สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
9,522 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ลืมตาขึ้นมาในอดีต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใส อากาศปลอดโปร่งพอดีสำหรับเช้าวันใหม่
ทุกคนต่างเริ่มต้นชีวิตประจำวันตามปกติ ทั้งกิจวัตรที่น่าตื่นเต้น หรือการทำงานอันแสนน่าเบื่อ แต่แสงอาทิตย์กลับอ่อนลง เมฆหนาสีขาวโพลนปกคลุมท้องฟ้าอย่างไร้เหตุผล ความร้อนที่ทำให้เหงื่อไหลโซมก็เริ่มเย็นลงก่อนที่จะมีคนเสียเหงื่อจนตาย ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ใกล้จะแห้งตายโดยแสงแดด แต่แทนที่ผมจะรู้สึกขอบคุณก้อนเมฆที่โผล่มาได้จังหวะพอดี ครั้งนี้ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น
นั่นก็เพราะว่าเสียงคำรามที่ได้ยินจากระยะไกล มันทำให้ร่างกายสั่นไปหมด
ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง แต่เสียงที่ได้ยินมันทั้งดังและทุ้มเกินไป ราวกับเสียงคำรามของสิงโตที่ข่มขวัญเหยื่อจากก้อนหินที่อยู่อีกฟากของทุ่งหญ้ากว้าง ซ้ำอากาศรอบตัวยังเย็นลงจนน่าประหลาด แล้วตอนนั้น ใบหน้าของผมก็รู้สึกถึงความเย็นแปล๊บไล่ลามจากปลายคิ้วจนถึงขอบแก้ม ตอนแรกก็นึกว่าเธอที่เดินมากับผมแกล้งอะไรหรือเปล่า แต่เมื่อลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีละอองสีขาวที่เคยเห็นในหนังสือเรียนกำลังร่วงลงมาจากเมฆสีขาวที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า “หิมะ”
ซึ่งมันแปลกมาก
ที่นี่ตั้งอยู่ในเขตร้อน ไม่มีทางที่จะมีหิมะตกได้เลย
แต่เรื่องไม่ได้มีแค่นั้น เมื่อผมเพ่งสายตาขึ้นไปยังก้อนเมฆหนา มือของผมถูกกุมแน่นขึ้น แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็คือ…
“พอแค่นั้นก่อนครับ” นายแพทย์ขัดชายหนุ่มที่สวมชุดผู้ป่วยอยู่บนเตียง “พอคุณมองขึ้นไปก็ได้ยินเสียงร้องที่ดังกว่าเดิม คุณก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในสถานหลบภัย แต่ทันทีที่คุณวิ่งเข้าไปก็มีกระแสลมพัดทุกสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วประตูสถานหลบภัยก็ปิด ช่วยชีวิตคุณกับผู้รอดชีวิตจำนวนหยิบมือเอาไว้สินะครับ”
ชายหนุ่มที่ชื่อ แสงสุทิน พยักหน้าสั้นๆ แล้วนายแพทย์ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“หลังจากที่พวกคุณลงไปใต้ดิน ทางลงก็หยุดทำงาน แล้วก็มีอะไรสักอย่างพังเพดานที่หนามากๆ ของสถานหลบภัยลงไป แล้วฆ่าผู้รอดชีวิตที่อยู่ข้างในนั้นทีละคน ผมพูดไม่ผิดใช่ไหม ส่วนตัวคุณเองก็เกือบจะตายไปด้วยเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ผมพูดไม่ผิดเลยใช่ไหมครับ”
“ถ้าเท่าที่ผมจำได้ก็ประมาณนั้นครับ” แสงสุทินขยับร่างกายที่มีผ้าพันแผลรัดเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว ข้างใต้นั้นเป็นแผลจากน้ำแข็งกัดและแผลถลอกที่รอให้ตกสะเก็ด ส่วนศีรษะของเขาก็มีผ้าพันแผลรัดเอาไว้เช่นกัน ฟังจากนางพยาบาลรู้สึกว่าศีรษะด้านหลังถูกกระแทกจนกะโหลกร้าว แต่ก็ได้รับการรักษาด้วยเครื่องนาโนแมชชีนไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่รอสังเกตอาการหลังการรักษา กับสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับบาดแผล
“นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังมาตลอดหนึ่งสัปดาห์แล้วนะครับ คุณไม่มีเรื่องอื่นเล่าให้ฟังอีกแล้วเหรอ โอ๊ะ! ขอโทษนะครับ ความจริงผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเสียทีเดียว แค่สิ่งที่คุณแสงสุทินเล่ามาเป็นเรื่องที่เกินจริงไปบ้าง… อย่าโกรธถ้าผมจะบอกว่าไม่เชื่อสิ่งที่คุณเล่ามาทั้งหมดเลยนะครับ”
“ผมก็เบื่อที่จะโกรธแล้วเหมือนกันครับ” แสงสุทินพูดแล้วเอนหลังลงบนเตียง ความนิ่มของมันทำให้เขาที่เพิ่งกินอาหารเที่ยงไปรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเลย
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้ครั้งหน้าที่ได้คุยกัน คุณแสงสุทินจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณจริงๆ กับผม เพื่อที่จะได้ประสานไปยังตำรวจให้ตามหาคนที่ทำร้ายคุณในสถานหลบภัยใต้ดินเมื่อสัปดาห์ก่อนให้เจอเร็วๆ ตอนนี้คุณแสงสุทินทานยาแก้ปวดแล้วนอนหลับพักผ่อนให้สบายนะครับ” นายแพทย์ที่ดูแลแสงสุทินพูดจบแล้วก็ปิดประตูห้องพักผู้ป่วย แล้วภายในห้องก็เหลือแต่ความเงียบ กับแสงสุทินที่หันมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างตามลำพัง
มันไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ความฝันด้วย
แต่ว่า มันก็ยังมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่ด้วย นั่นคือตอนที่เขาเดินไปที่หน้าต่าง สภาพข้างนอกที่ได้เห็นคือ เขตอยู่อาศัยที่ 101 ซึ่งไม่มีร่องรอยของความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนอยู่เลย ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนยังใช้ชีวิตราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย ราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพในจินตนาการเท่านั้น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น บาดแผลตามตัวของเขาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน แล้วที่สำคัญกว่าคือ พวกเธอเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง…
“แล้วเธอพวกนั้นเป็นใครกัน ฉันนึกไม่ออกเลยสักนิด”
แสงสุทินเหม่อมองฝามือที่ยกขึ้นสู่เพดาน ก่อนที่ยาแก้ปวดจะออกฤทธิ์ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นจนในที่สุดก็ปิดลง พาเขาเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่ฝันร้ายนั้นยังตามหลอกหลอนไม่หยุด ในระหว่างนั้น เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่แสบแก้วหูดังขึ้น คล้ายกับเสียงที่ได้ยินก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ทุกอย่างไวเหมือนโกหก
แสงสุทินที่ขณะนี้อยู่ในชุดลำลองบิดร่างกายที่รู้สึกฝืดจากการนอนบนเตียงตลอดเวลา ก่อนที่ประตูห้องพักผู้ป่วยจะเปิดออก นายแพทย์ที่ให้การรักษาเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารในมือ มันเป็นใบแจ้งสวัสดิการรักษาสำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยเดิมของตัวเอง แสงสุทินที่เห็นดังนั้นจึงจ้องตาแทบถลน
“คุณหมอเอามาผิดใบหรือเปล่าครับ ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยที่ 101 ไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ครับ ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยที่ 101 คุณได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาตัวที่นี่ ข้อมูลที่คุณแสงสุทินให้กับผมตั้งแต่วันแรกที่ได้สติขึ้นมาไม่ตรงกับทะเบียนประชาชนของเขตอยู่อาศัยแห่งนี้เลยใช้สวัสดิการรักษาไม่ได้ แต่ในเมื่อคุณยืนยันว่าข้อมูลที่ให้มานั้นถูกต้อง ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้วครับ”
“ผมเกิดและโตที่นี่จริงๆ นะครับ แต่ไม่เป็นไร แค่เซ็นเอกสารก็จบใช่ไหมครับ” แสงสุทินหยิบปากกาจากนายแพทย์แล้วเซ็นชื่อตัวเองด้วยลายมือที่ไม่คงเส้นคงวา ในขณะที่ความสงสัยที่ก่อตัวมาตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนเพิ่มมากขึ้นจนต้องการคำตอบที่แน่ชัด และสิ่งแรกที่เขาจะทำหลังจากพ้นสภาพผู้ป่วยที่ต้องจับตามองอาการอย่างใกล้ชิดคือ
“นายแสงสุทิน โรงเรียนมัธยมปลายประจำตำบลที่ 7 เริ่มค้นหา…” แสงสุทินเดินลงไปยังจุดบริการสืบค้นข้อมูลที่ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล ทำการป้อนชื่อและโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมปลายลงไป แล้วสิ่งที่ได้รับก็คือ “พบข้อมูลโรงเรียน แต่ไม่มีประวัติของผู้เข้าศึกษาที่ชื่อ… นี่มันอะไรกัน!”
เขาลืมกฎห้ามใช้เสียงภายในจุดบริการไปเสียสนิท ตั้งแต่ที่นายแพทย์บอกกับเขาว่าไม่พบประวัติในฐานข้อมูลผู้อยู่อาศัยของเขตอยู่อาศัยที่ 101 แล้ว มันเป็นฐานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวมบัญชีผู้อยู่อาศัยซึ่งใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางที่ตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยที่ 7 ไม่มีทางที่จะมีใครเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้นอกจากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์จนเอาไปทำเรื่องไม่ดีก็ตาม
แต่สิ่งที่ประหลาดยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อแสงสุทินลองสืบค้นซ้ำหลายครั้งแล้วสายตาเผอิญเลื่อนลงไปอ่านมองเวลาตรงมุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์เข้าพอดี สิ่งที่แสดงอยู่นั้นทำให้เขาจ้องตาค้างไปพักหนึ่ง
“วันที่ 8 กุมภาพันธ์… ค.ศ. 2170” เขาเอ่ยทวนสิ่งที่เห็นเบาๆ “เข้าใจแล้ว เวลาในคอมพิวเตอร์มันไม่ตรงกันนี่เอง ฉันถึงได้เข้าไปค้นแล้วไม่เจอ ลองไปใช้คอมพิวเตอร์เครื่องข้างๆ… เดี๋ยวนะ ไม่ใช่อย่างนี้สิ”
สิ่งที่แสดงในคอมพิวเตอร์เครื่องข้างๆ เครื่องถัดจากนั้นไปอีก แล้วก็ทุกเครื่องที่แสงสุทินเข้าไปสำรวจ
วันที่ถูกตั้งเอาไว้เป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2170 เหมือนกันทุกเครื่อง
มันเป็นไปไม่ได้ เลิกพูดถึงฐานข้อมูประชากรแล้วกลับมาพูดถึงคอมพิวเตอร์ในจุดสืบค้นข้อมูลแห่งนี้ นอกจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเวลาในปฏิทินเครื่องได้เด็ดขาด และถึงจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการสืบค้นเลยสักนิด หรือก็คือ… สาเหตุที่ทำให้แสงสุทินยืนเหงื่อตกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องสุดท้าย จนกระทั่งเดินออกจากจุดให้บริการแล้วก็ยังไม่หยุดไหล
“ขอโทษนะครับ ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกินไป วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วเหรอครับ”
“วันนี้เหรอ… วันที่ 8 กุมภาพันธ์น่ะ” คนข้างทางที่ถูกแสงสุทินถามตอบกลับมา
“อย่างนั้นเหรอครับ วันที่ 8 เองเหรอ ขอบคุณมากครับ” ส่วนแสงสุทินที่ได้ฟังคำตอบแล้วหน้าซีดเผือด
ที่นี่คือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2170 มันไม่แปลกอะไรที่ทะเบียนประชากรจะไม่แสดงชื่อของแสงสุทิน เพราะคิดเป็นเวลาแล้วก็คือก่อนที่แสงสุทินจะเกิด 5 ปี ในทะเบียนประชากรยังไม่มีการบันทึกประวัติของเขาเอาไว้เลย รวมถึงโรงเรียนมัธยมปลายที่เข้าเรียนในปีค.ศ. 2186 ด้วยเช่นกัน
“อย่างนี้เองสินะ ตอนนี้เป็นปี 2170 นี่เอง มิน่าล่ะ มันควรจะเป็นปี 2197 ไม่ใช่เหรอ ฉันคงเพี้ยนไปแล้วสินะ”
แสงสุทินนั่งกอดเข่าพูดอยู่คนเดียวอยู่ตรงป้ายรถประจำทาง ห่างจากโรงพยาบาลไปได้ไม่ไกล ท่าทางจิตตกและพูดคนเดียวนั้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกระแวงจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นั่นก็ทำให้เขาใช้ความคิดได้ดีกว่า แสงสุทินย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะถูกส่งเข้าโรงพยาบาล ภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ความรู้สึกกลัวและเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วร่างกายจนสั่นไม่หยุด แล้วฝ่ามือก็กำหุบตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ได้สติกลับมาจนถึงตอนนี้ เขายังรู้สึกเหมือนกับมีสิ่งหนึ่งที่จะปล่อยให้หลุดจากมือข้างนั้นไปไม่ได้อยู่ แต่ในตอนนี้ ไม่มีอะไรอยู่ในมือข้างนั้นเลย
…2170 กับ 2197 คำนวณแล้วก็ห่างกันตั้ง 27 ปีเลยสินะ
มากกว่าอายุอีกนะเนี่ย
พูดถึงเรื่องอายุแล้ว จำได้ว่าเคยมีพวกที่รู้มากกว่าอายุของตัวเองอยู่ด้วยหลายคนเลยนะ พวกนั้นเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ หรือบางวันก็ทำหน้าเครียดอย่างกับโลกนี้ถึงกาลวิบัติต่อหน้าพวกนั้น ถึงตอนนั้นจะรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกอยากเห็นท่าทางแก่แดดแก่ลมนั่นอีกสักครั้งจังเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเอาชีวิตรอดกันมาได้หรือเปล่า
ไม่เอาสิ น้ำตาอย่าเพิ่งไหลเอาตอนนี้สิ ถ้าพวกนั้นมาเห็นเข้าคงเสียฟอร์มแย่ ยืดอกให้เหมือนคนแรกที่เดินทางข้ามเวลามาใน 27 ปีก่อนเอาไว้สิ เชิดหน้าชูตาแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2170 จนถึงปี 2197 ให้ทุกคนรู้ แล้วตั้งตัวเองเป็นนักปราชญ์ที่รับรู้เรื่องในอนาคต โกยเงินเข้ากระเป๋าเยอะๆ เลยสิ
แต่ว่า… ปี 2170 อย่างนั้นเหรอ
“เดี๋ยวก่อนนะ จำได้ลางๆ อยู่ เหมือนกับว่าปี 2170 จะมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า” แสงสุทินเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อน้ำตาไหลเป็นทาง เขาเช็ดน้ำตาแล้วหันมองไปรอบตัวด้วยท่าทางตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกต ท่าทางของทุกคนรอบตัวเหมือนกับเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้ากันทั้งนั้น ไม่เหมือนกับทุกคนที่เคยเห็นตั้งแต่เด็ก ราวกับว่าจะมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ใช่แล้ว! ปีนี้… ปีนี้มัน!” แสงสุทินเปล่งเสียงอย่างทุลักทุเล ความรู้สึกของคนรอบตัวเปลี่ยนไป “ปีนี้มัน… เป็นปีที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งที่สองไม่ใช่เหรอ!”
ทุกคนหันมามองแสงสุทินเป็นสายตาเดียวกัน ความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเหล่านั้นทั้งตกใจและระแวง แต่แสงสุทินก็ไม่สนใจอีกแล้ว ความตื่นกลัวทำให้เขาจมอยู่ใต้ความคิดและสิ่งที่ต้องการจะพูดเท่านั้น แต่ไม่มีใครฟังคำเตือนของเขาเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งเด็กสาวที่ไว้ผมยาวสีฟ้าจางถึงหลังที่ถูกคำพูดของเขาดึงดูดเข้ามา
“ทุกคนฟังสิ่งที่ผมจะพูดนะครับ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ว่าในปี 2170 นี้ ในปีนี้จะเป็นปีที่มนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทำลาย พวกคุณทุกคนจะถูกหายนะครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีทางตอบโต้ทำลายจนหมด แล้วเขตอยู่อาศัยที่รอดจากการทำลายล้างมาได้มีแค่เขตอยู่อาศัยที่ 101 นี้เท่านั้น ผมต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ทุกคนรู้ให้เร็วที่สุด ไม่มีเวลาแล้ว!”
หลังจากที่แสงสุทินพูดจบ ทุกสายตาก็เปลี่ยนเป็นการเหยียดหยาม บางคนแสดงไม่พอใจโต้ตอบโดยไม่เกรงใจคนรอบข้าง และไม่แน่ว่าในบางคนที่วางเฉยอยู่รอบนอกก็มีคนที่อยากทำเช่นเดียวกันอยู่แน่นอน ประมาณว่าถ้าแสงสุทินไม่ยอมหยุดพูด กลุ่มนั้นก็คงไปรวมกับคนที่แสดงความไม่พอใจอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งแสงสุทินก็ไม่ยอมหยุดสักที เขาจึงถูกจับกดลงพื้นให้หายบ้า แล้วให้คนไปเรียกเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลมาพาตัวแสงสุทินไปบำบัดทางจิตเวช
แล้วในตอนนั้นเอง แสงสุทินเพิ่งสังเกตเห็นเด็กสาวที่เฝ้ามองอยู่นอกวง เธอกับเส้นผมสีฟ้าจางโดดเด่นกว่าคนอื่น และเป็นสิ่งกระตุ้นให้แสงสุทินที่ใกล้จะหมดสติเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุขึ้นมาในทีเดียว เอ่ยคำพูดนั้นขึ้นมา
“เธอ… ช่วยทุกคนให้ได้นะ ตะโก……”
แล้วสติของแสงสุทินก็ดับวูบลงเป็นครั้งที่สอง
ก่อนจะได้สติขึ้นมาอีกครั้งในห้องที่คับแคบและมีกลิ่นชวนอึดอัด เพดานสีเทาสกปรกเกินกว่าจะเป็นสถานที่ในโรงพยาบาล และจุดที่เขานอนอยู่ก็สูงจากพื้นเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ถูกพาตัวไปยังแผนกจิตเวช แต่ว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่คุ้นเคยเลยสักนิด และเมื่อแสงสุทินมองไปรอบตัวก็พบว่ากำลังนอนอยู่กลางห้องที่คล้ายกับห้องนั่งเล่นที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ประดับเลย นอกจากโต๊ะนั่งเขียนที่สูงจากพื้นเล็กน้อย กับกองกระดาษเลอะฝุ่นที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องเท่านั้น
“ที่นี่คือ…” แสงสุทินลุกขึ้นในสภาพที่ปวดไปทั้งตัว แล้วก็ได้ยินเสียงอันสดใสดังขึ้นข้างตัว
“ได้สติแล้วเหรอคะ เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง”
แสงสุทินสะดุ้งไปตามนิสัย แล้วก็ไปกระแทกเข้ากับเบาะที่นุ่มนิ่ม แต่ไม่สะเทือนตามแรงกระแทกเลยสักนิด และยังรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขาจึงเด้งตัวกลับไปยังทิศทางตรงข้าม และได้พบกับเด็กสาวที่มีเส้นผมและดวงตาสีฟ้าจางนั่งอยู่ข้างฟูกปูนอน ส่วนสูงน่าจะเท่ากับเอวของเขาเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เห็นใกล้ๆ แล้ว สีผมของผู้หญิงคนนั้นสะท้อนแสงคล้ายกับสีเงินมากกว่า
“เธอเป็นใครเหรอ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ที่นี่คือ… บ้านของฉันเองค่ะ พอดีว่าคุณหมดสติไปจากการกดทับ ฉันจึงเข้าไปช่วยคุณออกมาค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ” เด็กสาวผมสีฟ้าเงินที่น่าจะอายุราวเด็กมัธยมต้นตอบอย่างสุภาพ แสงสุทินไม่รู้สึกชินเท่าไหร่ เพราะทุกคนที่เขาเคยเห็นมาตลอดมีสีผมกับดวงตาสีดำสนิท ราวกับเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้โดดเด่นกว่าคนอื่น “แต่ว่าน่าแปลกนะคะ ทั้งที่มนุษย์เกือบทุกคนไม่ชอบใช้ความรุนแรงแท้ๆ ทำไมถึงมีคนเข้าไปทำร้ายคุณได้คะ เพราะว่าพูดอะไรไม่เข้าหูทางนั้น หรือว่าถูกหาเรื่องก่อนกันคะ”
“รู้สึกว่าจะเป็นอย่างหลังนะ” แสงสุทินตอบหน้าแหย “แต่ว่า เรื่องที่ฉันพูดเป็นความจริงนะ เรื่องที่โลกนี้…”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ไม่มีทางเลยต่างหาก” เด็กสาวรีบพูดขัด
“มันจะเกิดขึ้นภายในปีนี้จริงๆ นะ ฉันมาจากปี 2197 รู้ทุกเรื่องหลังจากนี้ที่พวกเธอไม่มีทางรู้ได้ บาดแผลพวกนั้นก็เป็นของ ทุกอย่างที่พูดเป็นเรื่องที่ฉันเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น ทำไมถึงไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ฉันพูดเลยล่ะ โลกนี้จะล่มสลาย จะมีสิ่งที่พวกเราทั้งหมดรับมือไม่ได้โผล่มาในปีนี้ ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลย ทุกสิ่งจะพินาศ--”
แสงสุทินพูดได้เท่านี้ก่อนจะสำลัก ระหว่างที่เด็กสาวหยิบน้ำให้ดื่ม เธอก็ใช้โอกาสที่แสงสุทินกำลังดื่มน้ำอยู่พูดขึ้น
“มาจากปี 2197 เหรอคะ แปลว่ามาจากอนาคตสินะ” เด็กสาวยิ้มหลบตา ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณคงจะพอได้ยินคำนี้มาบ้างสินะคะ คุณคงรู้จักสิ่งที่เรียกว่า เซย์ริ ใช่หรือเปล่าคะ”
“เซย์ริ…” แสงสุทินทวนสิ่งที่ได้ยินเบาๆ “เซย์ริ… เธอพูดถึงอะไรเหรอ มันไม่ใช่คำที่มีความหมายใช่ไหม”
“แต่ก่อนหน้านี้ คุณพูดชื่อของเซย์ริคนหนึ่งขึ้นมา” เด็กสาวพูด “ฟูจิซากิ ชิโอริ คือชื่อของฉันเองค่ะ ส่วนชื่อที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นชื่อของเซย์ริเหมือนกัน เพราะสนใจสิ่งที่คุณพูด ฉันถึงยอมช่วยคุณที่กำลังจะถูกพาไปที่แผนกจิตเวช แต่น่าแปลกนะคะ ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีเซย์ริที่มีชื่อสองพยางค์อยู่ด้วย ชื่อของเซย์ริทั้งหมดเป็นสามพยางค์ทั้งนั้นค่ะ”
“ชื่อของฉันคือ แสงสุทิน ไม่มีชื่อของฉันอยู่ในทะเบียนประชากรหรอก” แสงสุทินพูดกับชิโอริ “แต่ว่า เธอช่วยเชื่อสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดหน่อยเถอะนะ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับฉันมาแล้วนะ”
ชิโอริมองตาแสงสุทิน แล้วจ้องพินิจราวกับจะไม่ให้มีคำโกหกหลุดไปได้ ก่อนจะถอนหายใจ
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะลองฟังสิ่งที่คุณพูด แต่ถ้ามีการโกหกสักครั้งเดียว ฉันจะพาคุณไปให้กับแผนกจิตเวชทันทีนะคะ”
เมื่อชิโอริพูดจบ แสงสุทินก็เริ่มพูดน้ำไหลไฟดับ โดยทุกเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่เขาได้เล่าให้นายแพทย์ประจำตัวฟังไปแล้วทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ชีวิตประจำวันที่ไม่เคยเห็นคนที่มีสีผมอื่นนอกจากสีดำเลย ไปจนถึงความเคลื่อนไหวประหลาดบนท้องฟ้าก่อนจะเกิดเหตุการณ์หายนะที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล แต่ที่น่าแปลกก็คือ เรื่องที่แสงสุทินเล่าให้ฟังมีช่วงที่ไม่ปะติดปะต่อกันเยอะมาก แต่ชิโอริจับโกหกเขาไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
“สรุปก็คือ ในปีที่คุณแสงสุทินอยู่ เซย์ริที่มีหน้าที่ปกป้องมนุษย์ถูกกำจัดไปหมด และโลกถูกทำลายไปก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แล้วมันก็กำลังจะเริ่มขึ้นในปีนี้ใช่ไหมคะ”
แสงสุทินพยักหน้าขณะที่กำลังกลืนน้ำอึกใหญ่ การเล่าเรื่องต่อเนื่องโดยแทบไม่ได้หยุดพักหายใจเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากสำหรับคนที่เพิ่งหมดสติไปไม่นาน ส่วนชิโอริที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วก็ก้มหน้าใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอามือกุมท้องแล้วหัวเราะไม่หยุด ทำให้แสงสุทินเผลอพ่นน้ำในปากออกมา
“หัวเราะอะไรของเธอน่ะ สิ่งที่ฉันเล่าให้ฟังทั้งหมดเป็นเรื่องจริงนะ” แสงสุทินตะโกนสุดเสียง มีน้ำตาซึมเล็กน้อย
“เปล่าๆ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันแค่ไม่เชื่อว่าในปี 2197 ของคุณจะไม่มีเซย์ริเหลืออยู่เลย และนั่นก็รวมถึงฉันด้วยสินะ”ชิโอริใช้เวลาอยู่นานจึงหยุดหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเซย์ริเหลืออยู่ได้หรอกค่ะ เซย์ริถูกสร้างขึ้นแทบจะวันต่อวันเลยนะ ถึงจะแค่วันละคนและโอกาสสำเร็จค่อนข้างต่ำก็เถอะ แต่ถ้าพูดถึงเซย์ริที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็มีอยู่สองคนที่ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงปีของคุณแน่ๆ คุณแสงสุทินแค่อยู่ในสถานหลบภัยจนไม่รู้เรื่องภายนอกเท่านั้นแหละค่ะ เซย์ริพวกนั้นแข็งแกร่งจนต่อสู้กับผู้รุกรานได้ง่ายๆ เลยนะ แต่พวกมันก็จัดการได้ยากอยู่…”
ชิโอริเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดมากเกินไป แต่จะหยุดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
นั่นเพราะแสงสุทินไม่เคยพูดถึง พวกมัน ให้ใครฟังเลยสักครั้งเดียว
“ผู้รุกรานจากอวกาศ… เธอพูดถึงมันเหรอ มันคือตัวที่อยู่ในก้อนเมฆที่ฉันเห็นในตอนนั้นใช่ไหม”
“พูดถึงอะไรกันคะ ฉันจำไม่ได้ว่าเคยพูด…”
“มีจริงๆ สินะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ คุณแสงสุทินคงคิดมากไปเอง… กรี๊ด!”
ชิโอริพยายามบ่ายเบี่ยง เหงื่อเย็นเฉียบไหลอาบ ในขณะที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีเทา เป็นสัญญาณบอกว่าฝนใกล้จะตกลงมา ถ้าจับโกหกของเธอในตอนนี้คงพบหลายจุดแน่นอน แล้วเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นจากระยะไกล แต่มันคงดังเกินไปสำหรับชิโอริที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รวมถึงแสงสุทินที่มีความหลังกับมันมาก่อน
พวกเขาน่าจะรู้สึกตัวให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ไม่มีแสงอาทิตย์อีกแล้ว มีเพียงสายลมกรรโชกที่พัดกิ่งไม้กระทบหน้าต่างห้องนั่งเล่นเป็นจังหวะ ตามมาด้วยเสียงไซเรนดังกระหึ่มมาจากภายในเขตอยู่อาศัย เนื้อตัวของแสงสุทินสั่นไม่หยุดจนต้องหาสิ่งยึดเกาะให้หยุดสักที นั่นคือเข่าของเขาเอง
“มาแล้วสินะ เร็วกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย” ชิโอริเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง เธอลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างแล้วหันกลับเข้ามามองแสงสุทิน เส้นผมสีฟ้าเงินที่ลู่ลมเป็นริ้วทำให้ใบหน้าจริงจังของเธอมีเสน่ห์ขึ้นอย่างประหลาด “ถึงจะยังมีเรื่องที่อยากคุยกันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วจริงๆ ฉันจะไปส่งคุณที่สถานหลบภัยเอง หวังว่าเราจะมีโอกาสได้คุยกันอีกนะคะ”
ชิโอริเดินอ้อมไปข้างหลังแสงสุทินที่ยังคงกอดเข่าตัวสั่นอยู่ แล้วพาเขาออกไปข้างนอกบ้านผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ แต่แสงสุทินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าขาไม่ได้อยู่ติดพื้นเมื่อผ่านไปแล้วหลายวินาที และสายลมก็พัดเข้ามาทีใบหน้าแรงขึ้นจนผิดสังเกต เขามองไปรอบตัวพบว่ารอบข้างเปลี่ยนจากผนังห้องและผืนเสื่อกลายเป็นท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆ โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่ก้อนเมฆเริ่มหมุนวนเป็นก้นหอยเหนือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ส่วนชิโอริกำลังใช้แขนเรียวเล็กกอดเขาเอาไว้จากข้างหลัง ขณะที่ใช้แผ่นสีขาวพยุงตัวอยู่กลางอากาศ…
ปีกทั้งสองข้างของเธอเอง
“เอ๊ะ… เอ๊ะ!”
แสงสุทินที่เพิ่งจะรู้ตัวไม่รู้ว่าควรตอบรับอะไรก่อน ระหว่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ กับชิโอริที่กำลังบินอยู่เหนือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ด้วยปีกสีขาวเหมือนกับนก แต่มองจากลักษณะเจ้าของปีกคู่นั้นแล้ว มันเป็นปีกของนางฟ้าต่างหาก
“ถ้าคุณแสงสุทินรู้จักเซย์ริก็คงเข้าใจใช่ไหมคะ เซย์ริอย่างพวกเราจะมีปีกสำหรับบินได้ และพลังที่พวกคุณเรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ แต่รู้เอาไว้แค่นั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะสิ่งที่คุณต้องทำมีแค่เข้าไปในสถานหลบภัยให้ทันเวลา ส่วนหน้าที่ของฉันเป็นคนละส่วนกัน คือ ต่อสู้ค่ะ” แววตาของชิโอริเศร้าลงผิดจากเมื่อสักครู่
“ต่อสู้เหรอ ต่อสู้กับอะไร” แสงสุทินถามกลับขณะที่มองลงไปข้างล่าง เขามองเห็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกเคลื่อนย้ายลงใต้ดินด้วยกลไกพื้นเลื่อน มันเป็นสิ่งที่แปลกตามาก เพราะในช่วงเวลาที่เขาจากมาไม่มีกลไลอย่างนี้อยู่เลย แล้วเขาก็ได้คำตอบจากชิโอริในระหว่างนั้น
“ต่อสู้กับสิ่งที่จะมาหลังจากที่พวกคุณลงไปใต้ดินแล้วค่ะ” ชิโอริส่งยิ้มกลับมาให้แสงสุทิน
หลังจากที่ส่งแสงสุทินเข้าไปยังทางเข้าสถานหลบภัยใต้ดินที่เหมือนโรงเก็บรถที่บุผนังด้วยอลูมิเนียมที่กว้างเกือบเท่ากับสนามฟุตบอลเสร็จแล้ว เธอก็บินจากไปด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ประตูจะเลื่อนปิดลง แล้วเคลื่อนตัวลงไปใต้ดินพร้อมกับคนอื่นๆ ที่แออัดกันอยู่ข้างในนับพันชีวิต แต่แสงสุทินก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด เพราะระบบระบายอากาศที่ดีมากของมัน ไม่นานนัก กลไกเคลื่อนย้ายก็หยุดลง แล้วประตูอีกฝั่งหนึ่งก็เปิดออก ผู้คนที่อยู่ข้างในเริ่มหลั่งไหลออกไปข้างนอกอย่างเป็นระเบียบ ราวกับเคยทำอย่างนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
และสิ่งที่แสงสุทินได้เห็นหลังจากที่เดินตามคนอื่นไปก็คือ ความกว้างใหญ่ของใต้ดินที่สว่างโล่ง
แทนที่จะเรียกว่าเป็นสถานหลบภัย น่าจะเรียกว่าเป็นค่ายอพยพคงถูกกว่า แต่เป็นค่ายอพยพที่ไม่มีความเครียดเลย ทั้งความกว้างใหญ่ราวกับถูกสร้างเอาไว้ใต้เขตอยู่อาศัยทั้งเขต สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้พร้อมทั้งบริการขนส่ง อาหารและเครื่องดื่มไม่เสียเงิน รวมถึงสถานบันเทิงครบวงจรสำหรับให้ประชาชนเข้าไปเล่นเพื่อฆ่าเวลา นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธคอยกำกับดูแลทั่วทุกพื้นที่อีกด้วย ถ้าไม่ได้รู้สึกตัวก่อนว่าลงมาที่สถานหลบภัย แสงสุทินก็คิดว่าที่นี่คืองานเทศกาลอะไรสักอย่างที่จัดขึ้นใต้ดิน
แต่ว่า นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว แสงสุทินยังรู้สึกเหมือนกับได้เจอคนที่คุ้นหน้าอยู่ในสถานหลบภัยด้วยเช่นกัน
เขาเดินฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เพิ่งก้าวออกจากทางเข้าสถานหลบภัยไปยังทางเข้าอีกทางที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล แล้วเอ่ยชื่อของคนรู้จักคนนั้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะได้ยินทุกคำพูดของเขา และเหลือบตามองด้วยสายตาเหมือนสำนึกผิด
“ทำไมเธอถึงเข้ามาในนี้ด้วยล่ะ… ชิโอริ”
ทุกคนต่างเริ่มต้นชีวิตประจำวันตามปกติ ทั้งกิจวัตรที่น่าตื่นเต้น หรือการทำงานอันแสนน่าเบื่อ แต่แสงอาทิตย์กลับอ่อนลง เมฆหนาสีขาวโพลนปกคลุมท้องฟ้าอย่างไร้เหตุผล ความร้อนที่ทำให้เหงื่อไหลโซมก็เริ่มเย็นลงก่อนที่จะมีคนเสียเหงื่อจนตาย ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ใกล้จะแห้งตายโดยแสงแดด แต่แทนที่ผมจะรู้สึกขอบคุณก้อนเมฆที่โผล่มาได้จังหวะพอดี ครั้งนี้ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น
นั่นก็เพราะว่าเสียงคำรามที่ได้ยินจากระยะไกล มันทำให้ร่างกายสั่นไปหมด
ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง แต่เสียงที่ได้ยินมันทั้งดังและทุ้มเกินไป ราวกับเสียงคำรามของสิงโตที่ข่มขวัญเหยื่อจากก้อนหินที่อยู่อีกฟากของทุ่งหญ้ากว้าง ซ้ำอากาศรอบตัวยังเย็นลงจนน่าประหลาด แล้วตอนนั้น ใบหน้าของผมก็รู้สึกถึงความเย็นแปล๊บไล่ลามจากปลายคิ้วจนถึงขอบแก้ม ตอนแรกก็นึกว่าเธอที่เดินมากับผมแกล้งอะไรหรือเปล่า แต่เมื่อลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีละอองสีขาวที่เคยเห็นในหนังสือเรียนกำลังร่วงลงมาจากเมฆสีขาวที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า “หิมะ”
ซึ่งมันแปลกมาก
ที่นี่ตั้งอยู่ในเขตร้อน ไม่มีทางที่จะมีหิมะตกได้เลย
แต่เรื่องไม่ได้มีแค่นั้น เมื่อผมเพ่งสายตาขึ้นไปยังก้อนเมฆหนา มือของผมถูกกุมแน่นขึ้น แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็คือ…
“พอแค่นั้นก่อนครับ” นายแพทย์ขัดชายหนุ่มที่สวมชุดผู้ป่วยอยู่บนเตียง “พอคุณมองขึ้นไปก็ได้ยินเสียงร้องที่ดังกว่าเดิม คุณก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในสถานหลบภัย แต่ทันทีที่คุณวิ่งเข้าไปก็มีกระแสลมพัดทุกสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วประตูสถานหลบภัยก็ปิด ช่วยชีวิตคุณกับผู้รอดชีวิตจำนวนหยิบมือเอาไว้สินะครับ”
ชายหนุ่มที่ชื่อ แสงสุทิน พยักหน้าสั้นๆ แล้วนายแพทย์ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“หลังจากที่พวกคุณลงไปใต้ดิน ทางลงก็หยุดทำงาน แล้วก็มีอะไรสักอย่างพังเพดานที่หนามากๆ ของสถานหลบภัยลงไป แล้วฆ่าผู้รอดชีวิตที่อยู่ข้างในนั้นทีละคน ผมพูดไม่ผิดใช่ไหม ส่วนตัวคุณเองก็เกือบจะตายไปด้วยเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ผมพูดไม่ผิดเลยใช่ไหมครับ”
“ถ้าเท่าที่ผมจำได้ก็ประมาณนั้นครับ” แสงสุทินขยับร่างกายที่มีผ้าพันแผลรัดเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว ข้างใต้นั้นเป็นแผลจากน้ำแข็งกัดและแผลถลอกที่รอให้ตกสะเก็ด ส่วนศีรษะของเขาก็มีผ้าพันแผลรัดเอาไว้เช่นกัน ฟังจากนางพยาบาลรู้สึกว่าศีรษะด้านหลังถูกกระแทกจนกะโหลกร้าว แต่ก็ได้รับการรักษาด้วยเครื่องนาโนแมชชีนไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่รอสังเกตอาการหลังการรักษา กับสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับบาดแผล
“นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังมาตลอดหนึ่งสัปดาห์แล้วนะครับ คุณไม่มีเรื่องอื่นเล่าให้ฟังอีกแล้วเหรอ โอ๊ะ! ขอโทษนะครับ ความจริงผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเสียทีเดียว แค่สิ่งที่คุณแสงสุทินเล่ามาเป็นเรื่องที่เกินจริงไปบ้าง… อย่าโกรธถ้าผมจะบอกว่าไม่เชื่อสิ่งที่คุณเล่ามาทั้งหมดเลยนะครับ”
“ผมก็เบื่อที่จะโกรธแล้วเหมือนกันครับ” แสงสุทินพูดแล้วเอนหลังลงบนเตียง ความนิ่มของมันทำให้เขาที่เพิ่งกินอาหารเที่ยงไปรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเลย
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้ครั้งหน้าที่ได้คุยกัน คุณแสงสุทินจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณจริงๆ กับผม เพื่อที่จะได้ประสานไปยังตำรวจให้ตามหาคนที่ทำร้ายคุณในสถานหลบภัยใต้ดินเมื่อสัปดาห์ก่อนให้เจอเร็วๆ ตอนนี้คุณแสงสุทินทานยาแก้ปวดแล้วนอนหลับพักผ่อนให้สบายนะครับ” นายแพทย์ที่ดูแลแสงสุทินพูดจบแล้วก็ปิดประตูห้องพักผู้ป่วย แล้วภายในห้องก็เหลือแต่ความเงียบ กับแสงสุทินที่หันมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างตามลำพัง
มันไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ความฝันด้วย
แต่ว่า มันก็ยังมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่ด้วย นั่นคือตอนที่เขาเดินไปที่หน้าต่าง สภาพข้างนอกที่ได้เห็นคือ เขตอยู่อาศัยที่ 101 ซึ่งไม่มีร่องรอยของความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนอยู่เลย ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนยังใช้ชีวิตราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย ราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพในจินตนาการเท่านั้น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น บาดแผลตามตัวของเขาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน แล้วที่สำคัญกว่าคือ พวกเธอเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง…
“แล้วเธอพวกนั้นเป็นใครกัน ฉันนึกไม่ออกเลยสักนิด”
แสงสุทินเหม่อมองฝามือที่ยกขึ้นสู่เพดาน ก่อนที่ยาแก้ปวดจะออกฤทธิ์ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นจนในที่สุดก็ปิดลง พาเขาเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่ฝันร้ายนั้นยังตามหลอกหลอนไม่หยุด ในระหว่างนั้น เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่แสบแก้วหูดังขึ้น คล้ายกับเสียงที่ได้ยินก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ทุกอย่างไวเหมือนโกหก
แสงสุทินที่ขณะนี้อยู่ในชุดลำลองบิดร่างกายที่รู้สึกฝืดจากการนอนบนเตียงตลอดเวลา ก่อนที่ประตูห้องพักผู้ป่วยจะเปิดออก นายแพทย์ที่ให้การรักษาเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารในมือ มันเป็นใบแจ้งสวัสดิการรักษาสำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยเดิมของตัวเอง แสงสุทินที่เห็นดังนั้นจึงจ้องตาแทบถลน
“คุณหมอเอามาผิดใบหรือเปล่าครับ ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยที่ 101 ไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ครับ ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยที่ 101 คุณได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาตัวที่นี่ ข้อมูลที่คุณแสงสุทินให้กับผมตั้งแต่วันแรกที่ได้สติขึ้นมาไม่ตรงกับทะเบียนประชาชนของเขตอยู่อาศัยแห่งนี้เลยใช้สวัสดิการรักษาไม่ได้ แต่ในเมื่อคุณยืนยันว่าข้อมูลที่ให้มานั้นถูกต้อง ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้วครับ”
“ผมเกิดและโตที่นี่จริงๆ นะครับ แต่ไม่เป็นไร แค่เซ็นเอกสารก็จบใช่ไหมครับ” แสงสุทินหยิบปากกาจากนายแพทย์แล้วเซ็นชื่อตัวเองด้วยลายมือที่ไม่คงเส้นคงวา ในขณะที่ความสงสัยที่ก่อตัวมาตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนเพิ่มมากขึ้นจนต้องการคำตอบที่แน่ชัด และสิ่งแรกที่เขาจะทำหลังจากพ้นสภาพผู้ป่วยที่ต้องจับตามองอาการอย่างใกล้ชิดคือ
“นายแสงสุทิน โรงเรียนมัธยมปลายประจำตำบลที่ 7 เริ่มค้นหา…” แสงสุทินเดินลงไปยังจุดบริการสืบค้นข้อมูลที่ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล ทำการป้อนชื่อและโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมปลายลงไป แล้วสิ่งที่ได้รับก็คือ “พบข้อมูลโรงเรียน แต่ไม่มีประวัติของผู้เข้าศึกษาที่ชื่อ… นี่มันอะไรกัน!”
เขาลืมกฎห้ามใช้เสียงภายในจุดบริการไปเสียสนิท ตั้งแต่ที่นายแพทย์บอกกับเขาว่าไม่พบประวัติในฐานข้อมูลผู้อยู่อาศัยของเขตอยู่อาศัยที่ 101 แล้ว มันเป็นฐานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวมบัญชีผู้อยู่อาศัยซึ่งใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางที่ตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยที่ 7 ไม่มีทางที่จะมีใครเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้นอกจากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์จนเอาไปทำเรื่องไม่ดีก็ตาม
แต่สิ่งที่ประหลาดยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อแสงสุทินลองสืบค้นซ้ำหลายครั้งแล้วสายตาเผอิญเลื่อนลงไปอ่านมองเวลาตรงมุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์เข้าพอดี สิ่งที่แสดงอยู่นั้นทำให้เขาจ้องตาค้างไปพักหนึ่ง
“วันที่ 8 กุมภาพันธ์… ค.ศ. 2170” เขาเอ่ยทวนสิ่งที่เห็นเบาๆ “เข้าใจแล้ว เวลาในคอมพิวเตอร์มันไม่ตรงกันนี่เอง ฉันถึงได้เข้าไปค้นแล้วไม่เจอ ลองไปใช้คอมพิวเตอร์เครื่องข้างๆ… เดี๋ยวนะ ไม่ใช่อย่างนี้สิ”
สิ่งที่แสดงในคอมพิวเตอร์เครื่องข้างๆ เครื่องถัดจากนั้นไปอีก แล้วก็ทุกเครื่องที่แสงสุทินเข้าไปสำรวจ
วันที่ถูกตั้งเอาไว้เป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2170 เหมือนกันทุกเครื่อง
มันเป็นไปไม่ได้ เลิกพูดถึงฐานข้อมูประชากรแล้วกลับมาพูดถึงคอมพิวเตอร์ในจุดสืบค้นข้อมูลแห่งนี้ นอกจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเวลาในปฏิทินเครื่องได้เด็ดขาด และถึงจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการสืบค้นเลยสักนิด หรือก็คือ… สาเหตุที่ทำให้แสงสุทินยืนเหงื่อตกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องสุดท้าย จนกระทั่งเดินออกจากจุดให้บริการแล้วก็ยังไม่หยุดไหล
“ขอโทษนะครับ ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกินไป วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วเหรอครับ”
“วันนี้เหรอ… วันที่ 8 กุมภาพันธ์น่ะ” คนข้างทางที่ถูกแสงสุทินถามตอบกลับมา
“อย่างนั้นเหรอครับ วันที่ 8 เองเหรอ ขอบคุณมากครับ” ส่วนแสงสุทินที่ได้ฟังคำตอบแล้วหน้าซีดเผือด
ที่นี่คือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2170 มันไม่แปลกอะไรที่ทะเบียนประชากรจะไม่แสดงชื่อของแสงสุทิน เพราะคิดเป็นเวลาแล้วก็คือก่อนที่แสงสุทินจะเกิด 5 ปี ในทะเบียนประชากรยังไม่มีการบันทึกประวัติของเขาเอาไว้เลย รวมถึงโรงเรียนมัธยมปลายที่เข้าเรียนในปีค.ศ. 2186 ด้วยเช่นกัน
“อย่างนี้เองสินะ ตอนนี้เป็นปี 2170 นี่เอง มิน่าล่ะ มันควรจะเป็นปี 2197 ไม่ใช่เหรอ ฉันคงเพี้ยนไปแล้วสินะ”
แสงสุทินนั่งกอดเข่าพูดอยู่คนเดียวอยู่ตรงป้ายรถประจำทาง ห่างจากโรงพยาบาลไปได้ไม่ไกล ท่าทางจิตตกและพูดคนเดียวนั้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกระแวงจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นั่นก็ทำให้เขาใช้ความคิดได้ดีกว่า แสงสุทินย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะถูกส่งเข้าโรงพยาบาล ภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ความรู้สึกกลัวและเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วร่างกายจนสั่นไม่หยุด แล้วฝ่ามือก็กำหุบตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ได้สติกลับมาจนถึงตอนนี้ เขายังรู้สึกเหมือนกับมีสิ่งหนึ่งที่จะปล่อยให้หลุดจากมือข้างนั้นไปไม่ได้อยู่ แต่ในตอนนี้ ไม่มีอะไรอยู่ในมือข้างนั้นเลย
…2170 กับ 2197 คำนวณแล้วก็ห่างกันตั้ง 27 ปีเลยสินะ
มากกว่าอายุอีกนะเนี่ย
พูดถึงเรื่องอายุแล้ว จำได้ว่าเคยมีพวกที่รู้มากกว่าอายุของตัวเองอยู่ด้วยหลายคนเลยนะ พวกนั้นเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ หรือบางวันก็ทำหน้าเครียดอย่างกับโลกนี้ถึงกาลวิบัติต่อหน้าพวกนั้น ถึงตอนนั้นจะรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกอยากเห็นท่าทางแก่แดดแก่ลมนั่นอีกสักครั้งจังเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเอาชีวิตรอดกันมาได้หรือเปล่า
ไม่เอาสิ น้ำตาอย่าเพิ่งไหลเอาตอนนี้สิ ถ้าพวกนั้นมาเห็นเข้าคงเสียฟอร์มแย่ ยืดอกให้เหมือนคนแรกที่เดินทางข้ามเวลามาใน 27 ปีก่อนเอาไว้สิ เชิดหน้าชูตาแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2170 จนถึงปี 2197 ให้ทุกคนรู้ แล้วตั้งตัวเองเป็นนักปราชญ์ที่รับรู้เรื่องในอนาคต โกยเงินเข้ากระเป๋าเยอะๆ เลยสิ
แต่ว่า… ปี 2170 อย่างนั้นเหรอ
“เดี๋ยวก่อนนะ จำได้ลางๆ อยู่ เหมือนกับว่าปี 2170 จะมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า” แสงสุทินเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อน้ำตาไหลเป็นทาง เขาเช็ดน้ำตาแล้วหันมองไปรอบตัวด้วยท่าทางตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกต ท่าทางของทุกคนรอบตัวเหมือนกับเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้ากันทั้งนั้น ไม่เหมือนกับทุกคนที่เคยเห็นตั้งแต่เด็ก ราวกับว่าจะมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ใช่แล้ว! ปีนี้… ปีนี้มัน!” แสงสุทินเปล่งเสียงอย่างทุลักทุเล ความรู้สึกของคนรอบตัวเปลี่ยนไป “ปีนี้มัน… เป็นปีที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งที่สองไม่ใช่เหรอ!”
ทุกคนหันมามองแสงสุทินเป็นสายตาเดียวกัน ความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเหล่านั้นทั้งตกใจและระแวง แต่แสงสุทินก็ไม่สนใจอีกแล้ว ความตื่นกลัวทำให้เขาจมอยู่ใต้ความคิดและสิ่งที่ต้องการจะพูดเท่านั้น แต่ไม่มีใครฟังคำเตือนของเขาเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งเด็กสาวที่ไว้ผมยาวสีฟ้าจางถึงหลังที่ถูกคำพูดของเขาดึงดูดเข้ามา
“ทุกคนฟังสิ่งที่ผมจะพูดนะครับ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ว่าในปี 2170 นี้ ในปีนี้จะเป็นปีที่มนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทำลาย พวกคุณทุกคนจะถูกหายนะครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีทางตอบโต้ทำลายจนหมด แล้วเขตอยู่อาศัยที่รอดจากการทำลายล้างมาได้มีแค่เขตอยู่อาศัยที่ 101 นี้เท่านั้น ผมต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ทุกคนรู้ให้เร็วที่สุด ไม่มีเวลาแล้ว!”
หลังจากที่แสงสุทินพูดจบ ทุกสายตาก็เปลี่ยนเป็นการเหยียดหยาม บางคนแสดงไม่พอใจโต้ตอบโดยไม่เกรงใจคนรอบข้าง และไม่แน่ว่าในบางคนที่วางเฉยอยู่รอบนอกก็มีคนที่อยากทำเช่นเดียวกันอยู่แน่นอน ประมาณว่าถ้าแสงสุทินไม่ยอมหยุดพูด กลุ่มนั้นก็คงไปรวมกับคนที่แสดงความไม่พอใจอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งแสงสุทินก็ไม่ยอมหยุดสักที เขาจึงถูกจับกดลงพื้นให้หายบ้า แล้วให้คนไปเรียกเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลมาพาตัวแสงสุทินไปบำบัดทางจิตเวช
แล้วในตอนนั้นเอง แสงสุทินเพิ่งสังเกตเห็นเด็กสาวที่เฝ้ามองอยู่นอกวง เธอกับเส้นผมสีฟ้าจางโดดเด่นกว่าคนอื่น และเป็นสิ่งกระตุ้นให้แสงสุทินที่ใกล้จะหมดสติเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุขึ้นมาในทีเดียว เอ่ยคำพูดนั้นขึ้นมา
“เธอ… ช่วยทุกคนให้ได้นะ ตะโก……”
แล้วสติของแสงสุทินก็ดับวูบลงเป็นครั้งที่สอง
ก่อนจะได้สติขึ้นมาอีกครั้งในห้องที่คับแคบและมีกลิ่นชวนอึดอัด เพดานสีเทาสกปรกเกินกว่าจะเป็นสถานที่ในโรงพยาบาล และจุดที่เขานอนอยู่ก็สูงจากพื้นเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ถูกพาตัวไปยังแผนกจิตเวช แต่ว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่คุ้นเคยเลยสักนิด และเมื่อแสงสุทินมองไปรอบตัวก็พบว่ากำลังนอนอยู่กลางห้องที่คล้ายกับห้องนั่งเล่นที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ประดับเลย นอกจากโต๊ะนั่งเขียนที่สูงจากพื้นเล็กน้อย กับกองกระดาษเลอะฝุ่นที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องเท่านั้น
“ที่นี่คือ…” แสงสุทินลุกขึ้นในสภาพที่ปวดไปทั้งตัว แล้วก็ได้ยินเสียงอันสดใสดังขึ้นข้างตัว
“ได้สติแล้วเหรอคะ เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง”
แสงสุทินสะดุ้งไปตามนิสัย แล้วก็ไปกระแทกเข้ากับเบาะที่นุ่มนิ่ม แต่ไม่สะเทือนตามแรงกระแทกเลยสักนิด และยังรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขาจึงเด้งตัวกลับไปยังทิศทางตรงข้าม และได้พบกับเด็กสาวที่มีเส้นผมและดวงตาสีฟ้าจางนั่งอยู่ข้างฟูกปูนอน ส่วนสูงน่าจะเท่ากับเอวของเขาเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เห็นใกล้ๆ แล้ว สีผมของผู้หญิงคนนั้นสะท้อนแสงคล้ายกับสีเงินมากกว่า
“เธอเป็นใครเหรอ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ที่นี่คือ… บ้านของฉันเองค่ะ พอดีว่าคุณหมดสติไปจากการกดทับ ฉันจึงเข้าไปช่วยคุณออกมาค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ” เด็กสาวผมสีฟ้าเงินที่น่าจะอายุราวเด็กมัธยมต้นตอบอย่างสุภาพ แสงสุทินไม่รู้สึกชินเท่าไหร่ เพราะทุกคนที่เขาเคยเห็นมาตลอดมีสีผมกับดวงตาสีดำสนิท ราวกับเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้โดดเด่นกว่าคนอื่น “แต่ว่าน่าแปลกนะคะ ทั้งที่มนุษย์เกือบทุกคนไม่ชอบใช้ความรุนแรงแท้ๆ ทำไมถึงมีคนเข้าไปทำร้ายคุณได้คะ เพราะว่าพูดอะไรไม่เข้าหูทางนั้น หรือว่าถูกหาเรื่องก่อนกันคะ”
“รู้สึกว่าจะเป็นอย่างหลังนะ” แสงสุทินตอบหน้าแหย “แต่ว่า เรื่องที่ฉันพูดเป็นความจริงนะ เรื่องที่โลกนี้…”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ไม่มีทางเลยต่างหาก” เด็กสาวรีบพูดขัด
“มันจะเกิดขึ้นภายในปีนี้จริงๆ นะ ฉันมาจากปี 2197 รู้ทุกเรื่องหลังจากนี้ที่พวกเธอไม่มีทางรู้ได้ บาดแผลพวกนั้นก็เป็นของ ทุกอย่างที่พูดเป็นเรื่องที่ฉันเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น ทำไมถึงไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ฉันพูดเลยล่ะ โลกนี้จะล่มสลาย จะมีสิ่งที่พวกเราทั้งหมดรับมือไม่ได้โผล่มาในปีนี้ ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลย ทุกสิ่งจะพินาศ--”
แสงสุทินพูดได้เท่านี้ก่อนจะสำลัก ระหว่างที่เด็กสาวหยิบน้ำให้ดื่ม เธอก็ใช้โอกาสที่แสงสุทินกำลังดื่มน้ำอยู่พูดขึ้น
“มาจากปี 2197 เหรอคะ แปลว่ามาจากอนาคตสินะ” เด็กสาวยิ้มหลบตา ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณคงจะพอได้ยินคำนี้มาบ้างสินะคะ คุณคงรู้จักสิ่งที่เรียกว่า เซย์ริ ใช่หรือเปล่าคะ”
“เซย์ริ…” แสงสุทินทวนสิ่งที่ได้ยินเบาๆ “เซย์ริ… เธอพูดถึงอะไรเหรอ มันไม่ใช่คำที่มีความหมายใช่ไหม”
“แต่ก่อนหน้านี้ คุณพูดชื่อของเซย์ริคนหนึ่งขึ้นมา” เด็กสาวพูด “ฟูจิซากิ ชิโอริ คือชื่อของฉันเองค่ะ ส่วนชื่อที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นชื่อของเซย์ริเหมือนกัน เพราะสนใจสิ่งที่คุณพูด ฉันถึงยอมช่วยคุณที่กำลังจะถูกพาไปที่แผนกจิตเวช แต่น่าแปลกนะคะ ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีเซย์ริที่มีชื่อสองพยางค์อยู่ด้วย ชื่อของเซย์ริทั้งหมดเป็นสามพยางค์ทั้งนั้นค่ะ”
“ชื่อของฉันคือ แสงสุทิน ไม่มีชื่อของฉันอยู่ในทะเบียนประชากรหรอก” แสงสุทินพูดกับชิโอริ “แต่ว่า เธอช่วยเชื่อสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดหน่อยเถอะนะ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับฉันมาแล้วนะ”
ชิโอริมองตาแสงสุทิน แล้วจ้องพินิจราวกับจะไม่ให้มีคำโกหกหลุดไปได้ ก่อนจะถอนหายใจ
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะลองฟังสิ่งที่คุณพูด แต่ถ้ามีการโกหกสักครั้งเดียว ฉันจะพาคุณไปให้กับแผนกจิตเวชทันทีนะคะ”
เมื่อชิโอริพูดจบ แสงสุทินก็เริ่มพูดน้ำไหลไฟดับ โดยทุกเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่เขาได้เล่าให้นายแพทย์ประจำตัวฟังไปแล้วทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ชีวิตประจำวันที่ไม่เคยเห็นคนที่มีสีผมอื่นนอกจากสีดำเลย ไปจนถึงความเคลื่อนไหวประหลาดบนท้องฟ้าก่อนจะเกิดเหตุการณ์หายนะที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล แต่ที่น่าแปลกก็คือ เรื่องที่แสงสุทินเล่าให้ฟังมีช่วงที่ไม่ปะติดปะต่อกันเยอะมาก แต่ชิโอริจับโกหกเขาไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
“สรุปก็คือ ในปีที่คุณแสงสุทินอยู่ เซย์ริที่มีหน้าที่ปกป้องมนุษย์ถูกกำจัดไปหมด และโลกถูกทำลายไปก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แล้วมันก็กำลังจะเริ่มขึ้นในปีนี้ใช่ไหมคะ”
แสงสุทินพยักหน้าขณะที่กำลังกลืนน้ำอึกใหญ่ การเล่าเรื่องต่อเนื่องโดยแทบไม่ได้หยุดพักหายใจเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากสำหรับคนที่เพิ่งหมดสติไปไม่นาน ส่วนชิโอริที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วก็ก้มหน้าใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอามือกุมท้องแล้วหัวเราะไม่หยุด ทำให้แสงสุทินเผลอพ่นน้ำในปากออกมา
“หัวเราะอะไรของเธอน่ะ สิ่งที่ฉันเล่าให้ฟังทั้งหมดเป็นเรื่องจริงนะ” แสงสุทินตะโกนสุดเสียง มีน้ำตาซึมเล็กน้อย
“เปล่าๆ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันแค่ไม่เชื่อว่าในปี 2197 ของคุณจะไม่มีเซย์ริเหลืออยู่เลย และนั่นก็รวมถึงฉันด้วยสินะ”ชิโอริใช้เวลาอยู่นานจึงหยุดหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเซย์ริเหลืออยู่ได้หรอกค่ะ เซย์ริถูกสร้างขึ้นแทบจะวันต่อวันเลยนะ ถึงจะแค่วันละคนและโอกาสสำเร็จค่อนข้างต่ำก็เถอะ แต่ถ้าพูดถึงเซย์ริที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็มีอยู่สองคนที่ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงปีของคุณแน่ๆ คุณแสงสุทินแค่อยู่ในสถานหลบภัยจนไม่รู้เรื่องภายนอกเท่านั้นแหละค่ะ เซย์ริพวกนั้นแข็งแกร่งจนต่อสู้กับผู้รุกรานได้ง่ายๆ เลยนะ แต่พวกมันก็จัดการได้ยากอยู่…”
ชิโอริเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดมากเกินไป แต่จะหยุดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
นั่นเพราะแสงสุทินไม่เคยพูดถึง พวกมัน ให้ใครฟังเลยสักครั้งเดียว
“ผู้รุกรานจากอวกาศ… เธอพูดถึงมันเหรอ มันคือตัวที่อยู่ในก้อนเมฆที่ฉันเห็นในตอนนั้นใช่ไหม”
“พูดถึงอะไรกันคะ ฉันจำไม่ได้ว่าเคยพูด…”
“มีจริงๆ สินะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ คุณแสงสุทินคงคิดมากไปเอง… กรี๊ด!”
ชิโอริพยายามบ่ายเบี่ยง เหงื่อเย็นเฉียบไหลอาบ ในขณะที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีเทา เป็นสัญญาณบอกว่าฝนใกล้จะตกลงมา ถ้าจับโกหกของเธอในตอนนี้คงพบหลายจุดแน่นอน แล้วเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นจากระยะไกล แต่มันคงดังเกินไปสำหรับชิโอริที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รวมถึงแสงสุทินที่มีความหลังกับมันมาก่อน
พวกเขาน่าจะรู้สึกตัวให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ไม่มีแสงอาทิตย์อีกแล้ว มีเพียงสายลมกรรโชกที่พัดกิ่งไม้กระทบหน้าต่างห้องนั่งเล่นเป็นจังหวะ ตามมาด้วยเสียงไซเรนดังกระหึ่มมาจากภายในเขตอยู่อาศัย เนื้อตัวของแสงสุทินสั่นไม่หยุดจนต้องหาสิ่งยึดเกาะให้หยุดสักที นั่นคือเข่าของเขาเอง
“มาแล้วสินะ เร็วกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย” ชิโอริเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง เธอลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างแล้วหันกลับเข้ามามองแสงสุทิน เส้นผมสีฟ้าเงินที่ลู่ลมเป็นริ้วทำให้ใบหน้าจริงจังของเธอมีเสน่ห์ขึ้นอย่างประหลาด “ถึงจะยังมีเรื่องที่อยากคุยกันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วจริงๆ ฉันจะไปส่งคุณที่สถานหลบภัยเอง หวังว่าเราจะมีโอกาสได้คุยกันอีกนะคะ”
ชิโอริเดินอ้อมไปข้างหลังแสงสุทินที่ยังคงกอดเข่าตัวสั่นอยู่ แล้วพาเขาออกไปข้างนอกบ้านผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ แต่แสงสุทินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าขาไม่ได้อยู่ติดพื้นเมื่อผ่านไปแล้วหลายวินาที และสายลมก็พัดเข้ามาทีใบหน้าแรงขึ้นจนผิดสังเกต เขามองไปรอบตัวพบว่ารอบข้างเปลี่ยนจากผนังห้องและผืนเสื่อกลายเป็นท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆ โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่ก้อนเมฆเริ่มหมุนวนเป็นก้นหอยเหนือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ส่วนชิโอริกำลังใช้แขนเรียวเล็กกอดเขาเอาไว้จากข้างหลัง ขณะที่ใช้แผ่นสีขาวพยุงตัวอยู่กลางอากาศ…
ปีกทั้งสองข้างของเธอเอง
“เอ๊ะ… เอ๊ะ!”
แสงสุทินที่เพิ่งจะรู้ตัวไม่รู้ว่าควรตอบรับอะไรก่อน ระหว่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ กับชิโอริที่กำลังบินอยู่เหนือเขตอยู่อาศัยที่ 101 ด้วยปีกสีขาวเหมือนกับนก แต่มองจากลักษณะเจ้าของปีกคู่นั้นแล้ว มันเป็นปีกของนางฟ้าต่างหาก
“ถ้าคุณแสงสุทินรู้จักเซย์ริก็คงเข้าใจใช่ไหมคะ เซย์ริอย่างพวกเราจะมีปีกสำหรับบินได้ และพลังที่พวกคุณเรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ แต่รู้เอาไว้แค่นั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะสิ่งที่คุณต้องทำมีแค่เข้าไปในสถานหลบภัยให้ทันเวลา ส่วนหน้าที่ของฉันเป็นคนละส่วนกัน คือ ต่อสู้ค่ะ” แววตาของชิโอริเศร้าลงผิดจากเมื่อสักครู่
“ต่อสู้เหรอ ต่อสู้กับอะไร” แสงสุทินถามกลับขณะที่มองลงไปข้างล่าง เขามองเห็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกเคลื่อนย้ายลงใต้ดินด้วยกลไกพื้นเลื่อน มันเป็นสิ่งที่แปลกตามาก เพราะในช่วงเวลาที่เขาจากมาไม่มีกลไลอย่างนี้อยู่เลย แล้วเขาก็ได้คำตอบจากชิโอริในระหว่างนั้น
“ต่อสู้กับสิ่งที่จะมาหลังจากที่พวกคุณลงไปใต้ดินแล้วค่ะ” ชิโอริส่งยิ้มกลับมาให้แสงสุทิน
หลังจากที่ส่งแสงสุทินเข้าไปยังทางเข้าสถานหลบภัยใต้ดินที่เหมือนโรงเก็บรถที่บุผนังด้วยอลูมิเนียมที่กว้างเกือบเท่ากับสนามฟุตบอลเสร็จแล้ว เธอก็บินจากไปด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ประตูจะเลื่อนปิดลง แล้วเคลื่อนตัวลงไปใต้ดินพร้อมกับคนอื่นๆ ที่แออัดกันอยู่ข้างในนับพันชีวิต แต่แสงสุทินก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด เพราะระบบระบายอากาศที่ดีมากของมัน ไม่นานนัก กลไกเคลื่อนย้ายก็หยุดลง แล้วประตูอีกฝั่งหนึ่งก็เปิดออก ผู้คนที่อยู่ข้างในเริ่มหลั่งไหลออกไปข้างนอกอย่างเป็นระเบียบ ราวกับเคยทำอย่างนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
และสิ่งที่แสงสุทินได้เห็นหลังจากที่เดินตามคนอื่นไปก็คือ ความกว้างใหญ่ของใต้ดินที่สว่างโล่ง
แทนที่จะเรียกว่าเป็นสถานหลบภัย น่าจะเรียกว่าเป็นค่ายอพยพคงถูกกว่า แต่เป็นค่ายอพยพที่ไม่มีความเครียดเลย ทั้งความกว้างใหญ่ราวกับถูกสร้างเอาไว้ใต้เขตอยู่อาศัยทั้งเขต สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้พร้อมทั้งบริการขนส่ง อาหารและเครื่องดื่มไม่เสียเงิน รวมถึงสถานบันเทิงครบวงจรสำหรับให้ประชาชนเข้าไปเล่นเพื่อฆ่าเวลา นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธคอยกำกับดูแลทั่วทุกพื้นที่อีกด้วย ถ้าไม่ได้รู้สึกตัวก่อนว่าลงมาที่สถานหลบภัย แสงสุทินก็คิดว่าที่นี่คืองานเทศกาลอะไรสักอย่างที่จัดขึ้นใต้ดิน
แต่ว่า นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว แสงสุทินยังรู้สึกเหมือนกับได้เจอคนที่คุ้นหน้าอยู่ในสถานหลบภัยด้วยเช่นกัน
เขาเดินฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เพิ่งก้าวออกจากทางเข้าสถานหลบภัยไปยังทางเข้าอีกทางที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล แล้วเอ่ยชื่อของคนรู้จักคนนั้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะได้ยินทุกคำพูดของเขา และเหลือบตามองด้วยสายตาเหมือนสำนึกผิด
“ทำไมเธอถึงเข้ามาในนี้ด้วยล่ะ… ชิโอริ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ