สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
9,564 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) อาวุธชีวภาพ "เซย์ริ"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เขามีเรื่องที่อยากถามเธออยู่มากมาย ทั้งหน้าที่ที่แท้จริงของเหล่าเซย์ริ สิ่งที่พวกเธอต้องต่อสู้ด้วยคืออะไร แล้วก็เหตุผลที่ชิโอริต้องโกหกเขา เพื่อที่จะได้ลงไปใต้ดินในขณะที่ถึงเวลาที่เซย์ริอย่างเธอจะต้องออกไปต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาเลยสักอย่างเดียว เธอหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาทุกวิถีทาง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน แสงสุทินเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาจำได้เกี่ยวกับหายนะครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ เขาต้องฝืนเอ่ยจะความเจ็บปวดในทุกคำพูดที่เปล่งออกไป และเขายังเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ชิโอริกลับไม่ยอมเล่าเรื่องในส่วนของเธอบ้าง เธอเองก็เจ็บปวดเช่นกันที่ถูกแสงสุทินถาม แต่เธอกลับหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้น แล้วพยายามหันหน้าหนีจากมัน นั่นไม่ยุติธรรมเลย
“เธอไม่ต้องเล่าทั้งหมดก็ได้ แค่รายละเอียดที่ฉันควรจะรู้ก็พอ เกิดอะไรขึ้นที่บนดินหลังจากที่ฉันลงไปในสถานหลบภัยแล้วกันแน่ ทำไมเธอถึงได้หนีจากมัน ทั้งที่เธอก็เป็นเซย์ริ…” แสงสุทินเกลี้ยกล่อมชิโอริมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปาก เขาเพิ่งจะสังเกตว่าทุกครั้งที่พยายามตั้งคำถาม สีหน้าของชิโอริยิ่งดูไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความต้องการคำตอบก็ยังไม่ลดลง เขากลับยิ่งอยากรู้สาเหตุที่เธอทำสีหน้าแบบนั้นมากขึ้นไปอีก
“ถ้าเธอไม่ได้มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสถานหลบภัย แล้วทำไมเธอถึงเข้าไปในสถานหลบภัยด้วยล่ะ”
“แล้วมันจะทำไมเหรอ” ชิโอริยอมพูดประโยคแรกด้วยท่าทางรำคาญ
“มันไม่เข้าท่าเลยไม่ใช่เหรอ ในเมื่อไม่มีอันตรายหลุดรอดลงไปถึงสถานหลบภัยได้ เธอก็ไม่เห็นจะต้องอ้างว่าเป็นเซย์ริรักษาการณ์ให้กับพวกเราเลยนี่นา แล้วในเมื่อเธอเองก็เป็นเซย์ริ ทำไมเธอถึงไม่ออกไปต่อสู้ข้างบนดินเลยล่ะ ได้ยินมาว่าเธออยู่ในสถานหลบภัยทุกครั้งที่มีสัญญาณเตือนภัยด้วย”
ชิโอริไม่ตอบอะไร เธอลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู แล้วหันกลับมากวักมือเรียกแสงสุทิน
“นายตามมาด้วยกันหน่อยสิ ฉันจะแสดงให้เห็นว่าตัวจริงของเซย์ริเป็นยังไง”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่แสงสุทินก็เดินตามชิโอริออกไปนอกตัวบ้าน ขณะนั้นเป็นช่วงหัวค่ำ ข้างนอกบ้านที่มีแสงสว่างเพียงแสงไฟที่ลอดจากหน้าต่างทำให้ทิวทัศน์รอบข้างที่เป็นป่าน่ากลัวขึ้นมาก ชิโอริพาเขาเดินลึกเข้าไปในทิศตรงข้ามกับเขตอาศัยอาศัยที่ 101 ซึ่งมองเห็นเป็นทะเลแสงไฟจากภูเขา แล้วไปหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“นายได้เห็นแล้วใช่ไหม เซย์ริอย่างพวกเรามีความสามารถบินได้ ความเร็วสูงสุดที่ฉันเร่งขึ้นได้ตอนที่สวมอาภรณ์เทพธิดาคือ 6 เท่าของความเร็วเสียง หรือมากพอๆ กับเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการต่อสู้ช่วงนี้เลยล่ะ แต่ว่าเทอร์รารอยด์จะเร็วกว่านั้นอีก คือประมาณ 8 เท่าของความเร็วเสียง” ชิโอริเอ่ยอย่างภูมิใจ แต่น้ำเสียงฟังดูเหงานิดๆ “ไม่ต้องสงสัยว่าเทอร์รารอยด์คืออะไร ฉันไม่คิดจะเล่าให้ฟังมากกว่านี้หรอก แต่ว่า สิ่งที่เซย์ริทำได้ไม่ใช่แค่การบินหรอกนะ”
ระหว่างที่แสงสุทินกำลังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ชิโอริพูด เธอก็เริ่มสาธิตความสามารถของเซย์ริให้เขาเห็นในทันที เธอย่อเข่าลงแล้วกระโดดขึ้นไปแตะกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปนับสิบเมตรได้โดยไม่ต้องใช้ปีกส่งแรง แล้วหักกิ่งไม้ท่อนนั้นที่ใหญ่กว่าแขนของแสงสุทินได้ราวกับหักไม้เสียบลูกชิ้น ก่อนจะกลับลงมาที่พื้น แล้วใช้กิ่งไม้ที่หักมาได้ขยับเป็นดาบด้วยความเร็วสูง ในระดับที่แสงสุทินมองตามแทบไม่ทัน
“สุดยอด…” เขาเอ่ยชมด้วยความตะลึง
ร่างกายเล็กๆ ของชิโอริสามารถขยับได้อย่างคล่องแคล่ว ด้านพละกำลังก็เหนือกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงประสาทสัมผัสก็ชัดเจนไม่แพ้กัน หลังจากที่เหวี่ยงกิ่งไม้เหมือนดาบเสร็จแล้ว เธอก็โยนกิ่งไม้ท่อนนั้นไปกระทบยอดไม้ที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรได้โดยไม่หันไปมอง แต่ท่าทางของเธอราวกับเล็งเอาไว้อยู่แล้ว และทั้งที่ทำถึงขนาดนั้น ชิโอริยังไม่มีอาการเหนื่อยเลยสักนิด
“นี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เซย์ริทำได้นะ อยากเห็นอะไรมากกว่านี้ไหมล่ะ”
สิ้นเสียงของชิโอริ เธอก็ยื่นมือซ้ายเข้าหาต้นไม้ที่เธอเพิ่งหักกิ่งมาใช้แทนดาบ ในมือข้างนั้นมีแสงสีฟ้าเงินถูกจุดขึ้น แสงนั้นเป็นพลังทำลายที่ควบแน่นจนมีรูปร่างคล้ายลูกบอลขนาดเล็ก เมื่อได้จังหวะ ชิโอริก็ผลักลูกบอลแสงเข้าปะทะกับโคนต้นไม้ใหญ่ เกิดเสียงระเบิดและแรงฉีกกระชากมหาศาลคว้านโคนต้นไม้นั้นหายไปทั้งลำ ต่อหน้าแสงสุทินที่ตัวแข็งทื่อเพราะความมหัศจรรย์ที่ได้เห็นตรงหน้า
มันไม่เหมือนกับพลังในเทพนิยายเลย เหมือนการสาธิตอาวุธสงครามต่างหาก
“สุดยอด สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอทำได้ขนาดนี้ก็ไม่เห็นจะต้องเข้ามาหลบในสถานหลบภัยเลยไม่ใช่เหรอ ดีไม่ดี เรื่องที่เกิดขึ้นบนดินอาจจัดการได้เร็วขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะด้วยซ้ำ หรือว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นจริง หน้าที่จริงๆ ของเธอก็เหมือนกับที่เคยพูด ใช้พลังนั่นปกป้องพวกเราในกรณีที่มีอันตรายหลุดเข้ามาใช่ไหม”
“ขอบคุณที่ชมนะ แต่ว่า พลังแค่นี้ยังใช้ไม่ได้หรอก” ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงสมเพชตัวเอง
“หมายความว่ายังไง ก็เห็นอยู่ว่าเธอเพิ่งจะ…”
“พลังของฉันมีน้อยที่สุดในเซย์ริทั้งหมด ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าต่อสู้กับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เซย์ริส่วนใหญ่ทำได้ยังห่างกันมาก แต่นายไม่ควรได้เห็นมันหรอก ความจริงแล้ว นายไม่ควรรู้ว่าฉันมีพลังแบบนี้อยู่ด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า สิ่งที่เธอทำได้มันสุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอทำอย่างนั้นได้ การต่อสู้ก็ไม่น่าจะเกินแรงอะไรไม่ใช่เหรอ ถึงเธอคนเดียวจะเอาชนะไม่ได้ แต่ถ้าเธอร่วมมือกับเครื่องบินขับไล่ที่เธอพูดถึง แล้วก็เซย์ริคนอื่นๆ ที่เธอว่ามีพลังมากกว่าเธอ ทุกอย่างก็น่าจะคลี่คลายได้เรียบร้อย”
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ไหวหรอก” ชิโอริขึ้นเสียงดัง สายตาบอกว่าเธออัดอั้นมากจนต้องพูดออกมา “พลังแค่นี้ เทียบกับพวกมันที่ทำลายเด็กพวกนั้นได้ในพริบตา ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่เดินหน้าเข้าไปตายเพราะคำสั่งของคนที่นั่งสบายอยู่ในห้องปรับอากาศไม่ใช่เหรอ ส่วนคนที่ส่งไปตายก็คือ คนที่แสดงพลังครึ่งๆ กลางๆ ให้มนุษย์เห็นอยู่ตรงนี้ไงเล่า”
ราวกับความเก็บกดระเบิดออกมาในคราวเดียว แสงสุทินไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองต่ออะไรก่อน น้ำเสียงที่กระโชก หรือว่าสีหน้าที่บอกถึงความเศร้าโดยไม่มีน้ำตา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ปล่อยให้เรื่องที่ได้ยินผ่านหูไม่ได้เช่นกัน เพราะว่าในสิ่งที่ชิโอริระบายออกมามีความจริงที่คลุมเครือซ่อนอยู่ด้วย
“เธอ… เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องพวกนี้กันแน่” แสงสุทินถามด้วยความสงสัย แต่ในใจหนึ่งกลับไม่อยากรู้คำตอบเลย แล้วสิ่งที่ยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องก็คือ ชิโอริที่ให้คำตอบกลับมา ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นคนละคน
“เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเซย์ริ รู้แค่นี้ก็เกินพอแล้ว”
เธอให้คำตอบเท่านี้ก่อนจะเดินจากไป แสงสุทินเรียบเรียงความสัมพันธ์ของสิ่งที่เธอพูดให้ฟังไม่ได้เลย เธอเบี่ยงประเด็นไปจากทุกเรื่องที่เขาอยากรู้จนไม่เหลือความเชื่อมโยงเลย แต่มันก็ทำให้แสงสุทินได้รู้เรื่องอีกที่เขาไม่เคยสนใจ เซย์ริมีความสามารถในการทำเรื่องเหนือธรรมชาติให้กลายเป็นจริงได้ ทั้งยังแข็งแรงกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า แต่เซย์ริที่แข็งแรงขนาดนั้นกลับบอกว่ายังมีพลังไม่พอที่จะเข้าต่อสู้ แต่เขาก็นึกอะไรต่อไม่ออกแล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของชิโอริ
การเดินป่าตอนกลางคืนในสภาพที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย แมลงต่างๆ คอยจ้องจะกินเลือด เนื้อตัวของแสงสุทินจึงเต็มไปด้วยตุ่มคัน และตั้งแต่วันนั้น แสงสุทินที่ต้องการรู้เรื่องของชิโอริมากขึ้นก็เริ่มเห็นชิโอริเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เข้าไปถามก็จะถูกเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่องหนึ่ง และยิ่งแสดงให้เห็นความรำคาญยิ่งขึ้น ทั้งสายตายังบอกว่าสิ่งที่ยังรั้งแสงสุทินเอาไว้กับบ้านหลังนี้มีเพียงแค่เขายังทำงานบ้านให้กับเธอเท่านั้น
แต่… ความสัมพันธ์ที่ร่อแร่ก็ใกล้จะถึงจุดแตกหัก
เวลาผ่านไปอีกสามสัปดาห์ ในระหว่างนั้นมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นอีกสองครั้ง ชิโอริพาแสงสุทินเข้าไปในสถานหลบภัยทันเวลาทุกครั้ง แล้วก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่แสงสุทินไม่เห็นเธออยู่ข้างในนั้นด้วย ไม่ว่าสายตาของคนรอบข้างจะมองเธออย่างไร หรือแม้แต่แสงสุทินจะเข้าไปคุยกับเธอหลังจากที่เคลื่อนย้ายกลับขึ้นมาหลังเหตุการณ์ข้างบนดินจบลง ชิโอริก็ไม่ตอบรับหรือปรับปรุงตัวอะไรเลย เธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ยินทุกอย่างที่เขาพูดอีกด้วย
การที่ไม่มีคนรอบข้างพดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงเพราะเห็นเธอทำจนชาชินไปแล้ว แต่สำหรับแสงสุทินที่เพิ่งมาที่ยุคสมัยนี้ได้แค่หนึ่งเดือน และช่วงเวลาที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งที่สองขยับเข้ามาใกล้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับกันได้
วันนี้ หลังจากสัญญาณเตือนภัยครั้งสุดท้ายผ่านมาได้ 6 วัน แสงสุทินกำลังล้างจานอยู่ในครัว ขณะที่ชิโอริซึ่งเพิ่งกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วยังไม่กลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น มันจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะพูดคุยอะไรสักอย่างกับเธอ และสิ่งที่เขาต้องการจะคุยด้วยก็ไม่ต่างจากทุกวันก่อนหน้านี้เลย
“เธอไม่คิดจะต่อสู้จริงๆ เหรอ” แสงสุทินถามขณะที่กำลังขัดกระทะที่มีคราบน้ำมันเกาะอยู่เต็มไปหมด
“นายก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ถามอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ” ชิโอริตอบอย่างเบื่อหน่าย
“ก็นั่นสินะ” แสงสุทินก้มหน้าล้างจานต่อไป
ในห้องครัวมีแต่เสียงขัดคราบสกปรกและเสียงพลิกหน้ากระดาษ จะมีเสียงพูดคุยกันระหว่างแสงสุทินกับชิโอริดังขึ้นเป็นบางครั้ง เฉพาะช่วงที่ทั้งสองมีอารมณ์อยากพูดคุยกันจริงๆ เท่านั้น มันแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มขยับห่างออกไปตั้งแต่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนได้ชัดเจนที่สุด จนกระทั่งเกิดเสียงดังกระทบหูทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดใส่กันมากขึ้น เกิดจากจานที่ลื่นน้ำยาล้างจานหล่นแตกอยู่ที่เท้าของแสงสุทินนั่นเอง
“จงใจสินะ” ชิโอริวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงกับโต๊ะ
“ไม่ใช่นะ น้ำยาล้างจานทำให้มือของฉันลื่น แต่ว่า จานใบนี้ก็ทำจากเซรามิคบอบบางเหลือเกินนะ ถ้าเธอซื้อจานพลาสติกที่หล่นไม่แตกก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้แล้ว แต่ฉันคิดว่าจานนี่ก็เหมือนกับใครบางคนเหมือนกันนะ”
“ฉันไม่ใช้จานพลาสติกเพราะว่ามันทำความสะอาดยากต่างหาก แล้วใครบางคนที่เหมือนจานเซรามิคนั่นคือใครเหรอ ฉันเดาว่าคงจะอยู่ใกล้ๆ นายจนแทบจะโยนหนังสือใส่ได้ใช่ไหม หวังว่าคำตอบของนายคงไม่ทำให้ผิดหวังนะ”
“จานเซรามิคมันหล่นแตกได้ เพราะงั้นถึงต้องเอาไปวางไกลๆ ขอบโต๊ะเพื่อไม่ให้ตกแตก ก็เหมือนกับใครบางคนที่เอาตัวเองอยู่ห่างๆ เรื่องที่จะทำให้อยู่ในอันตราย เพื่อที่จะได้ไม่หล่นแตกเหมือนกับจานใบนี้ ฉันคิดว่าคนที่ฉันพูดถึงกับคนที่เธอคิดเอาไว้จะเป็นคนเดียวกันนะ” แสงสุทินพูดเหน็บแนมขณะที่เดินไปหยิบไม้กวาด แตชิโอริก็ใช้มือหยิบเศษจานโยนลงถังขยะโดยที่ไม่สนใจว่าจะโดนบาด ซึ่งไม่มีทางที่มันจะบาดผิวหนังที่เหนียวเป็นพิเศษของเธอได้อยู่แล้ว
ความเงียบปกคลุมในห้องครัวอยู่นาน สิ่งที่ทำลายมันมีเพียงเสียงของไม้กวาดที่แสงสุทินนำกลับไปพิงที่เดิม กับเสียงเศษจานที่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ แล้วก็เสียงน้ำที่กระฉอกเพราะแสงสุทินกลับไปล้างจานที่เหลือต่อ ในระหว่างนั้น ชิโอริที่มีท่าทางรั้น แต่สายตากลับน้อยใจอย่างน่าประหลาดเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา
“นี่… สำหรับนายแล้ว เห็นฉันเป็นอะไรเหรอ”
“เธอเป็นคนที่รับฟังคำพูดของฉัน เป็นคนที่ให้ที่อยู่ชั่วคราวกับฉัน แล้วก็เป็นคนที่สอนเรื่องที่ฉันไม่รู้ให้” เขาตอบ “แล้วก็เป็นเซย์ริที่มีพลังพิเศษบินได้ แรงเยอะ แล้วก็โค่นต้นไม้ได้โดยไม่ต้องสัมผัส พูดง่ายๆ คือเหนือมนุษย์ แต่ก็เป็นคนที่โกหกฉันตั้งแต่วันแรก เข้าไปหลบในสถานหลบภัยโดยที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าตัดเรื่องนี้ไปได้ เธอก็ใช้ได้เลยนะ”
“นายอยากให้ฉันออกไปต่อสู้เหรอ” ชิโอริยิ้มแห้ง “ถึงผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ฉันจะถูกฆ่าในพริบตาน่ะเหรอ”
คำพูดของชิโอริราวกับต้องการทดสอบแสงสุทินเป็นครั้งสุดท้าย เขาเริ่มจะมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้เลย มันถูกแบ่งเป็นสองเส้นทาง ขึ้นอยู่กับคำตอบที่เขากำลังจะให้กับเธอหลังจากนี้ แต่เขามาไกลเกินกว่าที่จะกลับได้แล้ว มีแต่จะต้องพูดออกไปตามสิ่งที่คิดเท่านั้น
“มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ” แสงสุทินขจัดความลังเลเอ่ยคำพูดนี้ออกไป “ฉันเล่าให้เธอฟังแล้วใช่ไหม เรื่องที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้นในปีนี้น่ะ มนุษย์เกือบทั้งหมดจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีแค่เขตอยู่อาศัยที่ 101 ที่รอดมาได้ แต่มันก็จะถูกทำลายในปี 2197 อยู่ดี แล้วในปีที่ฉันจากมาก็ไม่มีเซย์ริเหลืออยู่อีกแล้ว แปลว่าเธอก็น่าจะถูกฆ่าไปด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่ว่ายังไงก็ต้องตาย ออกไปเผชิญหน้ากับความกลัวดีกว่าหลบซ่อนจนตายไปทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“พวกเราไม่ได้อยากทำสักหน่อย!” ชิโอริกัดฟัน ตะโกนเสียงดัง ราวกับท่าทางก่อนหน้านี้เป็นแค่การแสดงกลบเกลื่อนความรู้สึก “ฉันบอกนายไปแล้ว ขนาดคนอื่นที่แข็งแกร่งกว่าฉันยังถูกฆ่าตายหมด แล้วฉันที่อ่อนแอกว่าจะทำอะไรได้ ถ้าไม่มีเธอคนนั้น พวกเราจะไม่สามารถต่อสู้ได้เลย ถ้านายอยากปลุกใจก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับเธอไม่ดีกว่าเหรอ เสียใจด้วยที่ฉันไม่ใช่เธอ เป็นแค่แองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้นน่ะ”
“ถึงจะอ่อนแอที่สุด แต่มันก็น่าจะมีสิ่งที่เธอพอทำได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ออกไปสู้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ชนะ”
“เพราะฉันเห็นมาทั้งหมดแล้วน่ะสิ!” ชิโอริยื่นคำขาดสุดท้าย คำพูดนั้นทำให้แสงสุทินอึ้งไปชั่วขณะ “ฉันเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากับตา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าพวกเราจะพัฒนาขึ้นมากสักแค่ไหน พวกมันก็พัฒนาไล่ตามมาตลอด ไม่สิ พวกมันนำหน้าพวกเราไปหนึ่งก้าวเสมอ เด็กพวกนั้นถูกฆ่าโดยที่ฉันเข้าไปช่วยไม่ได้ นายน่าจะเข้าใจความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเองอ่อนแอ ช่วยเหลือใครไม่ได้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”
ชิโอริพูดถูก ก่อนที่จะรู้สึกตัวในปี 2170 แสงสุทินเห็นผู้รอดชีวิตทุกคนถูกฆ่าตายทีละคน คนแล้วคนเล่า ทั้งที่ในตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่ยืนมองผู้คนที่ถูกปากขนาดใหญ่กินเข้าไปโดยที่ขยับตัวไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว ทำไม่ได้แม้แต่จะเช็ดเลือดที่กระเด็นติดแก้ม หรือฟังเสียงร้องโหยหวนของคนที่ถูกกลืนเข้าไปได้จนจบ ความสำนึกในความไร้พลังของตัวเอง แสงสุทินก็เข้าใจดี เพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ไร้พลัง
แต่สำหรับเธอที่อยู่ตรงนี้ มันต่างกัน…
“แต่เธอมีพลังไม่ใช่เหรอ ถึงพลังของเธอจะสู้ไม่ได้ แต่มันต้องมีหน้าที่สำหรับเธออยู่แน่ ไม่ใช่แค่การหลบซ่อนแล้วอ้างว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายของมนุษย์เท่านั้นแน่ ขอแค่เธอยอมเดินออกไป…” แสงสุทินยังพูดไม่จบ
ก็ถูกชิโอริเอามือทั้งสองทาบที่หน้าอก แล้วผลักออกไปสุดแรง ร่างของเขาลอยคว้างจนทะลุหน้าต่าง เศษกระจกที่แตกทิ่มเข้าไปในเนื้อเป็นแผลเลือดไหล แต่ชิโอริที่เป็นคนทำกลับไม่สนใจใยดี ซ้ำยังมองดูผลงานของตัวเองจากในหน้าต่างเหมือนเขาสมควรได้รับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
“เอาแต่พล่ามว่าแค่ขจัดความกลัวก็ทำได้ทุกอย่าง ความคิดของนายไม่ได้ต่างจากเด็กที่เพิ่งดูผู้พิทักษ์ความยุติธรรมจบเลยสักนิดเดียว คิดว่าคนที่มีพลังแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเล่าเรื่องที่นายอยากได้ยินให้ ฉันไม่ได้มีพลังอะไร ไม่ได้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้เลยสักนิดเดียว!”
แววตาของชิโอริที่เอ่ยคำพูดนั้นเจ็บปวดมาก แต่สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่การเยียวยา แต่เป็นการขับไล่สิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกอย่างนี้ออกไปต่างหาก
“ออกไปจากบ้านของฉันเลยนะ งานบ้านของฉัน ฉันทำของฉันเองได้”
“แต่ว่า เธอเคยพูดเอง…”
คำพูดของแสงสุทินถูกแสงสีฟ้าจากฝ่ามือของชิโอริหน่วงเอาไว้ในลำคอ เธอชี้มือข้างนั้นด้วยสายตาจริงจังเหมือนกำลังจะบอกให้เขาหยุดพูดแล้วรีบจากไปเดี๋ยวนี้ หรือไม่อย่างนั้น เธอไม่รับประกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งสำหรับแสงสุทิน เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงต้องหันหลังให้กับบ้านที่ใช้อยู่อาศัยมาตลอดหนึ่งเดือน แล้วเดินลงจากภูเขาไปคนเดียว
เมื่อเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 แสงสุทินก็รีบหาป้ายรถประจำทางที่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้าไปนั่งพักทันที ระหว่างนั้นก็ใช้ความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปด้วย ทั้งที่ยังสับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้อยู่เลย
แสงสุทินเกิดในปี 2175 ไม่มีรายชื่อในทะเบียนประชากรของปี 2170 ตัดเรื่องที่จะหางานและที่อยู่อาศัยได้เลย
นอกเขตอยู่อาศัยเป็นพื้นที่อาบกัมมันตภาพรังสีทั้งนั้น ถึงจะผ่านมาเกือบ 140 ปีถ้านับจากปี 2170 จนรังสีน่าจะไม่เหลือแล้วก็ตาม แต่มันก็เต็มไปด้วยแมลงที่กลายพันธุ์เพราะสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยรังสีตลอด 140 ปีที่ผ่านมา ซ้ำเขายังไม่มีทักษะการเอาตัวรอดพื้นฐาน ตัดเรื่องที่จะออกไปใช้ชีวิตกลางป่าเขาได้เลย
สถานหลบภัยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่จะเปิดให้เข้าไปได้ก็ต่อเมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเท่านั้น และหลังจากที่มีประกาศให้ประชาชนกลับขึ้นมาก็ยังรู้สึกเหมือนกับมีเจ้าหน้าที่คอยไล่อีกด้วย ตัดเรื่องที่จะใช้ชีวิตสะดวกสบายในสถานหลบภัยเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองได้เลย
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ชีวิตในปี 2170 ของเขาก็จบสิ้นลงตั้งแต่ที่ชิโอริไล่ออกจากบ้านแล้ว
“หมดสิ้นแล้ว ชีวิตที่อุตส่าห์รอดมาได้ของฉัน…” แสงสุทินก้มหน้าปลง
ในท่านั้น เขาไม่ทันสังเกตว่ามีเด็กผู้หญิงรูปร่างเหมือนเด็กมัธยมต้นคนหนึ่งลอบเข้ามาข้างหลัง จ้องมองด้วยความสนใจ ขณะที่สายตาที่คนรอบข้างมองเธอไม่ต่างจากตอนที่มีคนรู้ว่าชิโอริเป็นเซย์ริ เธอสวมเสื้อแขนสั้นกับกางเกงผ้าขายาวสีน้ำตาล ส่วนเส้นผมกับดวงตาก็มีสีแดงเข้มราวกับเลือด
“มีเรื่องหนักใจเหรอคะ เวลากลางวันอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะมานั่งคอตกกลางแสงแดดร้อนๆ เลยนะ”
แสงสุทินได้ยินแล้วก็ไม่ขยับเขยื้อน เธออาจกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ แต่เมื่อคิดว่าในขณะนี้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่นั่งคอตกอยู่ตรงนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วก็ได้เห็นลักษณะพิเศษที่คล้ายกับชิโอริเข้าเต็มสองตา มันทำให้ริมฝีปากขยับไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เซย์…”
เด็กผู้หญิงคนนั้นเอื้อมมือเข้ามาปิดปาก แล้วจับมือดึงแสงสุทินตามเธอไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากป้ายรถประจำทางไปสองช่วงตึก เมื่อไปถึงแล้ว เธอก็ปล่อยมือจากแสงสุทินที่กำลังตกใจกับพละกำลังของเธอ แรงของเด็กคนนี้มีมากกว่าชิโอริเสียอีก แต่ท่าทางจะคุยรู้เรื่องมากกว่าชิโอริในตอนนี้ เขาเข้าไปนั่งพักตรงม้านั่งแล้วพูดเสียงอ่อน
“เธอก็เป็นเซย์ริเหรอ สีผมของเธอคล้ายกันมาก” แสงสุทินหลุดปากไปตามสิ่งที่เห็น แล้วเด็กผู้หญิงก็ตอบกลับมา
“ฟูจิซากิ ฮิโรมิค่ะ ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันเป็นเซย์ริได้ล่ะคะ ทั้งที่พวกเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก” ฮิโรมิเอ่ยถาม
ภายในความคิดของแสงสุทินมีความทรงจำแล่นเข้ามา มันค่อนข้างเจ็บปวด แต่เขามองเห็นภาพลางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทำเรื่องที่ไม่สู้ดีนัก เธอกำลังเหยียบใครสักคนที่ไม่ขยับตัวแล้ว และเด็กคนนั้นก็มีเส้นผมสีแดงคล้ายกับฮิโรมิจนแทบแยกจากกันไม่ได้ แต่ว่าน่าแปลก ทั้งที่ตอนที่เขานึกถึงเรื่องในอดีต็จะมีภาพหายนะพ่วงมาด้วยทุกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับมองไม่เห็นมันแล้ว แต่มีความเจ็บปวดเหมือนสมองจะระเบิดเข้ามาแทนที่
“สีผมของเธอ… ไม่ใช่สีดำ เหมือนกับคนที่ฉันรู้จัก” แสงสุทินเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยชื่อชิโอริ
“พูดถึงใครอยู่เหรอคะ” ฮิโรมิผุดยิ้มอย่างมีเลศนัย “เมื่อกี้นี้ คุณพูดว่ามีคนที่คล้ายกับฉันอยู่ด้วยเหรอคะ แต่เห็นว่าเจาะจงมาที่สีผมของฉัน คนรู้จักของคุณเป็นเซย์ริเหมือนกันเหรอคะ แต่ว่าน่าแปลกนะ ทำไมถึงมีมนุษย์ที่รู้จักเซย์ริด้วยล่ะ ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครรู้ถึงตัวจริงของพวกเรานอกจากคนของสถานีวิจัยอีกแล้วนะ”
“การที่ฉันรู้เรื่องของเซย์ริ มันน่าแปลกขนาดนั้นเชียว” ความสงสัยของแสงสุทินเพิ่มขึ้นจากคำพูดของเธอ
“น่าแปลกแน่นอนค่ะ” ฮิโรมิยิ้มรับ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างแสงสุทิน “รู้หรือเปล่าคะ ปกติแล้วจะไม่มีมนุษย์คนไหนรู้ถึงตัวจริงของเซย์ริอย่างพวกเราได้หรอก ยิ่งถึงขนาดทำความรู้จักกันได้ยิ่งไม่มีทาง เพราะในสถานการณ์ปกติอย่างนี้ เซย์ริจะอยู่แต่ในสถานีวิจัย จะออกมาได้็แค่กรณีที่ต้องต่อสู้ หรือว่ามีภารกิจให้ทำข้างนอกสถานีวิจัยเท่านั้น นอกจากทั้งสองกรณีแล้ว เซย์ริที่ออกมาข้างนอกสถานีวิจัยถือว่ามีความผิดทั้งหมดค่ะ”
เซย์ริที่อยู่นอกสถานีวิจัยถือว่ามีความผิด ชิโอริไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเลย เพื่อที่จะไม่ต้องต่อสู้ เธอถึงกับโกหกเรื่องหน้าที่ปลอมๆ ขึ้นมาหลอกเขา แต่เขาก็ยังเชื่อในคำโกหกหน้าตายของเธอโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความสงสัยและเคลือบแคลงใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในใจ
“อย่างนี้นี่เอง แปลว่าเธอกำลังทำภารกิจอยู่สินะ ภารกิจอะไรล่ะ” แสงสุทินถามกลับ
“ฉันกำลังตามหาเซย์ริคนหนึ่งอยู่ค่ะ” ฮิโรมิปั้นยิ้มขึ้น แล้วขยับเข้าไปใกล้แสงสุทินจนใบหน้าแทบจะสัมผัสกัน “ในเมื่อคุณรู้จักกับเซย์ริข้างนอกสถานีวิจัย ช่วยบอกได้ไหมว่าเซย์ริที่คุณรู้จักเป็นใคร แค่รูปพรรณเท่านั้นก็พอค่ะ ไม่แน่ว่าคนที่คุณรู้จักกับเซย์ริที่ฉันกำลังตามหาอาจเป็นคนเดียวกันก็ได้ แล้วฉันยังมีเรื่องที่ต้องตอบแทนเซย์ริคนนั้นอยู่พอดีเลยค่ะ”
ทุกคำพูดของฮิโรมิมั่นใจเกินกว่าที่จะเป็นคำถาม อย่างกับว่าเธอรู้คำตอบอยู่แล้วจึงเอ่ยคำถามขึ้นมา แต่ต่อให้ชิโอริจะเป็นคนที่เธอกำลังตามหา หรือว่าไม่ใช่ก็ตาม มันก็ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลยสักนิด แต่เขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง
“แล้วถ้าคนที่ฉันรู้จักไม่ใช่เซย์ริที่เธอตามหาล่ะ เธอจะทำยังไงต่อ”
“ฉันก็จะจำเอาไว้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในรายงานค่ะ” ฮิโรมิเผยรอยยิ้มขี้เล่น แสงสุทินรู้สึกเหมือนเคยเห็นรอยยิ้มนั้นที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี จึงตัดสินใจว่าจะไม่สนใจ แล้วให้ข้อมูลไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ชื่อที่อยู่ รวมถึงลักษณะรูปร่างของชิโอริถูกเล่าให้ฮิโรมิฟังโดยไม่ปิดบัง หลังจากที่เล่าทุกอย่างที่ต้องการเสร็จ ฮิโรมิก็ทำสีหน้าพึงพอใจมาก
“ทั้งหมดก็อย่างที่ฉันเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าไปหาชิโอริตอนนี้จะยังมีอารมณ์คุยด้วยหรือเปล่า คิดว่าถ้าจะไปพบ เธอคงต้องอดทนสักหน่อยในการคุยกับชิโอรินะ” แสงสุทินให้คำแนะนำกับฮิโรมิที่หันไปมองภูเขาที่บ้านของชิโอริตั้งอยู่ เธอจ้องมองราวกับเหยี่ยวที่กำลังคอยหาจังหวะเหมาะในการตะครุบเหยื่อ และจังหวะนั้นก็ผ่านมาถึงแล้ว
“ขอบคุณสำหรับการให้ข้อมูลนะคะ แต่ก่อนที่ฉันจะไป ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้เล่า เซย์ริที่อยู่ข้างนอกสถานีวิจัยในช่วงเวลาปกตินี้มีแค่ออกมาทำภารกิจ หรือไม่ก็เป็นเซย์ริที่หลบหนีออกมา ตามหลักแล้ว เซย์ริที่หลบหนีจะต้องได้รับโทษสถานหนัก คิดว่าฉันควรจะจัดการกับเซย์ริหนีทัพคนนั้นยังไงดีคะ”
น้ำเสียงของฮิโรมิถูกปรับให้ต่ำลง แสงสุทินเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาจึงไม่ได้สังเกตสายตามุ่งร้ายที่อีกฝ่ายกำลังมองขึ้นไปที่ภูเขานอกเขตอยู่อาศัยเลย ดังนั้น เขาจึงไม่รู้เจตนาจริงของทางนั้นด้วยเช่นกัน
“อยากทำอะไรก็แล้วแต่เธอเลยสิ ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยแล้วล่ะ”
แสงสุทินพูดอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งเพื่อค้นหาที่อยู่ใหม่ของตัวเอง แล้วคิดว่าจะไม่กลับไปที่บ้านของชิโอริอีกแล้ว แต่แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแปลกปลอม เป็นเสียงที่คล้ายกับนกตัวใหญ่กำลังกระพือปีก และอีกเสียงหนึ่งของเด็กผู้หญิงอันแหบพร่าที่ค่อยๆ ห่างออกไปทีละนิด
“ถ้าอย่างนั้น ถึงจะฆ่าทิ้งไปก็ไม่เป็นไรเหมือนกันสินะ”
คำพูดที่น่ากลัวถูกเอ่ยขึ้น แต่เมื่อแสงสุทินหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ฮิโรมิก็ไม่อยู่ตรงม้านั่งอีกต่อไปแล้ว เธอหายไปราวกับกลายเป็นอากาศธาตุ แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็เป็นเซย์ริ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ฮิโรมิจากไปจากตำแหน่งเดิมได้อย่างรวดเร็วก็คือการบิน แสงสุทินจึงเงยหน้ามองไปทุกทิศทาง แล้วก็เห็นแสงกะพริบตรงภูเขาที่บ้านของชิโอริตั้งอยู่ หรือสถานที่ที่เขาเพิ่งจะชี้ทางให้กับฮิโรมิไปเมื่อสักครู่นี้เอง
แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความกังวลที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุก็ผลักดันให้เขาเดินไปยังภูเขาลูกนั้น ด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นทีละนิด จนกลายเป็นการวิ่งสุดฝีเท้าไปโดยไม่รู้ตัว
“หวังว่า… มันจะไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดนะ” แสงสุทินพูดกับตัวเอง ขณะที่กำลังวิ่งออกไปนอกเขตอยู่อาศัย
ในขณะนั้น ห้องครัวของบ้านกลางภูเขาที่จานอาหารและอุปกรณ์ทำครัวยังล้างไม่เสร็จดี เด็กสาวผมสีฟ้าเงินกำลังรับช่วงต่อในการทำความสะอาดของพวกนั้นแทนคนเก่าที่เพิ่งถูกไล่ออกไปโดยตัวเธอเอง แต่ก็ไม่ได้เรื่อง มีเศษจานถูกทิ้งลงถังขยะเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดนั้นถูกบีบจนแตกคามือของเธอเอง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะจับให้เบามือที่สุดแล้ว แต่จานอีกใบที่กำลังล้างอยู่ก็ยังแตกอยู่ดี เธอหันไปมองโต๊ะกินข้าวที่เพิ่งถูกใช้โดยคนสองคน แต่ขณะนี้เหลือเธออยู่ในบ้านเพียงคนเดียว
“ฉันพูดเกินไปหรือเปล่านะ” ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงเหงา “แต่มันดีสำหรับนายมากกว่า อย่าโทษกันเลยนะ” แล้วก้มหน้าเก็บเศษจานที่แตกโยนลงถังขยะไปอีกหนึ่งใบ
ทันใดนั้น กำแพงห้องครัวถูกทำลายเข้ามาจากภายนอก ชิโอริรู้สึกเหมือนมีสายลมพัดผ่าน แต่ชั่วพริบตาถัดมา เธอเริ่มรู้สึกเจ็บที่สีข้าง มีเลือดไหลจากชายเสื้อที่ถูกกรีดจนขาดโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะไหลไม่หยุดเป็นทาง ความเจ็บปวดที่ตามมาทำให้เธอทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองกุมปากแผลที่ทั้งใหญ่และลึกเพื่อห้ามเลือด แต่แรงกระแทกที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังก็ผลักเธอตามไปข้างหน้า โผล่ทะลุกำแพงห้องครัว แล้วศีรษะก็ถูกเหยียบแนบพื้นอีกครั้งหนึ่ง
เธอรู้สึกเหมือนเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ในครั้งที่แล้ว คนที่ทำอย่างนี้กับเธอไม่ได้เริ่มโจมตีด้วยการฟัน
“ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือน ฉันกลับมาตามสัญญาแล้วนะ” ฮิโรมิเหลือบมองชิโอริที่อยู่แทบเท้าด้วยความสมเพช
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน แสงสุทินเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาจำได้เกี่ยวกับหายนะครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ เขาต้องฝืนเอ่ยจะความเจ็บปวดในทุกคำพูดที่เปล่งออกไป และเขายังเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ชิโอริกลับไม่ยอมเล่าเรื่องในส่วนของเธอบ้าง เธอเองก็เจ็บปวดเช่นกันที่ถูกแสงสุทินถาม แต่เธอกลับหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้น แล้วพยายามหันหน้าหนีจากมัน นั่นไม่ยุติธรรมเลย
“เธอไม่ต้องเล่าทั้งหมดก็ได้ แค่รายละเอียดที่ฉันควรจะรู้ก็พอ เกิดอะไรขึ้นที่บนดินหลังจากที่ฉันลงไปในสถานหลบภัยแล้วกันแน่ ทำไมเธอถึงได้หนีจากมัน ทั้งที่เธอก็เป็นเซย์ริ…” แสงสุทินเกลี้ยกล่อมชิโอริมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปาก เขาเพิ่งจะสังเกตว่าทุกครั้งที่พยายามตั้งคำถาม สีหน้าของชิโอริยิ่งดูไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความต้องการคำตอบก็ยังไม่ลดลง เขากลับยิ่งอยากรู้สาเหตุที่เธอทำสีหน้าแบบนั้นมากขึ้นไปอีก
“ถ้าเธอไม่ได้มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสถานหลบภัย แล้วทำไมเธอถึงเข้าไปในสถานหลบภัยด้วยล่ะ”
“แล้วมันจะทำไมเหรอ” ชิโอริยอมพูดประโยคแรกด้วยท่าทางรำคาญ
“มันไม่เข้าท่าเลยไม่ใช่เหรอ ในเมื่อไม่มีอันตรายหลุดรอดลงไปถึงสถานหลบภัยได้ เธอก็ไม่เห็นจะต้องอ้างว่าเป็นเซย์ริรักษาการณ์ให้กับพวกเราเลยนี่นา แล้วในเมื่อเธอเองก็เป็นเซย์ริ ทำไมเธอถึงไม่ออกไปต่อสู้ข้างบนดินเลยล่ะ ได้ยินมาว่าเธออยู่ในสถานหลบภัยทุกครั้งที่มีสัญญาณเตือนภัยด้วย”
ชิโอริไม่ตอบอะไร เธอลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู แล้วหันกลับมากวักมือเรียกแสงสุทิน
“นายตามมาด้วยกันหน่อยสิ ฉันจะแสดงให้เห็นว่าตัวจริงของเซย์ริเป็นยังไง”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่แสงสุทินก็เดินตามชิโอริออกไปนอกตัวบ้าน ขณะนั้นเป็นช่วงหัวค่ำ ข้างนอกบ้านที่มีแสงสว่างเพียงแสงไฟที่ลอดจากหน้าต่างทำให้ทิวทัศน์รอบข้างที่เป็นป่าน่ากลัวขึ้นมาก ชิโอริพาเขาเดินลึกเข้าไปในทิศตรงข้ามกับเขตอาศัยอาศัยที่ 101 ซึ่งมองเห็นเป็นทะเลแสงไฟจากภูเขา แล้วไปหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“นายได้เห็นแล้วใช่ไหม เซย์ริอย่างพวกเรามีความสามารถบินได้ ความเร็วสูงสุดที่ฉันเร่งขึ้นได้ตอนที่สวมอาภรณ์เทพธิดาคือ 6 เท่าของความเร็วเสียง หรือมากพอๆ กับเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการต่อสู้ช่วงนี้เลยล่ะ แต่ว่าเทอร์รารอยด์จะเร็วกว่านั้นอีก คือประมาณ 8 เท่าของความเร็วเสียง” ชิโอริเอ่ยอย่างภูมิใจ แต่น้ำเสียงฟังดูเหงานิดๆ “ไม่ต้องสงสัยว่าเทอร์รารอยด์คืออะไร ฉันไม่คิดจะเล่าให้ฟังมากกว่านี้หรอก แต่ว่า สิ่งที่เซย์ริทำได้ไม่ใช่แค่การบินหรอกนะ”
ระหว่างที่แสงสุทินกำลังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ชิโอริพูด เธอก็เริ่มสาธิตความสามารถของเซย์ริให้เขาเห็นในทันที เธอย่อเข่าลงแล้วกระโดดขึ้นไปแตะกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปนับสิบเมตรได้โดยไม่ต้องใช้ปีกส่งแรง แล้วหักกิ่งไม้ท่อนนั้นที่ใหญ่กว่าแขนของแสงสุทินได้ราวกับหักไม้เสียบลูกชิ้น ก่อนจะกลับลงมาที่พื้น แล้วใช้กิ่งไม้ที่หักมาได้ขยับเป็นดาบด้วยความเร็วสูง ในระดับที่แสงสุทินมองตามแทบไม่ทัน
“สุดยอด…” เขาเอ่ยชมด้วยความตะลึง
ร่างกายเล็กๆ ของชิโอริสามารถขยับได้อย่างคล่องแคล่ว ด้านพละกำลังก็เหนือกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงประสาทสัมผัสก็ชัดเจนไม่แพ้กัน หลังจากที่เหวี่ยงกิ่งไม้เหมือนดาบเสร็จแล้ว เธอก็โยนกิ่งไม้ท่อนนั้นไปกระทบยอดไม้ที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรได้โดยไม่หันไปมอง แต่ท่าทางของเธอราวกับเล็งเอาไว้อยู่แล้ว และทั้งที่ทำถึงขนาดนั้น ชิโอริยังไม่มีอาการเหนื่อยเลยสักนิด
“นี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เซย์ริทำได้นะ อยากเห็นอะไรมากกว่านี้ไหมล่ะ”
สิ้นเสียงของชิโอริ เธอก็ยื่นมือซ้ายเข้าหาต้นไม้ที่เธอเพิ่งหักกิ่งมาใช้แทนดาบ ในมือข้างนั้นมีแสงสีฟ้าเงินถูกจุดขึ้น แสงนั้นเป็นพลังทำลายที่ควบแน่นจนมีรูปร่างคล้ายลูกบอลขนาดเล็ก เมื่อได้จังหวะ ชิโอริก็ผลักลูกบอลแสงเข้าปะทะกับโคนต้นไม้ใหญ่ เกิดเสียงระเบิดและแรงฉีกกระชากมหาศาลคว้านโคนต้นไม้นั้นหายไปทั้งลำ ต่อหน้าแสงสุทินที่ตัวแข็งทื่อเพราะความมหัศจรรย์ที่ได้เห็นตรงหน้า
มันไม่เหมือนกับพลังในเทพนิยายเลย เหมือนการสาธิตอาวุธสงครามต่างหาก
“สุดยอด สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอทำได้ขนาดนี้ก็ไม่เห็นจะต้องเข้ามาหลบในสถานหลบภัยเลยไม่ใช่เหรอ ดีไม่ดี เรื่องที่เกิดขึ้นบนดินอาจจัดการได้เร็วขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะด้วยซ้ำ หรือว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นจริง หน้าที่จริงๆ ของเธอก็เหมือนกับที่เคยพูด ใช้พลังนั่นปกป้องพวกเราในกรณีที่มีอันตรายหลุดเข้ามาใช่ไหม”
“ขอบคุณที่ชมนะ แต่ว่า พลังแค่นี้ยังใช้ไม่ได้หรอก” ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงสมเพชตัวเอง
“หมายความว่ายังไง ก็เห็นอยู่ว่าเธอเพิ่งจะ…”
“พลังของฉันมีน้อยที่สุดในเซย์ริทั้งหมด ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าต่อสู้กับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เซย์ริส่วนใหญ่ทำได้ยังห่างกันมาก แต่นายไม่ควรได้เห็นมันหรอก ความจริงแล้ว นายไม่ควรรู้ว่าฉันมีพลังแบบนี้อยู่ด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า สิ่งที่เธอทำได้มันสุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอทำอย่างนั้นได้ การต่อสู้ก็ไม่น่าจะเกินแรงอะไรไม่ใช่เหรอ ถึงเธอคนเดียวจะเอาชนะไม่ได้ แต่ถ้าเธอร่วมมือกับเครื่องบินขับไล่ที่เธอพูดถึง แล้วก็เซย์ริคนอื่นๆ ที่เธอว่ามีพลังมากกว่าเธอ ทุกอย่างก็น่าจะคลี่คลายได้เรียบร้อย”
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ไหวหรอก” ชิโอริขึ้นเสียงดัง สายตาบอกว่าเธออัดอั้นมากจนต้องพูดออกมา “พลังแค่นี้ เทียบกับพวกมันที่ทำลายเด็กพวกนั้นได้ในพริบตา ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่เดินหน้าเข้าไปตายเพราะคำสั่งของคนที่นั่งสบายอยู่ในห้องปรับอากาศไม่ใช่เหรอ ส่วนคนที่ส่งไปตายก็คือ คนที่แสดงพลังครึ่งๆ กลางๆ ให้มนุษย์เห็นอยู่ตรงนี้ไงเล่า”
ราวกับความเก็บกดระเบิดออกมาในคราวเดียว แสงสุทินไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองต่ออะไรก่อน น้ำเสียงที่กระโชก หรือว่าสีหน้าที่บอกถึงความเศร้าโดยไม่มีน้ำตา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ปล่อยให้เรื่องที่ได้ยินผ่านหูไม่ได้เช่นกัน เพราะว่าในสิ่งที่ชิโอริระบายออกมามีความจริงที่คลุมเครือซ่อนอยู่ด้วย
“เธอ… เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องพวกนี้กันแน่” แสงสุทินถามด้วยความสงสัย แต่ในใจหนึ่งกลับไม่อยากรู้คำตอบเลย แล้วสิ่งที่ยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องก็คือ ชิโอริที่ให้คำตอบกลับมา ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นคนละคน
“เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเซย์ริ รู้แค่นี้ก็เกินพอแล้ว”
เธอให้คำตอบเท่านี้ก่อนจะเดินจากไป แสงสุทินเรียบเรียงความสัมพันธ์ของสิ่งที่เธอพูดให้ฟังไม่ได้เลย เธอเบี่ยงประเด็นไปจากทุกเรื่องที่เขาอยากรู้จนไม่เหลือความเชื่อมโยงเลย แต่มันก็ทำให้แสงสุทินได้รู้เรื่องอีกที่เขาไม่เคยสนใจ เซย์ริมีความสามารถในการทำเรื่องเหนือธรรมชาติให้กลายเป็นจริงได้ ทั้งยังแข็งแรงกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า แต่เซย์ริที่แข็งแรงขนาดนั้นกลับบอกว่ายังมีพลังไม่พอที่จะเข้าต่อสู้ แต่เขาก็นึกอะไรต่อไม่ออกแล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของชิโอริ
การเดินป่าตอนกลางคืนในสภาพที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย แมลงต่างๆ คอยจ้องจะกินเลือด เนื้อตัวของแสงสุทินจึงเต็มไปด้วยตุ่มคัน และตั้งแต่วันนั้น แสงสุทินที่ต้องการรู้เรื่องของชิโอริมากขึ้นก็เริ่มเห็นชิโอริเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เข้าไปถามก็จะถูกเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่องหนึ่ง และยิ่งแสดงให้เห็นความรำคาญยิ่งขึ้น ทั้งสายตายังบอกว่าสิ่งที่ยังรั้งแสงสุทินเอาไว้กับบ้านหลังนี้มีเพียงแค่เขายังทำงานบ้านให้กับเธอเท่านั้น
แต่… ความสัมพันธ์ที่ร่อแร่ก็ใกล้จะถึงจุดแตกหัก
เวลาผ่านไปอีกสามสัปดาห์ ในระหว่างนั้นมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นอีกสองครั้ง ชิโอริพาแสงสุทินเข้าไปในสถานหลบภัยทันเวลาทุกครั้ง แล้วก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่แสงสุทินไม่เห็นเธออยู่ข้างในนั้นด้วย ไม่ว่าสายตาของคนรอบข้างจะมองเธออย่างไร หรือแม้แต่แสงสุทินจะเข้าไปคุยกับเธอหลังจากที่เคลื่อนย้ายกลับขึ้นมาหลังเหตุการณ์ข้างบนดินจบลง ชิโอริก็ไม่ตอบรับหรือปรับปรุงตัวอะไรเลย เธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ยินทุกอย่างที่เขาพูดอีกด้วย
การที่ไม่มีคนรอบข้างพดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงเพราะเห็นเธอทำจนชาชินไปแล้ว แต่สำหรับแสงสุทินที่เพิ่งมาที่ยุคสมัยนี้ได้แค่หนึ่งเดือน และช่วงเวลาที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งที่สองขยับเข้ามาใกล้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับกันได้
วันนี้ หลังจากสัญญาณเตือนภัยครั้งสุดท้ายผ่านมาได้ 6 วัน แสงสุทินกำลังล้างจานอยู่ในครัว ขณะที่ชิโอริซึ่งเพิ่งกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วยังไม่กลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น มันจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะพูดคุยอะไรสักอย่างกับเธอ และสิ่งที่เขาต้องการจะคุยด้วยก็ไม่ต่างจากทุกวันก่อนหน้านี้เลย
“เธอไม่คิดจะต่อสู้จริงๆ เหรอ” แสงสุทินถามขณะที่กำลังขัดกระทะที่มีคราบน้ำมันเกาะอยู่เต็มไปหมด
“นายก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ถามอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ” ชิโอริตอบอย่างเบื่อหน่าย
“ก็นั่นสินะ” แสงสุทินก้มหน้าล้างจานต่อไป
ในห้องครัวมีแต่เสียงขัดคราบสกปรกและเสียงพลิกหน้ากระดาษ จะมีเสียงพูดคุยกันระหว่างแสงสุทินกับชิโอริดังขึ้นเป็นบางครั้ง เฉพาะช่วงที่ทั้งสองมีอารมณ์อยากพูดคุยกันจริงๆ เท่านั้น มันแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มขยับห่างออกไปตั้งแต่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนได้ชัดเจนที่สุด จนกระทั่งเกิดเสียงดังกระทบหูทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดใส่กันมากขึ้น เกิดจากจานที่ลื่นน้ำยาล้างจานหล่นแตกอยู่ที่เท้าของแสงสุทินนั่นเอง
“จงใจสินะ” ชิโอริวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงกับโต๊ะ
“ไม่ใช่นะ น้ำยาล้างจานทำให้มือของฉันลื่น แต่ว่า จานใบนี้ก็ทำจากเซรามิคบอบบางเหลือเกินนะ ถ้าเธอซื้อจานพลาสติกที่หล่นไม่แตกก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้แล้ว แต่ฉันคิดว่าจานนี่ก็เหมือนกับใครบางคนเหมือนกันนะ”
“ฉันไม่ใช้จานพลาสติกเพราะว่ามันทำความสะอาดยากต่างหาก แล้วใครบางคนที่เหมือนจานเซรามิคนั่นคือใครเหรอ ฉันเดาว่าคงจะอยู่ใกล้ๆ นายจนแทบจะโยนหนังสือใส่ได้ใช่ไหม หวังว่าคำตอบของนายคงไม่ทำให้ผิดหวังนะ”
“จานเซรามิคมันหล่นแตกได้ เพราะงั้นถึงต้องเอาไปวางไกลๆ ขอบโต๊ะเพื่อไม่ให้ตกแตก ก็เหมือนกับใครบางคนที่เอาตัวเองอยู่ห่างๆ เรื่องที่จะทำให้อยู่ในอันตราย เพื่อที่จะได้ไม่หล่นแตกเหมือนกับจานใบนี้ ฉันคิดว่าคนที่ฉันพูดถึงกับคนที่เธอคิดเอาไว้จะเป็นคนเดียวกันนะ” แสงสุทินพูดเหน็บแนมขณะที่เดินไปหยิบไม้กวาด แตชิโอริก็ใช้มือหยิบเศษจานโยนลงถังขยะโดยที่ไม่สนใจว่าจะโดนบาด ซึ่งไม่มีทางที่มันจะบาดผิวหนังที่เหนียวเป็นพิเศษของเธอได้อยู่แล้ว
ความเงียบปกคลุมในห้องครัวอยู่นาน สิ่งที่ทำลายมันมีเพียงเสียงของไม้กวาดที่แสงสุทินนำกลับไปพิงที่เดิม กับเสียงเศษจานที่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ แล้วก็เสียงน้ำที่กระฉอกเพราะแสงสุทินกลับไปล้างจานที่เหลือต่อ ในระหว่างนั้น ชิโอริที่มีท่าทางรั้น แต่สายตากลับน้อยใจอย่างน่าประหลาดเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา
“นี่… สำหรับนายแล้ว เห็นฉันเป็นอะไรเหรอ”
“เธอเป็นคนที่รับฟังคำพูดของฉัน เป็นคนที่ให้ที่อยู่ชั่วคราวกับฉัน แล้วก็เป็นคนที่สอนเรื่องที่ฉันไม่รู้ให้” เขาตอบ “แล้วก็เป็นเซย์ริที่มีพลังพิเศษบินได้ แรงเยอะ แล้วก็โค่นต้นไม้ได้โดยไม่ต้องสัมผัส พูดง่ายๆ คือเหนือมนุษย์ แต่ก็เป็นคนที่โกหกฉันตั้งแต่วันแรก เข้าไปหลบในสถานหลบภัยโดยที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าตัดเรื่องนี้ไปได้ เธอก็ใช้ได้เลยนะ”
“นายอยากให้ฉันออกไปต่อสู้เหรอ” ชิโอริยิ้มแห้ง “ถึงผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ฉันจะถูกฆ่าในพริบตาน่ะเหรอ”
คำพูดของชิโอริราวกับต้องการทดสอบแสงสุทินเป็นครั้งสุดท้าย เขาเริ่มจะมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้เลย มันถูกแบ่งเป็นสองเส้นทาง ขึ้นอยู่กับคำตอบที่เขากำลังจะให้กับเธอหลังจากนี้ แต่เขามาไกลเกินกว่าที่จะกลับได้แล้ว มีแต่จะต้องพูดออกไปตามสิ่งที่คิดเท่านั้น
“มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ” แสงสุทินขจัดความลังเลเอ่ยคำพูดนี้ออกไป “ฉันเล่าให้เธอฟังแล้วใช่ไหม เรื่องที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้นในปีนี้น่ะ มนุษย์เกือบทั้งหมดจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีแค่เขตอยู่อาศัยที่ 101 ที่รอดมาได้ แต่มันก็จะถูกทำลายในปี 2197 อยู่ดี แล้วในปีที่ฉันจากมาก็ไม่มีเซย์ริเหลืออยู่อีกแล้ว แปลว่าเธอก็น่าจะถูกฆ่าไปด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่ว่ายังไงก็ต้องตาย ออกไปเผชิญหน้ากับความกลัวดีกว่าหลบซ่อนจนตายไปทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“พวกเราไม่ได้อยากทำสักหน่อย!” ชิโอริกัดฟัน ตะโกนเสียงดัง ราวกับท่าทางก่อนหน้านี้เป็นแค่การแสดงกลบเกลื่อนความรู้สึก “ฉันบอกนายไปแล้ว ขนาดคนอื่นที่แข็งแกร่งกว่าฉันยังถูกฆ่าตายหมด แล้วฉันที่อ่อนแอกว่าจะทำอะไรได้ ถ้าไม่มีเธอคนนั้น พวกเราจะไม่สามารถต่อสู้ได้เลย ถ้านายอยากปลุกใจก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับเธอไม่ดีกว่าเหรอ เสียใจด้วยที่ฉันไม่ใช่เธอ เป็นแค่แองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้นน่ะ”
“ถึงจะอ่อนแอที่สุด แต่มันก็น่าจะมีสิ่งที่เธอพอทำได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ออกไปสู้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ชนะ”
“เพราะฉันเห็นมาทั้งหมดแล้วน่ะสิ!” ชิโอริยื่นคำขาดสุดท้าย คำพูดนั้นทำให้แสงสุทินอึ้งไปชั่วขณะ “ฉันเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากับตา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าพวกเราจะพัฒนาขึ้นมากสักแค่ไหน พวกมันก็พัฒนาไล่ตามมาตลอด ไม่สิ พวกมันนำหน้าพวกเราไปหนึ่งก้าวเสมอ เด็กพวกนั้นถูกฆ่าโดยที่ฉันเข้าไปช่วยไม่ได้ นายน่าจะเข้าใจความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเองอ่อนแอ ช่วยเหลือใครไม่ได้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”
ชิโอริพูดถูก ก่อนที่จะรู้สึกตัวในปี 2170 แสงสุทินเห็นผู้รอดชีวิตทุกคนถูกฆ่าตายทีละคน คนแล้วคนเล่า ทั้งที่ในตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่ยืนมองผู้คนที่ถูกปากขนาดใหญ่กินเข้าไปโดยที่ขยับตัวไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว ทำไม่ได้แม้แต่จะเช็ดเลือดที่กระเด็นติดแก้ม หรือฟังเสียงร้องโหยหวนของคนที่ถูกกลืนเข้าไปได้จนจบ ความสำนึกในความไร้พลังของตัวเอง แสงสุทินก็เข้าใจดี เพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ไร้พลัง
แต่สำหรับเธอที่อยู่ตรงนี้ มันต่างกัน…
“แต่เธอมีพลังไม่ใช่เหรอ ถึงพลังของเธอจะสู้ไม่ได้ แต่มันต้องมีหน้าที่สำหรับเธออยู่แน่ ไม่ใช่แค่การหลบซ่อนแล้วอ้างว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายของมนุษย์เท่านั้นแน่ ขอแค่เธอยอมเดินออกไป…” แสงสุทินยังพูดไม่จบ
ก็ถูกชิโอริเอามือทั้งสองทาบที่หน้าอก แล้วผลักออกไปสุดแรง ร่างของเขาลอยคว้างจนทะลุหน้าต่าง เศษกระจกที่แตกทิ่มเข้าไปในเนื้อเป็นแผลเลือดไหล แต่ชิโอริที่เป็นคนทำกลับไม่สนใจใยดี ซ้ำยังมองดูผลงานของตัวเองจากในหน้าต่างเหมือนเขาสมควรได้รับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
“เอาแต่พล่ามว่าแค่ขจัดความกลัวก็ทำได้ทุกอย่าง ความคิดของนายไม่ได้ต่างจากเด็กที่เพิ่งดูผู้พิทักษ์ความยุติธรรมจบเลยสักนิดเดียว คิดว่าคนที่มีพลังแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเล่าเรื่องที่นายอยากได้ยินให้ ฉันไม่ได้มีพลังอะไร ไม่ได้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้เลยสักนิดเดียว!”
แววตาของชิโอริที่เอ่ยคำพูดนั้นเจ็บปวดมาก แต่สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่การเยียวยา แต่เป็นการขับไล่สิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกอย่างนี้ออกไปต่างหาก
“ออกไปจากบ้านของฉันเลยนะ งานบ้านของฉัน ฉันทำของฉันเองได้”
“แต่ว่า เธอเคยพูดเอง…”
คำพูดของแสงสุทินถูกแสงสีฟ้าจากฝ่ามือของชิโอริหน่วงเอาไว้ในลำคอ เธอชี้มือข้างนั้นด้วยสายตาจริงจังเหมือนกำลังจะบอกให้เขาหยุดพูดแล้วรีบจากไปเดี๋ยวนี้ หรือไม่อย่างนั้น เธอไม่รับประกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งสำหรับแสงสุทิน เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงต้องหันหลังให้กับบ้านที่ใช้อยู่อาศัยมาตลอดหนึ่งเดือน แล้วเดินลงจากภูเขาไปคนเดียว
เมื่อเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 แสงสุทินก็รีบหาป้ายรถประจำทางที่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้าไปนั่งพักทันที ระหว่างนั้นก็ใช้ความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปด้วย ทั้งที่ยังสับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้อยู่เลย
แสงสุทินเกิดในปี 2175 ไม่มีรายชื่อในทะเบียนประชากรของปี 2170 ตัดเรื่องที่จะหางานและที่อยู่อาศัยได้เลย
นอกเขตอยู่อาศัยเป็นพื้นที่อาบกัมมันตภาพรังสีทั้งนั้น ถึงจะผ่านมาเกือบ 140 ปีถ้านับจากปี 2170 จนรังสีน่าจะไม่เหลือแล้วก็ตาม แต่มันก็เต็มไปด้วยแมลงที่กลายพันธุ์เพราะสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยรังสีตลอด 140 ปีที่ผ่านมา ซ้ำเขายังไม่มีทักษะการเอาตัวรอดพื้นฐาน ตัดเรื่องที่จะออกไปใช้ชีวิตกลางป่าเขาได้เลย
สถานหลบภัยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่จะเปิดให้เข้าไปได้ก็ต่อเมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเท่านั้น และหลังจากที่มีประกาศให้ประชาชนกลับขึ้นมาก็ยังรู้สึกเหมือนกับมีเจ้าหน้าที่คอยไล่อีกด้วย ตัดเรื่องที่จะใช้ชีวิตสะดวกสบายในสถานหลบภัยเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองได้เลย
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ชีวิตในปี 2170 ของเขาก็จบสิ้นลงตั้งแต่ที่ชิโอริไล่ออกจากบ้านแล้ว
“หมดสิ้นแล้ว ชีวิตที่อุตส่าห์รอดมาได้ของฉัน…” แสงสุทินก้มหน้าปลง
ในท่านั้น เขาไม่ทันสังเกตว่ามีเด็กผู้หญิงรูปร่างเหมือนเด็กมัธยมต้นคนหนึ่งลอบเข้ามาข้างหลัง จ้องมองด้วยความสนใจ ขณะที่สายตาที่คนรอบข้างมองเธอไม่ต่างจากตอนที่มีคนรู้ว่าชิโอริเป็นเซย์ริ เธอสวมเสื้อแขนสั้นกับกางเกงผ้าขายาวสีน้ำตาล ส่วนเส้นผมกับดวงตาก็มีสีแดงเข้มราวกับเลือด
“มีเรื่องหนักใจเหรอคะ เวลากลางวันอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะมานั่งคอตกกลางแสงแดดร้อนๆ เลยนะ”
แสงสุทินได้ยินแล้วก็ไม่ขยับเขยื้อน เธออาจกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ แต่เมื่อคิดว่าในขณะนี้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่นั่งคอตกอยู่ตรงนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วก็ได้เห็นลักษณะพิเศษที่คล้ายกับชิโอริเข้าเต็มสองตา มันทำให้ริมฝีปากขยับไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เซย์…”
เด็กผู้หญิงคนนั้นเอื้อมมือเข้ามาปิดปาก แล้วจับมือดึงแสงสุทินตามเธอไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากป้ายรถประจำทางไปสองช่วงตึก เมื่อไปถึงแล้ว เธอก็ปล่อยมือจากแสงสุทินที่กำลังตกใจกับพละกำลังของเธอ แรงของเด็กคนนี้มีมากกว่าชิโอริเสียอีก แต่ท่าทางจะคุยรู้เรื่องมากกว่าชิโอริในตอนนี้ เขาเข้าไปนั่งพักตรงม้านั่งแล้วพูดเสียงอ่อน
“เธอก็เป็นเซย์ริเหรอ สีผมของเธอคล้ายกันมาก” แสงสุทินหลุดปากไปตามสิ่งที่เห็น แล้วเด็กผู้หญิงก็ตอบกลับมา
“ฟูจิซากิ ฮิโรมิค่ะ ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันเป็นเซย์ริได้ล่ะคะ ทั้งที่พวกเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก” ฮิโรมิเอ่ยถาม
ภายในความคิดของแสงสุทินมีความทรงจำแล่นเข้ามา มันค่อนข้างเจ็บปวด แต่เขามองเห็นภาพลางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทำเรื่องที่ไม่สู้ดีนัก เธอกำลังเหยียบใครสักคนที่ไม่ขยับตัวแล้ว และเด็กคนนั้นก็มีเส้นผมสีแดงคล้ายกับฮิโรมิจนแทบแยกจากกันไม่ได้ แต่ว่าน่าแปลก ทั้งที่ตอนที่เขานึกถึงเรื่องในอดีต็จะมีภาพหายนะพ่วงมาด้วยทุกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับมองไม่เห็นมันแล้ว แต่มีความเจ็บปวดเหมือนสมองจะระเบิดเข้ามาแทนที่
“สีผมของเธอ… ไม่ใช่สีดำ เหมือนกับคนที่ฉันรู้จัก” แสงสุทินเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยชื่อชิโอริ
“พูดถึงใครอยู่เหรอคะ” ฮิโรมิผุดยิ้มอย่างมีเลศนัย “เมื่อกี้นี้ คุณพูดว่ามีคนที่คล้ายกับฉันอยู่ด้วยเหรอคะ แต่เห็นว่าเจาะจงมาที่สีผมของฉัน คนรู้จักของคุณเป็นเซย์ริเหมือนกันเหรอคะ แต่ว่าน่าแปลกนะ ทำไมถึงมีมนุษย์ที่รู้จักเซย์ริด้วยล่ะ ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครรู้ถึงตัวจริงของพวกเรานอกจากคนของสถานีวิจัยอีกแล้วนะ”
“การที่ฉันรู้เรื่องของเซย์ริ มันน่าแปลกขนาดนั้นเชียว” ความสงสัยของแสงสุทินเพิ่มขึ้นจากคำพูดของเธอ
“น่าแปลกแน่นอนค่ะ” ฮิโรมิยิ้มรับ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างแสงสุทิน “รู้หรือเปล่าคะ ปกติแล้วจะไม่มีมนุษย์คนไหนรู้ถึงตัวจริงของเซย์ริอย่างพวกเราได้หรอก ยิ่งถึงขนาดทำความรู้จักกันได้ยิ่งไม่มีทาง เพราะในสถานการณ์ปกติอย่างนี้ เซย์ริจะอยู่แต่ในสถานีวิจัย จะออกมาได้็แค่กรณีที่ต้องต่อสู้ หรือว่ามีภารกิจให้ทำข้างนอกสถานีวิจัยเท่านั้น นอกจากทั้งสองกรณีแล้ว เซย์ริที่ออกมาข้างนอกสถานีวิจัยถือว่ามีความผิดทั้งหมดค่ะ”
เซย์ริที่อยู่นอกสถานีวิจัยถือว่ามีความผิด ชิโอริไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเลย เพื่อที่จะไม่ต้องต่อสู้ เธอถึงกับโกหกเรื่องหน้าที่ปลอมๆ ขึ้นมาหลอกเขา แต่เขาก็ยังเชื่อในคำโกหกหน้าตายของเธอโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความสงสัยและเคลือบแคลงใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในใจ
“อย่างนี้นี่เอง แปลว่าเธอกำลังทำภารกิจอยู่สินะ ภารกิจอะไรล่ะ” แสงสุทินถามกลับ
“ฉันกำลังตามหาเซย์ริคนหนึ่งอยู่ค่ะ” ฮิโรมิปั้นยิ้มขึ้น แล้วขยับเข้าไปใกล้แสงสุทินจนใบหน้าแทบจะสัมผัสกัน “ในเมื่อคุณรู้จักกับเซย์ริข้างนอกสถานีวิจัย ช่วยบอกได้ไหมว่าเซย์ริที่คุณรู้จักเป็นใคร แค่รูปพรรณเท่านั้นก็พอค่ะ ไม่แน่ว่าคนที่คุณรู้จักกับเซย์ริที่ฉันกำลังตามหาอาจเป็นคนเดียวกันก็ได้ แล้วฉันยังมีเรื่องที่ต้องตอบแทนเซย์ริคนนั้นอยู่พอดีเลยค่ะ”
ทุกคำพูดของฮิโรมิมั่นใจเกินกว่าที่จะเป็นคำถาม อย่างกับว่าเธอรู้คำตอบอยู่แล้วจึงเอ่ยคำถามขึ้นมา แต่ต่อให้ชิโอริจะเป็นคนที่เธอกำลังตามหา หรือว่าไม่ใช่ก็ตาม มันก็ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลยสักนิด แต่เขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง
“แล้วถ้าคนที่ฉันรู้จักไม่ใช่เซย์ริที่เธอตามหาล่ะ เธอจะทำยังไงต่อ”
“ฉันก็จะจำเอาไว้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในรายงานค่ะ” ฮิโรมิเผยรอยยิ้มขี้เล่น แสงสุทินรู้สึกเหมือนเคยเห็นรอยยิ้มนั้นที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี จึงตัดสินใจว่าจะไม่สนใจ แล้วให้ข้อมูลไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ชื่อที่อยู่ รวมถึงลักษณะรูปร่างของชิโอริถูกเล่าให้ฮิโรมิฟังโดยไม่ปิดบัง หลังจากที่เล่าทุกอย่างที่ต้องการเสร็จ ฮิโรมิก็ทำสีหน้าพึงพอใจมาก
“ทั้งหมดก็อย่างที่ฉันเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าไปหาชิโอริตอนนี้จะยังมีอารมณ์คุยด้วยหรือเปล่า คิดว่าถ้าจะไปพบ เธอคงต้องอดทนสักหน่อยในการคุยกับชิโอรินะ” แสงสุทินให้คำแนะนำกับฮิโรมิที่หันไปมองภูเขาที่บ้านของชิโอริตั้งอยู่ เธอจ้องมองราวกับเหยี่ยวที่กำลังคอยหาจังหวะเหมาะในการตะครุบเหยื่อ และจังหวะนั้นก็ผ่านมาถึงแล้ว
“ขอบคุณสำหรับการให้ข้อมูลนะคะ แต่ก่อนที่ฉันจะไป ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้เล่า เซย์ริที่อยู่ข้างนอกสถานีวิจัยในช่วงเวลาปกตินี้มีแค่ออกมาทำภารกิจ หรือไม่ก็เป็นเซย์ริที่หลบหนีออกมา ตามหลักแล้ว เซย์ริที่หลบหนีจะต้องได้รับโทษสถานหนัก คิดว่าฉันควรจะจัดการกับเซย์ริหนีทัพคนนั้นยังไงดีคะ”
น้ำเสียงของฮิโรมิถูกปรับให้ต่ำลง แสงสุทินเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาจึงไม่ได้สังเกตสายตามุ่งร้ายที่อีกฝ่ายกำลังมองขึ้นไปที่ภูเขานอกเขตอยู่อาศัยเลย ดังนั้น เขาจึงไม่รู้เจตนาจริงของทางนั้นด้วยเช่นกัน
“อยากทำอะไรก็แล้วแต่เธอเลยสิ ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยแล้วล่ะ”
แสงสุทินพูดอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งเพื่อค้นหาที่อยู่ใหม่ของตัวเอง แล้วคิดว่าจะไม่กลับไปที่บ้านของชิโอริอีกแล้ว แต่แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแปลกปลอม เป็นเสียงที่คล้ายกับนกตัวใหญ่กำลังกระพือปีก และอีกเสียงหนึ่งของเด็กผู้หญิงอันแหบพร่าที่ค่อยๆ ห่างออกไปทีละนิด
“ถ้าอย่างนั้น ถึงจะฆ่าทิ้งไปก็ไม่เป็นไรเหมือนกันสินะ”
คำพูดที่น่ากลัวถูกเอ่ยขึ้น แต่เมื่อแสงสุทินหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ฮิโรมิก็ไม่อยู่ตรงม้านั่งอีกต่อไปแล้ว เธอหายไปราวกับกลายเป็นอากาศธาตุ แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็เป็นเซย์ริ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ฮิโรมิจากไปจากตำแหน่งเดิมได้อย่างรวดเร็วก็คือการบิน แสงสุทินจึงเงยหน้ามองไปทุกทิศทาง แล้วก็เห็นแสงกะพริบตรงภูเขาที่บ้านของชิโอริตั้งอยู่ หรือสถานที่ที่เขาเพิ่งจะชี้ทางให้กับฮิโรมิไปเมื่อสักครู่นี้เอง
แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความกังวลที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุก็ผลักดันให้เขาเดินไปยังภูเขาลูกนั้น ด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นทีละนิด จนกลายเป็นการวิ่งสุดฝีเท้าไปโดยไม่รู้ตัว
“หวังว่า… มันจะไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดนะ” แสงสุทินพูดกับตัวเอง ขณะที่กำลังวิ่งออกไปนอกเขตอยู่อาศัย
ในขณะนั้น ห้องครัวของบ้านกลางภูเขาที่จานอาหารและอุปกรณ์ทำครัวยังล้างไม่เสร็จดี เด็กสาวผมสีฟ้าเงินกำลังรับช่วงต่อในการทำความสะอาดของพวกนั้นแทนคนเก่าที่เพิ่งถูกไล่ออกไปโดยตัวเธอเอง แต่ก็ไม่ได้เรื่อง มีเศษจานถูกทิ้งลงถังขยะเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดนั้นถูกบีบจนแตกคามือของเธอเอง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะจับให้เบามือที่สุดแล้ว แต่จานอีกใบที่กำลังล้างอยู่ก็ยังแตกอยู่ดี เธอหันไปมองโต๊ะกินข้าวที่เพิ่งถูกใช้โดยคนสองคน แต่ขณะนี้เหลือเธออยู่ในบ้านเพียงคนเดียว
“ฉันพูดเกินไปหรือเปล่านะ” ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงเหงา “แต่มันดีสำหรับนายมากกว่า อย่าโทษกันเลยนะ” แล้วก้มหน้าเก็บเศษจานที่แตกโยนลงถังขยะไปอีกหนึ่งใบ
ทันใดนั้น กำแพงห้องครัวถูกทำลายเข้ามาจากภายนอก ชิโอริรู้สึกเหมือนมีสายลมพัดผ่าน แต่ชั่วพริบตาถัดมา เธอเริ่มรู้สึกเจ็บที่สีข้าง มีเลือดไหลจากชายเสื้อที่ถูกกรีดจนขาดโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะไหลไม่หยุดเป็นทาง ความเจ็บปวดที่ตามมาทำให้เธอทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองกุมปากแผลที่ทั้งใหญ่และลึกเพื่อห้ามเลือด แต่แรงกระแทกที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังก็ผลักเธอตามไปข้างหน้า โผล่ทะลุกำแพงห้องครัว แล้วศีรษะก็ถูกเหยียบแนบพื้นอีกครั้งหนึ่ง
เธอรู้สึกเหมือนเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ในครั้งที่แล้ว คนที่ทำอย่างนี้กับเธอไม่ได้เริ่มโจมตีด้วยการฟัน
“ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือน ฉันกลับมาตามสัญญาแล้วนะ” ฮิโรมิเหลือบมองชิโอริที่อยู่แทบเท้าด้วยความสมเพช
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ