สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,540 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ความมุ่งร้ายจากกลีบเมฆ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

---รายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น เครื่องบินรบกับบรรดาเซย์ริที่พวกเราส่งออกไปรับมือกับผู้รุกราน ผลที่ออกมาคือ พวกเราสามารถเอาชนะผู้รุกรานได้แล้ว ขอให้ประชาชนทุกท่านเตรียมตัวเคลื่อนย้ายกลับขึ้นไปโดยประตูของสถานหลบภัยที่กำลังจะเปิดออกในไม่ช้านี้ด้วย ขอย้ำอีกครั้ง…---

 

     เสียงประกาศดังขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผ่านไปได้สองชั่วโมง เมื่อเสียงประกาศเงียบลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นทั่วทุกแห่ง ไม่รู้ว่าเป็นการถอนหายใจเพราะโล่งอกที่โลกปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง หรือเพราะต้องลาจากความสะดวกสบายในสถานหลบภัย แต่สำหรับแสงสุทินที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนจากเพดาน เสียงถอนหายใจของเขาจัดอยู่ในกลุ่มแรก

     ประชาชนในเขตอยู่อาศัยที่ 101 ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนดิน แล้วสภาพภายนอกก็ปรากฏสู่สายตาของแสงสุทินพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเย็น อาคารบ้านเรือนที่เคลื่อนตัวลงใต้ดินถูกย้ายกลับขึ้นมาแล้ว เกือบทุกหลังได้รับความเสียหาย รวมถึงพื้นถนนบางจุดที่มีรอยแตกร้าวเป็นทางยาว ทุกอย่างอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม แต่การซ่อมก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็พร้อมกลับมาใช้งานได้ดังเดิม แล้วรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าก็กลับมาแล่นเต็มท้องถนนตามปกติ

     “มันเกิดอะไรขึ้น ระหว่างที่พวกเราลงไปอยู่ใต้ดินเหรอ” แสงสุทินเอ่ยเสียงสั่น แต่ในอีกใจหนึ่งก็โล่งอก อย่างน้อยก็ไม่มีน้ำแข็งหรือสายลมเย็นเกาะอยู่ตามทางเดินจากทางเข้าสถานหลบภัยให้เห็นเลยสักจุด แต่ระหว่างทางเดินกลับ ชิโอริก็ปรี่เข้ามาเกาะแขนของเขาเอาไว้แน่น ประกอบกับการสั่นเหมือนซ่อนตัวจากอะไรสักอย่าง

     ไม่มีคำพูดจากชิโอริ แต่แสงสุทินหันมองไปทิศตรงข้ามก็พบกับซากสีดำที่มีประกายไฟปะทุตลอดเวลา รูปร่างของมันคล้ายกับเครื่องบินขับไล่ที่ชนเข้ากับอะไรสักอย่าง แล้วถูกบดจากด้านบนซ้ำอีกครั้ง ตอนนี้มีการกั้นบริเวณให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการกับมันอยู่ คาดว่าจะจัดการกับซากพวกนั้นจนเสร็จได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

     “ขอถามอะไรได้ไหม ซากนี่ไปโดนอะไรเข้าเหรอครับ” คนช่างสงสัยคนหนึ่งเข้าไปถามเจ้าหน้าที่

     “ความเสียสละของวีรบุรุษครับ” เจ้าหน้าที่ตอบแล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ โดยไม่ตอบคำถามของใครอีกเลย

     ชิโอริเดินนำทางแสงสุทินไปที่บ้านของเธอที่ตั้งอยู่บนภูเขานอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 แต่ไม่ได้ไกลจนถึงขนาดที่จะไปเจอเข้ากับด่านตรวจคนเดินทางนอกเขตอยู่อาศัย ซึ่งทางเดินขึ้นภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้และกิ่งไม้ที่หลุดจากต้นในตอนที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น หลังจากที่พ้นจากเขตอยู่อาศัย ชิโอริก็ปล่อยมือที่เกาะแขนของแสงสุทิน ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นไปยังบ้านของเธอ แล้วนั่นก็เป็นจังหวะให้แสงสุทินถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่อยู่ในสถานหลบภัย

     “ชิโอริ ฉันขอถามอะไรเธออย่างหนึ่งสิ” แสงสุทินเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ เธอพูดว่าเซย์ริมีหน้าที่เข้าต่อสู้กับสิ่งที่จะมาถึงหลังจากที่ฉันลงไปใต้ดินแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอถึงลงไปข้างล่างกับพวกเราด้วยล่ะ”

     ชิโอริได้ฟังคำถามแล้วก็หยุดเดิน ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน สายตาแข็งเกร็งและมีความรู้สึกร้อนวูบวาบสลับเย็นเฉียบแล่นผ่านไปทั้งตัว เธอค่อยๆ หันกลับไปหาแสงสุทินที่กำลังรอคอบคำตอบจากเธอ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ

     “คือว่านะ… ในสภาวะสงคราม ไม่ได้มีทหารทั้งหมดที่ถูกส่งไปรบใช่ไหม จะมีทหารบางส่วนที่อยู่รักษาการณ์ให้กับประชาชน เผื่อว่าจะมีกองทัพข้าศึกที่หลุดรอดจากแนวหน้าเข้ามาได้ หน้าที่ของฉันก็คือ ฉันเป็นเซย์ริที่ได้รับหน้าที่ในการปกป้องมนุษย์ทั้งหมดในกรณีที่เซย์ริคนอื่นหยุดพวกมันไม่ได้ ฉันก็จะเข้าต่อสู้กับมันแทนไงคะ”

     “สรุปว่า เธอไม่ต้องไปต่อสู้ แต่เรื่องที่เธอเล่าให้ฉันฟังก่อนจะเข้าไปในสถานหลบภัย เธอแค่อยากให้ฉันรู้หน้าที่ของเซย์ริเท่านั้นใช่ไหม”

     “ถูกต้องแล้วค่ะ” ชิโอริตอบคำถามหลบตา

     “ค่อยโล่งอกหน่อย ฉันก็นึกว่าเธอกลัวที่จะต่อสู้เลยคิดจะเข้าไปซ่อนตัวซะอีก ที่แท้ก็มีเบื้องหลังอย่างนี้เองสินะ”

     ทุกคำพูดของแสงสุทิน ชิโอริได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วตอบกลับไปเป็นบางครั้ง เมื่อทั้งสองคนกลับไปถึงบ้านที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกจากกระแสลม ชิโอริก็ตัดสินใจว่าจะทำความสะอาดทีหลัง และยอมให้แสงสุทินค้างคืนที่บ้านของเธอได้สักระยะ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยคือ แสงสุทินจะต้องทำงานบ้านให้กับเธอ สำหรับเขาที่ไม่มีที่อยู่ในช่วงเวลานี้ นั่นเป็นข้อเสนอที่เล็กน้อยมาก แค่ปัดกวาดเช็ดถูทั่วทั้งบ้าน ล้างจานที่กินอาหารจนหมด แล้วก็ซักผ้าทั้งหมดแทนชิโอริ

     แต่เหตุผลจริงๆ ที่ชิโอริบอกกับเขาในภายหลังคือ ถ้าให้เธอทำงานบ้านเอง มันจะกลายเป็นหายนะทันที

     สังเกตได้ง่ายๆ จากสภาพภายในบ้านที่แสงสุทินเห็นเป็นครั้งแรก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกวางอย่างไม่เป็นระเบียบ มีเพียงห้องนั่งเล่นที่สะอาดอยู่เพียงห้องเดียว นอกจากนั้นระเกะระกะมาก ส่วนเสื้อผ้าของชิโอริก็ไม่ได้ซักเลย แค่แช่น้ำแล้วถูคราบออกไปเท่านั้น การที่แสงสุทินเข้ามาในชีวิตของเธออาจเป็นโชคดีก็ได้ โดยระหว่างที่แสงสุทินกำลังทำงานบ้าน ชิโอริก็เข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยไม่ให้แสงสุทินเข้าไปรบกวนเด็ดขาด บางครั้งก็นานจนแทบจะข้ามมื้ออาหารจนเขาต้องเคราะประตูเรียก แล้วชิโอริก็จะเปิดประตูรับพร้อมกับหน้าซีดๆ และรอยเลอะดินสอเต็มมือ และจะกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งหลังจากที่กินอาหารเสร็จ

     ถึงจะอยู่ตามลำพังชายหญิง ชิโอริแทบไม่กังวลเรื่องการละเมิดทางเพศเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสงสุทินไม่สนใจเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าเขาแค่ระดับเอวอยู่แล้ว

     ผ่านไปได้สามวัน ชิโอริที่เห็นแสงสุทินทำงานไม่ขาดตกบกพร่องเดินออกจากห้องนั่นเล่นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร แล้วเข้าไปหาแสงสุทินที่กำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ในห้องครัว วัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารก็เป็นพืชป่าและเนื้อบางส่วนที่มีเหลืออยู่ในตู้เก็บเครื่องครัว ซึ่งเธอถูกกลิ่นดึงดูดเข้ามานั่นเอง

     “กลิ่นหอมดีนะ จริงสิ นายอยู่กับฉันได้สามวันแล้วก็ไม่เห็นเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย นายจะเข้าไปซื้อเสื้อผ้าในเมืองก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะรับช่วงต่อทำงานบ้านให้เอง” ชิโอริเอ่ยถาม คำพูดสุภาพที่เคยใช้ก็ไม่มีอีกแล้ว คงเพราะเกรงใจที่ต้องให้เขาทำงานบ้านแทนเธอ

     “ไม่ดีกว่า ฉันไม่มีเงินน่ะ ถึงจะเลือกชุดมาได้ก็ไม่มีเงินจ่ายอยู่ดี แล้วฉันก็ไม่อยากรบกวนเงินของเธอด้วย”

     “ไม่เป็นไรหรอก เงินฉันมีเหลือเฟืออยู่แล้ว ถ้านายจะเอาไปสักพันหรือหมื่นก็ไม่เป็นไรหรอก หรือว่าให้ฉันเข้าไปซื้อของใช้ให้นาย ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่นายอุตส่าห์ทำงานบ้านแทนฉันแล้วกันนะ หรือว่านายอยากใส่เสื้อผ้าตัวเดิมที่มีคราบเลือดจางๆ ตลอดเวลา แล้วเวลาเอาไปซักก็ยืมเสื้อผ้าของฉันไปใส่แทน…”

     “ฉันไม่คิดอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ฉันละสายตาจากหม้อไม่ได้จริงๆ เอาไว้ฉันจะเข้าไปซื้อ แต่ว่าเรื่องเงิน…”

     “ฉันจัดการให้เอง หรือไม่ก็บอกมาว่าอยากได้อะไร ฉันจะเข้าไปซื้อให้นายทุกอย่าง ไม่ว่าของพวกนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากฉันก็แล้วกัน” ชิโอริพูดอย่างภูมิใจ นั่นเป็นครั้งที่สามที่เธอรู้สึกว่าตัวเองได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น แสงสุทินตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกสายตาที่จ้องมองอย่างมุ่งมั่นทำให้พูดอะไรไม่ออก

     หลังจากนั้น…

     “ครีมโกนหนวด มีดโกน เสื้อผ้าสำหรับผู้ชายไซส์กลาง ชุดชั้นในผู้ชาย อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม้ขัดพื้น ทั้งหมดนี่คือของที่อยากได้สินะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งใจกันหน่อยแล้วล่ะ” ชิโอริเดินถือรายการของที่แสงสุทินฝากซื้อเข้าไปยังย่านการค้า ความตั้งใจที่จะตอบแทนบุญคุณกำลังผลักดันให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อน และจุดหมายแรกของเธอ ชิโอริเลี้ยวเข้าไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่เธอเคยเข้าไปใช้บริการ แล้วส่งเสียงเรียกพนักงานขายดังกังวาน

     “ไม่ทราบว่ามีชุดชั้นในผู้ชายขายหรือเปล่าคะ”

     แล้วลูกค้าและพนักงานทุกคนก็หันมองเธอเป็นสายตาเดียวกัน ในสายตาของพวกเขา เด็กผู้หญิงที่อายุไม่น่าเกินวัยมัธยมต้นกำลังถามหาชุดชั้นในผู้ชาย แล้วตามมาด้วยเสียงบ่นด้วยความสงสัยว่าเธอจะเข้ามาถามในร้านขายเสื้อผ้าสตรีทำไม สุดท้ายก็ได้รับคำแนะนำให้เธอไปที่ร้านขายเสื้อผ้าบุรุษที่ตั้งอยู่อีกแห่งแทน แล้วการซื้อขายก็ผ่านไปด้วยดี

     สิ่งของชิ้นสุดท้ายถูกใส่ลงในถุงพลาสติกหลังจากของชิ้นแรกราว 20 นาที แล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับ ด้วยความที่ต้องการกลับไปให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด ชิโอริจึงเดินเข้าไปในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับย่านการค้า เธอเดินเข้าไปในส่วนของแผนกผู้ป่วยจิตเวช แล้วการเดินทางในระยะเวลาอันสั้นก็เริ่มขึ้น แผ่นหลังเล็กๆ ของชิโอริมีเนื้อสองก้อนนูนเป็นแผ่นกว้าง ขนนกงอกขึ้นปกคลุมก้อนเนื้อทั้งสองข้างบนแผ่นหลัง เมื่อขยับจึงเกิดเสียงขัดสีบางเบาขึ้น ชิโอริกางปีกทั้งสองพาตัวเธอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ไต่ระดับขึ้นไปจนแน่ใจว่าไม่มีใครมองเห็นเธอจากพื้นดินแล้วจึงมุ่งตรงไปยังบ้านของเธอในทันที

     ด้วยความเร็วที่สูงกว่ารถวิ่ง ชิโอริจึงใช้เวลาสั้นมากในการเดินทาง แต่เธอไม่รู้สึกตัวเลยว่าภายในก้อนเมฆที่อยู่สูงกว่าตัวเธอขึ้นไปอีก มีใครกำลังจับตามองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนที่ชิโอริตระเวนหาของใช้ที่จำเป็นอยู่ในย่านการค้า

     “ฟูจิซากิ ชิโอริ ไม่ผิดตัวแน่นอน”

เมื่อยืนยันเป้าหมายได้ คนที่ซ่อนตัวอยู่ในกลีบเมฆก็สยายปีกสีน้ำตาลไร้ขน แล้วพุ่งตรงเข้าใส่ชิโอริที่ไม่ทันได้ระวังตัวด้วยความเร็วเสียง แรงกระแทกทำให้ชิโอริถูกเกาะติดลงไปที่พื้นดินด้วย จนร่วงลงถึงพื้นในภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่นอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 ใกล้กับภูเขาลูกที่เป็นที่ตั้งของบ้านของเธอ ร่างของชิโอริไถลไปกับพื้นเป็นทางยาว ของที่ใส่อยู่ในถุงพลาสติกกระจัดกระจายอยู่กลางอากาศ แล้วก็มีของเหลวดันขึ้นมาจากลำคอ เมื่อชิโอริบ้วนออกมาจึงรู้ว่าเป็นเพียงกรดในกระเพาะ แต่เธอก็มีเวลาให้ตกใจไม่มาก เมื่อศีรษะของเธอถูกกดให้จมลงไปในร่องดินที่ร่างกายของเธอขุดขึ้นมาทันที

     “ใคร…” ชิโอริฝืนความเจ็บปวดพูด แต่เสียงของเธอฟังไม่ชัดเพราะหันหน้าลงไปในดิน

     “อ้าว ฉันไปเหยียบอะไรเข้าล่ะ ทั้งที่อยู่กลางอากาศก็ยังมีอะไรให้เหยียบโดนได้อีกนะ” เด็กผู้หญิงที่มีวัยใกล้เคียงกับชิโอริพูดขณะที่เหยียบศีรษะของชิโอริหนักขึ้น ก่อนจะก้มลงไปพูดพร้อมกับดวงตาสีแดงเหมือนกับเลือด “เจอตัวสักทีนะ คิดว่าวันนี้จะต้องกลับไปมือเปล่าซะแล้วสิ แต่ถ้าฉันกลับไปมือเปล่าจริงๆ มีหวังสถานีวิจัยเล่นฉันตายแน่”

     เสียงที่ได้ยินไม่ค่อยคุ้นหูชิโอริเลย แต่แรงเหยียบของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาเลย ถึงขนาดที่กดศีรษะของเซย์ริให้จมดินได้ มันไม่ใช่แรงของมนุษย์ทั่วไป หรือแม้แต่แองเจลอยด์ที่เป็นเซย์ริสายพันธุ์เดียวกับเธอด้วยเช่นกัน ภาพในหัวของชิโอริตัดไปเป็นเด็กผู้หญิงที่มีเส้นผมสีแดงโดยอัตโนมัติ

     “เธอคือเทอร์รารอยด์ใช่ไหม เธอเป็นใครเหรอ”

“ลองเดาจากเสียงดูสิ คุณชิโอริที่เคยให้กำเนิดเซย์ริมานับไม่ถ้วนคงไม่พลาดใช่ไหม” เด็กผู้หญิงผมแดงยกเท้าขึ้นเล็กน้อยพอให้ชิโอริเงยหน้าขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ชิโอริมองเห็นจากตรงนั้นมีเพียงชุดหนังสีแดงเข้มเหมือนเลือด กับเส้นผมที่มีสีเดียวกันกับชุดที่สวมอยู่เท่านั้นเอง ชิโอริมีท่าทางสงสัยในตอนแรก แต่ว่าในพริบตาต่อมา ดวงตาของเธอก็เบิกโพลง

     “ฮิโรมิ” ชิโอริเอ่ยชื่อที่นึกได้ขึ้นมา เด็กผู้หญิงผมแดงตอบสนองต่อชื่อนั้น “ไม่จริงน่า มันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เธอไม่ควรจะ…”

     “ใช่ ฉันไม่ควรจะออกมาได้” เด็กสาวที่ชื่อฮิโรมิเหยียบศีรษะของชิโอริลงไปอีกครั้ง “แต่ว่าฉันก็ออกมาแล้ว คิดว่าเธอคงอยากแสดงความยินดีให้กับฉันอยู่ใช่ไหม แต่คงต้องเอาไว้หลังจากที่กลับไปถึงสถานีวิจัยก่อนนะ ทางนั้นต้องการตัวเธอถึงขนาดที่ต้องให้ฉันรับหน้าให้เลยนะ รู้สึกว่าในการต่อสู้ครั้งก่อน เธอไม่ได้โผล่เข้ามาช่วยพวกเราต่อสู้เลยใช่ไหม คิดแล้วมันก็ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยนะ คนขี้ขลาดที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังยังมีชีวิตรอดอยู่จนป่านนี้ แต่คนกล้าหาญที่ออกมาฉากหน้ากลับล้มหายไปแทบจะทันที แต่ก็ถือว่าเก่งแล้วนะที่ยังใช้ชีวิตอย่างคนขี้ขลาดมาได้จนถึงป่านนี้น่ะ”

     ฮิโรมิกดใบหน้าของชิโอริให้จมดินลึกลงไปอีก ชิโอริพยายามดันตัวขึ้นมาจากพื้น แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อได้เห็นการขัดขืนที่สูญเปล่าแล้ว ฮิโรมิก็ก้มมองด้วยสายตาสมเพช

     “สองปีแล้วสินะ ฉันได้รับคำสั่งจากสถานีวิจัยให้จับตัวเธอกลับไปรับโทษที่เธอก่อ ตอนที่ถูกเรียกตัวไปรับหน้าที่เมื่อวานนี้ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงมีแค่ฉันคนเดียว แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว มันเพราะว่าเธออ่อนแอจนฉันคนเดียวก็เหลือเฟือที่จะพาตัวกลับไปได้แล้ว เอาล่ะ ฉันให้โอกาสเธอตัดสินใจนะ ระหว่างเธอจะกลับไปรับโทษโดยไม่ขัดขืน ถ้ากลับไปตอนนี้อาจได้รับโทษสถานเบาที่สุดเท่าที่จะผ่อนผันได้ก้ได้ แต่ถ้าหากว่าเธอคิดขัดขืน…”

     ฮิโรมิเอื้อมมือไปหยิบปลอกดาบทรงกระบอกที่เหน็บอยู่หลังเอว เมื่อเธอส่งผ่านพลังลงไป ลำแสงสายสั้นก็ปรากฏขึ้นที่ปลายด้านหนึ่ง ก่อตัวหนาแน่นจนเป็นรูปคล้ายดาบ เธอชี้มันลงไปที่ต้นคอของชิโอริใต้ฝ่าเท้าของเธอ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

     “จะให้ฉันพิพากษาเธอตอนนี้เลยก็ได้นะ”

     ไม่มีคำพูดโต้ตอบจากชิโอริ ไม่แน่ว่าเธออาจกำลังตัดสินใจอยู่ ฮิโรมิจึงคิดจะเร่งให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น ด้วยการยกฝ่าเท้าขึ้นจากศีรษะ แล้วเหยียบกลับลงไปเต็มแรง มีเสียงตอบกลับมาจากชิโอริ แต่ว่าเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่การตอบคำถามที่เธอต้องการ ได้ยินดังนั้น ฮิโรมิก็ถอนหายใจ คมดาบถูกเก็บเข้าไปในปลอก

     “ไม่คิดว่าจะน่าผิดหวังขนาดนี้เลยนะ ไหนพวกที่สถานีวิจัยบอกว่าเธอเป็นคนที่น่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ไงล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลยสักนิด เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ลองพูดตามฉันดูนะ ‘ฉันยอมแพ้เธอแล้ว ฉันจะยอมกลับไปที่สถานีวิจัยด้วยก็ได้ แต่ว่าได้โปรด อย่าทำอะไรมนุษย์ที่อาศัยอยู่กับฉันเลยนะ’ มันก็ง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ ไหนลองพูดให้ฉันฟังดูสิ”

     ฮิโรมิพูดอย่างได้ใจ แต่ไม่มีคำตอบจากชิโอริ เพียงแต่มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายกำดินจนเป็นรูปนิ้วมือ แล้วฮิโรมิก็ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง

     “มันจะไปยากอะไรนักหนา ก็แค่ยอมแพ้ฉันแล้วกลับไปสถานีวิจัยที่เธอควรอยู่เท่านั้นเอง หรือว่าจะให้ฉันซ้อมเธอจนน่วมก่อนแล้วค่อนพากลับไป แต่ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะ ฉันอาจจะตัดแขนตัดขาของเธอแล้วเอาไปส่งทั้งสภาพอย่างนั้นเลยก็ได้ ถึงยังไงก็ต่อกลับเหมือนเดิมได้อยู่แล้วนี่นา แค่มันจะเจ็บตอนที่ตัดออกเท่านั้นเอง”

     แล้วเหยียบลงไปที่ศีรษะของชิโอริแรงกว่าเดิม แต่ว่าคราวนี้ มือซ้ายของชิโอริก็จับข้อเท้าเอาไว้ ตรึงไม่ให้ขยับได้

     “ถึงฉันจะกลับไปกับเธอ ฉันก็ต้องถูกกำจัดอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” ชิโอริเงยหน้าขึ้นจากพื้น ใบหน้าที่แยกเขี้ยวจนน่ากลัวเปื้อนดินจนกลายเป็นน่าหัวเราะ “แล้วเธอก็อย่าดูถูกฉันให้มากนัก ถึงฉันจะอ่อนแอก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะแพ้เธอหรอกนะ”

     “เธอกำลังพูดอะไร ปล่อยขาของฉันเดี๋ยวนี้นะ”

     “ฉันกำลังพูดว่า อย่าประเมินคนอื่นจากสิ่งที่เธอเห็นเท่านั้นสิ เด็กน้อยที่กำลังหลงตัวเอง” ชิโอริพูดเชิงท้าทาย ก่อนจะปล่อยข้อเท้าของฮิโรมิให้เป็นอิสระ เธอเซถอยหลังไปหลายก้าว เป็นจังหวะให้ชิโอริลุกขึ้นมาในสภาพที่เสื้อผ้าเปื้อนดินไปทั้งตัว และถึงจะถูกโจมตีทีเผลอกลางอากาศ ชิโอริก็ไม่มีท่าทีเหมือนคนบาดเจ็บหนักเลยสักนิด

     “อย่าประเมินตัวเองสูงนักเหรอ ขอคืนคำพูดนั่นกลับไปให้เธอเลยนะ” ฮิโรมิส่งผ่านพลังลงไปที่ดาบ คมดาบแสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง เธอชี้ไปที่ชิโอริแล้วพูดเสียงดัง “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่แขนขาที่โดนตัดไป ฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะ” พูดจบแล้วก็เร่งความเร็วด้วยปีกสีน้ำตาลพุ่งเข้าใส่ชิโอริด้วยความเร็วเสียง แต่ปลายดาบที่ยื่นไปโดยมีเป้าหมายคือไหล่ขวาของชิโอริกลับสัมผัสไม่ถูกอะไรเลย ฝ่ายตรงข้ามกลับจะยืนนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

     “ฉันพูดผิดตรงไหนเหรอ” ชิโอริเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ถ้าเธอคิดจะโจมตีฉันให้โดน คงต้องใช้ความเร็วมากกว่านั้นหน่อยนะ แต่เทอร์รารอยด์อย่างเธอคงทำได้ง่ายๆ อยู่แล้วจริงไหม ถ้ามาโดกะเป็นคนสอนให้เธอแล้วนะ”

     “ปากดีนักนะ ไม่ได้ต่อสู้จริงจังมาตั้งสองปีแท้ๆ ถ้าอย่างนั้น-!”

     ฮิโรมิเร่งความเร็วเข้าฟันด้วยดาบแสง แต่การโจมตีทั้งหมดก็ถูกหลบได้ด้วยความเคลื่อนไหวเล็กน้อยของชิโอริ ราวกับถูกมองขาดทั้งหมดว่าคมดาบจะฟันใส่เธอจากมุมไหน ไม่มีแองเจลอยด์ที่หลบการโจมตีเป็นเส้นตรงจากระยะไกลไม่พ้นอีกแล้ว มีแต่ท่าทางที่เหมือนนักสู้ที่ผ่านการต่อสู้ตัวต่อตัวมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้น แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของฮิโรมิมากที่สุดก็คือ ชิโอริยังไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เทพธิดาเลยด้วยซ้ำ ราวกับจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเอาจริงในการต่อสู้ครั้งนี้เลย แล้วมันก็ทำให้เธอฉุนขาด

     “ดูถูกกันนัก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพาตัวกลับไปแล้ว ฉันจะพิพากษาเธอตรงนี้แหละ!” ฮิโรมิประกาศความตั้งใจก้อง เธอกางปีกสีน้ำตาลแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วเหนือเสียง อาภรณ์เทพธิดาในรูปของชุดหนังสีแดงเลือดมองเห็นเป็นเส้นสีแดงลากผ่านท้องฟ้าในชั่วพริบตา แล้วสุดท้าย ฮิโรมิก็เร่งความเร็วกลับลงมาที่ชิโอริเป็นมุมฉากโดยที่ความเร็วไม่ลดลง กลับจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

     “มัค 2 ไม่ใช่สิ ใช้ความเร็วมัค 3 ในเวลาอย่างนี้ คิดจะตัดสินให้จบไปเลยสินะ” ชิโอริแหงนมองเส้นสีแดงที่พุ่งตรงเข้าหาเธออย่างใจเย็น “แต่เรื่องแค่นั้น มันเป็นพื้นฐานของเทอร์รารอยด์ที่ฉันเคยฝึกให้ในสถานีวิจัยเลยนะ” มีโอกาสเพียงเสี้ยววินาที ชิโอริกางปีกขึ้นกลางหลัง แล้วใช้มันเป็นจุดศูนย์ถ่วงใหม่ทำให้ขยับหลบปลายดาบที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียงสามเท่าได้ แล้วกำหมัดชกสวนขึ้นไปเป็นเส้นตรง

     หมัดเปล่าๆ ของชิโอริปะทะกับใบหน้าของฮิโรมิอย่างจัง รูปหน้าของฮิโรมิยุบลงไปตามแรงหมัด ดาบแสงหลุดมือไปเสียบที่พื้นใกล้ปลายเท้าของชิโอริ เธอออกแรงงัดน้ำหนักของฮิโรมิกลับขึ้นไปในอากาศ แล้วกระโดดขึ้นตาม กางมือยิงลูกพลังสีฟ้าเงินเข้ากลางหลังของฮิโรมิจนลอยไปกระแทกกับต้นไม้อย่างแรงจนหักโค่น เกิดเสียงดังจนแสงสุทินที่อยู่ห่างออกไปยังได้ยิน แล้วที่โคนต้นไม้ต้นนั้น ฮิโรมิที่ใบหน้าเสียรูปจนจำเค้าโครงเดิมแทบไม่ได้นั่งทรุดอยู่ในสภาพที่เนื้อตัวสั่นเทาจากความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดในชีวิต

     “จบแล้วสินะ ใครพูดเอาไว้ว่าจะตัดแขนขาฉันแล้วส่งไปให้สถานีวิจัยกันนะ”

     ชิโอริที่เห็นว่าฮิโรมิสู้ต่อไม่ไหวแล้วจึงก้มลงไปหยิบดาบที่ปักพื้นอยู่ แล้วส่งผ่านพลังของเธอเองลงไปจนคมดาบเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเงิน แล้วชี้เข้าหาฮิโรมิที่นั่งตัวสั่นด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่โคนต้นไม้ ฮิโรมิที่รู้ตัวว่าถูกชี้ดาบใส่พยายามดิ้นรนถอยหลัง แต่ในสภาพนั้นกลายเป็นว่าเธอเบียดตัวแนบชิดกับโคนต้นไม้มากขึ้นเท่านั้นเอง

     “ทำอะไรใครไว้ก็ต้องเตรียมใจว่าจะโดนทำอย่างนั้นกลับคืน หวังว่าเธอจะเตรียมใจเอาไว้แล้วนะ” ชิโอริถือดาบของฮิโรมิด้วยมือซ้าย เพราะมือขวาที่ใช้ชกมีอาการฟกช้ำอย่างรุนแรง คงใช้ขยับไม่ได้สักระยะ

     “อย่านะ… ได้โปรด อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” ฮิโรมิเปลี่ยนเป็นฝ่ายร้องขอความเมตตา น้ำตาที่ไหลพรากจากความเจ็บปวดเริ่มทำให้เธอดูน่าสงสารขึ้นทีละนิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที เธอเพิ่งทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามมานี่เอง “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ทั้งหมดที่ฉันทำไปทั้งหมดก็แค่อยากทดสอบว่าเธอยังมีใจที่จะต่อสู้อยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ได้ตั้งใจจะตัดแขนขาของเธอ หรือว่าจะทำอะไรกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่กับเธอสักหน่อย เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”

     เสียงอ้อนวอนไม่ได้รับการตอบรับ ในขณะเดียวกัน ปลายดาบที่ชิโอริถือก็ยิ่งยาวขึ้นจนจ่ออยู่ที่หน้าอกของฮิโรมิ

     “เธอกลัวเหรอ เด็กคนที่อวดเก่งเมื่อกี้นี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ” เสียงอันว่างเปล่าของชิโอริเอ่ยถาม

     หลังจากนั้น ชิโอริฟังไม่รู้เรื่องว่าฮิโรมิพูดอะไรบ้าง แต่รู้สึกเหมือนจะพูดวนอยู่แค่ไม่กี่คำ และถ้อยคำทั้งหมดถูกเอ่ยด้วยความหวาดกลัว เสียงของเธอยิ่งสั่นเทายิ่งขึ้นเมื่อชิโอริเข้าไปใกล้ แล้วทันใดนั้น ชุดหนังสีแดงเลือดก็ถูกกลืนหายเข้าไปใต้ผิวหนังของฮิโรมิ เผยให้เห็นเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาล และกางเกงผ้าหนาขายาวสีเดียวกันที่สวมทับอยู่ข้างใต้ จากตำแหน่งนั้น ฮิโรมิมองเห็นดาบของเธอกำลังยกขึ้นเพื่อฟันใส่เจ้าของเดิมของมัน ดวงตาสีแดงเข้มหลับแน่นเพื่อรอรับความเจ็บปวด

     "ฉันเอง... ก็ไม่ต่างกันหรอก"

     แต่แล้ว มีเสียงหญ้าถูกแหวกดังขึ้นที่ปลายเท้าของฮิโรมิ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คมดาบแสงสีฟ้าเงินก็จางหายไป แล้วชิโอริก็โยนปลอกดาบคืนกลับมา มันกลิ้งเข้ามาอยู่ในอุ้งมือที่เริ่มขยับได้ทีละนิด ราวกับจะบอกว่าให้เธอใช้มันทำในสิ่งที่เธออยากทำ ไม่ต้องลังเลอะไรทั้งนั้น

     “ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน เพราะเกิดมาเป็นแองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุด ฉันจึงถูกประเมินว่าไม่สามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศได้ ถ้าถึงตาที่ฉันออกไปต้องต่อสู้ ฉันคงถูกมันฆ่าตายเป็นคนแรกแน่ แล้วร่างกายมันก็สั่นไปหมด ฉันคิดว่าเธอโชคคีมากเลยนะที่ไม่ได้เกิดมาอ่อนแอเหมือนกับฉัน…”

     “มันก็แค่… คำพูดของพวกขี้แพ้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ”

ฮิโรมิไม่เข้าใจในสิ่งที่ชิโอริต้องการจะสื่อเลย ในแต่ละคำพูดนั้นราวกับต้องการลดค่าของตัวเองลง แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ฮิโรมิพอจะเข้าใจได้ นั่นคือเธอไม่ชอบใจในสิ่งที่ชิโอริพูดเลยสักอย่างเดียว ร่างกายที่ยังชาจากแรงหมัดฝืนขยับลุกขึ้น เธอใส่พลังลงในดาบสร้างคมดาบขึ้นมาเพื่อใช้พยุงตัว จนในที่สุดก็ลุกขึ้นมาได้สำเร็จ แม้ว่าท่อนขาจะยังคงสั่นไม่หยุดก็ตาม

          ฮิโรมิยืนเผชิญหน้ากับชิโอริอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ชิโอริไม่คิดจะระวังตัวใดๆ ฮิโรมิเห็นดังนั้นจึงรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก เธอกางปีกสีน้ำตาลบินขึ้นไปในอากาศ แล้วมองกลับลงมาด้วยสายตาที่เดือดดาล

     “ฉันจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เด็ดขาด สักวันหนึ่ง ฉันจะกลับมาแก้แค้นเธอแน่ แล้วเมื่อถึงวันนั้น ฉันจะพาเธอกับมนุษย์ที่เธอให้ที่อยู่อาศัยกลับไปที่สถานีวิจัย ถึงตอนนั้นแล้วจะวิงวอนแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ถ้าสถานีวิจัยลงความเห็นให้กำจัดเธอเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนลงมือเอง เตรียมใจเอาไว้ได้เลย!”

     เมื่อพูดจบ ฮิโรมิก็บินจากไป ชิโอริมองตามคู่ต่อสู้เร่งความเร็วจนมองเห็นเป็นเส้นสีแดงเข้มลับสายตาไป ทิศทางที่ฮิโรมิมุ่งหน้าไปเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยไม่ผิดแน่ และนั่นก็เป็นสัญญาณบอกว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว ชิโอริจึงคลายกำปั้นลง ก่อนจะล้มทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับความเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่มีเวลาให้พักได้นานขนาดนั้น ในเมื่อเธอยังมีเรื่องที่ต้องทำค้างเอาไว้อยู่ หลังจากที่ก้มมองถุงพลาสติกที่ฉีกขาดตอนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ข้างในนั้นว่างเปล่า

     เธอจึงเริ่มตามหาของที่หายไปอยู่ท่ามกลางป่าและภูเขาที่กว้างใหญ่ทันที

     ในบ้านของชิโอริ แสงสุทินหันมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาบ่ายสองโมง ผ่านไปสามชั่วโมงหลังจากที่ชิโอริเดินทางเข้าไปในเขตอยู่อาศัย อาหารกลางวันที่แสงสุทินเตรียมเอาไว้เพื่อรอชิโอริกลับมากินพร้อมกันเย็นชืดหมดแล้ว แต่จานข้าวที่วางอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่พร่องลงไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งที่ภายในท้องเริ่มส่งเสียงร้องอยากกินเพิ่มเข้าไปทุกที

     “ออกไปนานจังเลยนะ ไปเจออะไรเข้าหรือเปล่า” แสงสุทินเริ่มเป็นห่วง

     ขณะเดียวกันนั้น คนมีคนเปิดประตูบ้านเข้ามา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ไม่สม่ำเสมอของคนเพียงคนเดียว แสงสุทินรีบลุกจากเก้าอี้ในห้องครัววิ่งไปดู แล้วก็พบว่าชิโอริเดินถือข้าวของทุกชิ้นที่แสงสุทินฝากซื้อกลับมาในสภาพที่มีเศษดินและใบไม้ติดอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย หลังจากที่เห็นแสงสุทินแล้ว เธอก็ทรุดลงไปกับพื้นราวกับหมดแรงฝืน

     “ฉันซื้อของที่นายต้องการมาให้แล้วนะ” ชิโอริหายใจหอบ แสงสุทินรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบน้ำมาให้เธอดื่ม “วันนี้เหนื่อยชะมัดเลย แต่ว่าไม่เป็นไรแล้วล่ะ ฉันรู้ว่านายกำลังรอของพวกนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ เท่านี้นายก็ไม่ต้องแบ่งใช้ร่วมกับฉันแล้วนะ”

     “เธอไปทำอะไรมาน่ะ ทำไมถึงกลับมาในสภาพนี้ล่ะ ไปเจออะไรเข้าเหรอ” แสงสุทินถามเสียงตื่น แต่ชิโอริก็ฝืนร่างกายที่ทั้งเหนื่อยและเจ็บปวดลุกขึ้น เธอเหลียวมองแสงสุทินที่แสดงความเป็นห่วงเธออย่างจริงใจ แล้วนึกย้อนไปถึงคำพูดที่ฮิโรมิทิ้งเอาไว้ให้เธอเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ก่อนจะพูดกลับไป

     “แค่ไปเจอคนรู้จักมานิดหน่อย ไม่สำคัญอะไรหรอก” เธอพูดจบแล้วจึงเดินพยุงตัวตามผนังไปอาบน้ำชำระแผลและคราบสกแรกตามตัว เพื่อที่จะได้กินอาหารกลางวันที่แสงสุทินอุตส่าห์ทำเอาไว้ให้เธอ แต่เมื่อชิโอริอาบน้ำเสร็จก็พบว่าแสงสุทินกำลังนำเสื้อผ้าที่เปื้อนดินของเธอไปซักให้ แต่เธอก็ห้ามเขาเอาไว้ แล้วบอกให้ทำหลังจากที่กินข้าวเสร็จก็ได้

     ตั้งแต่วันนั้น ชิโอริก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งแสงสุทินเพิ่งจะรู้ในภายหลังว่านั่นคือห้องนอนของชิโอริ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยเห็นชิโอริเข้านอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่ำก็เห็นชิโอริตอบสนองต่อทุกคำพูดของเขา แต่หลังจากที่แสงสุทินเข้านอนไปแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เขายังเห็นห้องของชิโอริเปิดไฟฟ้าค้างเอาไว้ และมีความเคลื่อนไหวของเงาใต้ช่องประตูตลอดเวลา

     แสงสุทินจำได้ว่ามีคนรู้จักกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยเข้านอนก็ยังสดชื่นอยู่ได้ตลอดเวลา ไม่แน่ว่าชิโอริก็เหมือนกัน และเท่าที่นึกได้ ชื่อของคนรู้จักเหล่านั้นก็เป็นชื่อที่สะกดยากไม่แพ้กันเลย เพียงแต่ว่าจำใบหน้าของคนกลุ่มนั้นไม่ได้เลย และทุกครั้งที่พยายามนึกถึง ภาพความทรงจำในวันที่เกิดหายนะก็จะโผล่ขึ้นมาจนนึกต่อไปไม่ไหว

     อีกด้านหนึ่ง ยังมีอีกหนึ่งคนที่กำลังได้รับความทรงจำที่เจ็บปวดจนไม่มีวันลืมเลือนได้อยู่เช่นกัน

     ฮิโรมิที่กลับไปยังสถานีวิจัยถูกพาตัวไปยังห้องมอบหมายภารกิจในสภาพที่บาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษาเลย เลือดที่ไหลจากจมูกหยดอยู่ตลอดทางเดิน ตรงหน้าฮิโรมิที่นั่งคุกเข่าอยู่มีโต๊ะยาวหนึ่งตัว ข้างหลังนั้นมีนายทหารที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงนั่งอยู่ และทำสีหน้ากินเลือดกินเนื้อใส่เซย์ริที่มีรูปร่างเหมือนเด็กมัธยมต้นหรือเด็กประถม ฮิโรมิถูกสายตานั้นข่มจนตัวสั่น นั่นเพราะนายทหารคนนั้นเป็นคนที่มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายเธอได้เลย

     “ไม่ใช่แค่คำสั่งพาตัวฟูจิซากิ ชิโอริกลับมาจะล้มเหลวเท่านั้น แต่การที่เทอร์รารอยด์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเธอกลับไปแพ้แองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุดได้ เธอมีอะไรจะแก้ตัวหรือเปล่า” คำพูดถูกเอ่ยจากนายทหารอย่างไม่พอใจนัก

     “ขออภัยด้วยค่ะ ฉันประมาทชิโอริมากเกินไปเอง รับรองว่าครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ”

     “เธอไม่ได้ถูกสอนว่าห้ามประมาทคู่ต่อสู้หรอกเหรอ โดยเฉพาะกับฟูจิซากิ ชิโอริที่ต่อสู้มือเปล่าเก่งที่สุดในเซย์ริทั้งหมด ในฐานะเทอร์รารอยด์ที่ต่อสู้ประชิดตัว นั่นเป็นคู่ต่อสู้ที่เธอไม่ควรประมาทมากที่สุดไม่ใช่เหรอ” นายทหารตอบกลับมาได้แทงใจฮิโรมิมาก แต่เธอก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร “ความประมาทไม่ใช่อย่างเดียวที่ทำให้เธอพ่ายแพ้ เธอยังขาดสติตอนที่ถูกล่อลวง แต่จะว่าไปแล้ว จากรายงานที่เธอได้เล่ามาเกี่ยวกับฟูจิซากิ ชิโอริ เธอยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้เล่าใช่ไหม”

     “คุณหมายถึงเรื่องอะไร…” ฮิโรมิทวนคำพูดอย่างสงสัย แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ

     หน้าจอที่อยู่เหนือประตูที่ฮิโรมิเดินเข้ามามีแสงสว่างขึ้น ภาพการต่อสู้ทั้งหมดระหว่างเธอกับชิโอริถูกฉายขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ ฮิโรมิเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมากในช่วงต้น แต่หลังจากที่ฮิโรมิเอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมาทำให้สถานการณ์พลิกไปทั้งหมด เธอเสียท่าให้กับชิโอริที่ต่อสู้ประชิดตัวเก่งกว่ามากจนต้องกลับมายังสถานีวิจัยในสภาพที่น่าอับอาย

     เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น…

     “มนุษย์ที่อาศัยร่วมกับฟูจิซากิ ชิโอริ จำได้ว่าในรายงานของเธอไม่มีเรื่องนี้เขียนเอาไว้ใช่ไหม ถึงมันจะเปื้อนเลือดของเธอก็ไม่มีส่วนไหนของข้อความที่พูดถึงอยู่ดี ปัญหาคือ เธอรู้ว่ามีมนุษย์ที่ล่วงรู้การมีอยู่ของเซย์ริ รู้ถึงขนาดที่ว่ามนุษย์คนนั้นอาศัยอยู่กับใคร แต่เธอก็ไม่ได้รายงานเรื่องนี้เลย การปกปิดข้อมูลเป็นความผิดร้ายแรงมากนะ เธอคงรู้เรื่องบทลงโทษอยู่แล้วใช่ไหม ฉันหวังว่าเธอจะมีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้นะ”

     น้ำเสียงของนายทหารถูกปรับให้ดังขึ้น แต่ฮิโรมิก็ทำได้เพียงก้มหน้าตอบกลับไปเบาๆ ขณะที่กำหมัดแน่น

     “ฉันไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นค่ะ”

     ภายในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ ก่อนจะมีคำพูดสุดท้ายถูกมอบกลับมาให้ฮิโรมิที่นั่งกัดฟันด้วยความเจ็บใจ

     “เข้าใจแล้ว ความผิดของเธอคือปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ แล้วยังมีเจตนาปิดบังข้อมูลต่อเบื้องบน เมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากส่งเธอไปรับโทษตามความผิดที่ก่อ แล้วฉันก็หวังว่าหลังจากที่พ้นโทษออกมาแล้ว เธอจะยังมีสติครบถ้วนอยู่นะ ทหาร! เข้ามาพาตัวฟูจิซากิ ฮิโรมิไปรับโทษเก้าอี้ไฟฟ้า”

     สิ้นเสียงของนายทหาร ประตูทางเข้าห้องก็เลื่อนเปิด แล้วก็มีทหารอากาศสองนายเดินเข้ามาดึงตัวฮิโรมออกไปข้างนอกห้อง แต่พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามาจนเห็นแอ่งเลือดที่นองอยู่เต็มเท้าของฮิโรมิ จึงเกิดความลังเลว่าจะพาเธอไปรับโทษหรือไปรักษาบาดแผลก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ขัดคำสั่งเจ้านายไม่ได้อยู่ดี

     ระหว่างทางที่ถูกพาตัวไป ฮิโรมิไม่ตอบโต้ทหารทั้งสองคนที่มีพละกำลังน้อยกว่าเลย ในใจคิดแต่เพียงความแค้นที่มีต่อเซย์ริที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้ คำพูดที่เธอทิ้งเอาไว้ก่อนกลับมาดังสะท้อนอยู่ภายในหัว สายตาของเธอมองเห็นเพียงความขุ่นเคือง ตั้งแต่ที่ออกจากห้องมอบหมายภารกิจ จนถึงช่วงเวลาแห่งความทรมานที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั่วทั้งตัว และหลายวันหลังจากนั้น ฮิโรมิก็ไม่ได้เห็นแสงตะวันอีกเลย

     เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แต่ความฝันนั้นก็ยังไม่ยอมลบหายไปสักที ทั้งที่เรื่องอื่นๆ ถูกลืมไปจนหมดแล้ว ทั้งช่วงชีวิตมัธยมต้นที่ขาดๆ หายๆ โดยเฉพาะความทรงจำวัยเด็กที่ไม่หลงเหลืออยู่เลย ราวกับอะไรก็ตามที่ส่งเขาข้ามเวลากลับมาเมื่อ 27 ปีก่อนบอกว่ามันไม่สำคัญต่อสิ่งที่เขาต้องทำเลย หรือไม่ก็มีบางอย่างที่เขาไม่ควรจะจำได้อยู่ในความทรงจำที่หายไป แต่ถึงเขาจะถูกส่งข้ามเวลาเพื่อทำเรื่องสำคัญในปีที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งที่สอง สิ่งที่แสงสุทินได้ทำไปแล้วมีแค่ ทำความรู้จักกับเซย์ริในยุคสมัยนี้ และทำงานบ้านให้เธอเพื่อแลกที่อยู่อาศัยเท่านั้น มีเพียงเท่านั้นที่เขาทำ

     แต่เขาก็เริ่มจะปลงตกกับการเล่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไปแล้ว ในเมื่อไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเลย แม้กระทั่งเซย์ริที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง สุดท้ายก็กลายเป็นปิดปากเงียบ แล้วค่อยพูดถึงเรื่องนั้นเมื่อใกล้ถึงเวลา แล้วเมื่อสัญญาณเตือนภัยครั้งที่สองดังขึ้น แสงสุทินก็เข้าไปในสถานหลบภัยจากความช่วยเหลือของชิโอริ ก่อนที่เธอจะเข้าไปด้วยกัน

     แสงสุทินได้เข้าไปในสถานหลบภัยเป็นครั้งที่สอง สภาพข้างในนั้นก็ไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้มานัก มีก็เพียงสายตาที่เพ่งเล็งจนผิดปกติที่คนรอบข้างมองมาที่ชิโอริ ราวกับมองเห็นตัวประหลาดอยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนที่มีเส้นผมสีดำ แล้วเสียงดังจากสถานที่อันห่างไกลและแรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้น มีเสียงร้องของเด็กที่ตกใจเสียงที่ดังอยู่ข้างบนเป็นบางครั้ง

     เสียงที่ได้ยินทำให้แสงสุทินที่ยืนตัวสั่นมีแรงขยับตัว แล้วเดินเข้าไปปลอบเด็กคนนั้น ทั้งที่ตัวเองยังหวาดกลัวยิ่งกว่าเสียอีก ชิโอริเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปจะหยุดเขา แต่เธอก็คว้ามือของแสงสุทินพลาด

     “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวเรื่องทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว แล้วต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น พี่สาวที่อยู่ตรงนั้นก็จะจัดการให้เอง” แสงสุทินพูดแล้วชี้ไปยังชิโอริที่ทำท่าทางตื่นอยู่ไม่ไกล เมื่อหันไปเห็น เขาเริ่มสงสัยว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ “ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พี่สาวที่เป็นเซย์ริคนนั้นจะปกป้องเธอเอง ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะ”

     ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทุกคำพูดที่แสงสุทินพูดไป เด็กคนนั้นมองกลับมาเหมือนกำลังคุยกับคนบ้า ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน ทุกสายตามองสลับไปที่ชิโอริเหมือนติดใจในสิ่งที่แอบได้ยิน เพิ่มความสงสัยให้กับแสงสุทิน

     “พูดอะไรน่ะ หมอนั่นพูดอะไรของเขา”

     “เซย์ริที่อยู่คุ้มกันในสถานหลบภัยเหรอ เกิดมาไม่เคยเห็นเลยสักคน เซย์ริมีหน้าที่แค่ต่อสู้อยู่บนพื้นไม่ใช่เหรอ”

     “ไม่คิดว่าสีผมของเด็กคนนั้นแปลกเกินไปเหรอ หรือว่านั่นจะเป็นเซย์ริตัวจริงเสียงจริง”

     “เซย์ริจะเข้ามาหลบภัยเหมือนพวกเราทำไมเล่า แต่ถ้าเป็นเซย์ริจริงๆ ฉันเคยเห็นเด้กคนนั้นหลายครั้งแล้วนะ”

     แสงสุทินได้ยินเสียงนินทาดังขึ้นรอบตัว เกือบทั้งหมดเจาะจงไปยังเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มีเส้นผมสีฟ้าเงิน และสิ่งที่พวกเขาพูดถึงนั้นก็ตรงกันข้ามกับที่แสงสุทินได้ยินจากปากของเจ้าตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวในขณะนี้เริ่มหลบสายตาของทุกคนที่จ้องมองเธอ โดยเฉพาะแสงสุทินที่ได้ยินทุกคำพูดจากคนใกล้เคียง

     ถ้าไม่มีเซย์ริที่รักษาการณ์ให้กับมนุษย์ แล้วทำไมเซย์ริคนนี้ถึงเข้ามาในสถานหลบภัยเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ

     “มันหมายความว่ายังไงเหรอ ชิโอริ…”

     แสงสุทินมองตาค้างไปที่ชิโอริ อีกฝ่ายก้มหน้าลงแล้วทำสายตาสำนึกผิด แต่เขาก็ไม่สนใจสิ่งนั้น สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือความจริงจากปากของชิโอริเท่านั้น แต่ไม่มีคำตอบใดๆ ถูกเอ่ยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่การสบตากับเขาสักวินาทีเดียว มีแต่ชิโอริที่กำหมัดแน่นเดินหายเข้าไปในฝูงชนที่รุมล้อมเงียบๆ จนกระทั่งเสียงประกาศสิ้นสุดการต่อสู้ดังขึ้น เธอจึงกลับมาพาแสงสุทินกลับไปที่บ้านของเธอ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา