ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือเราสามคน!

-

เขียนโดย YourSmileKeeper

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.39 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,221 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2560 00.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เพื่อนใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           โครม!!!

            รถคันเล็กล้มลงทันที ผู้เป็นเจ้าของสะบัดหัวด้วยความมึนงงเล็กน้อย ขณะพยายามดันตัวลุกขึ้น รถสีดำคันใหญ่ที่เป็นคู่กรณีหยุดทันที ก่อนที่คนนั่งด้านหลังจะเปิดประตูออกแล้วลงมาดูอาการคนที่น่าจะเจ็บทันที 

            มือหนาจากชายหนุ่มในชุดสูท เอื้อมลงมาให้เด็กสาวบนพื้นถนน พร้อมเสียงทุ้มนุ่มหู

          “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ขอโทษทีนะครับ” 

          ร่างสูงที่ก้มตัวลงยังคงยื่นมือให้ พลางมองสำรวจร่างกายคนตรงหน้าว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่

          จากการรับรู้ขณะอยู่ในรถของเขา เหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ไม่รุนแรงนัก แต่สภาพรถมอเตอร์ไซค์ที่ล้มต่อหน้าต่อตา ก็ทำให้คาดเดาได้ว่า คนขับคงเจ็บมิใช่น้อย

          ร่างบนพื้นรีบเด้งตัวลุกอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มได้สติ ก่อนก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่  “ขอโทษทีค่ะ ดิฉันไม่ระวัง ไม่มองว่ามีรถมา” 

          ก่อนที่หญิงสาวจะใช้มือปัดฝุ่นออกจากร่างกาย เหลือบไปมองลูกชายสุดรักแล้วก็แทบปาดน้ำตา

          ลูกแม่ กำลังจะเอาไปอาบน้ำอยู่พอดี บังลมแตกเสียอย่างนั้น ส่วนอื่นมีปัญหาอะไรหรือเปล่านี่

          กศิณาเดินไปประคองรถขึ้นตั้งโดยมีชายหนุ่มช่วยอีกแรง อย่างไม่ห่วงชุดราคาแพงที่เขาสวม

          “ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ทางเราก็ผิดที่ไม่ทันระวัง ต้องขอโทษแทนคนขับรถของผมด้วย” เจ้าของเสียงทุ้มหันไปมองคนขับรถตนที่ยืนขอโทษอยู่ด้านหลังเช่นกัน ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อมองเห็นใบหน้าผู้บาดเจ็บชัดๆ

          “เอ๊ะ หนู...”

          ตากลมโตเบิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นคนเดียวกับที่เขาคิดหรือไม่ เพราะคนตรงหน้าดูมีอายุขึ้นมากกว่าคนๆ นั้น แต่บางทีอายุภายนอกของคนเรามันก็ขึ้นอยู่กับการแต่งหน้า แต่งตัว ทำให้เขาไม่แน่ใจนัก

          ถ้าใช่! โลกมันก็ดูจะกลมอย่างหน้าประหลาดใจ

          “คะ รู้จักฉันหรอคะ”

          คนเจ็บชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ เมื่อลอบพิจารณาร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาวสะอาดปราศจากหนวดเครา คิ้วเข้ม หนายาว รับกับดวงตากลมแป๋วที่เหมาะกับใบหน้าผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จมูกเล็กๆ ที่ดูเชิดขึ้นเล็กน้อย กับปากบางสีสด

          ต๊ายตาย ผู้ชายคนนี้ น่าตาน่ารักน่าหยิกไม่หยอก แต่ดูจากบุคลิกท่าทางน่าจะมีอายุมากกว่าเธอหลายปีอยู่ แม้ว่าใบหน้าเขาจะยังคงอ่อนเยาวน์ก็ตาม

          “คุณศานต์ครับ ต้องรีบแล้วนะครับ เอายังไงดี” คนขับรถเอ่ยเตือนเจ้านายหนุ่มถึงธุระที่เขาต้องไปทำ

          มือหนายกขึ้นเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ ก่อนครุ่นคิดเพียงเสี้ยววินาทีแล้วตัดสินใจ

          “โต เดี๋ยวนายขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเข้าศูนย์แล้วประเมินค่าซ่อม จัดการให้เรียบร้อยนะ เดี๋ยวฉันขับรถไปโรงแรมพร้อมกับเด็กคนนี้เอง จะพาไปทำแผลที่โรงแรมก่อน เสร็จธุระฉันแล้วจะพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนะ”

          ตากลมมองหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง ประเมินจากสายตา ไม่แน่ใจนักว่าใช่คนที่คิดไว้ไหม แต่ถึงไม่ใช่ เด็กคนนี้ก็อายุน้อยกว่าเขาอยู่ดีนั่นละ

          “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องตรวจร่างกาย รถเดี๋ยวฉันเอาไปซ่อมเองก็ได้ค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า”

          เจ้าของมอเตอร์ไซค์โบกมือเป็นพัลวัน ก่อนตั้งท่าจะเตรียมขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ไป  แต่ถูกมือใหญ่จับไว้ก่อน

          “ไม่ได้! จะแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรได้ยังไง ฉันชนเธอ ฉันก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นฉันไม่สบายใจ แต่ว่าฉันมีธุระต้องไปทำ เนี่ย! ที่โรงแรมนั่นเอง ไปทำแผลที่โรงแรมก่อน โอเคไหม” ตากลมจ้องคนตัวเล็กกว่าอย่างจริงจัง น้ำเสียงราวกับผู้ใหญ่ดุเด็ก ส่งพลังบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวต้องจำยอมเชื่อฟัง ก่อนที่กศิณาจะโดนจูงไปขึ้นรถ ราวกับโดนมนตร์สะกดก็ไม่ปาน

 

          ไม่รู้เพราะเสียงเพราะๆ ทุ้มๆ หรือดวงตากลมโตที่น่ามองกันแน่ ทำให้เธอต้องมานั่งทำแผลอยู่ในโรงแรมหรู ที่ห่างจากที่เกิดเหตุไปไม่ถึงร้อยเมตร สถานที่ที่เธออยู่นี่มันห้องชั้นบนสุดของโรงแรม แค่ย่างเท้าออกจากลิฟต์ก็รู้แล้วว่านี่มันที่ของผู้บริหาร ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีโอกาสมาอยู่ในสถานที่หรูๆ เช่นนี้

          เนื่องจากยังเหลือเวลาก่อนที่ชายหนุ่มจะต้องไปทำงานอีกสิบนาที เขาจึงนั่งเฝ้ามองเธอทำแผล สายตาเขากวาดไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะใบหน้าของเธอ คิ้วเข้มขมวดครุ่นคิด พิจารณาเธออย่างไม่ปิดบัง จนเธอซึ่งเป็นคนตรงๆ อดที่จะถามออกมาไม่ได้

          “มีอะไรติดหน้าฉันหรือไงคะคุณ เอ่อ...นี่ฉันไม่ได้กวนนะ แต่สงสัยจริงๆ” เสียงใสรีบเอ่ยดักไว้ก่อน เพราะกลัวเขาจะหาว่าเธอถามคำถามกวน เนื่องด้วยเธอข้องใจว่าเขามองเธอทำไมหนักหนา เธอไม่ได้สวยราวกับนางฟ้าที่ผู้ชายจะต้องจ้องอย่างตกตะลึง และบนใบหน้าก็มีครบทั้ง หู จมูก ปาก ตา ที่อาจจะดูประหลาดหน่อยก็แค่คิ้วบางๆ ที่ไม่ได้เขียนมาจนเหมือนไม่มีเท่านั้น 

          นอกนั่นเธอก็ปกติดี!

          “เธออายุเท่าไรกัน” เสียงทุ้มเอ่ยถามข้อสงสัย ที่ทำให้เขานั่งพินิจใบหน้าคนตรงหน้า ในเมื่อเธอเปิดโอกาสแล้ว เขาก็น่าจะถามได้ แม้ไม่แน่ใจว่าจะเสียมารยาทหรือเปล่า

          “อ่อ ฮ่าๆ ก็ว่าอยู่ว่าคุณจ้องทำไม ลองทายดูสิคุณ คิดว่าเท่าไรล่ะ” ปากอิ่มแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่แปลกที่เขาจะสงสัยเรื่องอายุเธอ ก็เธอไม่แต่งหน้าเลย ผิดวิสัยสาวๆ ทั่วไป คงไม่น่าแปลกนักที่จะเดาอายุกันยากหน่อย เดี๋ยวนี้เด็กๆ มัธยมที่แต่งหน้าบางคน ก็ดูล้ำวัยล้ำหน้าเธอไปไกลมาก ยุคใหม่นี่ชักแยกกันยากขึ้นไปเรื่อยๆ

          คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้จากคนตรงหน้า น้ำเสียงที่ติดจะซนๆ และท่าทางแบบนี้ ทำให้เขาต้องครุ่นคิดหนัก มือหนายกขึ้นลูกคางอย่างที่ทำประจำเมื่อต้องใช้ความคิด

          “นี่คุณ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ นี่ฉันให้ทายเล่นๆ ทำซะหน้าเครียดเชียว” กศิณายกมือขึ้นโบกตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนตัดสินใจเฉลย กลัวเขาจะสมองบวมเพราะคิดหนักมากไปกว่านี้

          “ปีนี้ฉันก็ยี่สิบสี่แล้วค่ะ เป็นไงคะ ตรงกับที่คิดไว้ไหม”

          ฟันทั้งสามสิบสองซี่ถูกโชว์เรียงโดยผู้เป็นเจ้าของ ศานต์มองด้วยความพิศวง เมื่อรู้สึกว่าลักษณะท่าทางแบบนี้คุ้นๆ ชอบกล เขายิ้มตามใบหน้าหวานตรงหน้า ท่าทางเขาผ่อนคลายขึ้น เริ่มรู้สึกสนุกราวกับได้คุยกับเพื่อนตนเอง

          ท่าทางที่ดูสบายๆ ไม่ถือตัว ไม่วางท่า ทำให้หญิงสาวกล้าที่จะถามเขากลับบ้าง

          “แล้วคุณล่ะ อายุเท่าไรคะ” เสียงใสเอ่ยถาม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางพยายามทำตาโตด้วยความสงสัย ซึ่งชายหนุ่มมองยังไง ก็รู้สึกว่ามันไม่สามารถโตขึ้นมาได้เลย เพราะหน้าตาสาวน้อยตรงหน้า นี่คือเรียกว่าก็อปมาจากบรรพบุรุษที่เป็นอาหมวยแบบชัดเจนสุดๆ

          ศานต์กระแอมไอเล็กน้อย ก่อนย้อนกลับ “ถ้าอย่างนั้นเธอลองทายดูบ้างสิว่าฉันอายุเท่าไหร่”

          “โถ่ คุณเลียนแบบกันนี่นา”

          ร่างท้วมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างขัดใจจนเผลอโดนแผลที่แขนตัวเอง ใบหน้าเหยเก อาการสะดุ้ง ทำให้คนใกล้ตัวสะดุ้งตามไปด้วย

          “ใจเย็นๆ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คนตัวสูงผุดลุกขึ้นจากโซฟาฝั่งตรงข้ามมาดูบาดแผลที่แขนซ้าย หญิงสาวได้แต่โบกมือเป็นเชิงห้าม

          “นิดหน่อยนะคุณ เดี๋ยวก็หายๆ แต่คุณอ่ะ ทีเมื่อกี้คุณยังไม่ทายอายุฉันเลย แล้วจะมาให้ฉันทายอายุคุณได้ยังไง บอกมาดีกว่า” หญิงสาวรีบเปลี่ยนประเด็น ไม่อยากให้เขาตกอกตกใจ เพราะถึงจะเจ็บแผลจริง แต่มันไม่ได้ถึงขนาดทนไม่ได้ แค่นี้อ่ะจิ๊บๆ

          ร่างสูงทำเป็นไม่สนใจคำถาม ก่อนยืดตัวตรง เตรียมเดินออกจากห้อง

          “ได้เวลาที่ฉันต้องไปทำธุระแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้ม พร้อมส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ในขณะที่กศิณาได้แต่ทำท่าเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น อยากจะงอแงๆ มาก ณ จุดๆ นี้

          ทำไมเธอจะไม่รู้ แค่เอ่ยอายุออกมากินเวลาเสี้ยววิ แต่เขาไม่พูด

          เขาไม่ยอมบอก!

          “คุณเปลี่ยนเรื่องอ่ะ จะไปทำงานก็ไปเลย แค่บอกอายุแค่นี้ก็ไม่ได้ ฉันจะกลับละ”

          ใบหน้ากลมเชิดขึ้น กระชับกระเป๋าให้เข้าที่ก่อนเดินนำหน้าไป ปล่อยให้คนสูงวัยกว่าที่ไม่ยอมระบุอายุตัวเองหัวเราะขำอยู่เบื้องหลัง

          “เอาน่า ฉันก็อายุเท่าที่เธอคิดนั่นละ”

          ชายหนุ่มยังไม่อยากบอกอายุจริงไป เพราะเขารู้สึกแก่ยังไงชอบกล ยิ่งเขารู้สึกว่าคนตรงหน้ากับเขาคุยกันเหมือนเพื่อน ขืนบอกอายุไปแล้วเจ้าตัวเปลี่ยนท่าที เขาคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ

          มือหนาคว้าแขนขวาของคนเบื้องหน้าไว้ หญิงสาวหันมาเลิกคิ้วใส่  เขาจึงยิ้มให้

          “เธอ...ยังกลับไม่ได้ มาเลย มากับฉัน ไปทำธุระกับฉันก่อน แล้วเดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล”

          ก็ขืนเขาไม่ลากเธอไปด้วย มีหวังกลับมาไม่มีทางได้เห็นหน้าเธอแน่นอน

 

          ผ้าไทยท้องถิ่นที่คงเอกลักษณ์ประจำตัวผืนใหญ่ถูกห้องลงจากเพดานเรียงเป็นแถวชิดริมผนังรอบห้อง กลางห้อง ผ้าโปร่งแวววาวสีขาวถูกห้อยลงมา พริ้วไหว รับไปกับเลเซอร์หลากสีที่ยิงไปทั่วห้อง ด้านหน้าห้องถูกจัดเป็นแบ็กดรอปขนาดใหญ่เขียนชื่องานประจำวันนี้ รวมทั้งโลโก้แบรนด์ต่างๆ ที่เข้าร่วมงาน ถัดมาเป็นพื้นยกขนาดประมาณสองเมตร ขนาบสองข้างด้วยเก้าอี้เรียงแถวเป็นแนวยาวและซ้อนกันฝั่งละห้าแถว

          ค่อนมาทางหลังห้องมีโต๊ะอาหารแบบค็อกเทลห้าหกโต๊ะที่ยังไม่ถูกปูผ้า บรรยากาศกำลังถูกตกแต่งเป็นสวนดอกไม้ มีเก้าอี้ทรงสูงวางเรียงอยู่ชิดผนังตามแนวหลังห้อง

          กสิณามองตามร่างสูงที่เดินไปมาทั่วห้องจัดงาน เขาพาเธอเข้ามาในห้องสำหรับจัดงานกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง แล้วพาเธอมาหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ท้ายห้อง พร้อมบอกให้รอเขาสักครู่ เขาขอเช็คความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายของการจัดสถานที่สำหรับงานแฟชั่นโชว์คืนนี้แล้วเขาจะมาพาเธอไปโรงพยาบาล โดยมีคำสั่งว่าห้ามหนีไปไหน ให้นั่งที่ตรงนี้เท่านั้น!

          ปากอิ่มหาวแล้วหาวอีก แล้วเธอเป็นลูกน้องเขาหรือยังไง ถึงให้เขามาสั่งได้ แล้วรู้ไหมว่าให้เด็กสมาธิสั้นอย่างเธอมานั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนี้มันน่าอึดอัดแค่ไหน แล้วร่างสูงนั่นก็เดินวนไปมาทั่วงานจนคนที่มองตามอย่างเธอเวียนหัว นานๆ ก็จะได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมาทีนึง เหมือนเป็นการกล่าวว่า

          ดีมาก ที่ยังเชื่อฟังคำสั่งเขา

          ดวงตารียาวละสายตาจากเจ้าของงานแฟชั่นโชว์ที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงแรมแห่งนี้ จากข่าวคราวที่เธอถามจากคนในงาน ก่อนจะเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนยกกระถางต้นไม้สีขาวอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอกำลังจะล้มลง

          แม้จะมีน้ำหนักตัวที่ไม่ใช่น้อยแต่เธอก็คล่องแคล่ว และว่องไว หญิงสาวถีบตัวเองพุ่งไปข้างหน้า เข้าไปรับทั้งตัวคนและกระถางได้อย่างทันท่วงที

          “จะเป็นลมหรือคะคุณน้า นั่งพักก่อนไหม”

          เมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าพอทรงตัวได้ เธอก็หยิบกระถางในมือวางลง และประคองคนที่เธอเรียกว่าน้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ก่อน มีผู้จัดงานแวะเข้ามาถามไถ่ ว่าเกิดอะไรขึ้น และสั่งให้คนอื่นๆ ไปหาน้ำ และยาดม มาให้คนที่เกิดหน้ามืด ในขณะที่หญิงสาวก็หยิบสมุดจากกระเป๋าตัวเองมาช่วยพัดเป็นการใหญ่

          ใบหน้าหวานเปื้อนยิ้มสดใส เอ่ยขอบคุณคนนำน้ำและยาดมมาให้ ดูแลจนแน่ใจว่าคุณน้าดีขึ้น

          ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังคุยงานอยู่หน้าเวทีเพ่งมองผ่านฝูงชนไปยังเก้าอี้หลังห้อง ก่อนจะพบว่าบุคคลที่ควรจะอยู่ในสายตาเขาหายไป แล้วก็ไปพบกับเธอที่กำลังยกต้นไม้ด้วยความขยันขันแข็งแทน

          “เห้ยไอ้อัค เดี๋ยวฉันมานะ แกดูแลทางนี้ไปก่อนนะ” ศานต์บอกกับเพื่อนสนิทที่ร่วมกันจัดงาน ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังเป้าหมาย ทิ้งให้อาคเนย์ที่มองตามยืนงง เมื่อคนๆ นั้น เขาไม่เคยรู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ

          ดวงตากลมกลอกเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ เมื่อเห็นร่างท้วมที่มีผ้าพันแผลที่แขนซ้ายกำลังยกกระถางหนักๆ แล้วยิ้มแย้มช่วยกันกับคนอื่นๆ

          “อ้าวคุณ มีอะไรหรือเปล่า จะไปแล้วหรอ” คนยกกระถางหน้าใหม่เอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงมา เธอยอมปล่อยมือจากกระถางอย่างโดยดีเมื่อเขามายกออกไป แต่ท่าทางเธอยังงงมิใช่น้อย

          “มานี่มา บอกให้นั่งพักเฉยๆ ยังจะมาทำงานอีก นี่มันงานเธอหรือไง เจ็บอยู่ก็เจียมสังขารบางสิ” ดวงตากลมดุเพ่งมองมา เสียงเข้มๆ นั้นทำให้เธอรู้ว่าเขาจริงจังแค่ไหน กศิณาได้แต่ยิ้มรับตามสไตล์ตัวเอง

          “โถ่คุณ ฉันไม่ได้แขนด้วนนะถึงจะยกไม่ได้ เจ็บแค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรหรอกน่า นะๆ”

หญิงสาวทำตาหยีใส่ พร้อมแก้มป่องๆ ที่ทำให้ศานต์รู้สึกว่า...

          ยายเด็กนี่นี่มันน่าจริงๆ เลย

          สุดท้ายหญิงสาวก็ยอมเดินตามร่างสูงไปมาในงานแต่โดยดี โดยมีสายตาคนอื่นๆ  ในงานมองตามด้วยความสงสัย  เมื่อเขามีทีท่าดุขนาดนั้น 

          นี่จะดุกว่าพ่อเธออยู่แล้วนะ!

 

          “คุณๆ คือ...” หญิงสาวสะกิดแขนเสื้อสูทเนื้อดีของชายหนุ่มเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้มันยับเพราะมือเธอ เมื่อชายหนุ่มหันมามอง เธอก็ได้แต่เงียบไป แล้วฝังตัวเข้าไปที่ประตูรถอีกฝั่ง ก่อนจะเมินมองไปนอกหน้าต่าง

          นี่ก็จะครั้งที่สิบแล้วตั้งแต่ขึ้นรถมา ที่เธอทำตัวแบบนี้ มีอะไรก็ไม่พูดสักที จนผู้เป็นเจ้าของรถอดทนไม่ไหว ช่วงแรกๆ ก็พอรอได้อยู่หรอก กะว่าเดี๋ยวเธอก็พูดสิ่งที่อยากพูดออกมาเอง แต่นี่...มันบ่อยเกินไปละ!

          “มีอะไรก็พูดมา” ชายหนุ่มทำหน้าดุใส่อีกครั้ง หวังว่าหญิงสาวจะยอมเปิดปาก แต่นั่นกลับทำให้เธอดูตัวหดเล็กลงเรื่อยๆ

          ร่างสูงหันไปกระแอมไอใส่หน้าต่างฝั่งตัวเอง ก่อนปรับสีหน้าใหม่ แล้วหันมาพูดเสียงนุ่ม

          “มีอะไรหรือเปล่า เธอเรียกฉันหลายรอบแล้วนะ” ท่าทางที่ดูอบอุ่น และคลายความดุ ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายลง ก่อนจะตัดสินใจพูดรัว เร็ว ออกมา รวดเดียวจบ

          “คือว่าคุณจะจัดงานแฟชั่นโชว์ใช่ไหมคะ คือว่าฉันชอบงานออกแบบ ฉันอยากเป็นดีไซเนอร์ แต่ฉันไม่ได้เรียนด้านนี้มา ไม่มีความรู้อะไรเลย ฉันอยากหาประสบการณ์ ถ้าคุณจะกรุณา ฉันขอโอกาสเข้าดูงานของคุณได้ไหมคะ ไปเป็นคนเสิร์ฟน้ำ ผู้ประสานงาน อะไรยังไง อยู่ตำแหน่งไหนก็ได้ แต่ขอโอกาสฉันเข้าไปสัมผัสงานด้านนี้หน่อยนะคะ”

          ร่างนั้นหอบเล็กน้อย เมื่อเธอพูดจนลืมหายใจ เพราะกลัวว่าถ้าตัวเองหยุดพุดไป จะชะงักแล้วไม่กล้าพูดต่ออีก

          ใบหน้าหวานของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

          “ฮ่ะๆ แค่นี้เอง ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก นึกว่ามีอะไร”

          ศานต์ส่ายศีรษะเล็กน้อย ก็ลุ้นตั้งนาน ที่ไหนได้ เรื่องนี้ก็ไม่เห็นได้ร้ายแรงอะไร

           คนขอโอกาสตีหน้ายุ่ง ไม่เข้าใจว่าเขาจะหัวเราะทำไม ก็งานแบบนี้ ปกติมันเป็นแบบเอ็กคลูซีฟ ต้องถูกเชิญ หรือนักข่าว หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างเธอแน่ที่มีโอกาสเข้าไปดู แล้วเธอไม่กล้าขอเขานี่มันตลกตรงไหน

          “คราวหลังมีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้ำอึ้ง ฉันจะอนุญาตหรือไม่นั่นมันอีกเรื่อง”

          “แล้วคุณอนุญาติไหมคะ” กศิณารีบถามกลับ ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ดูท่าแล้วน่าจะขอได้ไม่ยาก

          ดังนั้น! ต้องรีบคว้าโอกาสไว้

          “อืมม...”ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าครุ่นคิดอย่างนึกสนุกอยากจะแกล้งคนข้างตัวเสียมากกว่า

          “ถ้าเป็นคนเสิร์ฟน้ำ โรงแรมเขาก็มีแล้ว คงจะไม่ได้ สตาร์ฟในงาน ก็มีเพียงพอแล้ว ก็ไม่น่าจะได้อีก เอ๋... เอายังไงดี”

          คำพูดของชายหนุ่มทำให้ความหวังของหญิงสาวค่อยๆ ดับลง ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่เหลือที่ให้เธอเข้าไปแล้ว อุตส่าห์คิดว่าจะได้

          เห้อ ไม่เป็นไรนะไอ้ยุ้ง ได้ขึ้นไปเหยียบถึงชั้นผู้บริหาร เข้าไปดูสถานที่จัดงานก็ดีแล้ว

          แต่เธออยากเข้าไปงานนี้จริงๆ นี่นา ทำไงดี ทำไงดี เมื่อนึกถึงชื่อของห้องเสื้อที่มาจัดงานแล้วยิ่งทำให้เธอร้อนรน เธอต้องไปงานนี้ให้ได้!

          แต่ปัญหาคือ แล้วจะไปอย่างไรดี? ถ้าคนข้างตัวนี่ไม่อนุญาต

          “เอาอย่างนี้แล้วกัน เหลือตำแหน่งเดียวที่เธอไปได้แล้ว หึ”

          ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หญิงสาว ก่อนยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี มือหนาเอื้อมหาโทรศัพท์ภายใต้เสื้อสูท เพื่อกดเบอร์โทรออกที่คุ้นเคย

          “พี่รุ้งครับ ผมมีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย พี่รุ้งพอจะมีชุดออกงาน ให้ยืมสักตัวไหมครับ ขอเป็นแขนยาว...” ตากลมมองแขนซ้ายที่มีผ้าพันแผลอยู่ ก่อนเอ่ยต่อ “ขอชุดไซส์ใหญ่ๆ หน่อยนะครับ ผมกลัวใส่ไม่ได้ คนใส่ตัวค่อนข้างใหญ่อยู่ครับ” เสียงทุ้มพยายามพูดให้เรียบ นิ่ง เพราะต้องกลั้นหัวเราะไว้ เมื่อคนตัวใหญ่ที่เขาว่ามองค้อนเขาตาแทบขวิด

          ก็รู้หรอกนะว่าอ้วน แต่ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้!!!

          “เธอสูงเท่าไรนะ น้ำหนักด้วย” คนที่ถือโทรศัพท์ถามคนข้างตัวก่อนจะได้รับคำตอบอุบอิบกลับไป

          “หนึ่งร้อยหกสิบสอง” ชายหนุ่มนำสิ่งที่หญิงสาวบอกกรอกลงไปในโทรศัพท์ ก่อนจะทำหน้าเหลอกับน้ำหนักตัวที่เธอบอก

          “ห๊ะ  หกสิบห้า!”

          “ไม่ต้องย้ำดังขนาดนั้นก็ได้คุณ ฉันขาใหญ่ หนักขา จบนะ เชอะ” หญิงสาวแกล้งทำเสียงงอน แต่ท่าทางไม่ได้เป็นอะไร เธอพอจะเข้าใจเขาอยู่ ว่าเธอดูอ้วนไม่น่าถึงน้ำหนักที่เธอบอก แต่ขาเธอใหญ่เธอรู้ตัวดี หากางเกงหรือกระโปรงทีนี่ มันลำบากตรงช่วงล่างนี่ล่ะ

          “จริงๆ แล้วฉันนะหุ่นแสตดาร์ดมัสคูลาร์นะคุณ มาตรฐานมีกล้ามเนื้ออ่ะ รู้จักไหม ฉันวัดมาแล้ว” เธอรีบพูดต่อเมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนจากหน้าตกใจเป็นหัวเราะออกมาอีกครั้ง

          ก็เธอวัดมาแล้วจริงๆ นี่ อาทิตย์ที่แล้วที่ไปฟิตเนสล่าสุด ค่าไขมันของเธอมันพอดีค่าสูงสุดของคนมาตรฐานเป๊ะเลย!

          “เห้อ เธอนี่...เหมือน  เหมือนมากจริงๆ เดี๋ยวในงานฉันจะแนะนะให้รู้จักใครบางคนนะ โอเคไหม” ศานต์ยิ้มให้คนข้างตัวอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกออกแล้วว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนใคร เหมือนจนรู้สึกว่าถ้าสองคนได้เป็นเพื่อนกัน คงสนุกไม่ใช่น้อย

          “ค่ะ จะแนะนำใครก็แนะนำมาเถอะค่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปรู้จักใคร แต่คนรู้จักเขาที่เธออยากรู้จักน่ะมีแน่

          ก็ในเมื่อหนึ่งห้องเสื้อที่จัดงานครั้งนี้ คือห้องเสื้อของตระกูลกิจจศิลปานี่นา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา