Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ใครบางคนที่เพิ่งรู้จัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 7 ใครบางคนที่เพิ่งรู้จัก
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปเร็วมาก เว้นเสียแต่ความเจ็บปวดระบมรวดร้าวของใครบางคน
“ทำไมเดินยากเดินเย็นอย่างนี้นะ”
เสียงโฮโนโอะโอดครวญดังมาตลอดทางที่เดินผ่านซอกเขา ทุกๆก้าวที่เดินและทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ซาคุโระที่เดินตามอยู่เงียบๆมองสภาพของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วก็รู้สึกผิดในใจ แต่มันคงจะดีกว่านี้ หากเจ้าน้องชายของเขาสองคนไม่นินทาเธอมากมายก่ายกอง
“ดูท่าทางท่านพี่ยังไม่หายเจ็บนะ”
“ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลารักษาน่ะ”
“ท่านซาคุโระทำกับท่านพี่ได้ขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ความโกรธมันไม่เข้าใครออกใครหรอก โดยเฉพาะพวกสตรี”
“ว่าใคร”
ซาคุโระหันกลับไปหาชายหนุ่มที่เดินรั้งหลังอย่างเหลืออด เล่นเอาใบหน้าของทั้งคู่ซีดเผือดลงทันตา
“ทะ ท่านซาคุโระมีอะไรกับพวกเราเหรอขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอก พวกนายคงไม่ได้นินทาฉันอยู่ใช่ไหม”
“เปล่าเลยขอรับ”
“แน่ใจนะ”
“ขอรับ แหะๆ”
“งั้นก็แล้วไป”
ถึงจะรู้ว่านั่นคือคำโป้ปด แต่ซาคุโระก็ไม่คิดจะใส่ใจและเดินต่อทั้งที่ได้ยินเสียงซุบซิบมาไม่ขาดหู
“น่ากลัวจังนะขอรับ ท่านพี่”
“แค่นี้ยังเป็นน้ำย่อยนะ”
ระหว่างที่เดินไปตามช่องเขาแคบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มมืดลงทีละนิด ดูเหมือนชายหนุ่มทั้งสามเริ่มระวังตัวมากขึ้น ขณะที่ซาคุโระเริ่มอึดอัด
“ทำไมจู่ๆก็หายใจไม่ค่อยออกนะ”
ร่างกายภายนอกสั่นระริก มือบอบบางยกขึ้นป้องปากอย่างสั่นเทาเพราะไอค่อกแค่กเหมือนคนคอแห้งเป็นระยะๆ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามเข้ามาประชิดตัวเธอมากขึ้นกว่าเก่าด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง โดยเฉพาะโฮโนโอะที่อยู่ใกล้เธอมากกว่าใคร
“แค่กๆ~…”
“เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเลย”
“ฉะ ฉันหายใจไม่ค่อยออก แค่กๆ…”
ซาคุโระตอบเสียงสั่นผสมปนเปกับเสียงไอไม่หยุด ขณะที่โฮโนโอะจับจ้องเธอเป็นระยะ ท่าทางของเขาเหมือนจะต่อว่าเธอกลายๆว่าช่างเปราะบางและอ่อนแอเสียเต็มประดา
“รีบไปกันเถอะ มัวยืดยาดเดี๋ยวก็ขาดใจตายพอดี”
พูดจบชายหนุ่มก็หันกลับมาคว้ามือที่เย็นเฉียบของเธอเดินนำหน้าไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครเอื้อนเอ่ย ซาคุโระเดินตามเขาไปอย่างไม่ขัดขืน อีกทั้งยังความอ่อนแรงที่เพิ่มขึ้นทำให้เธอขืนตัวไม่ไหว
ฟุยูกิได้หยุดอยู่กับที่เหมือนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มนิ่งชะงักพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า มือทั้งสองเริ่มสั่นเทารวมทั้งขาสองข้างที่รู้สึกเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวเดินต่อ
“ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน…เหมือนมีใครจ้องมองเราอยู่คนเดียว”
ฟุยูกิหันกลับไปด้านหลังตามทิศทางของแรงกดดันที่ถูกส่งมา แต่ด้านหลังที่มองไปนั้นไม่มีอะไรอยู่นอกจากมิราอิที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามือหนาตบลงบนไหล่ที่แข็งทื่อ เรียกสติที่กำลังหลุดออกจากร่างกายให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ปั่บ!
“เป็นอะไรไปตั้งเมื่อกี้นี้แล้ว”
ฟุยูกิส่ายหน้าให้กับคำถามพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าแบบลวกๆ ยังดีที่มิราอิไม่ใช่คนเซ้าซี้มากมาย เขาเอียงคอเชิงสงสัยแต่กลับไม่ถามมากความและเดินนำหน้าออกไปเงียบๆ
ฟุยูกิเดินรั้งท้ายไปเงียบๆ แต่ทว่าในใจยังคงสงสัยและอดที่จะหันกลับไปมองเสียงไม่ได้
ต้องมีใครตรงนั้นและมองเขาอยู่แน่ๆ….
ห่างจากทางเดินในซอกเขาไปไม่ไกลนัก บนโขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผามีเงาเล็กๆของใครคนหนึ่งยืนนิ่งและทอดสายตามองลงมายังเหล่าผู้เดินทาง ริมฝีปากเล็กๆที่อยู่ในความมืดสลัวแสยะยิ้มเล็กน้อย นึกพอใจในคนที่จับสัมผัสของตนได้อย่างน่าประหลาด
“ดูท่าว่ากระแสจิตของเราไม่สามารถปิดบังคนๆนั้นได้เลยสินะ ช่างเป็นคนที่อ่านใจยากเสียจริง ท่านฟุยูกิ....ข้าชักอยากเข้าไปใกล้ท่านมากกว่านี้ซะแล้วสิ……จะทำยังไงดีนะ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นราวแผ่วๆราวกระซิบ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปพร้อมกับสายลมเบาบางที่พัดผ่านพร้อมๆกับร่างเล็กๆที่กลายเป็นละอองสลายไปกับธาตุอากาศ
ปราสาทสีดำบนยอดเขาสูงชันที่รายล้อมด้วยด้วยป่าสีดำและกลิ่นสาบของเหล่าอสูรปีศาจที่อาศัยอยู่ กาโระที่หนีเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด กำลังจับจ้องลงไปในแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ดวงตาแข็งกร้าวของอสูรร่างยักษ์สะท้อนภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงาของน้ำในแอ่ง พร้อมๆกับความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก โดยเฉพาะภาพใบหน้าของศัตรูตัวฉกาจที่สะท้อนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ศัตรูที่เป็นเพียงเด็กสาวเจ้าของดวงตาสีเงิน
เพียะ!
“เจ็บใจนัก! นังเด็กนั่นบังอาจทำกับลูกน้องคนสนิทของข้าได้ ไอ้พวกเด็กเวร!”
น้ำสีขาวกระฉอกออกจากแอ่งหินทันทีที่ฝ่ามือของอสูรร่างใหญ่กระแทกเข้าใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เอ้าๆ ไปถูกใครกัดมารึไง ถึงได้โมโหโกรธาขนาดนี้ กาโระ”
สิ้นคำพูดเยาะเย้ย กาโระก็หันไปทางต้นเสียงทันที ร่างของหญิงสาวหุ่นเพรียวบางในชุดสีฟ้าเบาบางแนบเนื้อปรากฏขึ้นมายืนยิ้มอยู่มุมห้องไม่ไกลนัก
“ยูระ!”
กาโระเอื้อนเอ่ยชื่อของหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก และท่าทางของหญิงสาวก็จะรู้นิสัยของเขาดีว่าเป็นยังไง แต่เธอกลับไม่มีท่าทีกริ่งเกรงและยอกย้อนกลับมาให้โมโหเล่น
“โอ๊ะ! ท่าทางแบบนี้ เหมือนไปถูกใครเตะก้นกลับมาเลยนี่นา”
“พูดมากไปแล้วนะ”
“หรือว่าไม่จริง ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะไม่ได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก ใช่ไหมกาโระ”
คำพูดประโยคสุดท้ายของยูระมาพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มที่เหมือนจะป้ายยาพิษใส่ ทำให้อสูรเลือดร้อนอย่างกาโระเดือดดาลขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“มันจะมากไปแล้ว!”
ขวานเล่มมหึมาก็ปรากฏในมือขวาของกาโระ และฟาดฟันลงที่ร่างของปีศาจสาวทันที แต่หล่อนก็เอี้ยวตัวหลบได้เหมือนอ่านใจของอีกฝ่ายออกตั้งแต่แรก
ตูม!!!!
“ร้ายกาจไม่เบานี่”
“ปากดีนักนะ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นร้อยชิ้นแล้วโยนให้พวกนกปีศาจมันกินซะ!”
“ได้เสียสิ ถ้าทำได้ก็ลองดู แต่หากเจ้าแพ้ข้านั่นก็คือจุดจบของเจ้าล่ะ!”
“พูดดีไปเถอะ ว้ากกกก!!”
กาโระเดือดพล่านอย่างคนเสียสติ เหวี่ยงขวานในมือฟาดฟันยูระอย่างบ้าคลั่ง แต่ปีศาจสาวกลับหลบได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆที่รู้ว่ากาโระไม่มีทางเทียบฝีมือกับตนได้ แต่เธอก็ยังอยากเล่นและหลบไปทั้งอย่าง ท่วงท่าของเธอพลิ้วไหวดุจสายลมที่กำลังเริงระบำ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นานอสูรเลือดร้อนก็เริ่มเหนื่อย
“แฮ่กๆๆ~”
“เป็นอะไรไป หมดแรงแล้วเหรอ” ปีศาจสาวยิ้มเยาะพลางร่อนตัวลงมายืนอยู่บนโขดหินสูงกลางห้อง
“รับการลงฑัณฐ์จากข้าไป! นางปีศาจปากเสีย!”
“น่าสนุกดีนี่”
ยูระผู้ควบคุมสายลมแสยะยิ้มเหมือนเด็กที่เจอของเล่นสุดล้ำค่า ในมือของเธอมีพายุขนาดย่อมซุกซ่อนอยู่ และมันก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นราวกับคมดาบตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านของเธอ กาโระร่ายเวทกักขระไม่นานขวานเหล็กในมือขวาก็เปล่งแสงเจิดจ้าดุจเพลิงบรรลัยกัลป์
“จงปะทุขึ้นเหนือฟ้าสีดำ…ขวานเพลิงแห่งการทำลายล้างเอ๋ย!”
“ใช้ท่าไม้ตายกับผู้หญิงเหรอ แบบนี้ข้าก็เล่นสนุกไม่ได้แล้วล่ะสิ”
แววตาที่ซุกซนได้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ฝ่ามือเรียวบางข้างหนึ่งยกขึ้นเหนือหัว พร้อมๆกับเสียงร่ายเวทกัขระด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“จงสถิตเหนือฝ่ามือ กรงเล็บแห่งสายลม!”
“ชิ ใช้เวทเหมือนกันรึ ที่แท้ก็ขี้ขลาด”
“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าเท่าไหร่หรอก”
“จงแหลกสลายไปซะเถอะ!”
“นั่นควรจะเป็นคำพูดของข้ามากกว่า!”
แสงวูบวาบสองสีจากพลังที่ต่างขั้วกำลังเข้าปะทะกัน แต่ในชั่วพริบตานั้นก็เหมือนมีพลังขั้วที่สามเข้ามาขัดขวางไว้อย่าง่ายดาย เวทมนตร์ทั้งสองขั้วถูกตัดขาดเป็นเสี่ยงๆกระเด็นออกไปคนละทาง ราวกับเนื้อหนังที่ถูกมีดดาบเชือดเฉือน
วูบ!...
“อะไรกัน!”
กาโระสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นพลังเวทมนตร์ของตัวเองสูญสลายไปต่อหน้า และในเวลานั้นเสียงทุ้มต่ำที่สุดแสนจะเยือกเย็นก็แทรกขึ้นมา
“คิดจะเล่นกันไปถึงเมื่อไหร่”
“เนรีว!”
“พี่ชาย”
ยูระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าขั้นกลางระหว่างเธอกับกาโระ เธอยำเกรงชายผู้นี้รองลงมาจากจอมมารที่นับถือเป็นนาย เขาคนนี้เยือกเย็นและน่ากลัวกว่ากาโระ และเธอก็ไม่เคยคิดที่จะต่อกรด้วย เพราะชายคนนี้คือปีศาจงูขาวเนรีว พี่ชายแท้ๆของเธอ และเมื่อสบสายตาที่หันมามองอย่างเยือกเย็นก็เกิดความรู้สึกกดดัน เพราะมีผู้ที่เหนือกว่าอยู่ตรงหน้า ยูระแอบสั่นเล็กน้อยพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาตามดวงหน้าคมๆของเธอ จนต้องแสร้งเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่ตั้งคำถามของพี่ชาย ตรงข้ามกับกาโระที่ยังมีอารมณ์เดือดดาล และไม่สนใครหน้าไหนนอกจากการระบายโทสะที่อัดอั้นอยู่ในอกแทบระเบิด
“หลีกไปเนรีว! ข้าจะฆ่านางนั่น!”
“ฆ่ารึ…นางไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองงั้นรึ กาโระ”
ปีศาจหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบพลางเหลือบมองกาโระเพียงหางตา แต่กาโระก็ไม่ใส่ใจเท่ากับหญิงสาวที่เขาต้องการจะปลิดลมหายใจ
“มากเลยล่ะ นังนั่นเยาะเย้ยข้า!”
“นางยังเด็ก อภัยให้นางเถอะ”
“พี่ชาย….”
“เจ้ามีงานต้องทำไม่ใช่รึ นี่ใช่เวลาจะมาเล่นสนุกเช่นเด็กไม่ประสาเมื่อไหร่”
“อะ ขออภัยค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ!”
ว่าแล้วยูระก็หายวับไปพร้อมๆกับสายลมอ่อนๆที่พัดผ่าน กาโระเกลียดเนรีวเข้าไส้ที่มาปกป้องน้องสาวเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“หนอย~ มันจะมากไปแล้วนะ! ทุกครั้งเจ้าต้องมาขวางข้าตลอดเลย เนรีว!”
“ข้าไม่ได้มาขวางเจ้า”
“ปากแข็ง! เห็นว่าเป็นน้องสาวแล้วจะปกป้องรึ ไม่รู้ล่ะ วันนี้ข้าต้องสั่งสอนนังผู้หญิงปากเสียนั่นให้ได้!”
กาโระตะโกนโหวกเหวกพร้อมกระชับขวานในมือจนแน่น ก้าวเดินฉับๆผ่านหน้าเนรีวไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ทันที่จะพ้นห่างจากปีศาจหนุ่มไปได้ไกลก็เป็นอันต้องหยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น เมื่อปลายดาบที่คมกริบได้ชี้เข้าที่คออย่างไม่รู้ตัว
“ข้าบอกว่าอภัยให้นาง พูดไม่รู้เรื่องรึไง กาโระ”
“หนอยแน่ะ~ เนรีว!”
“รึเจ้าอยากบันดาลโทสะกับข้าก็ได้ ว่าไง”
สิ้นสุดคำพูดของเนรีว กาโระก็ถึงกับเลิกคิ้วสูงเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวชายหนุ่มผมขาว แต่ความโกรธเกรี้ยวก็ไม่เข้าใครออกใคร เลือดขึ้นหน้าทำให้อสูรจอมพลังรับคำท้าอย่างว่องไวและเตรียมชักอาวุธคู่กายออกมาหมายจะกำจัดคู่แค้นอย่างเนรีว
“ก็ได้ ข้ารับคำท้าเจ้า แล้วอย่ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตจากข้าก็แล้วกัน!”
“หึ นั่นควรจะเป็นคำพูดของข้ามากกว่า”
“ปากดีทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ ข้าจะเฉือนปากเน่าๆของเจ้าให้นกปีศาจมันกินซะเลย!”
กาโระพุ่งเข้าหาเนรีวอย่างไม่เปิดโอกาส แต่เนรีวกลับยืนนิ่งและยังไม่ชักดาบที่แอบซ่อนเอาไว้ด้านหลังออกมาให้เห็น
“อย่าริอ่านเอาข้าไปเปรียบกับผู้หญิง เจ้ายักษ์ดื้อด้าน”
“ตายซะเถอะ! ว้ากกกก!!!”
ขวานเล่มมหึมาพุ่งเข้าใส่หมายจะฟาดฟันเนรีวให้ขาดสะบั้นตามความรู้สึกเดือดดาลของเจ้าของ แต่ปีศาจกลับนิ่งเฉยอย่างไม่ยี่หระ และในระหว่างนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
“พอได้แล้ว”
กึก!
ขวานยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดพล่านดุจไฟนรกได้หยุดชะงักห่างจากศีรษะของเนรีวเพียงคืบ กาโระเหงื่อตกเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาลจากเจ้าของเสียง ตรงข้ามกับเนรีวที่ได้แต่หลับตานิ่งพร้อมกับผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด แท่นหินสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางห้องโถงอันมืดดำ แสงสว่างเพียงน้อยนิดส่องสะท้อนให้เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยผ้าม่านผืนบางที่รายล้อม เงาสีดำรูปร่างสูงเพรียวยืนตระหง่านอยู่บนแท่นหิน ถึงจะมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ความรู้สึกกดดันมหาศาลที่สัมผัสได้ก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าสายตาคู่นั้นกำลังจดจ้องมา และคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่จะเอ่ยปากออกไปพล่อยๆ พอคิดได้ดังนั้นอสูรเลือดร้อนอย่างกาโระก็รีบคุกเข่าก้มหน้ารอรับบัญชาอย่างไม่คัดค้าน
“ท่านจอมมาร มีอะไรให้กาโระผู้นี้รับใช้รึ”
“กาโระ เจ้าเคียดแค้นทายาทแห่งราชันย์มากขนาดนั้นเชียวรึ”
“หามิได้ ผู้ที่ข้าเคียดแค้นคือเด็กมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น มันฆ่าคานอลลูกน้องคนสนิทของข้า!”
“อย่างนั้นรึ แค้นขนาดต้องมาหาเรื่องพวกเดียวกันเลยรึ”
“ขะ ข้าผิดไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถอะ!”
เจ้าของเงาสีดำได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงคำรามเหมือนจะพอใจ ก่อนที่จะออกคำสั่งแก่อสูรยักษ์ที่คุกเข่าก้มหน้าเพราะความยำเกรงตน
“เอาเถอะ ข้าจะไม่สืบสาวเอาความเจ้าสักครั้ง แต่เจ้าต้องชดใช้ในความบ้าดีเดือดของตัวเอง”
“ข้ายอมทำทุกอย่าง! หากว่าเป็นคำสั่งของท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้โปรดบัญชามาได้เลย”
“ไปเอาตัวมันมาให้ข้า”
คำพูดที่แปลกหูผิดจากการคาดเดาทำให้กาโระชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและจับจ้องไปที่เงาสีดำที่อยู่บนโขดหินอย่างขัดข้องใจ
“ท่านจอมมาร ท่านต้องการใครรึ”
“เด็กผู้หญิงที่เจ้าเคียดแค้นคนนั้น เอาตัวมันมาให้ข้า ใครขัดขวางก็ฆ่ามันซะ!”
“หึ…กำลังต้องการอยู่เชียว น้อมรับคำสั่ง นายข้า”
กาโระแสยะยิ้มอย่างพอใจและรับคำสั่งนั้นโดยง่าย เพราะตนก็ต้องการแก้แค้นและเข่นฆ่าตามนิสัยเลือดร้อนของตนอยู่แล้ว ร่างของอสูรกาโระหายวับไปในพริบตา ต่อหน้าเนรีวที่มองอยู่เงียบๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจราวเสียงสบถและหันไปหาเจ้าของคำสั่ง
“ท่านคัยรีว”
“หืม…เนรีวรึ หึๆๆ นานแล้วที่ไม่ใครเอ่ยนามนี้กับข้า ช่างเป็นนามที่ข้าคิดถึงเสียจริง”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยว ท่านคิดอะไรอยู่ถึงส่งอสูรบ้าเลือดอย่างกาโระไป คิดว่าเจ้านั่นจะจัดการเหล่าทายาทพวกนั้นได้รึ”
“หึๆๆ”
“คิดจะทำอะไรกันแน่”
“สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้ไม่ใช่มาตั้งคำถามกับข้า เนรีว จงทำตามที่ข้าสั่งก็พอแล้ว ก่อนที่เวลาของเจ้ากับน้องสาวจะหมดไปตลอดกาล”
คำพูดที่มาพร้อมกับความเยือกเย็นทำให้เนรีวปิดปากเงียบทันที เพราะรู้ดีว่าหากพูดต่อไปมากกว่านี้ก็มีแต่จะเดือดร้อนเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองทางอ้อม เขารับรู้คำสั่งจากกระแสจิตอันมืดดำที่ส่งมาจากจอมมารโดยตรง จึงไม่ต้องเอ่ยปากว่าจะทำอะไร
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ว่าแล้วร่างสูงโปร่งก็หายวับไป สายตาของคัยรีวมองเห็นเพียงปลายเส้นผมสีขาวที่กำลังจืดจางและหายไปพร้อมกับเจ้าของร่างที่จากไปเท่านั้น ริมฝีปากสีแดงสดดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้มแสยะยิ้มอย่างพอใจ สิ่งที่หล่อนต้องการไม่ใช่อะไรนอกจากโลหิตที่ไหลออกจากร่างของเทพธิดาสีเงิน
“ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นจนได้เทพธิดาสีเงิน วันที่ข้ารอคอยใกล้เข้ามาถึงแล้วสินะ หึๆๆ”
ความอำมหิตของจอมมารที่สูงส่ง สำหรับเหล่าอสูรด้วยกันที่ได้สัมผัสต่างก็ชื่นชอบความรู้สึกที่หอมหวนยิ่งกว่าความมืดนี้เสียกระไร ท่ามกลางป่าเขาที่ถูกสาป มืดมิด เยือกเย็น และวังเวง แม้กระทั่งท้องฟ้าก็แทบจะไม่มีแสงใดเล็ดรอดลงมาให้เห็น เป็นหุบเขาที่หลับใหลมาตลอดหลายร้อยปี
“แค่กๆๆ~…นี่ เดินมาตั้งไกลแล้ว ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอ”
ซาคุโระพูดออกมาหลังจากรอดผ่านช่องแคบอันมืดดำนั้นออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้รู้สึกชาไปทั้งขาแทบจะก้าวไม่ออก
“เจ้านี่มันบ่นมากจริงๆ น่ารำคาญ”
โฮโนโอะสวนกลับเหมือนไม่ใส่ใจ ซาคุโระเริ่มฉุนไม่สนใจสายตาที่มองกลับมา และก้าวเดินต่อไปด้วยแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่จะวีนใส่ชายหนุ่มที่ทำหน้าอึ้ง
“คนใจร้าย เห็นฉันเป็นหุ่นยนต์รึไง ไม่พักก็ได้!”
ว่าแล้วเธอก็ก้าวเดินฉับๆออกหน้าไป โดยเมินเฉยกับสายตาที่ยังจับจ้องอยู่
“ท่านซาคุโระโกรธซะแล้ว”ฟุยูกิที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เจอคนใจไม้ไส้ระกำเข้า ผู้หญิงเขาต้องงอนเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
มิราอิที่เดินข้างอยู่ใกล้พูดเสริมขึ้น พลางมองมาทางพี่ชายด้วยสายตาที่เหมือนจะประชด จนทำให้คนที่ถูกมองร้อนตัวและหาข้อแก้ตัวกันเก้อ
“อะไร ข้าผิดตรงไหน”
มิราอิและฟุยูกิต่างก็ส่ายหน้าถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำให้โฮโนโอะเริ่มอยู่ไม่สุข และวีนใส่ด้วยความเขินอาย
“อย่ามาทำหน้าเหมือนเห็นข้าเป็นตัวประหลาดนะ!”
ซาคุโระเดินจ้ำอ้าวออกมาห่างจากกลุ่มชายหนุ่มด้วยอารมณ์ที่เดือดปุดๆ พร่ำบ่นออกมาด้วยความฉุนเจ้าคนเย็นชา
“โฮโนโอะ ไอ้คนงี่เง่า คิดว่าคนอื่นเขาเป็นอย่างตัวเองรึไง คนอะไรใจดำ!”
หญิงสาวโปรยคำพูดออกมาตลอดทางที่ก้าวเดิน สักพักก็รู้สึกร้อนรุ่มในอกเหมือนมีกองไฟมาสุมรอบตัว หนทางข้างหน้าเริ่มพล่ามัวและเอียงไปมา ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายจะตกลงไปในความมืดมิด
นานเท่าไหร่ไม่อาจนับเวลาได้ถูก ซาคุโระรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางความเหน็บหนาว แต่พอสักพักก็ค่อยๆจางหายเมื่อถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกอบอุ่นได้สัมผัสเข้าที่ใบหน้าของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่มันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างเหมือนกับว่าได้อยู่ในอ้อมกอดของใคร
“นี่ ทำใจดีๆเอาไว้นะ เจ้าลูกผู้หญิงอ่อนแอ”
เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังเล็ดลอดเข้ามาท่ามกลางความมืด “เจ้าผู้หญิง” คำๆนี้ซาคุโระช่างคุ้นหูและไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ และคนที่ชอบเรียกเธออย่างนี้ก็คงไม่มีใครอื่นนอกจากโฮโนโอะ แต่เพียงเพราะความมืดที่ยังห้อมล้อมทำให้ไม่มั่นใจในน้ำเสียงที่ได้ยิน พอนึกอย่างนั้นจึงพยายามแหวกความมืดเปิดม่านตาออกมามองหาเจ้าของเสียงนั้น และทันทีที่ม่านตาเปิดออกและปรับภาพให้ชัดเจน สิ่งที่ได้พบเห็นก็เป็นไปตามที่คิด เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากโฮโนโอะที่จับจ้องเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวล และพอเห็นเธอลืมตาขึ้นเท่านั้น สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“ได้สติแล้วเหรอ”
“อ๊ะ! เอ่อ…”
“อะไร เห็นหน้าข้าทีไร ทำไมต้องตาค้างแบบนั้นด้วย”
โฮโนโอะเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นเธอทำหน้าเหวอเหมือนกำลังเห็นผี
ซาคุโระยังอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม หญิงสาวพยายามยันกายออกห่าง แต่เพราะพิษไข้ที่ยังไม่ลดละทำให้ต้องซบอยู่บนตักเขาต่อไปโดยปริยาย
“ปะ ปล่อยฉันนะตาบ้า!”
“ตื่นมาก็ปากจัดเชียวนะ”
ซาคุโระชะงักไปทันทีที่เห็นแววตาของชายหนุ่ม เขามองเธอตาไม่กะพริบ พร้อมกันนั้นมือทั้งสองข้างของเขายังรั้งตัวเธอเข้าแนบชิดมากขึ้น ทำให้ใบหน้าของเธอซุกแนบอกอุ่นๆนั้นโดยปริยาย ซาคุโระไม่พูดอะไรและไม่ขัดขืนเพราะคิดว่าดีที่เขาจะได้ไม่เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีของเธอ
“ฮะ โฮโนโอะ…”
“ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร ตอนเจ้าล้มลงไปข้าตกใจแทบแย่”
“ขอโทษนะ”
คำพูดที่อ่อนโยนและปนเปความห่วงใยจนล้นหลาม ทำให้หัวใจที่แข็งทื่อเริ่มสั่นคลอนและเต้นแรงขึ้นจนรู้สึกชัดเจน ซาคุโระซุกหน้าเข้าที่อกอุ่นที่กระเตื้องขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของชายหนุ่มอย่างเหนียมอาย พลางนึกในใจว่าโชคดีแล้วที่เขาไม่เห็นหน้าเธอตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
แต่แล้วความรู้สึกเขินอายและหวั่นไหวนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคำพูดประโยคหนึ่งเพียงสั้นๆเข้ามาแทรกกลางกระตุ้นต่อมเดือด
“เจ้านี่ชอบทำอะไรไม่รู้จักคิดจริงๆ”
“วะ ว่าไงนะ!”
จากใบหน้าอมชมพูเพราะความเขินอาย กลับกลายเป็นสีแดงก่ำเพราะความโมโหโทสะ คำพูดดุดันแกมประชดพวกนั้นน่าจะเป็นเธอมากกว่าที่จะพูดไม่ใช่เขา ความโกรธทำให้มีพลังอย่างใครต่อพูดจริง มือทั้งสองข้างของหญิงสาวเริ่มมีเรี่ยวแรงและเธอก็ไม่รอช้าที่จะใช้มันผลักอกของเจ้าคนปากเสียนั้นให้กระเด็น
โฮโนโอะหงายตึงผละจากหญิงสาวที่รีบยันกายลุกออกห่าง และรีบชี้หน้าด่าเขาเป็นชุด
ตุ้บ!
“เจ็บนะ! เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!”
“ทำอะไรไม่รู้จักคิดงั้นเหรอ ฉันทำอะไรล่ะ! นายต่างหากที่ไม่รู้จักคิด ถ้านายยอมหยุดพักสักนิดฉันคงจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างนี้หรอกจะบอกให้!”
“เสียเปรียบ เรื่องอะไร”
ซาคุโระถูกสวนกลับด้วยคำถามที่แสนซื่อตรงก็ถึงกับชะงัก คำถามที่ชัดเจนของชายหนุ่มทำให้เธอเงียบกริบและแสร้งพ่นลมหายใจออกมาแรงๆแก้เขิน ในขณะที่เขายังย้ำคำถามของตัวเอง
“เรื่องอะไรล่ะ”
“มะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะน่า” เธอรีบปฏิเสธเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่…มิราอิกับฟุยูกิล่ะ”
ซาคุโระเอ่ยถามพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของคนที่กำลังถามหา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเธอเบี่ยงเบนประเด็น ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจและตอบคำถามไปอย่างเรียบเฉย
“ออกไปหาสมุนไพรมารักษาเจ้าน่ะสิ”
“แล้วทำไมนายไม่ไปแทนล่ะ ปล่อยเด็กสองคนออกไปอย่างนั้นอันตรายออก”
“สติเจ้ายังดีอยู่รึเปล่า”
“อุ๊บ!”
พอถูกสายตาคู่นั้นจับจ้องอย่างสงสัย หญิงสาวก็รีบยกมือทั้งสองข้างปิดปากเสียโดยเร็ว เธอลืมไปเสียสนิทว่าเขาเป็นคนที่คอยเฝ้าดูแลเธออยู่ตลอดเวลา
“ว่าไง ยังเพ้อเพราะพิษไข้อยู่รึไง”
“นะ หนวกหูน่า! แค่ลืมเท่านั้นเอง ผิดด้วยเหรอ”
“โฮ่~”
ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกพลางมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากเชื่อในคำพูดเท่าไหร่นัก แต่พอเห็นเธอทำหน้าตูมของเธอเขากลับยิ้มออกมาบางๆ สีหน้าท่าทางที่อ่อนโยนอย่างนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระยังไงอย่างนั้น
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
ซาคุโระเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แต่ชายหนุ่มก็ได้ยินชัดเจนและรู้ความหมายที่แสดงออกมาทางสีหน้านั้นเป็นอย่างดี เขาเสมองออกไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าที่สลดของเธอ
“พูดอะไรไม่เข้าท่า”
“เอ๊ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็เงียบไปซะ ยายผู้หญิงโง่”
ซาคุโระไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้สรรหาคำด่ากรอกหูเธอได้ทุกที่ทุกเวลา แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เธอไม่ได้โกรธเขา ในระหว่างที่ความสบายใจกำลังจะทำให้รอยยิ้มปรากฏ ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีและแปรปรวนราวกับมีพายุ ก็ทำให้ทั้งสองชะงักและหันไปมองทางทิศเดียวกันอย่างเคร่งเครียด
ครืนนนนน!
“อะไรน่ะ”
“ฟ้าเปลี่ยนสีอีกแล้ว”
โฮโนโอะขมวดคิ้วจับจ้องไปที่เมฆสีดำที่เหมือนจะปล่อยน้ำฝนลงมาอยู่รอมร่อ แต่กลับรู้สึกว่าจะมีมากกว่าฝน
“ซาคุโระ มาหาข้าเร็วเข้า”
ซาคุโระเลิกคิ้วประหลาดใจแต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่จะได้เอื้อมมือเข้าไปหาก็มีบางอย่างเข้ามารวบตัวเธอจากด้านหลังก่อนที่มันจะกระชากเธอออกไปอย่างรวดเร็ว
เฟี้ยว!
“อะไรน่ะ ปล่อยนะ!!”
“ซาคุโระ!”
“โฮโนโอะ ช่วยด้วย!!!”
“บ้าจริง!”
ซาคุโระพบว่าสิ่งที่รวบรัดร่างของเธอคือโซ่สีดำที่เคยคุ้นตา หญิงสาวพยายามขืนตัวและเอื้อมมือหาชายหนุ่มที่วิ่งตามและพยายามไขว่คว้ามือที่เธอยื่นให้ แต่แล้วอสูรกาโระก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า และโจมตีด้วยขวานอย่างไม่เปิดโอกาส แต่โชคดีที่เขาไหวตัวและหลบได้ทัน
ตูมมมม!!!
“อั๊ค!”
“หึๆๆ เจ้าไม่มีทางได้ตัวนังเด็กนี่หรอก เจ้าหนูโฮโนโอะ”
“กาโระ!”
ท่ามกลางป่าเขาและความมืดที่แปรปรวนเพราะไอปีศาจที่แผ่ฟุ้งกระจายออกมาจากตัวอสูรกาโระ ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องหนีกันจ้าละหวั่น
“ปล่อยนางซะ!”
“เห็นทีจะทำตามคำสั่งเจ้าไม่ได้ซะแล้วสิ”
กาโระแสยะยิ้มเยาะราวผู้ชนะ ความมืดมัวมาพร้อมกับความเหน็บหนาวรุนแรง กดดันพลังในตัวโฮโนโอะให้ลดลงไปมากกว่าครึ่ง
“หึ ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะลดลงไปมากนะ เพราะอากาศที่หนาวจับขั้วหัวใจนี่สินะ น่าสงสารที่เกิดมาผิดแปลกไปจากพี่น้อง หึๆๆ”
“หนวกหู ข้าเป็นยังไงแล้วมันหนักกบาลเจ้านักรึไง!”
เสียงขู่คำรามดั่งท้องฟ้าที่กำลังมีพายุ ซาคุโระยังมองเห็นว่าชายหนุ่มยังจดจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา สายตาของเขาบ่งบอกว่าโกรธแค้นสุดชีวิต โซ่ที่พันธนาการเธอเอาไว้นั้นแน่นหนาเกินกว่ากำลังของคนธรรมดาที่จะสะบัดให้ลุด และพิษไข้ที่กำลังเพิ่มเป็นทวีก็ทำให้เธอทรมานไปทั่วทั้งร่าง
“โฮโนะ…โอะ”
“หึ โกรธรึ ไม่น่าเชื่อ…เจ้าน่าจะดีใจมากกว่านะที่นางเด็กนี่จะถูกกำจัดให้พ้นทาง”
กาโระพูดขึ้นอย่างรู้ความคิดของชายหนุ่มที่กำลังโกรธสุดฤทธิ์ โฮโนโอะกำมือแน่นจนเส้นเลือดเริ่มปูดขึ้นมาเป็นแนว
“คืนนางมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!”
“ฮะฮ่า! เจ้านี่มันรั้นหรือว่าโง่กันแน่ โฮโนโอะ เจ้าคิดเหรอว่าเด็กที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในภายภาคหน้าอย่างมันจะยอมละเว้นคนที่มีสายเลือดของอสูรอย่างเจ้า เพียงเพราะเห็นเจ้าเป็นผู้มีพระคุณที่ปลดปล่อยมัน!”
คำพูดของกาโระทำให้ซาคุโระสะอึกเบิกตากว้างจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนกำมือแน่นอยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างสั่นเทาเพราะความโกรธที่เพิ่มเป็นทวีคูณ พร้อมกับเขี้ยวอสูรที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเวลาที่เขาขบกราม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากเชื่อเสียทั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดที่ออกมาจากปากของอสูรกาโระ
โฮโนโอะเป็นอสูร
…………………………………………………………………………………….
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปเร็วมาก เว้นเสียแต่ความเจ็บปวดระบมรวดร้าวของใครบางคน
“ทำไมเดินยากเดินเย็นอย่างนี้นะ”
เสียงโฮโนโอะโอดครวญดังมาตลอดทางที่เดินผ่านซอกเขา ทุกๆก้าวที่เดินและทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ซาคุโระที่เดินตามอยู่เงียบๆมองสภาพของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วก็รู้สึกผิดในใจ แต่มันคงจะดีกว่านี้ หากเจ้าน้องชายของเขาสองคนไม่นินทาเธอมากมายก่ายกอง
“ดูท่าทางท่านพี่ยังไม่หายเจ็บนะ”
“ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลารักษาน่ะ”
“ท่านซาคุโระทำกับท่านพี่ได้ขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ความโกรธมันไม่เข้าใครออกใครหรอก โดยเฉพาะพวกสตรี”
“ว่าใคร”
ซาคุโระหันกลับไปหาชายหนุ่มที่เดินรั้งหลังอย่างเหลืออด เล่นเอาใบหน้าของทั้งคู่ซีดเผือดลงทันตา
“ทะ ท่านซาคุโระมีอะไรกับพวกเราเหรอขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอก พวกนายคงไม่ได้นินทาฉันอยู่ใช่ไหม”
“เปล่าเลยขอรับ”
“แน่ใจนะ”
“ขอรับ แหะๆ”
“งั้นก็แล้วไป”
ถึงจะรู้ว่านั่นคือคำโป้ปด แต่ซาคุโระก็ไม่คิดจะใส่ใจและเดินต่อทั้งที่ได้ยินเสียงซุบซิบมาไม่ขาดหู
“น่ากลัวจังนะขอรับ ท่านพี่”
“แค่นี้ยังเป็นน้ำย่อยนะ”
ระหว่างที่เดินไปตามช่องเขาแคบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มมืดลงทีละนิด ดูเหมือนชายหนุ่มทั้งสามเริ่มระวังตัวมากขึ้น ขณะที่ซาคุโระเริ่มอึดอัด
“ทำไมจู่ๆก็หายใจไม่ค่อยออกนะ”
ร่างกายภายนอกสั่นระริก มือบอบบางยกขึ้นป้องปากอย่างสั่นเทาเพราะไอค่อกแค่กเหมือนคนคอแห้งเป็นระยะๆ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามเข้ามาประชิดตัวเธอมากขึ้นกว่าเก่าด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง โดยเฉพาะโฮโนโอะที่อยู่ใกล้เธอมากกว่าใคร
“แค่กๆ~…”
“เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเลย”
“ฉะ ฉันหายใจไม่ค่อยออก แค่กๆ…”
ซาคุโระตอบเสียงสั่นผสมปนเปกับเสียงไอไม่หยุด ขณะที่โฮโนโอะจับจ้องเธอเป็นระยะ ท่าทางของเขาเหมือนจะต่อว่าเธอกลายๆว่าช่างเปราะบางและอ่อนแอเสียเต็มประดา
“รีบไปกันเถอะ มัวยืดยาดเดี๋ยวก็ขาดใจตายพอดี”
พูดจบชายหนุ่มก็หันกลับมาคว้ามือที่เย็นเฉียบของเธอเดินนำหน้าไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครเอื้อนเอ่ย ซาคุโระเดินตามเขาไปอย่างไม่ขัดขืน อีกทั้งยังความอ่อนแรงที่เพิ่มขึ้นทำให้เธอขืนตัวไม่ไหว
ฟุยูกิได้หยุดอยู่กับที่เหมือนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มนิ่งชะงักพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า มือทั้งสองเริ่มสั่นเทารวมทั้งขาสองข้างที่รู้สึกเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวเดินต่อ
“ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน…เหมือนมีใครจ้องมองเราอยู่คนเดียว”
ฟุยูกิหันกลับไปด้านหลังตามทิศทางของแรงกดดันที่ถูกส่งมา แต่ด้านหลังที่มองไปนั้นไม่มีอะไรอยู่นอกจากมิราอิที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามือหนาตบลงบนไหล่ที่แข็งทื่อ เรียกสติที่กำลังหลุดออกจากร่างกายให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ปั่บ!
“เป็นอะไรไปตั้งเมื่อกี้นี้แล้ว”
ฟุยูกิส่ายหน้าให้กับคำถามพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าแบบลวกๆ ยังดีที่มิราอิไม่ใช่คนเซ้าซี้มากมาย เขาเอียงคอเชิงสงสัยแต่กลับไม่ถามมากความและเดินนำหน้าออกไปเงียบๆ
ฟุยูกิเดินรั้งท้ายไปเงียบๆ แต่ทว่าในใจยังคงสงสัยและอดที่จะหันกลับไปมองเสียงไม่ได้
ต้องมีใครตรงนั้นและมองเขาอยู่แน่ๆ….
ห่างจากทางเดินในซอกเขาไปไม่ไกลนัก บนโขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผามีเงาเล็กๆของใครคนหนึ่งยืนนิ่งและทอดสายตามองลงมายังเหล่าผู้เดินทาง ริมฝีปากเล็กๆที่อยู่ในความมืดสลัวแสยะยิ้มเล็กน้อย นึกพอใจในคนที่จับสัมผัสของตนได้อย่างน่าประหลาด
“ดูท่าว่ากระแสจิตของเราไม่สามารถปิดบังคนๆนั้นได้เลยสินะ ช่างเป็นคนที่อ่านใจยากเสียจริง ท่านฟุยูกิ....ข้าชักอยากเข้าไปใกล้ท่านมากกว่านี้ซะแล้วสิ……จะทำยังไงดีนะ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นราวแผ่วๆราวกระซิบ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปพร้อมกับสายลมเบาบางที่พัดผ่านพร้อมๆกับร่างเล็กๆที่กลายเป็นละอองสลายไปกับธาตุอากาศ
ปราสาทสีดำบนยอดเขาสูงชันที่รายล้อมด้วยด้วยป่าสีดำและกลิ่นสาบของเหล่าอสูรปีศาจที่อาศัยอยู่ กาโระที่หนีเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด กำลังจับจ้องลงไปในแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ดวงตาแข็งกร้าวของอสูรร่างยักษ์สะท้อนภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงาของน้ำในแอ่ง พร้อมๆกับความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก โดยเฉพาะภาพใบหน้าของศัตรูตัวฉกาจที่สะท้อนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ศัตรูที่เป็นเพียงเด็กสาวเจ้าของดวงตาสีเงิน
เพียะ!
“เจ็บใจนัก! นังเด็กนั่นบังอาจทำกับลูกน้องคนสนิทของข้าได้ ไอ้พวกเด็กเวร!”
น้ำสีขาวกระฉอกออกจากแอ่งหินทันทีที่ฝ่ามือของอสูรร่างใหญ่กระแทกเข้าใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เอ้าๆ ไปถูกใครกัดมารึไง ถึงได้โมโหโกรธาขนาดนี้ กาโระ”
สิ้นคำพูดเยาะเย้ย กาโระก็หันไปทางต้นเสียงทันที ร่างของหญิงสาวหุ่นเพรียวบางในชุดสีฟ้าเบาบางแนบเนื้อปรากฏขึ้นมายืนยิ้มอยู่มุมห้องไม่ไกลนัก
“ยูระ!”
กาโระเอื้อนเอ่ยชื่อของหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก และท่าทางของหญิงสาวก็จะรู้นิสัยของเขาดีว่าเป็นยังไง แต่เธอกลับไม่มีท่าทีกริ่งเกรงและยอกย้อนกลับมาให้โมโหเล่น
“โอ๊ะ! ท่าทางแบบนี้ เหมือนไปถูกใครเตะก้นกลับมาเลยนี่นา”
“พูดมากไปแล้วนะ”
“หรือว่าไม่จริง ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะไม่ได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก ใช่ไหมกาโระ”
คำพูดประโยคสุดท้ายของยูระมาพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มที่เหมือนจะป้ายยาพิษใส่ ทำให้อสูรเลือดร้อนอย่างกาโระเดือดดาลขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“มันจะมากไปแล้ว!”
ขวานเล่มมหึมาก็ปรากฏในมือขวาของกาโระ และฟาดฟันลงที่ร่างของปีศาจสาวทันที แต่หล่อนก็เอี้ยวตัวหลบได้เหมือนอ่านใจของอีกฝ่ายออกตั้งแต่แรก
ตูม!!!!
“ร้ายกาจไม่เบานี่”
“ปากดีนักนะ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นร้อยชิ้นแล้วโยนให้พวกนกปีศาจมันกินซะ!”
“ได้เสียสิ ถ้าทำได้ก็ลองดู แต่หากเจ้าแพ้ข้านั่นก็คือจุดจบของเจ้าล่ะ!”
“พูดดีไปเถอะ ว้ากกกก!!”
กาโระเดือดพล่านอย่างคนเสียสติ เหวี่ยงขวานในมือฟาดฟันยูระอย่างบ้าคลั่ง แต่ปีศาจสาวกลับหลบได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆที่รู้ว่ากาโระไม่มีทางเทียบฝีมือกับตนได้ แต่เธอก็ยังอยากเล่นและหลบไปทั้งอย่าง ท่วงท่าของเธอพลิ้วไหวดุจสายลมที่กำลังเริงระบำ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นานอสูรเลือดร้อนก็เริ่มเหนื่อย
“แฮ่กๆๆ~”
“เป็นอะไรไป หมดแรงแล้วเหรอ” ปีศาจสาวยิ้มเยาะพลางร่อนตัวลงมายืนอยู่บนโขดหินสูงกลางห้อง
“รับการลงฑัณฐ์จากข้าไป! นางปีศาจปากเสีย!”
“น่าสนุกดีนี่”
ยูระผู้ควบคุมสายลมแสยะยิ้มเหมือนเด็กที่เจอของเล่นสุดล้ำค่า ในมือของเธอมีพายุขนาดย่อมซุกซ่อนอยู่ และมันก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นราวกับคมดาบตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านของเธอ กาโระร่ายเวทกักขระไม่นานขวานเหล็กในมือขวาก็เปล่งแสงเจิดจ้าดุจเพลิงบรรลัยกัลป์
“จงปะทุขึ้นเหนือฟ้าสีดำ…ขวานเพลิงแห่งการทำลายล้างเอ๋ย!”
“ใช้ท่าไม้ตายกับผู้หญิงเหรอ แบบนี้ข้าก็เล่นสนุกไม่ได้แล้วล่ะสิ”
แววตาที่ซุกซนได้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ฝ่ามือเรียวบางข้างหนึ่งยกขึ้นเหนือหัว พร้อมๆกับเสียงร่ายเวทกัขระด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“จงสถิตเหนือฝ่ามือ กรงเล็บแห่งสายลม!”
“ชิ ใช้เวทเหมือนกันรึ ที่แท้ก็ขี้ขลาด”
“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าเท่าไหร่หรอก”
“จงแหลกสลายไปซะเถอะ!”
“นั่นควรจะเป็นคำพูดของข้ามากกว่า!”
แสงวูบวาบสองสีจากพลังที่ต่างขั้วกำลังเข้าปะทะกัน แต่ในชั่วพริบตานั้นก็เหมือนมีพลังขั้วที่สามเข้ามาขัดขวางไว้อย่าง่ายดาย เวทมนตร์ทั้งสองขั้วถูกตัดขาดเป็นเสี่ยงๆกระเด็นออกไปคนละทาง ราวกับเนื้อหนังที่ถูกมีดดาบเชือดเฉือน
วูบ!...
“อะไรกัน!”
กาโระสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นพลังเวทมนตร์ของตัวเองสูญสลายไปต่อหน้า และในเวลานั้นเสียงทุ้มต่ำที่สุดแสนจะเยือกเย็นก็แทรกขึ้นมา
“คิดจะเล่นกันไปถึงเมื่อไหร่”
“เนรีว!”
“พี่ชาย”
ยูระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าขั้นกลางระหว่างเธอกับกาโระ เธอยำเกรงชายผู้นี้รองลงมาจากจอมมารที่นับถือเป็นนาย เขาคนนี้เยือกเย็นและน่ากลัวกว่ากาโระ และเธอก็ไม่เคยคิดที่จะต่อกรด้วย เพราะชายคนนี้คือปีศาจงูขาวเนรีว พี่ชายแท้ๆของเธอ และเมื่อสบสายตาที่หันมามองอย่างเยือกเย็นก็เกิดความรู้สึกกดดัน เพราะมีผู้ที่เหนือกว่าอยู่ตรงหน้า ยูระแอบสั่นเล็กน้อยพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาตามดวงหน้าคมๆของเธอ จนต้องแสร้งเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่ตั้งคำถามของพี่ชาย ตรงข้ามกับกาโระที่ยังมีอารมณ์เดือดดาล และไม่สนใครหน้าไหนนอกจากการระบายโทสะที่อัดอั้นอยู่ในอกแทบระเบิด
“หลีกไปเนรีว! ข้าจะฆ่านางนั่น!”
“ฆ่ารึ…นางไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองงั้นรึ กาโระ”
ปีศาจหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบพลางเหลือบมองกาโระเพียงหางตา แต่กาโระก็ไม่ใส่ใจเท่ากับหญิงสาวที่เขาต้องการจะปลิดลมหายใจ
“มากเลยล่ะ นังนั่นเยาะเย้ยข้า!”
“นางยังเด็ก อภัยให้นางเถอะ”
“พี่ชาย….”
“เจ้ามีงานต้องทำไม่ใช่รึ นี่ใช่เวลาจะมาเล่นสนุกเช่นเด็กไม่ประสาเมื่อไหร่”
“อะ ขออภัยค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ!”
ว่าแล้วยูระก็หายวับไปพร้อมๆกับสายลมอ่อนๆที่พัดผ่าน กาโระเกลียดเนรีวเข้าไส้ที่มาปกป้องน้องสาวเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“หนอย~ มันจะมากไปแล้วนะ! ทุกครั้งเจ้าต้องมาขวางข้าตลอดเลย เนรีว!”
“ข้าไม่ได้มาขวางเจ้า”
“ปากแข็ง! เห็นว่าเป็นน้องสาวแล้วจะปกป้องรึ ไม่รู้ล่ะ วันนี้ข้าต้องสั่งสอนนังผู้หญิงปากเสียนั่นให้ได้!”
กาโระตะโกนโหวกเหวกพร้อมกระชับขวานในมือจนแน่น ก้าวเดินฉับๆผ่านหน้าเนรีวไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ทันที่จะพ้นห่างจากปีศาจหนุ่มไปได้ไกลก็เป็นอันต้องหยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น เมื่อปลายดาบที่คมกริบได้ชี้เข้าที่คออย่างไม่รู้ตัว
“ข้าบอกว่าอภัยให้นาง พูดไม่รู้เรื่องรึไง กาโระ”
“หนอยแน่ะ~ เนรีว!”
“รึเจ้าอยากบันดาลโทสะกับข้าก็ได้ ว่าไง”
สิ้นสุดคำพูดของเนรีว กาโระก็ถึงกับเลิกคิ้วสูงเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวชายหนุ่มผมขาว แต่ความโกรธเกรี้ยวก็ไม่เข้าใครออกใคร เลือดขึ้นหน้าทำให้อสูรจอมพลังรับคำท้าอย่างว่องไวและเตรียมชักอาวุธคู่กายออกมาหมายจะกำจัดคู่แค้นอย่างเนรีว
“ก็ได้ ข้ารับคำท้าเจ้า แล้วอย่ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตจากข้าก็แล้วกัน!”
“หึ นั่นควรจะเป็นคำพูดของข้ามากกว่า”
“ปากดีทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ ข้าจะเฉือนปากเน่าๆของเจ้าให้นกปีศาจมันกินซะเลย!”
กาโระพุ่งเข้าหาเนรีวอย่างไม่เปิดโอกาส แต่เนรีวกลับยืนนิ่งและยังไม่ชักดาบที่แอบซ่อนเอาไว้ด้านหลังออกมาให้เห็น
“อย่าริอ่านเอาข้าไปเปรียบกับผู้หญิง เจ้ายักษ์ดื้อด้าน”
“ตายซะเถอะ! ว้ากกกก!!!”
ขวานเล่มมหึมาพุ่งเข้าใส่หมายจะฟาดฟันเนรีวให้ขาดสะบั้นตามความรู้สึกเดือดดาลของเจ้าของ แต่ปีศาจกลับนิ่งเฉยอย่างไม่ยี่หระ และในระหว่างนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
“พอได้แล้ว”
กึก!
ขวานยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดพล่านดุจไฟนรกได้หยุดชะงักห่างจากศีรษะของเนรีวเพียงคืบ กาโระเหงื่อตกเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาลจากเจ้าของเสียง ตรงข้ามกับเนรีวที่ได้แต่หลับตานิ่งพร้อมกับผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด แท่นหินสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางห้องโถงอันมืดดำ แสงสว่างเพียงน้อยนิดส่องสะท้อนให้เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยผ้าม่านผืนบางที่รายล้อม เงาสีดำรูปร่างสูงเพรียวยืนตระหง่านอยู่บนแท่นหิน ถึงจะมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ความรู้สึกกดดันมหาศาลที่สัมผัสได้ก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าสายตาคู่นั้นกำลังจดจ้องมา และคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่จะเอ่ยปากออกไปพล่อยๆ พอคิดได้ดังนั้นอสูรเลือดร้อนอย่างกาโระก็รีบคุกเข่าก้มหน้ารอรับบัญชาอย่างไม่คัดค้าน
“ท่านจอมมาร มีอะไรให้กาโระผู้นี้รับใช้รึ”
“กาโระ เจ้าเคียดแค้นทายาทแห่งราชันย์มากขนาดนั้นเชียวรึ”
“หามิได้ ผู้ที่ข้าเคียดแค้นคือเด็กมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น มันฆ่าคานอลลูกน้องคนสนิทของข้า!”
“อย่างนั้นรึ แค้นขนาดต้องมาหาเรื่องพวกเดียวกันเลยรึ”
“ขะ ข้าผิดไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถอะ!”
เจ้าของเงาสีดำได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงคำรามเหมือนจะพอใจ ก่อนที่จะออกคำสั่งแก่อสูรยักษ์ที่คุกเข่าก้มหน้าเพราะความยำเกรงตน
“เอาเถอะ ข้าจะไม่สืบสาวเอาความเจ้าสักครั้ง แต่เจ้าต้องชดใช้ในความบ้าดีเดือดของตัวเอง”
“ข้ายอมทำทุกอย่าง! หากว่าเป็นคำสั่งของท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้โปรดบัญชามาได้เลย”
“ไปเอาตัวมันมาให้ข้า”
คำพูดที่แปลกหูผิดจากการคาดเดาทำให้กาโระชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและจับจ้องไปที่เงาสีดำที่อยู่บนโขดหินอย่างขัดข้องใจ
“ท่านจอมมาร ท่านต้องการใครรึ”
“เด็กผู้หญิงที่เจ้าเคียดแค้นคนนั้น เอาตัวมันมาให้ข้า ใครขัดขวางก็ฆ่ามันซะ!”
“หึ…กำลังต้องการอยู่เชียว น้อมรับคำสั่ง นายข้า”
กาโระแสยะยิ้มอย่างพอใจและรับคำสั่งนั้นโดยง่าย เพราะตนก็ต้องการแก้แค้นและเข่นฆ่าตามนิสัยเลือดร้อนของตนอยู่แล้ว ร่างของอสูรกาโระหายวับไปในพริบตา ต่อหน้าเนรีวที่มองอยู่เงียบๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจราวเสียงสบถและหันไปหาเจ้าของคำสั่ง
“ท่านคัยรีว”
“หืม…เนรีวรึ หึๆๆ นานแล้วที่ไม่ใครเอ่ยนามนี้กับข้า ช่างเป็นนามที่ข้าคิดถึงเสียจริง”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยว ท่านคิดอะไรอยู่ถึงส่งอสูรบ้าเลือดอย่างกาโระไป คิดว่าเจ้านั่นจะจัดการเหล่าทายาทพวกนั้นได้รึ”
“หึๆๆ”
“คิดจะทำอะไรกันแน่”
“สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้ไม่ใช่มาตั้งคำถามกับข้า เนรีว จงทำตามที่ข้าสั่งก็พอแล้ว ก่อนที่เวลาของเจ้ากับน้องสาวจะหมดไปตลอดกาล”
คำพูดที่มาพร้อมกับความเยือกเย็นทำให้เนรีวปิดปากเงียบทันที เพราะรู้ดีว่าหากพูดต่อไปมากกว่านี้ก็มีแต่จะเดือดร้อนเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองทางอ้อม เขารับรู้คำสั่งจากกระแสจิตอันมืดดำที่ส่งมาจากจอมมารโดยตรง จึงไม่ต้องเอ่ยปากว่าจะทำอะไร
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ว่าแล้วร่างสูงโปร่งก็หายวับไป สายตาของคัยรีวมองเห็นเพียงปลายเส้นผมสีขาวที่กำลังจืดจางและหายไปพร้อมกับเจ้าของร่างที่จากไปเท่านั้น ริมฝีปากสีแดงสดดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้มแสยะยิ้มอย่างพอใจ สิ่งที่หล่อนต้องการไม่ใช่อะไรนอกจากโลหิตที่ไหลออกจากร่างของเทพธิดาสีเงิน
“ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นจนได้เทพธิดาสีเงิน วันที่ข้ารอคอยใกล้เข้ามาถึงแล้วสินะ หึๆๆ”
ความอำมหิตของจอมมารที่สูงส่ง สำหรับเหล่าอสูรด้วยกันที่ได้สัมผัสต่างก็ชื่นชอบความรู้สึกที่หอมหวนยิ่งกว่าความมืดนี้เสียกระไร ท่ามกลางป่าเขาที่ถูกสาป มืดมิด เยือกเย็น และวังเวง แม้กระทั่งท้องฟ้าก็แทบจะไม่มีแสงใดเล็ดรอดลงมาให้เห็น เป็นหุบเขาที่หลับใหลมาตลอดหลายร้อยปี
“แค่กๆๆ~…นี่ เดินมาตั้งไกลแล้ว ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอ”
ซาคุโระพูดออกมาหลังจากรอดผ่านช่องแคบอันมืดดำนั้นออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้รู้สึกชาไปทั้งขาแทบจะก้าวไม่ออก
“เจ้านี่มันบ่นมากจริงๆ น่ารำคาญ”
โฮโนโอะสวนกลับเหมือนไม่ใส่ใจ ซาคุโระเริ่มฉุนไม่สนใจสายตาที่มองกลับมา และก้าวเดินต่อไปด้วยแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่จะวีนใส่ชายหนุ่มที่ทำหน้าอึ้ง
“คนใจร้าย เห็นฉันเป็นหุ่นยนต์รึไง ไม่พักก็ได้!”
ว่าแล้วเธอก็ก้าวเดินฉับๆออกหน้าไป โดยเมินเฉยกับสายตาที่ยังจับจ้องอยู่
“ท่านซาคุโระโกรธซะแล้ว”ฟุยูกิที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เจอคนใจไม้ไส้ระกำเข้า ผู้หญิงเขาต้องงอนเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
มิราอิที่เดินข้างอยู่ใกล้พูดเสริมขึ้น พลางมองมาทางพี่ชายด้วยสายตาที่เหมือนจะประชด จนทำให้คนที่ถูกมองร้อนตัวและหาข้อแก้ตัวกันเก้อ
“อะไร ข้าผิดตรงไหน”
มิราอิและฟุยูกิต่างก็ส่ายหน้าถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำให้โฮโนโอะเริ่มอยู่ไม่สุข และวีนใส่ด้วยความเขินอาย
“อย่ามาทำหน้าเหมือนเห็นข้าเป็นตัวประหลาดนะ!”
ซาคุโระเดินจ้ำอ้าวออกมาห่างจากกลุ่มชายหนุ่มด้วยอารมณ์ที่เดือดปุดๆ พร่ำบ่นออกมาด้วยความฉุนเจ้าคนเย็นชา
“โฮโนโอะ ไอ้คนงี่เง่า คิดว่าคนอื่นเขาเป็นอย่างตัวเองรึไง คนอะไรใจดำ!”
หญิงสาวโปรยคำพูดออกมาตลอดทางที่ก้าวเดิน สักพักก็รู้สึกร้อนรุ่มในอกเหมือนมีกองไฟมาสุมรอบตัว หนทางข้างหน้าเริ่มพล่ามัวและเอียงไปมา ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายจะตกลงไปในความมืดมิด
นานเท่าไหร่ไม่อาจนับเวลาได้ถูก ซาคุโระรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางความเหน็บหนาว แต่พอสักพักก็ค่อยๆจางหายเมื่อถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกอบอุ่นได้สัมผัสเข้าที่ใบหน้าของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่มันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างเหมือนกับว่าได้อยู่ในอ้อมกอดของใคร
“นี่ ทำใจดีๆเอาไว้นะ เจ้าลูกผู้หญิงอ่อนแอ”
เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังเล็ดลอดเข้ามาท่ามกลางความมืด “เจ้าผู้หญิง” คำๆนี้ซาคุโระช่างคุ้นหูและไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ และคนที่ชอบเรียกเธออย่างนี้ก็คงไม่มีใครอื่นนอกจากโฮโนโอะ แต่เพียงเพราะความมืดที่ยังห้อมล้อมทำให้ไม่มั่นใจในน้ำเสียงที่ได้ยิน พอนึกอย่างนั้นจึงพยายามแหวกความมืดเปิดม่านตาออกมามองหาเจ้าของเสียงนั้น และทันทีที่ม่านตาเปิดออกและปรับภาพให้ชัดเจน สิ่งที่ได้พบเห็นก็เป็นไปตามที่คิด เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากโฮโนโอะที่จับจ้องเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวล และพอเห็นเธอลืมตาขึ้นเท่านั้น สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“ได้สติแล้วเหรอ”
“อ๊ะ! เอ่อ…”
“อะไร เห็นหน้าข้าทีไร ทำไมต้องตาค้างแบบนั้นด้วย”
โฮโนโอะเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นเธอทำหน้าเหวอเหมือนกำลังเห็นผี
ซาคุโระยังอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม หญิงสาวพยายามยันกายออกห่าง แต่เพราะพิษไข้ที่ยังไม่ลดละทำให้ต้องซบอยู่บนตักเขาต่อไปโดยปริยาย
“ปะ ปล่อยฉันนะตาบ้า!”
“ตื่นมาก็ปากจัดเชียวนะ”
ซาคุโระชะงักไปทันทีที่เห็นแววตาของชายหนุ่ม เขามองเธอตาไม่กะพริบ พร้อมกันนั้นมือทั้งสองข้างของเขายังรั้งตัวเธอเข้าแนบชิดมากขึ้น ทำให้ใบหน้าของเธอซุกแนบอกอุ่นๆนั้นโดยปริยาย ซาคุโระไม่พูดอะไรและไม่ขัดขืนเพราะคิดว่าดีที่เขาจะได้ไม่เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีของเธอ
“ฮะ โฮโนโอะ…”
“ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร ตอนเจ้าล้มลงไปข้าตกใจแทบแย่”
“ขอโทษนะ”
คำพูดที่อ่อนโยนและปนเปความห่วงใยจนล้นหลาม ทำให้หัวใจที่แข็งทื่อเริ่มสั่นคลอนและเต้นแรงขึ้นจนรู้สึกชัดเจน ซาคุโระซุกหน้าเข้าที่อกอุ่นที่กระเตื้องขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของชายหนุ่มอย่างเหนียมอาย พลางนึกในใจว่าโชคดีแล้วที่เขาไม่เห็นหน้าเธอตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
แต่แล้วความรู้สึกเขินอายและหวั่นไหวนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคำพูดประโยคหนึ่งเพียงสั้นๆเข้ามาแทรกกลางกระตุ้นต่อมเดือด
“เจ้านี่ชอบทำอะไรไม่รู้จักคิดจริงๆ”
“วะ ว่าไงนะ!”
จากใบหน้าอมชมพูเพราะความเขินอาย กลับกลายเป็นสีแดงก่ำเพราะความโมโหโทสะ คำพูดดุดันแกมประชดพวกนั้นน่าจะเป็นเธอมากกว่าที่จะพูดไม่ใช่เขา ความโกรธทำให้มีพลังอย่างใครต่อพูดจริง มือทั้งสองข้างของหญิงสาวเริ่มมีเรี่ยวแรงและเธอก็ไม่รอช้าที่จะใช้มันผลักอกของเจ้าคนปากเสียนั้นให้กระเด็น
โฮโนโอะหงายตึงผละจากหญิงสาวที่รีบยันกายลุกออกห่าง และรีบชี้หน้าด่าเขาเป็นชุด
ตุ้บ!
“เจ็บนะ! เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!”
“ทำอะไรไม่รู้จักคิดงั้นเหรอ ฉันทำอะไรล่ะ! นายต่างหากที่ไม่รู้จักคิด ถ้านายยอมหยุดพักสักนิดฉันคงจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างนี้หรอกจะบอกให้!”
“เสียเปรียบ เรื่องอะไร”
ซาคุโระถูกสวนกลับด้วยคำถามที่แสนซื่อตรงก็ถึงกับชะงัก คำถามที่ชัดเจนของชายหนุ่มทำให้เธอเงียบกริบและแสร้งพ่นลมหายใจออกมาแรงๆแก้เขิน ในขณะที่เขายังย้ำคำถามของตัวเอง
“เรื่องอะไรล่ะ”
“มะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะน่า” เธอรีบปฏิเสธเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่…มิราอิกับฟุยูกิล่ะ”
ซาคุโระเอ่ยถามพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของคนที่กำลังถามหา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเธอเบี่ยงเบนประเด็น ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจและตอบคำถามไปอย่างเรียบเฉย
“ออกไปหาสมุนไพรมารักษาเจ้าน่ะสิ”
“แล้วทำไมนายไม่ไปแทนล่ะ ปล่อยเด็กสองคนออกไปอย่างนั้นอันตรายออก”
“สติเจ้ายังดีอยู่รึเปล่า”
“อุ๊บ!”
พอถูกสายตาคู่นั้นจับจ้องอย่างสงสัย หญิงสาวก็รีบยกมือทั้งสองข้างปิดปากเสียโดยเร็ว เธอลืมไปเสียสนิทว่าเขาเป็นคนที่คอยเฝ้าดูแลเธออยู่ตลอดเวลา
“ว่าไง ยังเพ้อเพราะพิษไข้อยู่รึไง”
“นะ หนวกหูน่า! แค่ลืมเท่านั้นเอง ผิดด้วยเหรอ”
“โฮ่~”
ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกพลางมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากเชื่อในคำพูดเท่าไหร่นัก แต่พอเห็นเธอทำหน้าตูมของเธอเขากลับยิ้มออกมาบางๆ สีหน้าท่าทางที่อ่อนโยนอย่างนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระยังไงอย่างนั้น
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
ซาคุโระเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แต่ชายหนุ่มก็ได้ยินชัดเจนและรู้ความหมายที่แสดงออกมาทางสีหน้านั้นเป็นอย่างดี เขาเสมองออกไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าที่สลดของเธอ
“พูดอะไรไม่เข้าท่า”
“เอ๊ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็เงียบไปซะ ยายผู้หญิงโง่”
ซาคุโระไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้สรรหาคำด่ากรอกหูเธอได้ทุกที่ทุกเวลา แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เธอไม่ได้โกรธเขา ในระหว่างที่ความสบายใจกำลังจะทำให้รอยยิ้มปรากฏ ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีและแปรปรวนราวกับมีพายุ ก็ทำให้ทั้งสองชะงักและหันไปมองทางทิศเดียวกันอย่างเคร่งเครียด
ครืนนนนน!
“อะไรน่ะ”
“ฟ้าเปลี่ยนสีอีกแล้ว”
โฮโนโอะขมวดคิ้วจับจ้องไปที่เมฆสีดำที่เหมือนจะปล่อยน้ำฝนลงมาอยู่รอมร่อ แต่กลับรู้สึกว่าจะมีมากกว่าฝน
“ซาคุโระ มาหาข้าเร็วเข้า”
ซาคุโระเลิกคิ้วประหลาดใจแต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่จะได้เอื้อมมือเข้าไปหาก็มีบางอย่างเข้ามารวบตัวเธอจากด้านหลังก่อนที่มันจะกระชากเธอออกไปอย่างรวดเร็ว
เฟี้ยว!
“อะไรน่ะ ปล่อยนะ!!”
“ซาคุโระ!”
“โฮโนโอะ ช่วยด้วย!!!”
“บ้าจริง!”
ซาคุโระพบว่าสิ่งที่รวบรัดร่างของเธอคือโซ่สีดำที่เคยคุ้นตา หญิงสาวพยายามขืนตัวและเอื้อมมือหาชายหนุ่มที่วิ่งตามและพยายามไขว่คว้ามือที่เธอยื่นให้ แต่แล้วอสูรกาโระก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า และโจมตีด้วยขวานอย่างไม่เปิดโอกาส แต่โชคดีที่เขาไหวตัวและหลบได้ทัน
ตูมมมม!!!
“อั๊ค!”
“หึๆๆ เจ้าไม่มีทางได้ตัวนังเด็กนี่หรอก เจ้าหนูโฮโนโอะ”
“กาโระ!”
ท่ามกลางป่าเขาและความมืดที่แปรปรวนเพราะไอปีศาจที่แผ่ฟุ้งกระจายออกมาจากตัวอสูรกาโระ ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องหนีกันจ้าละหวั่น
“ปล่อยนางซะ!”
“เห็นทีจะทำตามคำสั่งเจ้าไม่ได้ซะแล้วสิ”
กาโระแสยะยิ้มเยาะราวผู้ชนะ ความมืดมัวมาพร้อมกับความเหน็บหนาวรุนแรง กดดันพลังในตัวโฮโนโอะให้ลดลงไปมากกว่าครึ่ง
“หึ ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะลดลงไปมากนะ เพราะอากาศที่หนาวจับขั้วหัวใจนี่สินะ น่าสงสารที่เกิดมาผิดแปลกไปจากพี่น้อง หึๆๆ”
“หนวกหู ข้าเป็นยังไงแล้วมันหนักกบาลเจ้านักรึไง!”
เสียงขู่คำรามดั่งท้องฟ้าที่กำลังมีพายุ ซาคุโระยังมองเห็นว่าชายหนุ่มยังจดจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา สายตาของเขาบ่งบอกว่าโกรธแค้นสุดชีวิต โซ่ที่พันธนาการเธอเอาไว้นั้นแน่นหนาเกินกว่ากำลังของคนธรรมดาที่จะสะบัดให้ลุด และพิษไข้ที่กำลังเพิ่มเป็นทวีก็ทำให้เธอทรมานไปทั่วทั้งร่าง
“โฮโนะ…โอะ”
“หึ โกรธรึ ไม่น่าเชื่อ…เจ้าน่าจะดีใจมากกว่านะที่นางเด็กนี่จะถูกกำจัดให้พ้นทาง”
กาโระพูดขึ้นอย่างรู้ความคิดของชายหนุ่มที่กำลังโกรธสุดฤทธิ์ โฮโนโอะกำมือแน่นจนเส้นเลือดเริ่มปูดขึ้นมาเป็นแนว
“คืนนางมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!”
“ฮะฮ่า! เจ้านี่มันรั้นหรือว่าโง่กันแน่ โฮโนโอะ เจ้าคิดเหรอว่าเด็กที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในภายภาคหน้าอย่างมันจะยอมละเว้นคนที่มีสายเลือดของอสูรอย่างเจ้า เพียงเพราะเห็นเจ้าเป็นผู้มีพระคุณที่ปลดปล่อยมัน!”
คำพูดของกาโระทำให้ซาคุโระสะอึกเบิกตากว้างจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนกำมือแน่นอยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างสั่นเทาเพราะความโกรธที่เพิ่มเป็นทวีคูณ พร้อมกับเขี้ยวอสูรที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเวลาที่เขาขบกราม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากเชื่อเสียทั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดที่ออกมาจากปากของอสูรกาโระ
โฮโนโอะเป็นอสูร
…………………………………………………………………………………….
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ