านมาฝนก็ตกค่อนข้างบ่อย ลูกชายเธอจึงเปื้อนเอาการ

            มืออวบลูบไล้หน้ารอมอเตอร์ไซค์สีจี๊ดด้วยความรักใคร่ ปฏิญาณกับตนไว้ว่าวันนี้จะต้องอาบน้ำให้ลูกชายตัวเองให้ได้

          ถามว่าทำไมต้องเป็นลูกชายนะหรือ...ก็เธอมีรถยนต์อีกคัน ซึ่งมีกระโปรงหน้า นั่นก็ต้องกลายเป็นลูกสาวไปโดยปริยาย จะมีลูกสาวสองคนรึก็ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งน่ารักกว่าเยอะ!

          แว๊นซ์สาวบิดเร่งเครื่องอย่างอารมณ์ดี ชะลอความเร็วลงเมื่อออกจากซอย ก่อนจะมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจ จึงเลี้ยวขวาตามเส้นทางปกติ แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้อยู่ทางขวามือพอดี

          ตามสัญชาติญาณ มือกำเบรกแน่น เท้าเหยียบเบรกเต็มแรง ด้วยทักษะของการขี่มอเตอร์ไซค์มานาน ทำให้เธอยังทรงตัวอยู่ได้...

          จนกระทั่งหน้ารถคันดังกล่าวมาแตะที่ขาขวาของเธอเต็มแรง

          โครม!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา