กลลวงรักจอมบาป

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.33 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,243 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ตอนที่ 4 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในขณะที่หลานชายกำลังถูกโน้มน้าวจนจิตใจดีขึ้น กล้าที่จะตอบโต้กับเจ้าหน้าที่สาวผู้ซึ่งพูดจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง  ตอนนี้เด็กน้อยยังยอมรับประทานอาหารมื้อเช้าเข้าไปจนเกือบหมดจาน ทั้งยังเริ่มสนุกที่ได้ช่วยเหลือตนเองตามคำแนะนำของปภัชสา

“เอาใหม่ๆ เรียกชัดๆ อีกครั้ง พูดตามนะ ปิ่น...” ปภัชสาพยายามออกเสียงตัว ป ปลาให้ช้าๆ ชัดๆ เพราะรู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นมีเฉพาะตัวพี

บ่อยครั้งที่เธอสามารถหัดให้เด็กในศูนย์ฯ เรียกชื่อเล่นของตนได้อย่างชัดเจนและพบว่าง่ายกว่าการสอนผู้ใหญ่ให้ออกเสียงไม่เพี้ยนอยู่หลายเท่าตัวนัก “พิ่น ฮ่า...”

“ไม่ใช่นะ ปิ่น”

“ปิน ปิ่น” เมมฟีสลองออกเสียงอีกครั้ง

“ใช่ อย่างนั้นแหละเมมฟีส ปิ่น”

“ปิ่น ปิ่น”

“เย่... ยอดเยี่ยมเลย” ปภัชสาบอกพร้อมทั้งยกมือข้างหนึ่งออกไปรอแตะมือแสดงการชื่นชม แต่เมมฟีสกลับขมวดคิ้วเพราะยกกำปั้นขึ้นค้างเอาไว้แบบที่เคยใช้กับผู้เป็นพ่ออยู่บ่อยครั้ง ท่าทางดังกล่าวทำให้ปภัชสานึกขึ้นได้แล้วรีบกำมือชนกำปั้นกับเมมฟีสในทันที “โย่ว แบบนี้ใช่ไหมเพื่อน”

ถึงคราวที่สาวหวานเลียนแบบท่าทางของแร็พเปอร์ก็ทำได้น่ามองจนเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เด็กที่ถูกใจ กิริยาที่เธอแสดงออกมานั้นก็ลดทอนความเกรี้ยวกราดของคุณลุงซึ่งยืนนิ่งงัน ฝ่ามือยังจับลูกบิดประตูค้างไว้อย่างนั้นแล้วมองภาพดังกล่าวผ่านกระจกช่องเล็กๆ ตรงประตู

“ฮ่า... ใช่ๆ” เมมฟีสตอบแล้วหันไปเล่นกับโมเดลรถยนต์ทันที ไม่ได้สนใจกับจานอาหารเช้าที่วางไว้ตรงหน้า

“เมมฟีส เอาจานไปเก็บก่อนดีไหมจะได้ล้างมือให้สะอาดแล้วค่อยมาเล่นต่อ”

“ปิ่นเก็บ”

คำตอบสั้นๆ ตามประสาเด็กวัยหนึ่งขวบครึ่งนั้นทำให้ปภัชสานึกตำหนิคนที่ดูแลเมมฟีสนัก แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าโลกนี้ช่างไม่มีตรงกลางที่พอดิบพอดีสำหรับทุกคนเอาเสียเลย คนมีฐานะมั่งคั่งก็สามารถซัพพอร์ตลูกได้ทุกอย่าง สิ่งที่ควรฝึกหัดให้ช่วยเหลือตัวเองก็ต้องรอให้โตจนเด็กอยากทำสิ่งเหล่านั้นเอง การช่วยเหลือตัวเองในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถึงจะเกิดขึ้น

ส่วนคนที่ทอดทิ้งลูกให้เป็นภาระของสังคมก็ช่างไม่นึกสงสารชีวิตอันบริสุทธิ์ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยสักนิด

เจ้าของใบหน้างดงามที่ทอดสายตามองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจช่างติดตาตรึงใจจอมบาปแห่งลาสเวกัสซึ่งยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมราวกับต้องมนตร์สะกด กี่ครั้งมาแล้วที่แววตาและการแสดงออกทางสีหน้าสื่อสารให้เขาเข้าถึงอารมณ์ของเธอ

“เมมฟีส... เราไปล้างมือก่อนที่เชื้อโรคจะกลับมาหาเธอดีไหม”

ริมฝีปากอิ่มที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูดที่ตั้งใจให้เชื่องช้าเพื่อความเข้าใจของเด็กวัยหนึ่งขวบครึ่งนั้นยังส่งผลต่อสายตาของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัยสามสิบสี่ปี ที่ไม่เคยได้หยิบยื่นเวลาอันมีค่าของตนให้กับใครมากนักเพราะทุกวินาทีของเขาที่จะเสียเวลาฟังใครสักคนพูดเรื่องไร้สาระนั้น หมายถึงการชะลอเม็ดเงินที่จะหลั่งไหลเข้ากระเป๋า

แต่ตอนนี้ผู้หญิงอวดดีที่เจอกันไม่กี่นาทีก็กล้าประเคนหมัดเข้าที่มุมปากจนได้เลือดกลับมีอิทธิพลต่อสายตา ทำให้เขาปล่อยเวลาเดินผ่านไปอย่างไม่นึกเสียดาย

ปลายนิ้วชี้ที่ข่วนเบาๆ ตรงหลังมือของเมมฟีสยังทำให้ขนอ่อนในกายของเขาลุกชัน ท่าทางดังกล่าวนั้นไม่ต่างจากแมวเหมียวตัวน้อยกำลังข่วนหน้าอกเขาอย่างเรียกร้องความสนใจจนต้องขบฟันกรามแน่นเพื่อระงับความปั่นป่วนที่เดือดพล่านขึ้นมาอย่างทันท่วงที

“โอ... เมมฟีสยอมเอาจานอาหารไปเก็บด้วยตัวเอง!” อีฟครางออกมาด้วยความประหลาดใจ

เสียงของพี่เลี้ยงที่ดังขึ้นอยู่ด้านหลังนี้เรียกสติและดึงความสนใจของอคิลลีสให้ละสายตาจากภาพดังกล่าว

แม้ความเกรี้ยวกราดจะลดลงจนแทบไม่หลงเหลือแต่สีหน้าเคร่งเครียดและดวงตาคู่คมที่ตวัดกลับมามองหัวหน้าศูนย์ฯลาสเวกัสนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“เขาร้องไห้หนักจนเห็นได้ชัดว่าตาบวม แล้วมันเป็นเรื่องถูกต้องนักหรือไงที่คุณดูแลหลานชายผมแบบนี้”

ความเฉียบขาดในน้ำเสียงทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นนิ่งงัน เกิดความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ครู่ใหญ่ ท่าทีแข็งกร้าวและความไม่พอใจที่ตำหนิออกมานั้นส่งผลให้เขาดูอันตรายมากยิ่งขึ้น สุดท้ายคนที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในศูนย์ฯก็ต้องรวบรวมความกล้าชี้แจงออกไปในที่สุด

“มันเป็นกฎที่ทางเราตั้งเอาไว้นะครับ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้เด็กเกิดความสับสน ไม่ไว้ใจแต่ทางเราก็พยายามหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วและพบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ” หัวหน้าศูนย์ฯลาสเวกัสบอกแล้วผายมือเข้าไปยังประตูห้อง ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านในแล้ว

หัวหน้าศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกและแมนดี้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงแล้วประกาศกร้าวว่าจะเอาเรื่องทุกคนที่ทำให้หลานชายเขาต้องร้องไห้ให้ถึงที่สุดได้แต่สบสายตากันทั้งที่อยากจะอธิบายก็ต้องสงบปากสงบคำเอาไว้

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของหัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสนั้น ทำให้อคิลลีสหรี่ตาแคบลงมองอย่างประเมินสถานการณ์

“ขอเตือนว่าถ้าจะทำตามกฎหมายห่าเหวที่คุณอ้างมาล่ะก็ อย่าบังอาจทำให้เขาร้องไห้อีก ไม่อย่างนั้นผมจะใช้กฎหมายเล่นงานคุณกลับในข้อหาทำให้สภาพจิตใจของเด็กย่ำแย่”

“เอ่อ... เหมือนว่าคุณกำลังขู่” แมนดี้อดทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากออกไป

ทว่าไม่ทันได้จบประโยค รอยยิ้มกระชากใจก็ทำให้เธอเหมือนจะเป็นใบ้

อคิลลีสยิ้มที่มุมปากเพียงชั่วครู่ มีทั้งความดุดันและโอหังปรากฏบนใบหน้า “ก็ลองทำให้เขาร้องไห้อีกครั้งสิ แล้วจะได้รู้กันว่าผมขู่รึเปล่า”

ทว่าเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องขึ้นนั้นไม่ต่างจากเสียงระฆังที่ทำลายบรรยากาศอึดอัดให้ลดน้อยลง อันที่จริงแล้วอคิลลีสคงจะตัดสายทิ้งแต่เมื่อหน้าจอโชว์ชื่อของทนายความส่วนตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเลี่ยงไม่ได้

“ท่านครับ มีทนายความเดินทางมาจากลอสแองเจลิสแสดงตัวว่าเป็นทนายความของคุณอเดเมียร์กำลังรอพบท่านอยู่ที่บริษัทครับ” ทนายความส่วนตัวรีบรายงานในทันที

“ให้รอก่อน อีกยี่สิบนาทีฉันจะไปถึง” บอกแล้วเลื่อนอุปกรณ์สื่อสารลงจากข้างหู

คำว่า ‘ทนายความของอเดเมียร์’ ทำให้เขาต้องตัดใจทิ้งหลานชายไว้ที่นี่ก่อน

หากไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดถึงได้โล่งใจขึ้น ท่าทางอ่อนโยนของเธอนั้นทำให้เขาวางใจมากกว่าเดิมที่จะฝากเมมฟีสเอาไว้ที่นี่ ทั้งยังเชื่อว่าการปรากฏตัวของทนายความคนดังกล่าวต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด

สถานการณ์ด้านนอกอาจจะกำลังคุกรุ่น ช่างแตกต่างกับความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ในห้องนัก ไม่เพียงเดินเอาจานอาหารไปเก็บด้วยตัวเองแต่เมมฟีสยังอาบน้ำ ฟอกสบู่ด้วยตัวเอง

ทุกอย่างที่ทำนั้นเป็นไปตามคำชี้นำของปภัชสาโดยที่เด็กน้อยไม่ได้อิดออด แม้อคิลลีสจะเห็นเพียงแผ่นหลังบอบบางที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำที่เปิดกว้างไว้ แต่ก็รู้ว่าเธอกำลังสอนให้หลานชายอาบน้ำเอง

“อีฟ เดี๋ยวให้คนของฉันไปช่วยเธอย้ายของของเมมฟีสไปไว้ในคูแรนท์แมนชั่น” สั่งออกไปทั้งที่ไม่รู้เหตุผลแต่เขาก็เชื่อมั่นว่าจะต้องพาตัวเมมฟีสออกจากศูนย์ฯนี้ให้ได้โดยเร็ว

“ค่ะท่าน” อีฟรับคำแล้วมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินห่างออกไปจนลับตา ไม่นานนักก็หันกลับมามองเจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมรอยยิ้มเกรงใจ “ขอโทษแทนเจ้านายด้วยนะคะ ที่เห็นท่านเป็นอย่างนี้เพราะห่วงหลานน่ะค่ะ”

ไม่ทันที่ใครจะได้ตอบกลับ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ปภัชสาซึ่งตั้งใจจะเดินออกมาเอาเสื้อผ้าของเด็กน้อยกลับมองเพื่อนร่วมงานที่ยืนจังงังอยู่หน้าห้องด้วยความแปลกใจ

“เอ่อ... มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าคะ” ปภัชสาเลียบเคียงถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก

หากคนที่ตอบคำถามเธอกลับไม่ใช่เพื่อนร่วมงานแต่เป็นผู้หญิงอายุราวสามสิบปีเศษ ก้าวเข้ามาแนะนำตัวเอง “สวัสดีค่ะ ฉันอีฟเป็นพี่เลี้ยงของเมมฟีส คุณเก่งมากและฉันก็ขอบคุณมากที่ทำให้แกหยุดร้องไห้ อ้อ! จะออกมาเอาเสื้อผ้าใช่ไหมคะ เอาที่ฉันก็ได้ มีติดตัวมาพอดีค่ะ”

ของใช้ส่วนตัวบางอย่างนั้นเอามาเก็บไว้ในศูนย์ฯแล้ว แต่อีฟก็ยังพกผ้าอ้อมสำเร็จรูปและเสื้ออีกหนึ่งชุดไว้ในกระเป๋าเสมอ

ปภัชสายิ้มอย่างจริงใจแล้วรับเอาชุดและผ้าอ้อมสำเร็จรูปมาถือเอาไว้ “ไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ เมมฟีสยังถามถึงคุณเป็นระยะ ฉันแค่หากิจกรรมให้แกทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น แต่ถ้าเห็นหน้าคุณก็คิดว่าคงต้องร้องไห้อีกเพราะยังไม่คุ้นกับที่นี่”

อีฟพยักหน้าเข้าใจในคำพูดนั้น อีกทั้งยังมีหน้าที่ไปจัดการขนย้ายข้าวของของเมมฟีสตามคำสั่งของเจ้านายให้เรียบร้อย “ค่ะ ฉันเข้าใจ ฝากดูแลเมมฟีสด้วยนะคะ แกคงชอบคุณเอามากๆ ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดพอเห็นแกร้องไห้ทีไรก็ไม่เป็นอันทำอะไรทุกที”

ปภัชสาพยักหน้าเร็วๆ และรับคำอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พวกเราทุกคนจะดูแลเมมฟีสให้ดีที่สุด”

เมื่อพี่เลี้ยงเดินห่างออกไปเสียงของแมนดี้ก็ดังขึ้นในทันที “โอ! ผู้ชายดุๆ คนนั้นเหรอคะที่จะเป็นผู้ปกครองของเมมฟีส”

ไม่มีใครตอบแต่หัวหน้าศูนย์ฯทั้งสองคนกลับชักชวนกันออกไปวางแผนการทำงาน ทิ้งให้ปภัชสามองหน้าแมนดี้อย่างตั้งคำถามและได้รับรู้ถึงปฏิกิริยาของคุณลุงผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้ปกครองของเมมฟีสอย่างละเอียด

“ตกลงว่าเขาน่ากลัวหรือว่าน่าหลงใหล” ปภัชสาถามหลังจากที่ช่วยเมมฟีสแต่งตัวจนเรียบร้อย ตอนนี้เด็กน้อยแยกตัวออกไปเล่นโมเดลรถยนต์ตามประสา

“ก็ผู้ชายน่ากลัว พอหน้าตาหล่อเหลาแถมร่ำรวย แถมอีกอย่างคือหยิ่งยโส แถมอีกนิดคือความดุ แถม...”

“พอๆๆ แถมเยอะเกินไปแล้ว” ปภัชสาดักคอเอาไว้เสียก่อน

“ก็มันจริงนี่นา รู้ไหมว่าเขาเหมือนแบดบอยไม่ได้ออกแนวฮิปสเตอร์นะ แต่เป็นแบดบอยที่ดูเนี้ยบมากแบบปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตลงมาให้เห็นรอยสักแล้วก็สวมเสื้อสูทที่ตัดเย็บด้วยผ้าสลับกับหนังสีน้ำตาลคาราเมล สวมกางเกงยีนสีดำแล้วก็รองเท้าบูตหัวเหล็ก มันน่ากรี๊ดไหมล่ะ” แมนดี้ถามแต่เมื่อได้คำตอบเป็นการเบ้ปากพร้อมส่ายหน้า ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ที่บรรยายมาเนี่ยยังไม่ได้ครึ่งตัวจริงหรอก พูดไปเธอก็นึกภาพไม่ออก”

ไม่ใช่นึกไม่ออกหรอกแต่ความคิดของปภัชสากำลังแจ่มชัดขึ้นทุกครั้ง เมื่อแมนดี้ได้บรรยายรูปพรรณสัณฐานจนไพล่นึกไปถึงผู้ชายนิสัยแย่ๆ ที่ดูดเอาความเชื่อมั่นในตัวเธอไปเสียหมด แม้ว่าเวลาจะผ่านมาสามวันแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่คลอเคลียอยู่ข้างใบหู

ปภัชสาไม่รู้ว่าตัวเองนั้นล่องลอยไปกับความคิดนานแค่ไหน ขนาดว่าแมนดี้ยกมือขึ้นโบกไปมาถึงสองครั้งก็ยังไม่รู้สึกตัว สุดท้ายจึงต้องดีดนิ้วเรียก

“อุ๊ย! ตกใจหมด” ปภัชสาสะดุ้งสุดตัว ทว่าเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่ดังขึ้นอย่างถูกอกถูกใจเพราะจ้องตามตั้งแต่เห็นว่าแมนดี้โบกไม้โบกมือเรียกก็ทำให้ทั้งสองสาวต้องหัวเราะตามในที่สุด

ไม่นานนักเมมฟีสก็ถูกพาตัวกลับมายังห้องเดิม แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้โยเยแล้วแต่ก็ยังนั่งตักของปภัชสาตลอดเวลา เป็นอันว่าตลอดทั้งวันหญิงสาวมีหน้าที่ดูแลเด็กน้อยจนหลับไปในช่วงหลังอาหารมื้อเที่ยง ปัญหาในช่วงเวลาต่อไปที่เจ้าหน้าที่ทุกคนในศูนย์ฯมั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นอีกนั่นคือเวลาที่หนูน้อยเมมฟีสตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ความจริงแล้วปภัชสาก็อยากอยู่ดูแลแต่ด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับเรื่องของประพจน์ เธอจึงรับปากว่าจะรีบกลับเข้ามายังศูนย์ฯอีกครั้งหลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวบางอย่างเรียบร้อยแล้ว

 

ปภัชสารีบร้อนออกจากศูนย์ฯ ลาสเวกัสและใช้บริการแท็กซี่เพื่อเดินทางมายังสนามบินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของลาสเวกัสฝั่งสตริป ข้อมูลที่ได้จากแก้วงามทำให้เธอสามารถเช็กตารางการบินจากสายการบินดังกล่าวแล้วเดินทางมารอตามเวลาที่แจ้งเอาไว้ได้

เทอร์มินอล 3 คือจุดจอดของสายการบินดังกล่าวและเป็นจุดที่เธอลงจากแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปด้านในอาคารของท่าอากาศยานนานาชาติแมคคาร์แรนด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ผู้คนที่เดินออกมาจากประตูทางออกของโถงผู้โดยสารขาเข้าจึงถูกดวงตาคู่หวานจับจ้องอย่างถี่ถ้วน ทว่าเธอกลับไม่ได้พบคนที่คาดหวังว่าจะได้เจอ จากนาทีกลายเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงกลายเป็นสองชั่วโมง

ปภัชสาก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตนและไม่เคยลืมสิ่งที่รับปากเอาไว้ ซึ่งคาดว่าตอนนี้หากเมมฟีสตื่นขึ้นมาก็คงต้องร้องไห้โยเยอีกเช่นเคย  เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเดินไปหยุดยังหน้าไฟลต์บอร์ดที่แสดงสถานะเครื่องลงตามเวลาปกติของเที่ยวบินที่เธอรอคอย ซึ่งตอนนี้นั้นกินเวลานานเสียจนเที่ยวบินดังกล่าวไม่ได้แสดงบนบอร์ดอีกแล้ว

ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเหมือนความหวังทั้งหมดเลือนหายไปสิ้นสนามบินที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ตามแบบฉบับของเมืองท่องเที่ยว แต่กลับไม่มีคนที่เธออยากเจอเลยสักนิด ปภัชสาคิดในใจพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ ทว่ากลับไปสะดุดอยู่กับร่างคุ้นตาที่กำลังเดินอยู่บริเวณประตูทางออก

เพียงเท่านั้นเธอก็รีบวิ่งตามออกไปตรงประตูทางออกเดียวกัน ยิ่งจับภาพแผ่นหลังอันคุ้นตาได้ชัดเจนขึ้นยิ่งทำให้ปภัชสายิ้มออกมาด้วยความดีใจจนเร่งฝีเท้าและวิ่งไปดักหน้าไว้ได้ในที่สุด

“พ่อพจน์! พ่อพจน์มาจริงๆ ด้วย ปิ่นดี... ใจ” คำสุดท้ายแทบเลือนหายเข้าไปในลำคอเมื่อผู้ชายตรงหน้านั้นไม่ใช่คุณพ่อประพจน์ที่เธออยากเจอแต่กลับเป็นชายชาวเอเชียในวัยใกล้เคียงกัน ซึ่งในตอนนี้กำลังจ้องหน้าเธอราวกับเป็นตัวประหลาด “เอ่อ... ขอโทษค่ะ ฉันจำคนผิด”

ถึงยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ก็พยักหน้ารับคำขอโทษแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนดีใจเก้อต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงเดินกลับเข้าไปด้านในตัวอาคารอีกครั้ง ทุกการก้าวเดินยังขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้ารอให้ประพจน์นั้นติดต่อกลับมาเธอคงไม่รู้ว่าต้องรออีกนานสักแค่ไหน

...อย่างน้อยเธอก็น่าจะได้รู้คำตอบว่าประพจน์นั้นเดินทางมายังลาสเวกัสจริงๆ

เมื่อคิดได้ดังนั้นปภัชสาจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ของสายการบินตามที่แจ้งเอาไว้ในอีเมล์ซึ่งแก้วงามถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ สอบถามกับเจ้าหน้าที่โดยให้เหตุผลว่ายังไม่ได้พบกับพ่อบุญธรรมของตนซึ่งเดินทางมาตามเอกสารการจองตั๋วที่เธอมีอยู่ในมือนี้ ทั้งยังกลัวว่าจะหลงทางจนเกิดอันตราย

เหตุผลนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารซึ่งใช้เวลาราวสามสิบนาที ปภัชสาจึงได้รับคำยืนยันว่าเที่ยวบินดังกล่าวนั้นมีผู้โดยสารตรงตามกับชื่อสกุลนี้อยู่จริงทั้งยังผ่านการตรวจคนเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย

คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ปภัชสาต้องเดินทางออกจากสนามบินด้วยชัตเทิลบัสพร้อมด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิมเพราะถ้าประพจน์จะเดินทางมาหาเธอก็ต้องตอบอีเมล์ หากความเงียบคือสิ่งที่เธอได้รับและทำให้ขบคิดอย่างหนักเมื่อไม่สามารถเดาใจประพจน์ได้ว่าเดินทางมาหาใคร เพื่ออะไร ที่สำคัญทำไมถึงได้ปล่อยให้บ้านร่มเย็นเกิดความวุ่นวายเช่นนี้!

 

ระหว่างเดินทางปภัชสาได้รับการติดต่อจากแมนดี้ว่าพี่เลี้ยงของเมมฟีสนั้นได้กล่อมจนเด็กน้อยหลับสนิทไปแล้ว เธอจึงไม่ต้องกลับเข้าไปในศูนย์ฯอีกครั้ง

ความผิดหวังและปัญหามากมายที่เกิดขึ้นซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ เลยสักเรื่องหนึ่งทำให้หญิงสาวไร้ซึ่งความตื่นเต้นเมื่อชัตเทิลบัสแล่นผ่านเข้ามาในย่านสตริปที่เต็มไปด้วยแสงสีของยามค่ำคืน แต่เจ้าของดวงตาคู่หวานกลับมองออกไปอย่างไร้จุดหมายทั้งยังไม่รู้ตัวว่าได้ทอดถอนหายใจออกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

ช่างแตกต่างกับความรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอีกเปลาะหนึ่งของอคิลลีสยิ่งนัก เมื่อทนายความของน้องชายที่เดินทางมาพบเขานั้นได้ทำการแสดงพินัยกรรมหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยืนยันว่าอเดเมียร์ คูแรนท์นั้นเสียชีวิตแล้ว ทรัพย์สมบัติในใจความของพินัยกรรมนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเท่ากับการมอบสิทธิ์ให้เขาเป็นผู้ปกครองของเมมฟีสเพียงผู้เดียว

เนื้อความดังกล่าวจะเป็นผลให้หลานชายกลับเข้ามาอยู่ในคูแรนท์แมนชั่นภายในเวลาสามวันเป็นอย่างช้าที่สุด

วันนี้ทีมอินทีเรียดีไซเนอร์จึงเข้ามารับคำสั่งจากเขาโดยตรงให้เนรมิตพื้นที่ใช้สอยทุกตารางมิลลิเมตรในคูแรนท์แมนชั่น ซึ่งเคยเป็นส่วนของอเดเมียร์นั้นให้กลายเป็นของเมมฟีสตามคำบอกเล่าความชอบ ความสนใจส่วนตัวจากปากของอีฟ ผู้เป็นพี่เลี้ยง

แม้ในเวลานี้อคิลลีสก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายของตนนั้นได้จากโลกใบนี้ไปจริงๆ ยิ่งได้อ่านผลการชันสูตรศพซึ่งลงความเห็นว่าอเดเมียร์นั้นเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ยิ่งทำให้เขาเกิดข้อกังขาในใจอีกมากมาย

ทว่ากลับต้องทำตัวนิ่งเงียบให้มากที่สุด!

เพราะไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบตัวนี้เป็นมิตรที่คอยทำตามคำสั่งโดยมีอำนาจของเงินตราเป็นตัวบังคับ หรือเป็นศัตรูที่ฉาบใบหน้าเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตรเท่านั้น ความสับสนที่เกิดขึ้นในใจและไม่อาจปริปากบอกใครได้จึงทำให้ค่ำคืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่เขาต้องนั่งทอดอารมณ์อยู่ริมสระว่ายน้ำบนชั้นสองในห้องนอนส่วนตัว

คืนที่ผ่านมานั้นได้พิสูจน์แล้วว่าปริมาณแอลกอฮอล์ที่เขาเพิ่มเข้าไปในร่างกายไม่ได้ช่วยให้เกิดความเมามายและหลับตาได้สักครึ่งชั่วโมง เจ้าของเรือนกายแข็งแกร่งจึงลุกขึ้นพร้อมกับดึงเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของตนออก กระโดดลงสระแล้วว่ายน้ำไปยังขอบสระฝั่งตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วก่อนเดินขึ้นบันไดซึ่งเชื่อมต่อกับสปริงบอร์ด

“วู้ว...” อคิลลีสร้องออกมาราวกับระบายความอัดอั้นตันใจ

ยี่สิบฟุตคือระยะของสปริงบอร์ดที่ติดตั้งอยู่บนชั้นสองกับสระว่ายน้ำชั้นล่างของแมนชั่น มันเป็นความสูงในระดับที่กระตุ้นความตื่นเต้นได้ดีไม่น้อย

คืนนี้เขาจะลองใช้ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการออกกำลังกาย พิสูจน์ให้ได้ว่ามันจะทำให้เขาสามารถหลับตาลงโดยไม่คิดถึงสาเหตุของการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของน้องชายได้หรือไม่

อุณหภูมิของน้ำในสระถูกปรับให้ร่างกายรู้สึกสบาย การออกกำลังกายยังทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้น ทว่าทุกครั้งที่โผล่ขึ้นมาสูดเอาออกซิเจนเข้าปอด เขากลับคิดถึงแต่ใบหน้างดงามของแม่สาวก้นงอน กิริยาท่าทางของเธอนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก หากไม่เคยปะทะคารมกันมาก่อนเขาก็ต้องคิดว่าเธอคงเป็นสาวหัวอ่อน ง่ายต่อการควบคุม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้อคิลลีสต้องว่ายน้ำกลับไปแตะอีกฝั่งของขอบสระครั้งแล้วครั้งเล่านั่นคือ...

เพราะเหตุใดในหัวของเขาถึงได้มีแต่ภาพของเธอคอยเลี้ยงดูอุ้มชูเมมฟีสอยู่ในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิต

คูแรนท์แมนชั่น!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา