กลลวงรักจอมบาป

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.33 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,280 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
จุดหมายของประพจน์ทำให้ปภัชสาเดินเข้ามาบอกกล่าวกับเจ้าหน้าที่หลายคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เธอตัดสินใจที่จะเดินทางไปลาสเวกัสพร้อมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กซานฟรานซิสโกอีกสี่คน แม้ทุกคนจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากกลับช่วยเหลือยกกระเป๋าใบใหญ่กว่าคนอื่นขึ้นรถซึ่งออกเดินทางในอีกชั่วโมงต่อมา
ห้าร้อยเจ็ดสิบไมล์จากซานฟรานซิสโกถึงลาสเวกัสนั้นถือว่าไกลอยู่ไม่น้อย การเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นดูจะสะดวกสบายกว่าการขับรถยาวนานกว่าสิบชั่วโมง แต่มันเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐซึ่งไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ในศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กลาสเวกัสจะตั้งแง่กับเงื่อนไขใหม่นี้หรือไม่
สิ่งของเครื่องใช้และอุปกรณ์ในการทำงานที่จำเป็นจึงต้องติดตัวไปด้วยให้มากที่สุด รถยนต์ก็เป็นพาหนะที่จำเป็นอย่างยิ่งเพราะบางครั้งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โชคดีที่ผลัดเปลี่ยนกันขับรถทุกสามสี่ชั่วโมงที่จอดแวะตามเมืองต่างๆ หรือจุดพักรถ อีกทั้งผู้ร่วมเดินทางก็มีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง การพูดคุยสนทนาจึงเกิดขึ้นเกือบตลอดการเดินทาง
ถึงอย่างนั้นปภัชสาก็ยังส่งอีเมล์ถึงประพจน์เป็นระยะๆ บอกกล่าวถึงเรื่องที่ตนเดินทางมาทำงานในลาสเวกัสและโรงแรมที่พักแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านร่มเย็น ทำให้เหมือนว่าเป็นการพูดคุยส่งข่าวคราวตามปกติ
“ว้าว... ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีจากทะเลทรายจะกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีขนาดนี้” หนุ่มซานฟรานซิสโกซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถกล่าว เมื่อได้มาเยือนลาสเวกัสเป็นครั้งแรกแล้วเห็นสองข้างทางเต็มไปด้วยไฟแสงสีละลานตา
“นี่ยังน้อยนะเพราะโรงแรมของพวกเราอยู่ในเขตดาวน์ทาวน์ ถ้าขับเข้าไปในสตริปแล้วล่ะก็ ฮึ!... ไม่ต้องหลับต้องนอนกันแน่คืนนี้” หนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับตอบโต้
“อย่าบอกนะว่าส่งพวกเราไว้ที่โรงแรมแล้วจะออกมาท่องลาสเวกัสอีก” แมนดี้หนึ่งในเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯซานฟรานซิสโกที่นั่งติดกับปภัชสาเอ่ยดักคอ
“โอ๊ย... ขับรถมาไกลขนาดนี้ขอนอนพักสักคืนเถอะ คืนพรุ่งนี้ถ้าเคลียร์งานจบเร็วละไม่พลาดแน่” คนที่รับหน้าที่ขับรถกล่าวพร้อมพยักพเยิดกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
ไม่นานนักก็ถึงโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อของดาวน์ทาวน์และสตริป ความหรูหราอาจจะไม่มากเท่าโรงแรมชื่อดังที่เรียงรายอยู่ในสตริปแต่ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯซานฟรานซิสโกทุกคนตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อย กระเป๋าหลายใบถูกพนักงานของโรงแรมยกขึ้นใส่รถเข็นแล้วผายมือเชื้อเชิญให้แขกเดินเข้าไปติดต่อตรงเคาน์เตอร์
บรรยากาศทั่วไปยังย้ำเตือนให้ทุกคนรับรู้ว่าอยู่ในลาสเวกัสด้วยตู้สล็อตที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงริมทางเดิน
“โครงการนี้ของเราได้งบประมาณเพิ่มขึ้นขนาดเช่าโรงแรมหรูๆ ให้พักได้ด้วย?” แมนดี้ถามออกมาด้วยความสงสัย แต่ไม่วายรีบยื่นมือไปรับเอาคีย์การ์ดห้องพักไว้
“ถ้าปิดจ็อบนี้ได้ไม่เกินสี่วันนะ เมืองต่อไปอาจได้พักโรงแรมห้าดาว” หัวหน้าศูนย์ฯซานฟรานซิสโกบอกในขณะที่เดินนำหน้าไปยังลิฟต์
“ใครเชื่อก็บ้าแล้ว จริงไหมปิ่น” แมนดี้ถาม
“จริง” ปภัชสาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายแล้วหัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกก็ต้องเป็นคนเฉลย “ไม่ใช่อะไรหรอก โรงแรมนี้ห้องพักกว้างขวาง การเดินทางไปศูนย์ฯ ลาสเวกัสก็สะดวกสบาย ไม่ได้ไกลมาก ที่สำคัญราคาไม่แพงแต่ถ้าปิดจ็อบไม่ได้ภายในสี่วันก็ต้องหาอพาร์ตเมนต์อยู่แล้วนะ”
“นั่นไง ว่าแล้วเชียว”
“นั่นไงอะไรล่ะ ปกติเราก็ปิดจ็อบได้เร็วก่อนกำหนดทุกครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้จะกลัวอะไร” แย้งไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ข้อมูลดีว่าปัญหาในศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กลาสเวกัสนั้นมีมากมายแค่ไหนทว่าวันนี้เขากลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของปภัชสาจึงรีบไถ่ถามในทันที “ว่าแต่ปิ่นเถอะ ทำไมวันนี้ดูเงียบๆ”
“อ่อ คงเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยค่ะ แล้ววันนี้ยังเดินทางนานด้วย พักสักหน่อยคงดีขึ้น” ตอบพร้อมยิ้มอย่างขอบคุณ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก
“งั้นก็แยกย้ายกันตรงนี้เลย พรุ่งนี้เราเดินทางเจ็ดโมงครึ่ง จะตื่นสายกินมื้อเช้านานแค่ไหนก็จัดสรรเวลากันเอาเอง” หัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกบอกแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องพักก่อน
เจ้าหน้าที่หนุ่มอีกสองคนนั้นพักห้องเดียวกัน ส่วนปภัชสาก็พักกับแมนดี้ พอเดินเข้ามาในห้องพักแล้วก็คะยั้นคะยอให้ปภัชสาเป็นฝ่ายทำธุระส่วนตัวก่อนแต่เมื่อก้าวออกมาจากห้องน้ำราวสิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวก็ต้องส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าแมนดี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ความเงียบงัน มืดมิดภายในห้องช่างแตกต่างกับความคิดอันว้าวุ่นของเธอยิ่งนัก เจ้าของร่างน่าปรารถนาหยิบโทรศัพท์ติดมือแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าต่างซึ่งมองเห็นแสงไฟระยิบยับไปจนสุดลูกหูลูกตา ความคิด การพูดและการปฏิบัติตัวต่อคนอื่นนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากประพจน์ทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวไม่เชื่อว่าคนที่ตนเทิดทูนและเคารพนับถือเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าจะทำเรื่องร้ายแรงเช่นนั้น
นับตั้งแต่เบิกเงินในส่วนของบ้านร่มเย็นออกมาทุกบาททุกสตางค์ทั้งยังเดินทางมาไกลอีกซีกโลก แต่ปภัชสาก็ยังคิดว่าการกระทำดังกล่าวต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ท่านไม่สามารถปริปากบอกใครได้
 
อีกมุมหนึ่งของลาสเวกัสในคูแรนท์แมนชั่นสุดหรู เจ้าของแมนชั่นนั้นไม่เคยตกอยู่ในห้วงอารมณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้มาก่อนเลย
อคิลลีส คูแรนท์ อาจจะไม่ใช่ชื่อของเศรษฐีหรือนักธุรกิจหน้าใหม่ แต่เขาเป็นทายาทของคูแรนท์รุ่นที่สาม ซึ่งคนทั่วไปรู้ดีว่าตระกูลคูแรนท์นั้นมีที่ดินในครอบครองมากมายมหาศาลนัก ดูเหมือนว่าในแถบเวสต์อเมริกานี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะคุณปู่และคุณพ่อของเขา
ในตอนที่ลาสเวกัสยังสร้างตัวจากการเป็นเมืองแห่งการพนัน ด้วยมันสมองอันชาญฉลาดของพ่อลูกคูแรนท์ยังสร้างรายได้มหาศาลให้กับรัฐและเจ้าของกาสิโนน้อยใหญ่ที่ดูดเม็ดเงินจากนักแสวงโชคทั่วโลก วิสัยทัศน์และความฉลาดคงจะถ่ายทอดโดยพันธุกรรม เมื่อทายาทรุ่นที่สามของคูแรนท์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหาร เขาก็เปลี่ยนโฉมหน้าของลาสเวกัสให้ดูน่าพิสมัยมากยิ่งขึ้น
ลาสเวกัสไม่ได้เป็นแค่เพียงเมืองคนบาปอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยด้วยช็อปปิ้งมอลล์ เอาต์เลตมอลล์ สวนสนุก สนามกอล์ฟ ไล่ไปจนถึงเอ็มแอนด์เอ็มเวิลด์ที่เรียกว่าสวรรค์ของเด็กๆ รวมไปจนถึงคนรักช็อกโกแลต
โรงแรมชื่อดังน้อยใหญ่ต่างเนรมิตบรรยากาศและสิ่งปลูกสร้างเลียนแบบเมืองสำคัญที่มีชื่อเสียงของโลกไว้ในลาสเวกัส ดาวน์ทาวน์จึงขยายออกไปและดูตื่นตาตื่นใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโรงแรมชื่อดังที่เรียงหน้ากระดานกันอยู่ในย่านสตริป
ผู้ชายวัยสามสิบสี่ปีที่คลุกคลีอยู่กับการพัฒนาพื้นที่ในแถบต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองและเป็นทำเลทองย่อมต้องมีแนวความคิดแสวงหากำไรอยู่ในสมองแทบทุกวินาที
แม้คูแรนท์ในรุ่นที่สามจะมีอคิลลีสและอเดเมียร์ซึ่งนักธุรกิจคู่แข่งเคยมองว่าสองพี่น้องจะระดมมันสมองช่วยกันขยายธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปได้อีก แต่อเดเมียร์กลับไร้ซึ่งความสนใจในเรื่องธุรกิจแล้วสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการเป็นนักแสดง
พรสวรรค์และความสามารถที่อยู่ในแต่ละคนนั้นย่อมมีไม่เหมือนกัน อคิลลีสจึงไม่เคยยัดเยียดความถนัดของตนที่ได้รับถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นให้อเดเมียร์เลย สองพี่น้องคูแรนท์อาจจะเกิดมาบนกองทรัพย์สมบัติมหาศาล โชคเข้าข้างด้วยการสรรค์สร้างใบหน้าของทั้งคู่ให้เป็นผู้ชายหล่อเหลาแทบจะไม่มีจุดด้อยปรากฏอยู่เลย เรือนกายสูงใหญ่แน่นตึงไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออันอุดมสมบูรณ์ในแบบที่ผู้ชายด้วยกันอดไม่ได้ที่จะอิจฉา
ทว่าไลฟ์สไตล์ของอคิลลีสนั้นช่างแตกต่างกับน้องชายเป็นอย่างยิ่ง เขารักในแสงสีอันศิวิไลซ์ ชื่นชอบเสียงดนตรีและปาร์ตี้ ระบำเปลื้องผ้าในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นอาหารตาที่ต้องมาพร้อมกับอาหารเลิศรสในทุกมื้อเย็น ขึ้นอยู่กับความพอใจของเขาว่าจะสั่งให้จัดขึ้นภายในแมนชั่นสุดหรูหรือตามโรงแรมชื่อดังที่มีให้เลือกอย่างมากมายในลาสเวกัส
ไม่ต้องอาศัยการคาดเดาใดๆ เลย ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังรสนิยมส่วนตัวของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องรู้ว่าเขาต้องเป็นผู้ชายรักสนุก ใช้ผู้หญิงแล้วทิ้งเปลืองเสียยิ่งกว่าการสูบบุหรี่ไม่หมดมวน
‘จอมบาปแห่งลาสเวกัส’ จึงเป็นอีกคำเรียกขานหนึ่งที่คนมักเอ่ยถึงเขา
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นนั้นดึงความคิดที่ล่องลอยไปไกลอย่างไร้จุดหมายของอคิลลีสให้กลับมาอยู่กับความเป็นจริง แต่ร่างกายสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มยังเอนตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำในห้องนอนอย่างไม่ไหวติง
“ท่านคะ เมื่อสักครู่นี้อีฟโทรเข้ามารายงานว่าคุณเมมฟีสหลับไปแล้ว ยังบอกอีกว่าพรุ่งนี้เธอจะไปรอที่หน้าศูนย์ฯตั้งแต่เช้า ฝากเรียนท่านว่าไม่ต้องเป็นกังวลค่ะ” แม่บ้านรายงานตามที่พี่เลี้ยงบอกผ่านมาทางสายโทรศัพท์ หลังจากจบคำพูด ฝ่ามือแข็งแรงก็ยื่นออกมาสะบัดน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้และสั่งให้ออกไปข้างนอก
อคิลลีสส่ายหน้าให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ต่างจากวันสิ้นโลกของตน ในวันที่เสียน้องชายไปตลอดกาลกลับเพิ่งรู้ว่ามีคูแรนท์รุ่นต่อไปถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งแล้ว
โชคชะตายังเล่นตลกให้เขานึกหงุดหงิดใจสงสัยในอิทธิพลของตน เมื่อความเพียบพร้อม มั่นคงในฐานะไม่อาจดึงให้หลานชายออกมาจากศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กด้วยเหตุผลที่ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อเช็คไม่กรอกตัวเลขถูกหัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสปฏิเสธ!
‘ใจเย็นก่อนนะครับ แต่พรุ่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กจากซานฟรานซิสโกเข้ามาช่วยจัดรูปแบบของศูนย์ฯ ลาสเวกัสให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นผมจึงไม่สามารถทำอะไรที่เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ได้ แต่ผมจะอนุญาตให้คนของท่านเข้ามาดูแลเมมฟีสร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ’
นั่นคือคำตอบที่ทำให้เขาต้องฉีกเช็คใบดังกล่าวทิ้งแล้วเดินออกมาจากศูนย์ฯ ลาสเวกัสด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น เสียงร้องไห้ของเมมฟีสที่แผดดังไปทั่วบริเวณยิ่งตอกย้ำให้เขาได้รู้ว่าเรื่องขี้ผงเหล่านี้ มันอยู่เหนืออำนาจการควบคุมของเขาไปได้อย่างไร
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของอเดเมียร์ คูแรนท์ นักแสดงหนุ่มวัยสามสิบปีกลายเป็นข่าวดังช็อกความรู้สึกคนทั่วโลก แต่จะมีใครนึกสงสัยบ้างว่าคนหนุ่มที่รักในสุขภาพเอามากๆ จะเสียชีวิตเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน นอกจากเขาที่ยอมอดทนรอให้ผลชันสูตรศพออกมายืนยันเสียก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
ความชื่นชอบที่เคยทำเป็นกิจวัตรจึงดูน่าเบื่อหน่ายและไร้ซึ่งแรงดึงดูดไปทันตา คนที่เคยคิดว่าของทุกอย่างบนโลกใบนี้มีราคาค่างวดในตัวของมันทุกชิ้น กำลังนึกสงสัยว่าความคิดดังกล่าวนี้ยังเป็นความจริงหรือไม่
วิสกี้สีอำพันถูกรินลงในแก้วครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าต้องเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายอีกสักเท่าไหร่ ถึงจะทำให้เกิดความเมามายแล้วหลับใหลไปสักพัก อย่างน้อยเวลาที่เขาไม่รู้สึกตัวคงช่วยให้หลุดพ้นจากความย่ำแย่ที่โหมกระหน่ำจิตใจอยู่ในขณะนี้
 
รุ่งเช้าของวันต่อมาเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกทั้งหมดเดินทางออกจากโรงแรมที่พักมาถึงศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กในลาสเวกัสโดยใช้เวลาเดินทางราวสามสิบนาที
ท่าทางของเจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯลาสเวกัสก็เป็นไปตามที่ทุกคนได้คาดการณ์เอาไว้ นั่นคือมีการต่อต้าน แสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องใจมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งเจ้าหน้าที่จากศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกนั้นเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญหานี้มาเป็นอย่างดีแล้ว
การแนะนำให้เจ้าหน้าที่จากทั้งสองศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กได้ทำความรู้จักกันเริ่มขึ้น หลังจากที่การประชุมนัดแรกจะสิ้นสุดลงในอีกสามสิบนาทีต่อมา  ก่อนจบการประชุมหัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกยังพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเพื่อลดความกดดันที่อาจจะเกิดขึ้นให้น้อยลง
“ความจริงแล้วผมกับลูกทีมไม่ได้อยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานอะไรเลย เชื่อว่าทุกคนนั้นรักและมีความหวังดีต่อเด็กๆ ผมไม่อยากให้คิดว่าทีมไหนเก่งกว่า แน่กว่า เจ๋งกว่าแต่อยากให้คิดว่าเราทำเพื่อมนุษยชน ในอนาคตเด็กๆ เหล่านี้จะทำให้อเมริกาเป็นประเทศที่น่าอยู่ขึ้น ผมหวังอย่างนั้น” หัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกกล่าวและได้รับเสียงปรบมือดังไปทั่วห้องประชุม
แมนดี้เอนตัวไปหาปภัชสาแล้วกระซิบกระซาบบางอย่างให้พอได้ยินกันสองคน “แหม... เห็นไหมล่ะว่าเขาท่องประโยคนี้จนคล่องเชียว”
คนที่เป็นเจ้าของคำพูดดังกล่าวยิ้มกริ่ม ใช่ว่ามันเป็นการเสแสร้งหรือแฝงไว้ด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ แต่ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายนักที่ไม่สามารถอธิบายการกระทำของตนออกมาให้เป็นคำพูดอันรื่นหู ปภัชสาเองก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือหัวหน้าของตนในเรื่องนี้
เสียงปรบมือค่อยๆ เบาลง จากนั้นหัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนแยกย้ายไปทำงานของตน ก่อนจะเดินเข้ามาบอกกับหัวหน้าศูนย์ฯซานฟรานซิสโก “เดี๋ยวผมจะพาเดินดูรอบๆ”
“ครับ”
“เราจัดห้องนี้ไว้ให้เป็นห้องทำงานของพวกคุณ ความจริงแล้วอยากให้เป็นสัดส่วนมากกว่านี้แต่พื้นที่มีจำกัดจริงๆ” หัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสบอกแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร ขอบคุณมากครับ”
“ก็อย่างที่ทราบสถิติดีว่าศูนย์ฯของเรามีเด็กทารกไปจนถึงอายุหกเดือนเยอะมากราวหกสิบคน ส่วนนี้ใช้พื้นที่มากกว่าเด็กในช่วงอายุอื่นๆ เพราะฉะนั้นจึงกินพื้นที่ในชั้นหกและชั้นเจ็ดทั้งหมด”
“เป็นช่วงอายุที่ต้องหาครอบครัวให้พวกแกเร็วที่สุด” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯซานฟรานซิสโกเอ่ยขึ้น
“ก็จริง แต่ยังมีกฎระเบียบและกฎหมายอีกหลายขั้นตอนกว่าจะส่งเด็กๆ ไปให้ครอบครัวใหม่ อย่างน้อยผู้อุปถัมภ์ก็ต้องถูกตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด พวกคุณก็น่าจะรู้ดีว่าขั้นตอนนี้กินเวลานานที่สุด”
แม้เด็กแรกเกิดไปถึงหกเดือนจะเป็นช่วงวัยที่หาครอบครัวใหม่ได้มากที่สุดแต่ก็ยังมีเด็กที่เกิดมาด้วยความไม่พร้อมหลายอย่างที่ถูกทิ้งไว้ในโรงพยาบาล บางครั้งเด็กที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กอาจจะถูกพบตัวและส่งให้มาพักพิงอยู่ในศูนย์ฯชั่วคราว
รูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้นก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอีกหลายอย่าง กว่าจะเทียบเคียงข้อมูลการแจ้งความคนหายจากกรมตำรวจ ทั้งหมดนั้นเป็นการเพิ่มจำนวนเด็กในศูนย์ฯ โดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เซ็กซ์ที่เกิดจากความสนุก ไร้ซึ่งการยั้งคิดจนก่อให้เกิดชีวิตไร้เดียงสายังคงเกิดขึ้นแทบทุกวินาที
แม้ว่าจะเป็นประเทศเสรีที่ได้ชื่อว่าประชากรส่วนใหญ่นั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษาถ้วนหน้าแต่เรื่องเหล่านี้ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ซึ่งต้องรีบแก้ไขโดยด่วน
ปภัชสากวาดสายตามองเด็กๆ ที่อยู่ในห้องกระจกแล้วนึกสะท้อนใจนัก แววตาใสซื่อไร้เดียงสา รอยยิ้มจริงใจที่มีให้ทุกคนเช่นนี้ เพราะเหตุใดคนที่สร้างชีวิตอันบริสุทธิ์ถึงได้ใจคอโหดร้าย ทิ้งขว้างเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างเลือดเย็น ความรู้สึกนั้นหดหู่มากขึ้นเมื่อคิดว่าในอดีตตนเองก็ไม่ได้แตกต่างจากเด็กเหล่านี้เลย แม้จำนวนเด็กในชั้นถัดลงมาจะมีอายุที่โตขึ้น
เมื่อเทียบกับหลายเมืองแล้วก็ยังถือว่ามีจำนวนมากกว่าอยู่ดี ในชั้นสามของตึกซึ่งเป็นเด็กอายุหนึ่งขวบถึงสองขวบ แม้ว่าภายในห้องกระจกจะเต็มไปด้วยเด็กในช่วงวัยเดียวกันอีกราวยี่สิบคน ของเล่นและพี่เลี้ยงอีกสามคนแต่เสียงร้องไห้ที่แผดดังออกมาให้ได้ยินกลับทำให้ปภัชสานึกสงสารจนต้องเอ่ยถามออกมา
“เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่เหรอคะ” ปภัชสาถามพร้อมก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อหัวหน้าศูนย์ฯลาสเวกัสเปิดประตูออกกว้าง
ส่วนมากเด็กที่เข้ามาพักพิงใหม่จะมีอาการต่อต้านเช่นนี้เกิดขึ้นได้สองกรณี นั่นคือมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่แล้วแต่ต้องเข้ามาพบเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ ไม่คุ้นเคยกับใครเลย
อีกกรณีคือถูกทำร้ายมาจนเกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจคนรอบข้าง
“เพิ่งเข้ามาอยู่วันนี้เป็นวันที่สอง พ่อของเมมฟีสเสียชีวิตกะทันหัน ลูกชายของอเดเมียร์ คูแรนท์ไงครับ”
คำพูดของหัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสทำให้คนที่เพิ่งรู้ความจริงนี้ต่างสบสายตากันด้วยความประหลาดใจ การเสียชีวิตของนักแสดงชื่อดังนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่ว แต่ใครจะรู้บ้างว่าเขามีลูกชายโตขนาดนี้
แมนดี้อ้าปากค้างพลางทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เด็กชายตัวน้อยที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด “ว่าไงรูปหล่อ...”
หากรูปหล่อกลับเบี่ยงตัวหนีสัมผัสแล้วขยับไปซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เพราะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นพี่เลี้ยงของตน
“แกอยู่กับพี่เลี้ยงตลอดเวลา พอมาอยู่ที่นี่เลยปรับตัวลำบากหน่อย” หัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสกล่าว “แต่ก็คงไม่นานเพราะเห็นว่าทนายความกำลังเดินเรื่อง คุณลุงขอเป็นผู้ปกครองน่ะครับ”
“จากไปกะทันหันแบบนั้นคงไม่มีพินัยกรรมมอบลูกชายให้ใครดูแลต่อ” หัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกกล่าวและคาดเดาเหตุการณ์ได้ไม่ยากเพราะไม่ใช่เคสแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
เสียงร้องไห้ที่ขาดห้วงเป็นระยะกับน้ำตาที่เปรอะเปื้อนสองแก้ม บ่งบอกว่าเด็กมีความเหนื่อยล้ามากแล้ว ปภัชสาจึงนั่งลงและเว้นระยะห่างพอสมควร เพื่อให้เด็กเกิดความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจว่าเธอจะไม่เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวจนกว่าจะได้รับอนุญาตถึงอย่างนั้นเจ้าหนูน้อยก็ยังรีบชักขาเข้าหาตัวเอง
“ไม่!” เมมฟีสตวาดแล้วสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
ปภัชสาชะงักฝ่ามือเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ จนได้เห็นว่ามีจุกหลอกตกอยู่ไม่ไกลจึงหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ “เฮ้... เมมฟีส”
เสียงทักทายนั้นช่างนุ่มนวล มีความเอื้ออาทรเจืออยู่ในทุกอณูน้ำเสียง ดูเป็นมิตรยิ่งนัก แต่ท่าทางของปภัชสานั้นเป็นเหมือนบททดสอบเล็กๆ ของเจ้าหน้าที่จากหัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสซึ่งยอมให้เธอได้ลองเจรจากับเด็กชายตัวน้อยลองดูสักครั้ง
หากสำเร็จก็คงลดทอนอาการต่อต้าน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายลงได้เป็นอย่างดี ความจริงในข้อนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่จากทั้งสองศูนย์ฯ รู้ดีอยู่แก่ใจ
“คุณอยู่กับเด็ก ลองปลอบเขาดูส่วนพวกเราจะเดินไปดูชั้นอื่น” หัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกบอกแล้วปล่อยให้ปภัชสาจัดการกับน้ำตาของเด็กต่อไป
หัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสจึงพาเจ้าหน้าที่ที่เหลือเดินดูในชั้นต่อๆ ไปโดยไม่รู้ว่าในตอนนี้คุณลุงของเจ้าหนูเมมฟีสกำลังบึ่งซูเปอร์คาร์ออกจากแมนชั่นด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น เมื่อได้รับรายงานจากอีฟว่าถูกเจ้าหน้าที่กันตัวออกไปไม่ให้อยู่กับเมมฟีส
“ฉัน...”
“ไม่เอา ไม่... ฮือ... อีฟ จะหาอีฟ” เมมฟีสร้องไห้หนักขึ้นทั้งยังสะบัดขาทั้งสองข้างเร่าๆ อย่างเด็กเอาแต่ใจตัวเองทว่ากลับยื่นมือเข้ามาตั้งใจจะคว้าเอาจุกหลอกที่อยู่ในมือของคนแปลกหน้าเอาไว้ เมื่อไม่สำเร็จตามความตั้งใจนั่นยิ่งทำให้ร้องไห้หนักขึ้น
“มันตกพื้นแล้วจ้ะ ฉันจะเอาไปล้างแล้วเอากลับมาให้อีกทีดีไหม” ปภัชสาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเช่นเคย
“ไม่ เอาคืนมานะ ฮือ... จะหาอีฟ อีฟอยู่ไหน”
ปภัชสาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแล้วชี้นิ้วเข้ากับจุกหลอกที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง แสร้งทำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนกดึงความของสนใจของเด็กน้อย “อุ๊ย! ดูสิ เจ้าเชื้อโรค”
ถึงแม้เจ้าตัวจะยังเบะปากแต่ก็ชะงักงันแล้วมองตามการชี้นำของเธอ ท่าทางดังกล่าวทำให้ปภัชสายิ้มกริ่มในใจแล้วรีบแสร้งพูดต่อด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อะไรเจ้าเชื้อโรค พูดอะไรไม่ได้ยินเลย” ปภัชสาถามแล้วยกจุกหลอกขึ้นมาใกล้ๆ หูของตน ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพยักหน้าเร็วๆ เหมือนว่ากำลังสื่อสารกับเจ้าเชื้อโรค “อ๋อ... เข้าใจแล้ว เธอร้ายกาจมากนะเจ้าเชื้อโรค”
เมมฟีสจ้องเขม็งเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของคนตรงหน้า
“เจ้าเชื้อโรคบอกว่าจะทำร้ายเธอนะเมมฟีส ยอมให้เชื้อโรคทำร้ายด้วยเหรอ ถ้ายอมก็เอาคืนไปเลย” พูดแล้วทำเป็นยื่นจุกหลอกคืนให้กับเด็กน้อย แต่ต้องชักมือกลับเมื่อเห็นว่ามือน้อยๆ กำลังจะเอื้อมคว้าเอาไว้ “ถ้าดูดเข้าไปโดยที่ไม่ทำความสะอาด เมมฟีสต้องไม่สบาย ตัวร้อน น้ำมูกไหลด้วยนะ”
เมื่อยังไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องหลอกล่อต่อไป
“ให้ฉันเอาไปล้างก่อนดีไหม ขอเวลาแป๊บเดียวเดี๋ยวจะเอามาคืนให้นะจ๊ะ” มองผิวเผินแล้วเธอเป็นผู้เจรจาระหว่างเชื้อโรคและเมมฟีส
หากความจริงแล้วเธอกำลังใช้จุกหลอกเป็นทูตสันถวไมตรีผูกมิตรกับเจ้าหนูน้อยอยู่ต่างหาก เมมฟีสส่ายหน้าทั้งที่มีอาการสะอื้นไห้ เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนมองใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะการส่ายหน้านั้นหมายถึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้กับเธอแล้ว
“นะจ๊ะ ฉันสัญญาว่าจะรีบเอามาคืน” ปภัชสาบอกแล้วเอนตัวเข้าไปใกล้อีกนิด “นี่... รู้อะไรไหม ถ้าเธอไม่ยอมล้างเชื้อโรคนี้ออกไปนะ พวกมันจะสร้างพรรคพวกขึ้นมาอีกเยอะแยะเลย ถ้าดูดเข้าไปคงไม่สบายอยู่หลายวันเชียวล่ะ”
ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากปฏิเสธก็เริ่มเงียบคิดด้วยความลังเลใจ แล้วมีหรือที่ปภัชสาจะปล่อยโอกาสอันงามให้หลุดรอดจากมือ การนิ่งเงียบนั้นอาจจะถือเป็นการยอมรับก็ได้
“งั้นรอแป๊บนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเอาไปล้างให้” จบคำพูดก็ลุกขึ้นเดินออกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเด็กๆ ภายในห้องนี้ซึ่งอยู่ตรงประตู
“คุณเก่งมากนะคะที่ทำให้แกยอมรับได้”
“ไม่หรอกค่ะ เมมฟีสอาจจะร้องไห้จนเริ่มเหนื่อย” ปภัชสายังตอบอย่างถ่อมตัว
“ฝากด้วยนะคะเพราะแกยังไม่ยอมกินอะไรเข้าไปเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา”
ได้ยินเช่นนั้นปภัชสาก็หันกลับไปมองท่าทางของเด็กน้อยอีกครั้งหนึ่งซึ่งกำลังขดตัวนั่งอยู่ตรงมุมห้อง แม้จะไม่ได้ร้องไห้แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมให้ใครได้เข้าไปยุ่มย่ามกับตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นพอจะมีห้องเล็กๆ ที่เป็นส่วนตัวหน่อยไหมคะ คือฉันกำลังคิดว่าที่เมมฟีสต่อต้านหนักแบบนี้เพราะไม่ชินที่ต้องอยู่รวมกับคนเยอะๆ อย่างนี้”
“งั้นใช้ห้องแยกโรคก็คงได้เพราะตอนนี้ยังว่างอยู่ คุณน่าจะกล่อมให้แกกินอะไรได้บ้าง” เจ้าหน้าที่บอกอย่างมีความหวัง
“จะลองดูนะคะ” ปภัชสาตอบแล้วเดินเลี่ยงไปยังห้องซักล้างทำความสะอาดจุกนมหลอก ก่อนจะนำมันลงไปไว้ในแก้วมัคใบใหญ่แล้วกดน้ำร้อนลงเพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกครั้ง
ไม่นานนักปภัชสาก็เดินถือแก้วมัคใบดังกล่าวกลับมานั่งข้างๆ เมมฟีส “เชื้อโรคถูกน้ำร้อนลวกตายเกือบหมดแล้ว รออีกสักห้านาทีก็คงจะตายเรียบ”
สาบานได้ว่าเธอเห็นความขบขันฉายแววอยู่ในดวงตาอันใสซื่อ เมมฟีสยังชะโงกหน้าก้มลงมองจุกหลอกของตัวเองในแก้วมัคสลับกับจ้องตาของผู้หญิงตรงหน้า
เจตนาดีและบริสุทธิ์ใจของปภัชสาที่แสดงออกมานั้นเป็นความรู้สึกที่เมมฟีสรับรู้ได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่มาทำงานในศูนย์ฯนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าที่ เป็นอาชีพที่สร้างรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวแต่หญิงสาวก็เชื่อว่าทุกคนนั้นมีจิตใจเมตตากรุณาต่อเด็กเป็นพิเศษ
แล้วเพราะเหตุใดเมมฟีสถึงได้ต่อต้านหนักเช่นนี้?
“ในนี้เสียงดังไปหน่อยเนอะ เราออกไปเดินเล่นกันข้างนอกดีไหม” ปภัชสาพยักหน้าเร็วๆ เป็นการกระตุ้นคู่สนทนา “นะ... อยู่ในนี้คงไม่ได้ยินเสียงเธอพูด”
เมื่อได้รับอาการนิ่งเงียบเป็นคำตอบปภัชสาจึงทรงตัวลุกขึ้นพร้อมถือแก้วมัคไว้ในมือแล้วยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกไปหวังช่วยดึงเมมฟีสให้ลุกขึ้น แต่เจ้าหนูน้อยกลับผุดลุกขึ้นด้วยตัวเองแล้วเดินดุ่มๆ ไปกลางห้องซึ่งมีเด็กอีกหลายคนจับกลุ่มเล่นกัน
“เอามานะ” บอกพร้อมดึงเอาโมเดลรถยนต์จากมือของเด็กคนหนึ่งมาแล้วเดินมาหาปภัชสาในทันที
ถึงตอนนี้ปภัชสาก็พอจะรู้คำตอบแล้วว่าที่ร้องไห้อาจเพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่คุ้นเคย แล้วการที่เพื่อนใหม่แย่งของเล่นก็ยิ่งทำให้เมมฟีสไม่อยากอยู่ในห้องนี้มากขึ้นไปอีก
ทว่าสิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมองหน้ากันเลิ่กลั่กนั้นก็เป็นเพราะสาวเอเชียผู้มีกิริยาอ่อนโยนสามารถทำให้เมมฟีสหยุดร้องไห้ หลังจากที่เพิ่งลงความเห็นกันว่าคงจะมีเพียงแต่พี่เลี้ยงที่ถูกกันตัวออกไปชั่วคราวเท่านั้นที่ทำให้เมมฟีสเชื่อฟังได้
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา